เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ
แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย
แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน
กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ
และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น
ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา
*** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***
แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ 19
เงื่อนงำที่หายไป 1
รถกระบะคันโตแล่นเข้าสู่สถานที่จัดการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยความไว ในทันทีที่รถจอดสนิท ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อสะอาดกับแว่นตากรอบทองก็ก้าวขาลงมาในขณะที่ยังสวมใส่เสื้อสูทไม่เรียบร้อยดี เชิ้ตตัวในที่เป็นสีขาวก็มีรอยยับ กับกางเกงที่เหมือนไม่ได้ผ่านการรีด แต่ไม่มีอะไรที่เขาต้องให้ความสำคัญไปกว่าการเข้าร่วมฟังประกาศผลลงคะแนนเสียงนายก อบจ. วันนี้
“แกหายหัวไปไหนมาสองวันสามวัน” ผู้เป็นบิดาที่นั่งคอยท่าในเต็นท์ถามไถ่เมื่อบุตรชายคนโตปรากฏกาย
ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงไม่ตอบคำถาม เดินมาหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วชันศอกกับเข่า ก้มหัวลงใช้มือนวดขมับทั้งสองที่ยังหลงเหลือความร้าวระบม
“คะแนนแกกำลังนำ เหลืออีกไม่กี่ใบก็ได้เฮกันลั่น” นายทรงชัยกระซิบข้างหู แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องผลการเลือกตั้ง
เขาปวดหัวแทบระเบิดในตอนที่ลืมตาตื่นบนเตียงในห้องแอร์เย็นเฉียบ ถ้าไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์จากบิดาเรียกตัวให้มาฟังผลคะแนนเสียง เขาก็คงยังเกลือกกลิ้งอยู่บนเวทีรัก ฟังเสียงหวานของเธอครวญครางเรียกหาความปรานีจากเขาทั้งวันทั้งคืน
มันผ่านมาแล้วสองคืนหรือ แต่ทำไมถึงรู้สึกเนิ่นนานราวกับอยู่ในโลกไร้กาลเวลา มีแค่เขาและเธอที่เวียนว่ายอยู่ในเกมตัณหา ดื่มด่ำล้ำลึกในรสกามราวกับไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในชีวิต
“ไอ้โท นังตรี พวกแกไปหาแก้วมารินเหล้าฉลองให้พี่ชายเร็ว” เสียงเริงรื่นของบิดาแว่วดังเป็นระยะ “อีกนิดละโว้ยเอกรัตน์ อีกนิดเดียวแกจะได้นั่งเก้าอี้ตัวนั้นแล้ว”
“รับไปฉลองก่อนล่วงหน้าไหมล่ะพี่เอก”
มีแก้วพลาสติกใส่เหล้ายื่นเข้ามาอยู่ในสายตา เอกรัตน์รับมาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมองเห็นน้องชายส่งรอยยิ้มร้ายคล้ายเย้ยหยัน ดวงตาคู่นั้นก็ฉายแววแห่งชัยชนะเหนือเขา
“งานนี้ฉันดื่มให้พี่ แต่งานหน้า ฉันคงไปดื่มงานแต่งของหมอไหมกับไอ้บรรลัยนั่น แต่พี่ให้ฉันช่วย...” แล้วก้มหน้าลงพูดเสียงกระซิบ “ฉันจะทำให้พี่ไปกินข้าวต้มงานศพของมัน”
“เฮ้ย เอกรัตน์ แกนั่งเฉยทำไม เฮสิโว้ย!”
