เธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา *** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***
แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,รัก,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงาเธอถูกชายคนรักทำให้ช้ำใจ แล้วยังถูกล่อลวงให้ไปพัวพันกับฆาตกรรมแสนโหดร้ายที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตัวตาย แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป ภาพอดีตก็ยังเฝ้าตามหลอกหลอน ยามนอนก็ยังเห็นในความฝัน กระทั่งเขา ผู้ชายที่กวนที่สุดในปฐพีเข้ามาปั่นป่วนหัวใจ และทำให้เธอรู้ว่า ความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เงาจันทร์วันเพ็ญคืนนั้น ถึงคราวแล้วที่จะต้องเผยมันออกมา *** ภาคต่อของซีรีย์ ลมห่วงรัก นามปากกา ณ มหรรณพ จะนำมาลงใน Plotteller ลำดับถัดไป ไม่ต้องอ่านเรียงลำดับก็เข้าใจ แต้ถ้าอ่านเรียงจะได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ***
ก้องปฐพีต้องไถ่โทษชดเชยให้ธิดาผู้เป็นน้องสาว(จากเรื่องลมห่วรัก)ที่เป็นสาเหตุให้หมู่บ้านช้างของหมอไหมแก้ววอดวาย แต่ที่หมู่บ้านนี้มีเงื่อนงำเหตุการตายของหญิงสาวคนหนึ่ง ความลับนั้นถูกไหมแก้วเก็บไว้ และไม่กล้าเปิดเผยเพราะถูกผู้มีอิทธพลบีบคั้น ก้องปฐพีจึงช่วยเหลือเธอค้นความจริงเพื่อปลดปล่อยไหมแก้วให้เป็นอิสระ
ตอนที่ ๒๗ ตัวซวย ตัวช่วย
เพราะอาการเจ็บปวดของแผลลึกครั้งนี้หนักกว่าครั้งที่ผ่านมา ระพีพัฒน์จึงพยายามชันตัวขึ้นนั่งอยากยากลำบาก ขยับตัวเพียงนิดเดียวก็ปวดร้าวจนถึงภายใน ได้แต่กวาดสายตามองไปรอบเตียงสีขาวที่กำลังนอนอยู่ แต่ก็บอกไม่ได้แน่ชัดว่าคือที่ไหน
แต่แล้วก็ต้องกลั้นลมหายใจชั่วขณะเมื่อได้ยินมีเสียงย่ำเท้ากำลังเดินเข้ามาหยุดที่หลังผ้าม่านสีครีมตุ่นผืนหนา ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเฝ้ารอจนผ้าม่านถูกเปิดออก ปรากฏร่างของหญิงงามสะโอดสะอง เธอเยื้องกรายเชื่องช้า ก้าวขาตรงเข้ามา แย้มกลีบปากสีแดงสดดูสวยแต่น่าสะพรึง
“เธอต้องขอบคุณที่ฉันไปเจอก่อนที่พวกนั้นจะส่งเธอไปเฝ้ายมบาล” ปลายปลายเล็บแหลมลากไปตามกล้ามเนื้อหน้าท้อง
ระพีพัฒน์ไม่ตอบโต้ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่จำความรู้สึกรวดร้าวของกระสุนที่ทะลวงเข้าช่องท้องได้แม่นยำ กับภาพชายคนนั้นล้มลงตรงหน้าสิ้นใจก่อนซัดกระสุนอีกลูกใส่สั่งตายให้เขา
กระสุนช่วยชีวิตนัดนั้นไม่รู้ที่มาแน่ชัด ทว่ามันได้เปิดทางรอดให้เขาลุกหนี แต่ก็วิ่งไม่พ้นเส้นตาย คุณนายดาราเดินเข้ายืนขวาง ยกกระบอกปืนใส่ ในระยะที่มั่นใจว่าโป้งเดียวจอด
‘มีสองทางเลือก ทางแลกคือทำตามใบสั่งเดิม ส่วนทางที่สอง... ใบสั่งใหม่ที่ทำได้ทันที และเป้าหมายกำลังรออยู่บนเวทีในมูนไลท์ชาโดว์’
เขาขบกรามแน่น ตอบแบบแพ้ทาง ‘ใบสั่งเดิม’
แม้จะไม่อยากทำทั้งสอง แต่ทางเลือกเดิมยังถ่วงเวลาได้นานกว่าเดินไปหน้าเวทีแล้วคลั่งเป็นหนูตะเภาในห้องทดลองหาทางออกไม่ได้
ซึ่งหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้แค่สวยแต่เธอมีสมองพอที่จะวางกับดักให้เขาเข้าไปตกหลุม กระสุนปืนกู้ชีพนั้นจะมาจากหล่อนเพราะอยากได้ชีวิตคนที่อยู่ไกล จึงยอมฆ่าคนที่อยู่ใกล้หรือไม่ ถ้าใช่ อะไรทำให้หล่อนก็เป็นคนที่สมองวิกลจริตมีความคิดบิดเบี้ยวได้ถึงเพียงนั้น
“ผมเตือนคุณนายแล้วว่าอย่าไว้ใจมัน!” เสียงชายย้อมผมเดินอาดตามเข้ามาแล้วชี้หน้าเขาอย่างแค้นเคือง “มันต้องเป็นสายของตำรวจแน่ ๆ”
“เธอเอาอะไรมาเป็นหลักฐานว่าหนุ่มน้อยน่ารักคนนี้เป็นสายตำรวจ” ดาราถอยห่างจากเตียง ผินหน้าไปทางนายสำริด
“นี่ไงล่ะ หลักฐาน!” กระดาษห่อหมากฝรั่งสีเขียวถูกวางกระแทกบนเตียงผู้พักฟื้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “คุณนายทำให้ผมเสียลูกน้องที่ไว้ใจได้ไปหนึ่งคน คุณนายก็รู้กว่าผมจะตามหาและรวบรวมได้มันลำบากขนาดพลิกแผ่นดิน คุณนายเลือกให้ลูกน้องของผมตายเพื่อช่วยชีวิตไอ้คนที่ไว้ใจไม่ได้!”
“ลูกน้องเธอคนนั้นหมดหนทางช่วยชีวิต เขาตายตั้งแต่วินาทีนั้นแล้ว”
“มันต้องมีใครอีกคนที่คอยช่วยไอ้เด็กนี่อยู่ ผมเชื่อว่ามันต้องเป็นตำรวจ!”
“เธอออกไปก่อนเถอะ ฉันต้องการคุยธุระส่วนตัวกับเขาสักหน่อย”
คำสั่งเสียงเรียบของดาราจุดไฟความขุ่นมัวในตัวสำริดให้ปะทุหนัก ดวงตาที่ไร้แว่นกันแดดบดบังแดงฉาน ปากเม้มแน่นจนสั่น คล้ายกับกำลังกดความโกรธที่กำลังตีตื้น
“ผมเป็นคนรักนาย สวามิภักดิ์กับนาย ไม่ว่าคุณนายจะทำอะไร ต้องการอะไร ผมในฐานะลูกน้องคงขัดไม่ได้ แต่หากคุณนายทำสำเร็จแล้ว อย่าได้ลืมสิ่งที่สัญญากันไว้ ถึงผมจะเป็นคนที่หาสัจจะไม่ได้ แต่หากมอบมันให้กับใครแล้ว ก็จะรักษาให้ถึงที่สุด ฉะนั้น ถ้าไอ้งั่งนี่ทำงานไม่สำเร็จภายในสามวัน ผมจะจบงานในใบสั่งด้วยมือผมเอง รวมทั้งจบชีวิตมึงด้วย!”
นายสำริดพ่นคำพูดออกมาก่อนเดินกระแทกเท้าและประตูปิดดังสนั่นออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงเขากับคุณนายคนงาม และทำให้เขารู้สึกประหม่าอย่างไม่เคยเป็น ถ้าร่างกายเขายังมีเครื่องวัดสัญญาณชีพติดอยู่ เธอคงรู้ว่าหัวใจของเขาตอนนี้มันเต้นแรงแค่ไหน การตีสีหน้านิ่งเฉยคงไม่เนียนเพียงพอที่จะหากเขายังมีอาการหายใจแรงอยู่แบบนี้
“คนบางคนยังฝังตัวเองอยู่ในหลุมของอดีตที่เฟื่องฟู แต่พอทุกอย่างจบลง ก็ยังไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงและไม่อาจยอมรับความสิ้นหวัง” ริมฝีปากบางฉาบสีแดงขยับพูดวลีไร้ที่มาที่ไป เธอหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบพ่นควันลอยฟุ้ง หย่อนตัวนั่งลงเตียง
“ทั้งสิ้นหวังในอำนาจ สิ้นหวังในเงินตรา หรือสิ้นหวังในความรัก” เธอพ่นควันสีเทาแล้วเสียงหัวเราะคล้ายนกไนติงเกลร้องเพลงเศร้า
“แต่ถ้าความสิ้นหวังทำให้เราต้องรุกรานชีวิตของผู้อื่น ผมว่ามันไม่ยุติธรรม”
ดวงตางามที่หันมาสบกับรอยยิ้มเป็นสิ่งที่พึงใจชายหนุ่มผู้มองมากกว่าใบหน้าสวยแข็งกระด้างเหมือนตุ๊กตาที่แกะออกจากเบ้า
“ความยุติธรรมไม่เคยมีเลยบนโลกใบนี้ ผิดหรือที่ฉันอยากส่งพวกเขาให้ไปอยู่ในภพหน้า เพื่อหนีให้พ้นจากอุดมคติสวยงามที่คนมีเงินมีอำนาจเท่านั้นจะได้สัมผัส”
“คุณไม่ใช่ผู้ตัดสิน นายสำริดก็ไม่ใช่ผู้ตัดสิน”
“แล้วใครกันละที่ตัดสินให้เธออยู่รอด ใครกันละที่งัดเอากระสุนหัวเท่านิ้วโป้งออกจากผนังกระเพาะ ให้เธอได้ทำในสิ่งที่อยากทำหรือไม่อยากทำต่อในชีวิตที่เหลือแค่สามวัน”
“คุณช่วยผมเพื่อให้ผมทำตามคำตัดสินของคุณ คุณสำคัญตัวเองผิด คุณกำหนดให้ใครอยู่หรือใครตายไม่ได้ คุณไม่ใช่พระเจ้า และผมก็ไม่ได้อยากเป็นเครื่องมือของใคร ผม... ผม...” แล้วคำพูดในหัวสูญหาย เขาไม่เคยแพ้การต่อปากต่อคำ แต่ในครั้งนี้ระพีพัฒน์ตอบคำถามไม่ได้ทันที การเรียงลำดับคำทำได้ยากคล้ายความคิดอ่านช้าลง คล้ายกับสมองว่างเปล่ามึนชา
“ได้เวลาผู้ป่วยพักผ่อนแล้วละ” มือเรียวงามวางบนบ่า ดันผู้บาดเจ็บไร้แรงต้านทางล้มนอน แล้วโน้มตัวเองทาบบนเรือนร่างกำยำ
“ผมเป็นอะไร คุณทำ...อะไรกับผม”
หญิงสาวยิ้มกริ่ม ใช้ปลายนิ้วเรียวลากไล้สันกราม “ระพีพัฒน์... เธอชื่อระพีพัฒน์ ระพี... ที่แปลว่าดวงอาทิตย์ แต่รู้ไหมบนดวงอาทิตย์ที่เป็นเจ้าแห่งระบสุริยะก็ยังมีจุดดับแสนดำมืด แต่กลางคืนสิที่เป็นนิรันดร์”
“กลางคืนยังมีแสงดาวและแสงจันทร์” ชายหนุ่มโต้แย้งกลับ ทั้งที่ยังปวดหัวหนึบ ปากแห้งสั่น
“ใช่แล้ว.... เธอพูดถูก กลางคืนยังมีดวงดาวและดวงจันทร์...”