นายทรงชัยเขย่าหัวไหล่ชายหนุ่ม แล้วยกแขนทั้งสองของตนขึ้นส่งเสียงโห่เฮด้วยความดีใจ รวมไปถึงสมุนทั้งหลายที่ยืนห้อมล้อมราวกับเป็นกำแพงห้องกันความปลอดภัยให้เจ้านาย
เขาชนะการเลือกตั้ง ผลการนับคะแนนเป็นเอกฉันท์ แต่ก็ห่างจากลำดับสองไปแบบเฉียดฉิว นั่นหมายความว่านอกจากเขาแล้ว ชาวบ้านยังเทคะแนนให้คนอื่นเข้ามารับหน้าที่พัฒนาชุมชน
แล้วไหมแก้วเล่า คนที่เคยเคียงข้างฟันฝ่าเพื่ออุดมการณ์ร่วมกัน เธอลงคะแนนเสียงให้ใคร หรือลงคะแนนใจให้ผู้ชายคนไหน
‘หากคุณอยากได้เธอคืนมา คุณก็ควรจะสร้างคุณงามความดีให้เธอเห็น แล้วบดขยี้คู่แข่งหัวใจด้วยความชั่วร้ายที่คุณโยนให้’
“มาดื่มฉลองกับฉันสักแก้ว ไอ้โท เอ็งหลบไป” แล้วนายทรงชัยก็แทรกตัวเข้ามานั่งแทนที่บุตรชายคนกลาง ที่รีบลุกหลบฉากไปยืนมองพี่ชายอยู่ด้านหลัง
“พรุ่งนี้แกจะไม่ได้เป็นเอกรัตน์คนเดิมอีกต่อไป จำคำของฉันไว้” จากนั้นยื่นส่งแก้วเหล้าใส่มือ “แกจะมีอำนาจ มีบารมี แกจะทำในสิ่งที่เอกรัตน์วันนี้ทำไม่ได้”
“หมายความว่าทุกอย่างที่ฉันทำในวันพรุ่งนี้ ก็จะไม่ใช่ฝีมือของเอกรัตน์ในวันนี้สินะ” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม วางแก้วน้ำอุ่นลงพื้น แล้วซดเหล้าแก้วที่บิดาส่งมอบให้กับมือ
“ทุกอย่าง เอกรัตน์ ทุกอย่างที่แกอยากทำ จะมีฉันสนับสนุนเสมอ” นายทรงชัยกระตุกยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น...” ชายหนุ่มหันไปสบตาบิดา “ฉันอยากให้พ่อเคลียร์ใครบางคนให้พ้นสายตาฉันสักหน่อย แค่ให้พ้นทาง ไม่ต้องให้ถึงกับตาย”
พอดีกับที่ตรีรัตน์เดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำเย็น พอได้ยินคำพูดนั้นจากปากพี่ชาย มือไม้ก็อ่อนแรง แก้วในมือจะหล่นลงพื้น ส่งผลให้น้ำเย็นกระเซ็นถูกใบหน้าของบิดา
“นังตรี แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำอะไรของแก!”
“ขอโทษจ้ะพ่อ ฉันจะเอาน้ำมาให้พี่เอก แต่มือมันลื่น” บอกแล้วรีบก้มเก็บแก้ว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ประจันสายตากับพี่ชาย ตรีรัตน์จึงรีบหลุบตามองแก้วในมือ ลุกขึ้นยืนพลางบอกว่า “ฉันจะไปเอาน้ำมาให้พี่ใหม่นะ”
“ไม่ต้อง วันนี้ไม่ได้เป็นวันพระ ฉันจะฉลองความสำเร็จด้วยเหล้า”
“จ้ะ” เธอยิ้มแห้ง ๆ แล้วเดินออกมาด้วยใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ
เพลงพิณผิวปากเมื่อเห็นก้องปฐพีสวมใส่ชุดหนังกับกางเกงยีนที่ได้มาจากร้านขายของเก่าในราคาไม่ถึงร้อย แต่พอมันอยู่บนตัวชายหนุ่มใบหน้าหล่อเข้ม มีไรหนวดขึ้นครึ้ม ก็ทำให้เพลงพิณนึกถึงโปสเตอร์หนังบู๊ฝรั่งที่เขาเคยสะสมในวัยเด็กขึ้นมาทันใด
“พี่จะไปหาแม่ผมจริง ๆ หรือ” จากนั้นถามย้ำความตั้งใจอีกครั้ง
“ก็จริงน่ะสิ”