ระพีพัฒน์ไม่รับรู้ความถูกต้องชั่วดีอะไรอีกเลยนับจากสัมผัสกลีบกุหลาบสีแดงนุ่ม ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำอยู่เรียกว่าอะไร ไม่รู้เลยว่าความต่อต้านแข็งขืนที่เกิดขึ้นสลับกับความซ่านซาบสร้างความปวดร้าวให้ก้อนเนื้อในหน้าอกได้ถึงเพียงนี้ เขาได้ยินเสียงคร่ำครวญของตัวเอง
เสียงของเขาเปล่งขอการวิงวอน... วิงวอนให้เธอช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นภายในกายขณะนี้
ดนตรีและบทเพลงของที่นี่ไม่เคยผ่อนจังหวะช้าลง ทุกบทเพลงนั้นจำต้องเร่งเร้าปลุกระดมความตื่นตัวของผู้คนให้ขยับโลดเต้นในยามตะวันรอนแสง ไม่ยินยอมให้สรรพชีวิตภายใต้เงาสลัวของแสงจันทร์ได้หลับไหลไปตามกาลอันควรจะเป็น
บรั่นดีราคาถูกสุดของร้านถูกรินใส่แก้วด้วยน้ำใจของบาร์เทนเดอร์ประจำร้าน รสชาติของมันขมเฝื่อนคอ แต่พลังความร้อนวาบที่ไหลลวกผ่านลิ้นสู่ร่างกายมีอานุภาพปลดปล่อยความเครียดขึงให้ผ่อนคลายจิตใจของโคโยตี้สาว และพร้อมสู่การโชว์เริงระบำ ดำดิ่งลงไปใต้ห้วงทะเลราคะที่เชี่ยวกราก
“ขอฉันอีกแก้วได้ไหม” เอื้อยวางแก้วเปล่าลงในตอนที่บาร์เทนแดอร์หนุ่มหมุนตัวหันมาหา
“แค่อีกแก้วเท่านั้น เพราะถ้าเธอเมาจนขึ้นเวทีไม่ได้ ฉันจะซวยไปด้วย”
“ฉันรู้หน้าที่ตัวเองดี ต่อให้เมาจนอ้วกก็จะคลานขึ้นเวที”
“โหยหาเงินละไม่ว่า พลาดโชว์ครั้งเดียวเงินหายไปบาน ฉันรู้ว่าเวลาที่พวกโคโยตี้ชีวิตเส็งเคร็งอย่างเธอขึ้นโชว์เนื้อหนังยั่วผู้ชายตามันครั้งหนึ่งได้เท่าไหร่ งานง่าย ๆ ต่อให้พรุ่งนี้ตาย พวกเธอก็จะทำ”
เจ้าของคำพูดบาดจิตวางแก้วเหล้าลงตรงหน้าเอื้อยคว้าแก้วขึ้นดื่มรวดเดียว ทำหน้าเหยเกยามของเหลวแตะลิ้นไหลลงคอแม้จะเตรียมใจแล้วถึงความแสบร้อน แต่ก็ไม่เหลือสักหยดราวดื่มฉลองแก้วสุดท้ายก่อนตาย เธอวางแก้วบนโต๊ะ ลุกจากเก้าอี้ตัวสูง ปล่อยคำรำพึงผ่านคอ
“งานง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้ขอใครกิน...”
บาร์เทนเดอร์ปากรั่วไม่รู้ว่าเธอไม่เคยต้องใช้เหล้าย้อมใจแต่ช่วยไม่ได้ที่จะถูกเหมารวมไปกับโคโยตี้สาวคนอื่น แต่เหตุที่ดื่มก่อนขึ้นเวทีก็เพราะเกิดความรู้สึกคล้ายคนตายด้าน มีร่างกายแต่ไม่มีวิญญาณ ทว่ายังโหยหาเงินต่อชีวิตเส็งเคร็งอย่างที่ถูกกล่าวหาจริง
อดีตคนรักของเธอตายจากไป ด้วยน้ำมือของคนที่นี่ คำเฉลยซึ่งสั่นทุกประสาทการรับรู้สร้างความร้าวฉานให้หัวใจผุพังกร่อนสลายลงไปอีก และท่าทีของนายสำริดในวันนั้นยิ่งเพิ่มความเดียดฉันท์เป็นทวี
หากแต่สิ่งที่น่าแปลกคือ สมุนของคุณนายไม่เข้าใกล้เธอเลย นอกจากจ้องมองด้วยสายตาคาดโทษอยู่อย่างนั้น เหมือนเสือร้ายเฝ้ารอขย้ำเหยื่อ ส่วนคุณนาย เธอไม่อาจมองหญิงงามผู้นั้นด้วยความรู้สึกเดิมได้ แม้จะไม่รู้แน่ชัดเป็นเพราะอะไร
โคโยตี้สาวหอบร่างกายตัวเองออกจากผับ เดินปะปนกับผู้คนที่ไม่อยากกลับบ้านจนกว่ารุ่งสาง ที่นั่งป้ายรถเมล์ข้างทางถูกจับจองเต็ม บ้างรอรถเมล์คันแรกที่จะขับผ่านในตีห้าของวันรุ่งขึ้น บ้างก็เพียงแค่อยากดื่มต่อจนข้ามวัน
กระป๋องเบียร์เกลื่อนพื้นระเกะระกะหน้าร้านสะดวกซื้อ สถานที่พึ่งพาพักพิงที่ยังเปิดไฟสว่างสไว มีน้ำมีอาหารด่วนอุ่นร้อน แม้จะโปรดอาหารฝีมือแม่มากกว่า แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับเครื่องดื่มร้อน ๆ ก็พอเพียงแล้วกับการอยู่รอด ไม่ต้องหาโต๊ะนั่งให้ยุ่งยาก แค่บันไดทางเข้าร้านก็สบายมากโข
ไออุ่นกลิ่นเครื่องปรุงแต่งกลิ่นลอยโชยเมื่อกระดาษปิดฝาถ้วยถูกฉีกออก เส้นบะหมี่สีเหลืองซีดในซุบรสชาติเลียนแบบกระเทียมเจียวกำลังพองแน่นอิ่มน้ำได้ที่ เอื้อยใช้ส้อมพลาสติกเกี่ยวเส้นขึ้นเป่าแล้วกำลังใส่ปากขจัดความหิว
“เพื่อนฉันอยู่ไหน”
คนที่ขวางการกินเป็นหญิงสาวใบหน้าสะสวย ดวงตากลมโตเป็นประกาย รูปร่างผอมบาง แต่ท่าทางทะมัดทะแมงในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนขนาดพอดี
“ฉันต้องรู้ด้วยหรือ เพื่อนเธอเป็นใคร แล้วเธอก็เป็นใครมั่นใจว่าเราไม่รู้จักกัน” เอื้อยเคี้ยวบะหมี่คำโตกลืนลงคอ
“ระพีพัฒน์... ระพีพัฒน์อยู่ที่ไหน”
คำต่อไปหยุดชะงักที่ริมฝีปาก บะหมี่เส้นอืดถูกปล่อยไหลลงถ้วยพลาสติก “ฉันไม่รู้”
“ถ้าอย่างนั้น เธอควรรู้ว่าเขาหายไปหลังจากแผนคลี่ปริศนาจากเศษกระดาษที่พบในตัวแฟนเก่าของเธอ”
น้ำมันสีขาวขุ่นลอยฉาบผิวน้ำซุป เอื้อยตกอยู่ในความเงียบงัน หันไปมองหญิงสาวเต็มตา เรือนผมยาวสีดำสนิทเงางามไล้กรอบน้าได้รูปขับแสงไฟนีออนของร้านสะดวกซื้อดูสวยงามจับใจ
“ฉันได้ยินเสียงปืน ดังมาก จากโทรศัพท์ ใครบางคนพูดกรอกหู... มีอะไรสั่งเสียคนของมึงไหม... จากดังก็เปรี้ยง”เส้นเสียงสั่นจนเอื้อยจับความรู้สึกได้
หลังจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้ามาทันเหตุการณ์และยึดกระดาษแผ่นเล็กไป เธอก็ไม่รู้อีกเลยว่า แผนที่สายสืบจำเป็นวางไว้คืออะไร เขาไม่ได้ติดต่อมาหลังจากนั้น เขาหายวับไปแต่ทิ้งคำกล่าวสวยหรูกล่อมเกลาเธอให้คล้อยตามถึงอิสระภาพอันแท้จริง
“ฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นหรือตาย” หญิงสาวแปลกหน้าเปล่งเสียงสั่นอีกครั้ง
“เขาจะเป็นหรือตาย มันเกี่ยวกับชีวิตฉันหรือ”
“สิ่งที่ฉันกำลังบอกเธอไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันไหม” หญิงสาวเจ้าของดวงตากลมสีนิลเม้มปากเข้ากันแน่นแล้วเอ่ยประโยคต่อมา “พ่อของเธอเคยรู้จักฉัน แต่เขารู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้ชื่อธิดา เขารู้แค่ว่าจะต้องลักพาตัวผู้หญิงคนนี้กลับไปฝากนายพนา นั่นละคือความเกี่ยวข้องของเราสองคน พ่อของเธอคือคนที่พาฉันไปเหยียบเส้นตาย”
สมองของเอื้อยขาวโพลน แทบไม่มีอะไรในหัวนอกจากใบหน้าของบิดาคร่ำเครียดหมองคล้ำในอดีตหลังจากกลับจากการทำงานให้นายพนา ธิดายังสาดซ้ำความรู้สึกผิดที่ไม่ก่อด้วยประโยคต่อมา
“และกระดาษแผ่นนั้น กระดาษที่ได้จากศพป๋อง กระดาษที่ทำให้กลางหายตัวไป คือคำเขียนสารภาพบาปของพ่อเธอที่ต้องการเปิดเผยความผิดของใครคนหนึ่ง แล้วฉันคิดว่าเขาต้องการส่งคำสารภาพให้กับอีกคนให้รู้”
เอื้อยกล้ำกลืนน้ำตารสเค็ม วางถ้วยบะหมี่ลงข้างตัว นึกถึงคำพูดสุดท้ายของชายคนรักก่อนเขาจะจากไปตลอดกาล “ฉัน... ฉันคงมีชีวิตต่อเพื่อสิ่งนี้สินะ”
แล้วกันดวงตาชื้นน้ำตาไปทางธิดา “เสี่ยเกียง เขาน่าจะรู้ ฉันพยายามล้วงไส้เสี่ยให้มากที่สุด”
“แล้ว... เธอจะปลอดภัยไหม”
“อย่าลืมว่าฉันเป็นลูกสาวสมุนโจรป่า การเอาชีวิตรอดเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วเหมือนกินนอนขับถ่าย”
ธิดายอมรับว่าไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่พบตัวระพีพัฒน์หรือไม่ได้ข่าวคราวการติดต่อ แผนที่เหลือจะเดินไปได้อย่างไร ป่านนี้ตฤณและเจ้าหน้าที่รวมถึงสารวัตรอัชวินคงรออยู่ที่ทองผาภูมิอย่างใจจดใจจ่อเพราะแผนสองที่ต้องทำก็ไม่ด้อยความสำคัญรองจากแผนหนึ่งเลย
‘ฉันต้องไปฆ่าแม่กับน้องของเอื้อย และต้องทำตามคำสั่ง หลีกเลี่ยงไม่ได้... แต่คนที่ต้องตายไปด้วยคือตัวฉันเอง’
ระพีพัฒน์บอกเธอไว้ก่อนเริ่มปฏิบัติการ
‘เธอหมายความว่าไง เธอจะไปฆ่าเขาได้ยังไง แล้วทำไมเธอต้องตาย’
เขามีรอยยิ้มขบขัน แล้วพูดประโยคต่อมาด้วยสีหน้าปกติ ทำอย่างกับเรื่องที่ออกจากปากเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปทำกัน
‘ฉันกำลังวางแผนตาย... ตายเพื่อไปเกิดใหม่’
บางทีเธอก็ไม่เข้าใจความคิดของระพีพัฒน์นัก และการพยายามไม่ทำความเข้าใจดูจะง่ายกว่าสำหรับการคบหาเพื่อนคนนี้
คืนต่อมาธิดาขับรถมาส่งเอื้อยแล้วจอดก่อนถึงตรอกแคบที่เชื่อมกันระหว่างถนนสายเล็กและด้านหลังของผับ เอื้อยลงจากรถเดินตรงเข้าไปในตรอกแคบ ที่สุดปลายทางออกเป็นภาพตึกทรงเก่าที่นำมาปรับใหม่ผับสุดแสนทันสมัยที่มีเปลือกหน้าเป็นสถานบันเทิงราตรี แต่เนื้อในคือแหล่งค้าขายยาออกฤทธิ์ทางประสาทสร้างภาพฝันมัวเมามนุษย์ทุกชนิด