ก้องปฐพีบอกแล้วหันมาส่งยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ช่างหดหู่ในความคิดของผู้มอง และทำให้นึกถึงยิ้มสุดท้ายของพี่ป๋อง
เพลงพิณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างชายหนุ่มกับคุณหมอไหมแก้ว ในตอนที่เขาเห็นก้องปฐพีเดินตามหลังคุณหมอสาวเพื่อไปส่งเธอที่หมู่บ้านช้าง ใบหน้าของทั้งคู่ไม่สดชื่น คนหนึ่งก็เหมือนโกรธคนทั้งโลก อีกคนก็เหมือนแบกโลกเอาไว้ ทั้งที่อยากเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ เพราะลอบเห็นแววตาสีนิลคู่นั้นคอยแต่จะมองหาเธอ
“แต่เราจะรอให้ธิดาพาคนงานชุดใหม่มาที่นี่ก่อน ออกจากกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เช้ามืด คิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้ว” ชายหนุ่มบอกแล้วหยิบสมุดกับดินสอแท่งโปรดขึ้นมา จากนั้นก็ลากดินสอให้เป็นรูปร่างและเรื่องราว
“ทำไมพี่ไม่เอาเวลาวาดรูปไปบอกลาคุณหมอ” เด็กหนุ่มถาม
มือหนาหยุดขยับชั่ววินาทีแล้วค่อยลงมือวาดต่อ “เขาอยากให้ฉันไปจากที่นี่อยู่แล้ว ก็คงไปได้เลยไม่ต้องบอกลา”
“พี่ไม่ห่วงคุณหมอแล้วหรือ”
คำถามของเด็กหนุ่มมีผลต่อเจ้าของใบหน้าหล่อคมเข้ม ก้องปฐพีถอนหายใจเสียงหนัก วางสมุดกับดินสอในมือลง หันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งและลึกล้ำ
“บางทีผมก็ไม่เข้าใจความรักของผู้ใหญ่ ถ้าเป็นผม ผมก็จะบอกไปเลยว่าชอบ ว่ารัก ไม่เห็นจะต้องมาเดาความรู้สึกกัน” เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนยกแขนหนุนหัวต่างหมอน หลับตาเอ่ยคำพูดคล้ายตัดพ้อชีวิต “จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้”
“พี่ก้องคะ”
มีเสียงเรียกของคนคุ้นเคยดังจากอีกฝั่งของบานประตูเรือน เพลงพิณจึงจะลุกขึ้นไปเปิด แต่ถูกชายหนุ่มยกมือห้าม จากนั้นเก็บสมุดและดินสอใส่เป้ แล้วลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนหน้าบานประตูเพื่อรอฟังเสียงเรียกให้ชัดเจนอีกครั้ง
“พี่ก้องคะ ธิดาพาคนงานมาถึงแล้วค่ะพี่ก้อง”
เมื่อมั่นใจว่าเป็นน้องสาว เขาจึงคลายล็อกประตูเปิดออกรับหญิงสาวเจ้าของดวงหน้าสวยหวาน ดวงตากลมโตสีนิลประกายที่สามารถสะกดทุกสายตาให้หยุดมองได้ทุกครั้ง
“ธิดาให้พวกเขาจอดรถพักอยู่ใกล้กับเรือนผู้ใหญ่บ้านค่ะ” ร่างบอบบางคลี่ยิ้มสดใส ก้าวขาเข้ามาด้านในพร้อมกับยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลส่งให้พี่ชาย “แล้วก็นี่ ผลตรวจของสถาบันวิจัยค่ะ”
“ขอบใจนะธิดา” ก้องปฐพียิ้มพลางลงกลอนประตู แล้วรับซองเอกสารมาฉีกปากซองด้วยความประณีต จากนั้นหยิบเอากระดาษมีตราประทับของสถาบันออกจากซองเพื่ออ่านตั้งแต่บรรทัดแรก
“ในน้ำบาดาลและตัวอย่างน้ำที่ส่งมานั้นพบการปนเปื้อนของสารพิษที่มีโครงสร้างคล้ายกับเชื้อราที่พบในเห็ด” เขาอ่านทวนประโยคสรุปสุดท้ายแล้วเงยหน้าขึ้น ทำคิ้วขมวดมุ่นเป็นปม