โคโยตี้สาวเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พร้อมสำหรับการแสดง เธอสวมบราเซียร์ครึ่งตัวสีกุหลาบเนื้อบางจนแทบไม่ปกปิดผิวเนินทรวง คู่กับกระโปรงบานสั้นสีเดียวกันยาวขนาดบังเนื้อแก้มก้นแค่ข้อนิ้ว เพราะการแสดงคืนนี้เธอต้องกลายร่างเป็นนางร่านยั่วชายชาตรี
“ออนเดอะร็อค” แล้วตรงไปสั่งเครื่องดื่มเมนูประจำที่เคาน์เตอร์บาร์
“แม่เจ้าโว้ย คืนนี้ท่าทางเวทีจะลุกเป็นไฟ” บาร์เทนเดอร์ปากไวอดไม่ได้ที่จะกวาดตาไล่มองจากหัวจรดเท้า
“หุบปากแล้วชงเหล้า”
แก้วเครื่องดื่มส่งถึงมือด้วยความไว และมันก็ถูกกลืนลงคอด้วยความไวเช่นกัน เอื้อยวางแก้วลง กระดิกนิ้วเรียกบาร์เทนเดอร์ให้เข้ามาใกล้ กระซิบข้างหู
“คืนนี้ ฉันต้องออกศึกหนัก มีอะไรที่ปลุกระดมพลได้มากกว่าออนเดอะร็อคไหม”
บาร์เทนเดอร์กลืนน้ำลาย หันซ้ายหันขวา แล้วล้วงบางสิ่งจากกระเป๋าวางข้างแก้วเปล่า “นี่ตัวใหม่ สองเม็ดบดละลายกับเหล้า ดีขนาดข้าศึกของเธอคางเหลืองเชียวละ”
“ฉันเอาห้าเม็ด”
เอื้อยยิ้มกริ่มสั่งวิสกี้อย่างดีหนึ่งแก้ว วางธนบัตรที่พับทบจนเป็นสี่เหลี่ยมขนาดเล็กแลกของดี แล้วหมุนตัวเดินผ่านแขกเหรื่อที่จ้องกันตาเป็นมัน บ้างส่งเสียงผิวปาก บ้างร้องเรียกชื่อ และบ้างก็แอบลวนลามตามแต่ความมักมากจะนำพา แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญสำหรับคนทำอาชีพขายเรือนร่าง
ยังไงเสีย... เธอก็อาจต้องเสี่ยงใช้ร่างเน่าในให้กับผัวแก่ที่ถูกยัดเหยียดโดยไม่สมัครใจ
ขายาวสวยมาหยุดตรงหน้าที่นั่งพิเศษ ไม่แปลกใจที่เพื่อนร่วมอาชีพกำลังพยายามเรียกคำแนนพิศวาส แต่การแลกลิ้นอย่างเมามันกันในผับแม้ในแสงไฟสลัวก็ยังดูอนาจารเกินไป
“เสี่ยขา” เอื้อยส่งเสียงเรียก
หญิงสาวที่กำลังนั่งคร่อมร่างท้วมหันหน้ามา ส่งสายตาโกรธจัดที่ถูกขัดจังหวะ “ไม่เห็นหรือว่าเสี่ยกำลังยุ่ง”
“ก็เห็นว่ายุ่ง กลัวจะไม่มีเวลาพักยก เลยเอาน้ำเย็นมาเสริฟ”
น้ำเย็นของเธอคือของเหลวสีอำพัน มีไอเย็นเกาะพราวบนแก้ว เอื้อยเดินเข้าไปหา ก้มโค้งจนเนินอกตูมเต่งล้นเต็มบราเซียร์ วางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วจ้องใบหน้าแดงก่ำของเสี่ยแก่
“เอื้อยไม่รบกวนหรอกค่ะ จะเก็บแก้วเปล่าแล้วไปขึ้นเวที”
เธอทำจริงอย่างที่พูด เอื้อมไปเก็บแก้วเปล่าที่เหลือแต่น้ำละลายแอลกอฮอล์เจือจางพลางส่งยิ้มให้เสี่ยเกียง หมุนตัวกลับแต่ซุ่มซ่ามทำจานรองแก้วตกพื้น จึงโก้งโค้งตัวก้มเก็บช้า ๆ ราวกับลืมไปว่ากระโปรงสั้นของเธอนั้นไม่อาจปกปิดอะไรได้เลยสัดนิดเดียว
เวทีของโคโยตี้ดาวเด่นคืนนี้ร้อนเป็นไฟ เรียกได้ว่าหากใครได้ยืนติดขอบเวทีเป็นต้องเกร็งสั่นไปทั้งร่าง ทั้งลีลาการเต้นยั่วเย้า การส่ายเอวบาง และการเสียดสีแนบสนิทกับชายหนุ่มร่วมเวทีคงทำให้ชายกลัดมันหลายคนระเบิดพรั่งพราวออกมา แม้แต่คู่เต้นของเธอ ส่วนเป้าหมายของเธอเล่า ก็นั่งปากค้างตัวสั่นเทิ้มอยู่ตรงนั้นสมดั่งใจหมายของเธอ
ทว่าเอื้อยต้องรอให้คุณนายดาราและนายสำริดออกจากผับไป แล้วถึงค่อยเร่งความคลั่งอัดเต็มพิกัดจนล้นปรี่ของเสี่ย
“ข้างล้างมันร้อน เอื้อยอยากไอ้ห้องแอร์เย็นฉ่ำ”
ความกำหนัดเต็มพิกัดทำให้เสี่ยตัณหากลับลากเอื้อยขึ้นไปบนชั้นสอง เหวี่ยงเธอลงบนโซฟาแล้วกระโจนเข้าหาทันทีโดยที่ยังไม่ทันปิดประตู
เอื้อยรีบลุกจากโซฟา ถอยเท้าหนี “เดี๋ยวสิคะเสี่ย อย่าใจร้อน วันนี้เรามาทำอะไรสนุก ๆ กันก่อนดีกว่า”
“โอย ฉันไม่อยากทำอย่างอื่น แค่แกนอนแผ่ให้ฉันตะบันก็สนุกพอแล้ว” เสี่ยพูดด้วยอาการหอบสั่น
“ไม่เอาน่าเสี่ย เสี่ยไม่อยากลอง...” สายตาหยาดเยิ้ม มือทั้งสองปลดตะขอบราเซียร์เผยถันอวบอิ่มงดงามตระการตา ม้วนขมวดสายบราเซียร์คล้ายเชือกพันธนาการ “...เล่นอะไรแผลง ๆ บ้างหรือ”
ใบหน้าของเสี่ยใหญ่แดงกว่าเดิม เส้นเลือดที่ขมับโปดปูนเห็นชัดเจน ทั้งหน้าอกและพุงท้วมสะท้อนขึ้นลง หายใจแรงอย่างกับคนเพิ่งจบการวิ่งระยะทางไกล
“นั่งลงที่โซฟาสิคะเด็กดี เดี๋ยวจะถูกตีก้นเอานะ”