“เห็ด?” แล้วรำพึงคำพูดออกมา
“ทำไมหรือคะ” ผู้เป็นน้องจึงถามด้วยความใคร่รู้
“พี่มีข้อสงสัยบางอย่าง” เขาสอดผลวิจัยกลับเข้าซอง แล้วทำท่าครุ่นคิด ก่อนนั่งลงกับพื้น หยิบสมุดบันทึกกับดินสอขึ้นมาเขียนข้อความบางอย่าง แล้วพับทบ
“พี่ฝากธิดาเอาไปให้คุณหมอไหมแก้วหน่อยได้ไหม” แล้วยื่นส่งให้น้องสาวที่เอียงคอมองด้วยความสงสัย แต่ก็รับไป
“ทำไมพี่ก้องไม่เอาไปให้เองล่ะคะ เดี๋ยวเราก็ต้องกลับไปหานายช่างกับพวกคนงานที่หมู่บ้านอยู่แล้ว”
ก้องปฐพีส่ายหน้า “พี่กับพิณจะเดินทางไปทองผาภูมิ คงไม่ได้ไปทักทายพี่น้อง ฝากขอโทษพวกเขาด้วยที่พี่ไม่ได้อยู่เจอ”
ยังความสงสัยให้น้องสาวมากขึ้นทวีคูณ พอหันไปมองทางเด็กหนุ่มก็มีแต่แววตาใสซื่อไร้เดียงสา “ก็ได้ค่ะ แต่อย่างน้อยน่าจะอยู่คุยกับน้องนานสักหน่อย ธิดาไม่ได้เจอพี่ตั้งหลายวัน ไม่มีใครสั่งให้ทำนั่นทำนี่ เหงาจะตายอยู่แล้ว”
ก้องปฐพีหัวเราะครื้นเครง แล้วก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ฉวยเป้คู่ใจมาหยิบกระดาษเปล่าและซองจดหมายสีซีดจางออกมา “ตอนแรกพี่คิดว่าจะทำเองตอนกลับไปกรุงเทพฯ แต่เห็นทีจะไม่ได้กลับสักพัก แต่ถ้าธิดาอยากให้พี่สั่งงาน ก็ช่วยไปตามหาผู้ส่งจดหมายในจ่าหน้าจดหมายนี้”
“ทั้งเรื่องเห็ด ทั้งเรื่องตามหาคน ตกลงพี่ก้องกำลังทำอะไรอยู่คะ” หญิงสาวผ่อนลมหายใจ แล้วก้มลงอ่านชื่อผู้ส่ง ออกเสียงด้วยดวงตากังขา “ดวงดาว ทะหมุคู”
“พี่คิดว่าคงเป็นญาติของดวงแข...ศพผู้หญิงที่นายพนาต้องการตัวธิดาไปปลูกถ่ายเปลี่ยนอวัยวะ” ก้องปฐพีเอ่ยต่อ
“ทำไมพี่ก้องอยากรู้จักคนชื่อดวงดาวล่ะคะ” ดวงตาสีนิลพิมพ์เดียวกันกับชายหนุ่มเต็มไปด้วยคำถาม
“พี่ไม่ได้อยากรู้จักคนชื่อดวงดาว แต่พี่อยากรู้จักดวงแข”
“ดวงแขตายไปแล้ว” ธิดาย้ำในความจริง
“พี่ถึงต้องถามจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่” ทว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจเรื่องการตายของหญิงสาวคนรักนายพนา เขาขอแค่ให้รู้ว่าจะคลายข้อสงสัยที่กำลังวิ่งวนในหัวตอนนี้ได้อย่างไร
“ถ้าสารวัตรจับสมุนของนายพนาที่เหลือได้ พี่ก้องอาจได้คำตอบ” เพลงพิณขอเอ่ยความเห็นขึ้นมาบ้าง “แต่ถ้าสารวัตรยังไม่เจอ ก็อาจเป็นผมที่เจอกับมันก่อน แล้วผมจะเอาคำตอบมาให้พี่ก้อง ถ้าผมยังหนีรอดมาได้”
“แกต้องรอดพิณ อย่าให้พี่ชายของแกตายไปโดยไร้ประโยชน์” ก้องปฐพีตบบ่าเด็กหนุ่ม “แล้วถ้าแกรอดมาได้ ก็ไปรับเงินรางวัลเป็นทุนการศึกษาจนถึงระดับชั้นสูงสุดที่แกต้องการเรียนได้เลย”
“เบื่อพวกคนมีตังค์ ชอบเอาเงินมาล่อ” เพลงพิณยิ้มขบขัน
แต่บรรยากาศผ่อนคลายก็ผ่านไปได้ไม่นาน เสียงของใครบางคนตะโกนเรียกชายหนุ่มจากด้านนอกเรือน “นายน้อย นายน้อยครับ!”