เสี่ยเกียงสั่นสะท้าน เดินย่อง ปากสั่นหย่อนน้ำหนักทั้งตัวยวบลงบนโซฟา เธอก้มตัวลง ใช้นิ้วเรียวฉาบสีทองไล้ตามสันกราม ไล่ลงไปจนถึงแผงออก แกะกระดุมเสื้อแล้วถอดมันออก ก่อนลิ้นไต่ตามแผงอกกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ได้ยินเสียงซีดซ้าด จึงลดต่ำลงไปจนถึงเป้า เลื่อนซิบกางเกงออกรูดลงจนถึงข้อเท้า จากนั้นรวบข้อเท้าอูมด้วยบราเซียร์ของตน แล้วนั่งย่อเข่าอยู่ตรงหว่างขา
“หน้าตาแบบนี้สงสัยจะเฮี้ยวน่าดู สงสัยต้องอบรมกันถึงเช้า”
ร่างท้วมสั่นเทิ้ม พูดเสียงกระตุก “จะ... จะทำอะไร...ก็รีบทำ”
เอื้อยยิ้มเยาะ ยกขาหนึ่งข้างวางบนโซฟา ให้เนื้อนวลที่ซ่อนตัวใต้กระโปรงบานกับต้นขาขาวเนียนเรียบขับไฟนีออนสะท้อนเข้าตาเสี่ยแก่ “แย่จัง เอื้อยกลัวการอบรมของเราจะถูกขัดจังหวะ”
“ไป... ไปล็อค... ล็อคประตู” เสี่ยเกียงหายใจขาดช่วง พูดติด ๆ ขัด ๆ ลุกขึ้นยืนแต่ก็ล้มลงในทันทีเพราะข้อเท้าถูกมัดไว้ไม่อาจเดินต่อไปได้
“ไม่เป็นไรค่ะ เสี่ยขา...” เอื้อยขึ้นคร่อมนั่งเบียดเสียดบนหน้าตัก “ใครอยากเข้ามาก็ให้เข้ามา ของแบบนี้จะไปหวงทำไม ไว้รอรอบหน้า ค่อยหาห้องเรียนกันใหม่ เอื้อยอยากโดนเสี่ยตะบันจนกรีดร้องสุดเสียง...เอาห้องที่ลับสุดยอดแบบไม่มีใครรบกวน...”
แล้วยื่นหน้าไปใกล้ใบหู เป่าลมแผ่ว มือบางเล้าโลมก้อนเนื้อแข็งเบื้องล่าง “บอกสิคะ ว่ามีที่แบบนั้นไหม...”
ร่างใหญ่สั่นคล้ายเจ้าเข้า เหงื่อซึมจนตัวเปียกโชก เอ่ยปากพูดเสียงแหบพร่า “มี... มี... ในบ้าน... บ้าน...ฉัน...”
แค่นี้ก็พอกับความต้องการของเธอ เอื้อยละมือจากส่วนนั้น ย้ายมานั่งหว่างขาของเสี่ย ฉีกกางเกงขั้นในชายออก แล้วผูกเป็นผ้าปิดตาเจ้าของมัน พูดเสียงกระเส่ากระซิบกระซาบ
“ถ้างั้นเสี่ยขา... คืนนี้เราเริ่มบทเรียนกันดีกว่า...” พูดพร้อมกับใช้เศษผ้าที่เหลืออ้อมไปมัดมือเสี่ยไพร้ด้านหลัง ยอมขยะแขยงตอนที่หนวดสากสัมผัสผิวอก
“ไหนเอื้อยขอสำรวจห้องนี้หน่อยว่ามีไม้เรียววางไว้แถวไหนไหม เผื่อว่าเสี่ยดื้อจะได้ฟาดให้ก้นลาย”
เธอผละตัวออก คว้าเสื้อฮาวายกลิ่นสาบสวมทับ ในใจคิดต่อว่าจะทำอย่างไรกับเสี่ยมากตัณหาที่หายใจหอบสะท้านบนโซฟา หรือจะขังอยู่ในห้องแล้วปล่อยให้ตัวสั่นเหมือนคนลงแดงแบบนี้
ไม่สิ... ไม่จำเป็นต้องใจร้ายนี่นา แล้วเธอไม่ต้องเป็นนางบำเรอด้วยตัวเองเพราะมีคนอยากเสนอตัวอยากทำอยู่แล้ว
ธิดายกข้อมือมองเวลา เอื้อยหายไปเกือบค่อนคืนก็นึกเป็นห่วงในใจ จึงตัดสินใจเข้าไปในผับ เธอเดินตรงเข้าไปในตรอก มีแสงไฟสีเหลืองดวงใหญ่ส่องสว่าง และในทางเดินแคบเล็กนั้น มีใครอีกคนกำลังเดินสวนมาโดยมีชายฉกรรจ์ตามมาติด ๆ
ท่าทางการเดินเชื่องช้าคล้ายล่องลอย เสียงลงเท้าเป็นจังหวะเท่ากัน ธิดาพยายามทำตัวปกติ ก้าวขาเดินต่อ กระทั่งเจ้าของร่างผมบางในชุดกระโปรงรัดรูปสีดำสวมทับเสื้อคลุมเข้ามาใกล้
ใบหน้างามผุดผาด ริมฝีปากแดงก่ำ ผมสีดำยาวสลวยดึงสายตาเธอให้หยุดมอง ดวงตาของคนที่สวนกันมาก็เช่นเดียวกัน แต่เป็นการสบประสานแค่ชั่วครู่ แล้วต่างคนต่างเดินไปตามทางของตัวเอง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หน้าอกของธิดาสั่นสะเทือน เนื้อตัวหนาวสะท้าน
ดวงตาคู่นั้น... คล้ายดวงตาของร่างไร้วิญญาณในบ้านพักของนายพนา ธิดาอยากหันกลับไปมอง แต่ในตอนนั้นโคโยตี้สาวก็เดินมาหยุดตรงหน้า
“เป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับเห็นผี”
“เปล่า” ธิดาสั่นศีรษะ ประหลาดใจที่เห็นเสื้อฮาวายของผู้ชายสวมใส่บนตัวเอื้อย “นี่ชุดแสดงของเธอเหรอ แปลกดีนะ... เข้ากับเธอจัง”
“พูดเหลวไหล” เอื้อยทำปากยี้ คว้าแขนธิดาเดินกลับไปที่รถ “เราต้องไปบ้านเสี่ย... เสี่ยงดวงเอา ถ้าโชคดี จะได้เจอตัวเขา”
“เรื่องเสี่ยงดวงขอให้บอก ฉันนี่ตัวนำโชคเลย” ธิดาขยับเกียร์ เหยียบคันเร่ง
“จริงสิ” เอื้อยรีบรัดเข็มขัด
“เรื่องจริงที่สุด...” ธิดาหันไปมองหน้าผู้โดยสาร “โชคร้ายนะ...”