“นั่นนายช่างนี่คะ” ธิดารีบกุลีกุจอลุกไปเปิดประตู เห็นใบหน้าตื่นๆ ของชายวัยกลางคนที่สวมเครื่องแบบของชลธาร “มีอะไรหรือคะนายช่าง”
“พวกตำรวจยกกำลังมาขอตรวจค้นรถขนคนงานของเรา แล้วเจอห่อยาเสพติดซุกอยู่ใต้ที่นั่ง!” นายช่างเล่าด้วยอาการกระหืดกระหอบ มองเลยบ่าคุณหนูแห่งชลธารคอนสตรักชันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังลุกขึ้นเดินมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“รีบไปช่วยคุยกับพวกตำรวจหน่อยเถอะครับ พวกเราไม่ได้ทำจริง ๆ”
“ผมก็ไม่เชื่อว่าคนของเราทำ” ก้องปฐพีเอ่ยเสียงขรึม หันไปทางน้องสาว “ธิดาอยู่ที่นี่กับพิณ แล้วล็อกประตูให้ดี ถ้าพี่ยังไม่กลับมา ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด”
ธิดารับคำมั่นเหมาะ มองร่างสูงของพี่ชายวิ่งลงเรือนมุ่งหน้าไปทางหมู่บ้านช้างกับนายช่าง ส่วนเธอก็รีบลงกลอนล็อกประตูเรือน
“มันชักจะแปลกมากขึ้นทุกที” เพลงพิณขบกรามพูด “ทำไมอะไร ๆ มันประเดประดังเข้ามามากมายขนาดนี้”
“อย่าเพิ่งร้อนใจไป บางทีมันอาจเป็นแค่การเข้าใจผิด”
ธิดาพยายามพูดให้เด็กหนุ่มคลายอารมณ์เดือด แต่จิตใจของเธอก็ไม่ปกติเลย เพราะเหตุการณ์คนงานกลุ่มแรกโดนวางยาผ่านไปไม่นาน คนงานกลุ่มที่สองก็มาเจอข้อหามียาเสพติดในครอบครอง ทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นติดกันเกินไป จนตัวเธอเองก็หักใจเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญไม่ได้เช่นกัน
“พี่ก้องเล่าเรื่องคนงานแปลกหน้าให้พี่ฟังหรือยัง” เพลงพิณเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
“ไม่ได้เล่า”
“ถ้าไอ้นั่นยังวนเวียนอยู่แถวนี้ มันก็อาจทำทีไปวางห่อยาเสพติดบนรถโดยไม่มีใครสังเกต”
หญิงสาวได้ยินแล้วหายใจหายคอติดขัด “แสดงว่าเจ้าคนนั้นต้องการให้คนของฉันออกไปจากที่นี่อย่างนั้นใช่ไหม”
“หรือไม่ก็ให้พี่ก้องออกห่างจากตัวผม” เด็กหนุ่มจ้องตาธิดาแน่วนิ่ง กลืนน้ำลายลงคอ แล้วลดเสียงพูดลง “และบางทีมันอาจรอผมอยู่หน้าประตู”
“นายพิณ นายพิณ!”