เอื้อยไม่มีเสียงตอบนอกจากอ้าปากค้าง แล้วนั่งเงียบตลอดทาง มีพูดบ้างในตอนที่ชี้นำพาสารถีสาวตัวนำโชคให้มุ่งรถไปหาบ้านหลังขนาดมหึมาของเสี่ยใหญ่เจ้าของมูนไลท์ชาโดว์
สองสาวตัดสินใจจอดรถห่างจากบ้านเป้าหมาย แล้วเดินเลียบเงามืดไปจนถึงเขตกำแพง วิธีที่จะเข้าไปด้านในก็มีแต่กระโดดปีนกำแพง หญิงสาวดวงตากลมเพ่งมองความสูงของกำแพง แล้วผูกผมรวบมัดเป็นหางม้า
“ฉันจะเข้าไปคนเดียว เธอกลับไปรอในรถ” ธิดาพูดพร้อมกับการก้าวเท้าถอยหลัง
ส่วนเอื้อยก็ไม่เข้าใจจนได้เห็นธิดากระโจนป่ายปืนข้ามกำแพงจนต้องยกนิ้วให้สกิลที่หาไม่ได้ง่ายนักในผู้หญิงเว้นเสียแต่พวกที่ผ่านการฝึกฝน ซึ่งโคโยตี้สาวไม่รู้เลยว่าธิดาเติบโตมาอย่างไร
ด้วยตัวเล็กของหญิงสาวจึงแทรกหลบตามพุ่มไม้ ขยับขาเดินไปจนใกล้กับตัวบ้าน ขนาดของที่พักอาศัยใหญ่จริง แต่แสงไฟนั้นสลัวราวกับคนอยู่อาศัยไม่ต้องการความสว่าง ภายในบ้านก็เงียบราวกับว่างเปล่า ไฟปิดสนิท ไม่มีแสงโผล่จากหน้าต่าง
มีรถเก๋งราคาแพงจอดอยู่ที่ทางเข้าบ้าน และชายสองคนเดินสูบบุหรี่วนไปมา ธิดาจึงหลบเลี่ยงไปด้านหลัง ลอบมองภายในบ้านจากหน้าต่างทุกบาน แต่ไม่รู้เลยว่าเพื่อนชายถูกกักขังอยู่ห้องไหน จึงต้องหาวิธีทางทำให้รู้ เธอเดินย่อตัวไปที่ข้างรถ เปิดประตูออกแล้วล้วงมือเข้าไปใต้พวงมาลัย ควานหาเส้นสายไฟ จากนั้นออกแรงดึงสายไฟจนหลุดขาดจากขั้ว
เสียงสัญญาณกันขโมยดังลั่น หญิงสาวไม่ได้จะโจรกรรมรถ แต่เธอจะโจรกรรมคน จึงต้องรีบหลบออกจากตรงนั้นทันทีที่มีเสียงสบถด่าของหนึ่งในนั้น ส่วนอีกคนวิ่งเข้าไปในบ้าน แล้วก็มีแสงสว่างจ้าจากหน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสอง
“ขอให้เจอเธอนะ กลาง” ธิดาคลานออกจากที่ซ่อน อาศัยจังหวะช่วงที่ชายคนนั้นกำลังงุ่นง่านหาวิธีดับเสียงสัญญาณกันขโมยไม่ได้ลอบเข้าไปในบ้านโดยใช้ความมืดพรางตัว
“มึงยังดับสัญญาณไม่ได้หรือวะ”
หญิงสาวรีบหลบเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง เมื่อชายเจ้าของคำพูดวิ่งลงบันได มีเวลาไม่มากนักก่อนที่พวกนั้นจะรู้ว่าสายไฟวงจรถูกดึง ธิดาจึงเร่งขามุ่งไปยังชั้นสอง แต่บ้านหลังนี้มีประตูห้องหลายบาน ลูกสาวเจ้าของบริษัทก่อสร้างจึงต้องวาดภาพผังบ้านในหัวจากการคาดคะเนภายนอก แล้วมุ่งตรงไปยังบานที่คิดว่าใช่ ถอดกิ๊บติดผมออก สอดเข้าไปในรูกุญแจ หมุนหาจังหวะของร่องเหลี่ยมจนได้ยินเสียงคลิก
ธิดาผลักบานประตูเข้าสู่ห้องอับกลิ่นประหลาด มีแสงสว่างจากไฟนีออนดวงเดียวบนเพดาน รู้สึกพิศวงว่าตนอยู่ในบ้านเศรษฐีหรืออยู่ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล หญิงสาวย่องเสียงเบาเดินลึกเข้าไป ระวังไม่ให้เหยียบเครื่องมือแพทย์วางระเกะระกะ ที่ด้านในมีม่านผืนใหญ่ปิดกั้นบางอย่างไว้ จึงตรงเข้าไปจับชายม่านผืนหนาแง้มออกช้า ๆ ภาวนาในใจขอให้นางฟ้านำโชคย้ายมาอยู่ข้างเธอสักวินาที
“ขอบคุณนางฟ้า”
หญิงสาวอุทานเสียงเบา ตรงรุดไปที่เตียง แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อเห็นระพีพัฒน์หลับอยู่บนเตียง ใบหน้าและปากซีดไร้สีเหมือนผู้ป่วยหนัก
“กลาง” เธอเรียกชื่อเขาใกล้หู
เขาสะดุ้ง ปรือตา ครางเสียงแผ่ว “ขอผมอีก... ขอผมอีกได้ไหม...”
“จะเอาอะไรก็ไว้ก่อนเถอะ ฉันจะพาเธอไปจากที่นี่” ธิดากระชากผ้าคลุมออก แล้วก็ต้องรีบยกมือปิดปากห้ามเสียงร้อง ทั้งร่างเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์ ทั้งผ้าพันแผลที่พันรอบตัว อีกทั้งริ้วรอยยาวคล้ายรอยข่วนมากมายเต็มไปทั่ว
หญิงสาวหันรีหันขวาง ทำอะไรไม่ถูก เสียงชายหนุ่มก็ครางอยู่แบบนั้น จนกระทั่งต้องฮึดกัดฟัน ห่อร่างเปลือยของเขาด้วยผ้า แล้วเขย่าตัวเรียกชื่อให้เขาได้สติ
“กลาง... ฉันเอง... ธิดา...เพื่อนของเธอ... ตัวซวย จำได้ไหม”
“ธิดา... ตัวซวย...”
ถึงจะเว้นคำว่า ‘เพื่อนของเธอ’ แล้วข้ามไปเป็น ‘ตัวซวย’ เลยก็ไม่เป็นไร “จำได้ใช่ไหมเล่า”
“ตัวซวย... ธิดา...”
“เออ ฉันนี่แหละธิดา ตัวซวยของเธอ”
“ธิดา” คล้ายกับดวงตาหลักลอยมีแววมากขึ้น ชายหนุ่มผงกตัวขึ้น แต่รู้สึกว่าร่างกายขยับได้ไม่อิสระ “เธอ... เธอมาทำอะไร...ที่นี่”
“นั่นควรจะเป็นคำถามของฉัน” สติของเขายังไม่กลับมาร้อยเปอร์เซ็นต์ หายใจหอบแรง แต่ก็ยังพอสื่อสารกันได้รู้เรื่อง “เธอเดินไหวหรือเปล่า แผนที่สองรออยู่”
“แผน เราต้องทำตามแผน”
“ใช่ เราต้องทำตามแผน” ธิดาปลุกปั่น
ชายหนุ่มลงจากเตียง แต่ไม่สะดวกนัก ผ้าที่ห่อหุ้มไว้ก็เริ่มคลายตัว แต่ไม่สำคัญเท่ากับเธอจะพาร่างเปลี้ยออกจากบ้านนี้ไปได้อย่างไร
แว่วเสียงสัญญาณกันขโมยยังลอยมา ถ้าปีนลงจากหน้าต่าง ร่างของเพื่อนหนุ่มอาจหล่นตุ้บลงไป คราวนี้ละซวยของแท้ หญิงสาวเริ่มปวดหัวหนึบ นี่เป็นการใช้ความคิดหนักที่สุดเท่าที่เคย
“เอาวะ”
ธิดาสูดลมเรียกแรงฮึดครั้งที่สอง เธอให้ระพีพัฒน์นั่งหลบในมุมห้อง จากนั้นรื้อค้นตู้ ชั้นวางของ แล้วหญิงสาวก็ยิ้มกว้างเมื่อพบของที่ต้องการ เธอหยิบขวดยาสลบออกมาจากชั้นวาง พลางคิดไปว่าเสี่ยเกียงมีของพวกนี้ไว้ทำไมในบ้าน
จากนั้นค้นหาจนเจอกรรไกรแพทย์ ตัดผ้าม่านออกเป็นชิ้น ชิ้นใหญ่มัดปิดจมูกตัวเอง ชิ้นที่เหลือชุบยาสลบจนชุ่มผูกปลายเสาแขวนน้ำเกลือ แล้วเดินไปที่หน้าต่างยกเครื่องมือแพทย์กระแทกกระจกเต็มแรงเกิดเสียงแตกร้าว ได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมยชัดเจน แล้วเห็นชายสองคนด้านล่างวิ่งกลับเข้ามา หญิงสาวสาวเดินไปเปิดม่านให้กว้าง แล้วยืนรอข้างประตูพร้อมกับเสาน้ำเกลือในพันปลายผ้าชุบยาสลบ
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ หัวใจหญิงสาวก็เต้นแรงมากขึ้น และในทันทีที่ประตูเปิดอ้าพร้อมกับเสียงสบถเพราะพบความว่างเปล่าบนเตียงก็คือทันทีที่ธิดายืดปลายเสาน้ำเกลือยื่นประชิดจมูก
คนแรกร่วงผล็อยเหมือนใบไม้แห้งขวางทางคนที่สองที่วิ่งเข้ามาสะดุดล้มหน้าคะมำ และไม่ทันให้โงหัวขึ้น ธิดาก็จ่อยายาสลบติดใบหน้า แล้วทั้งสองร่างก็แน่นิ่งนอนก่ายกันกันอย่างสงบ
“ขอให้ฝันหวานนะ”
เธอกุลีกุจอลอกคราบเสื้อผ้าออกจากหนึ่งในนั้น เดินกลับไปหาคนที่นั่งอ่อนแรง ช่วยเขาสวมเสื้อแสงให้มิดชิด แม้ขนาดเสื้อกับกางเกงจะตึงคับไปหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้โป๊ล่อนจ้อน เรียบร้อยดูได้แล้วสอดแขนใต้รักแร้ชายหนุ่ม
“ฉันจะพาเธอไปทองผาภูมิ และคราวนี้เธอต้องตั้งฉายาให้ฉันใหม่ จากตัวซวยเป็นตัวช่วย”