มีเสียงแหลมเล็กที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสองสะดุ้งตัวโยน แต่เพลงพิณจำได้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร เขาจึงตะโกนกลับไป
“เธอมาทำไมตรีรัตน์ พี่ก้องไม่อยู่ที่นี่!”
“พี่ก้องไม่อยู่ แต่นายต้องรีบออกมาเร็ว ๆ!”
เพลงพิณขมวดคิ้ว หันไปสบตาธิดาแล้วตะโกนถามต่อ “ทำไมฉันต้องออกไป”
“ไฟไหม้ มีไฟไหม้!”
“อะไรนะ” เพลงพิณถามย้ำ เผื่อว่าฟังผิด
“ไฟไหม้โว้ย ไฟไหม้ ไฟไหม้ใต้ถุนเรือน!”
เด็กหนุ่มขบกรามแน่น ในใจนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอกลิ่นไหม้แทรกตัวตามช่องว่างของไม้กระดาน ทั้งเขาและธิดาก็มองตากันด้วยความรู้สึกหวั่นใจ
“เปิด เปิดประตูให้ฉันที นายพิณ!” ตรีรัตน์ยังกรีดเสียงร้อง
“เธอจะเข้ามาทำไมตรีรัตน์ ถ้าไฟไหม้จริงก็หนีไปสิ” เพลงพิณข่มใจตะโกนกลับ แต่กลิ่นไหม้นั้นก็เริ่มรุนแรง
“ก็ไอ้คนที่จะยิงนายวันนั้นมันจะฆ่าฉันแล้ว นายพิณ เปิดประตู!”
สิ้นเสียงของตรีรัตน์ ธิดาก็รีบวิ่งไปที่ประตูแล้วคลายกลอนเปิดประตูอ้าออก เด็กสาวร่างอวบก็กระโจนพุ่งตัวเข้ามา พาธิดาล้มหงายกองกับพื้น
ปัง!
ฉิวเฉียดกับที่ลูกปืนถูกปลดปล่อยออกจากซองบรรจุ ด้วยความฉับไว เพลงพิณรีบวิ่งไปผลักประตูแล้วล็อกกลอนให้แน่นหนา ก่อนที่เจ้าของเสียงเท้าหนักที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดจนเกิดเสียงลั่นจะตามมาส่องเป้าได้ทัน
ปัง ปัง ปัง
เจ้าของกระสุนเพชฌฆาตแสนโมโหจัด แล้วจะพังประตูเข้ามา
“ตายแน่ ๆ ฉันต้องตายแน่ ๆ ไม่น่าหาเรื่องมาที่นี่เลย” ตรีรัตน์ร้องไห้คร่ำครวญ
“แล้วเธอมาทำไม ใช่เธอหรือเปล่าที่พาไอ้บ้านั่นมา” เพลงพิณย่อเข่า ดึงเด็กสาวที่นอนล้มทับธิดาขึ้นแล้วส่งคำถามด้วยเสียงขึงขัง
“ฉัน...ฮึก...” ตรีรัตน์พูดไม่เป็นคำ “ฉัน... ฉันจะมาบอกพี่ก้องให้ระวังตัว”
“ระวังอะไร” ธิดาคว้าแขนตรีรัตน์มาถามบ้าง
“ระวัง...ระวังพ่อของฉันจะเล่นงานเขา...ฮึก...ให้เขารีบออกจากหมู่บ้านไปแล้วอย่ากลับมาอีก” เจ้าหล่อนร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหล
ไม่ใช่แค่ตรีรัตน์ที่อยากร้องไห้ เพราะควันไฟเริ่มหนา กลิ่นไหม้ก็รุนแรงมากขึ้นจนทั้งธิดาและเพลงพิณต้องยกแขนเพื่อซุกจมูกกันสูดควันเข้าไป
“เข้าไปในห้องนั้น มันน่าจะมีหน้าต่าง” ธิดาชี้ไปทางประตูที่มีกุญแจคล้อง
“ห้องนั้นมันถูกล็อกตายตั้งแต่พี่ดวงแขถูกนายพนาฉุด” ตรีรัตน์ทัดทาน
“ไม่งั้นเธอก็ถูกเผาตัวดำเป็นตอตะโกที่นี่แหละ”
ธิดาไม่ยอมทิ้งชีวิตตัวเองที่นี่ เธอบอกกับตรีรัตน์ รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ประตู จับกุญแจพลิกไปพลิกมา แต่ยังไม่ทันได้ลงแรงอะไร แม่กุญแจก็คลายตัวของมันคล้ายกับถูกปลดล็อกอยู่แล้ว จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ผลักบานประตูห้องมืดทันที
“เรามีทางออกจากบ้านนี้แล้ว” หญิงสาวพูดแล้วกลับไปคว้ากระเป๋าของตัวเองที่มีของสำคัญของพี่ชายใส่ไว้ ก่อนนำหน้าเพลงพิณกับตรีรัตน์เข้าไปจนสุดผนังที่มีบานหน้าต่างลงกลอนจากด้านใน
เธอชักกลอนขึ้นแล้วค่อย ๆ ผลักบานหน้าต่างไม้ออก เห็นเปลวเพลิงกำลังเผาลามไหม้เสาเรือน และมันกำลังลุกโหมขึ้นมาชั้นสอง
“กระโดดแล้วไปหลบตรงพุ่มไม้นั่น”
ธิดาบอกกับทุกคน แล้วก็เริ่มต้นเป็นคนแรก เพลงพิณก็ไม่รอช้า ดีดตัวจากกรอบหน้าต่างกระโจนลงเท้าแตะพื้น ส่วนตรีรัตน์กล้า ๆ กลัว ๆ ในนาทีแรก แต่ก็กระโดดตามลงมา แม้ท่าจะไม่สวยงามสักเท่าไร แล้วกุลีกุจอคลานไปแอบซ่อนหลังพุ่มไม้หนา
“เราต้องหาทางหนี” ธิดาบอกกับทีม แล้วใช้สายตากวาดมองหาช่องทางหนี
“ผมจะเข้าไปเอาเจ้าแบล็กแบร์” เพลงพิณบอกแล้วเคลื่อนตัวออกจากที่ซ่อน
“เธอจะบ้าหรือไงพิณ” ธิดาทัดทาน
“มันยังไม่ลงมา ผมมีเวลาทันเอาเจ้าหมีดำของพี่ก้องออกจากกองเพลิง เราจะใช้เจ้าแบล็กแบร์ขับหนี”
“เธอไม่มีกุญแจเจ้าหมีดำ” หญิงสาวย่นคิ้วใส่ แต่พอเห็นเพลงพิณยกเป้คู่ใจพี่ชายที่อยู่ในมือ ก็ถึงกับอึ้งไปทันที
เขาหยิบเอากุญแจรถออกมา แล้วส่งเป้คืนให้หญิงสาว “ในเป้พี่ก้องมีสมุดที่ผมเห็นเขาพกติดตัวเสมอ ผมคิดว่าถ้ามันถูกเผาไป เขาคงเสียดายมากทีเดียว”
“ระวังตัวล่ะ” ธิดาเตือนแล้วส่งใจให้เด็กหนุ่มทำสำเร็จ ส่วนตรีรัตน์ก็เกาะแขนเธอแน่นเป็นลูกลิงเกาะแม่
เพลงพิณถอดเสื้อของตนเพื่อใช้ผูกมัดปิดปากและจมูก จากนั้นคลานไปจนถึงใต้ถุน แล้วก้มหัวต่ำเพื่อลอดใต้เปลวไฟเข้าไป ยิ่งเคลื่อนตัวเข้าใกล้ต้นเพลิงที่เป็นของเก่ามากมาย ก็ยิ่งหายใจติดขัดมากขึ้นเท่านั้น แต่เจ้าแบล็กแบร์ก็ยังจอดเด่นเป็นสง่า
และหากมันมีปากพูดได้ มันคงกำลังร้องขอความช่วยเหลือ เขาจึงละความตั้งใจไม่ได้ แม้ในตอนที่ถูกเปลวเถ้าร้อนปลิวมาแตะผิวจนไหม้พองก็ต้องเข้าไปพารถคู่ใจของชายหนุ่มที่ดูแลให้ความห่วงใยแก่เขาไม่ต่างจากพี่ชายผู้จากไปออกมา
“โอ๊ย!” แต่ฉับพลันนั้น เพลงพิณต้องร้องด้วยความเจ็บปวดจากการถูกของแข็งตีกระแทกที่ศีรษะจนมึนชา แต่ยังมีสติพอให้หันขวับทางด้านหลังแล้วยกมือรับไม้หน้าสามที่กำลังฟาดลงมาได้ทัน
“มึงเป็นใคร!”
อีกฝ่ายไม่ประสงค์ออกนาม พยายามยื้อยุดฉุดท่อนไม้ยาวให้ได้ แต่ด้วยพละกำลังที่มีมากกว่าของเพลงพิณ แค่เขาบิดแขนวาดขาขึ้นกระแทกเข้าสีข้างของคู่ต่อสู้ เจ้าคนนั้นก็เซถลาล้มลงเข้าไปหาเถ้าร้อนสีแดงร้องโอดโอย เพลงพิณจะตามเข้าไปซ้ำให้หมดฤทธิ์ ฉับพลันทันใดเสียงลั่นกระสุนก็ดังจากระยะไม่ไกล
ปัง!
ชะตาของเด็กหนุ่มยังไม่ถึงฆาต ลูกกระสุนจึงถากข้างหน้าผากแบบฉิวเฉียด แผลเปิด เลือดซึมหลั่งไหล เด็กหนุ่มหัวใจเต้นระทึก รีบคว้าตัวของคู่อริใช้เป็นโล่กำบัง ก่อนเห็นใบหน้าเย็นเยือกของมัจจุราชที่กำลังส่งเขาไปเฝ้ายมบาล
“อย่ายิง! อย่ายิง! ฉันเป็นลูกทรงชัย!”
โล่มนุษย์ของเขายกมือปรามร้องห้ามเสียงหลง ปะปนกับเสียงของชาวบ้านด้านนอกที่กำลังตะโกนช่วยกันหาน้ำดับไฟ ทว่าเพลงพิณกลับได้ยินหัวใจของเขาเต้นดังชัดเจน
“มึงเป็นลูกใครกูไม่สน” เจ้าของดวงตาแดงก่ำเอ่ยน้ำเสียงไร้อารมณ์ กระดิกนิ้วส่งเม็ดตะกั่วพุ่งทะยาน
ปัง!
เพลงพิณทิ้งตัวหงายหลังทันใด ยอมกระแทกกับกองไฟร้อนแสบผิวยังดีกว่าตั้งรับรอลูกปืน แล้วพลิกหมุนพาร่างผ่ายผอมของคนที่ไม่อาจใช้เป็นหลักประกันความปลอดภัยจากศัตรูที่ร้ายกว่าเข้าไปในกองเถ้ากี่ทอผ้าที่กำลังปะทุ
“มึงจะพากูไปไหน ปล่อยกู!”
เพลงพิณขบกรามแน่น ใช้ลำแขนแกร่งรัดคออีกฝ่ายให้แน่นขึ้น ไม่มีเวลามากพอให้เด็กหนุ่มคิดอะไรแล้ว เพราะโจทก์ตัวเป้งยังอยู่ และแม้จะได้ยินเสียงเรียกของธิดาและเสียงร้องบอกให้ช่วยกันดับไฟของชาวบ้านที่ดังใกล้เข้ามาก็ตาม ความคิดที่เกิดฉับพลันในตอนนั้น คือเขาต้องรู้ว่าพวกมันอยากฆ่าเขาทำไม และไอ้เป๋ไร้ทางสู้ที่ดิ้นขลุกขลักนี่แหละที่เขาจะให้มันคายความจริง