เสี่ยวหลันจื่อหญิงสาวที่ทะลุมิติมา ทำหน้าที่ตัวละครลับเพื่อดำเนินเรื่องในนิยายให้สนุกมากกว่าเดิมโดยไม่ต้องคำนึงว่าเนื้อเรื่องเดิมจะจบอย่างไร แต่กลับถูกท่านอ๋องที่ฆ่าตัวเองตอนต้นเรื่องตามติดเป็นเงา
จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,จีนโบราณ,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เสี่ยวหลันจื่อเดินออกมาจากป่าอย่างทุลักทุเลเพราะอาการบาดเจ็บและฝนที่พึ่งตกไป แล้วตอนนี้ก็มืดสนิทแม้เธอจะใช้ระบบสแกนนำทาง แต่มันจะเหมือนตาเปล่าที่มองเห็นทางได้ยังไง มีความทรงจำของร่างเดิมก็คงดีสิ เสี่ยวหลันจื่อคิดในใจ
ติ๊ง เสียงดังขึ้นหัวของเธอ กำลังประมวลผล จากนั้นความทรงจำหลากหลายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอเหมือนกับการนั่งดูหนังหรือวิดีโอ แต่เธอมีความรู้สึกร่วมไปกับความทรงจำนั้นด้วย ผ่านไปสักพักเสี่ยวหลันจื่อถึงกับชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ อวี้ซูเหยา เจ้าของร่างเดิม ต้องตายคืออะไร
“นี่มันไม่มากไปหน่อยหรือ ระบบ ระบบ ฉันอยากกลับไป พาฉันกลับไปนะ ไม่เอา ไม่เอาแล้ว”
เสี่ยวหลันจื่อตะโกนเสียงดังคล้ายกำลังจะสติแตกอยู่เต็มที จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ถึงเธอจะเคยดูหนังสยองขวัญมาเยอะแต่การถูกทรมานของอวี้ซูเหยานี่มันน่ากลัวจริง และความทรงจำที่ไหลเข้ามาในหัวเธอมันคล้ายกับว่าเป็นความทรงจำของเธอเอง และอาการหวาดกลัวที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นไม่เหมือนมาจากอวี้ซูเหยาเจ้าของร่างเดิมแต่มันเหมือนมาจากตัวเธอเอง เสี่ยวหลันจื่อคุกเข่าลงกอดตัวเองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวก่อนที่สติจะดับวูบไป
เสียงฟาดของแส้และความเจ็บปวดปลุกให้เสี่ยวหลันจื่อลืมตาตื่นขึ้น รับรู้ได้ถึงความเย็นของน้ำที่ถูกสาดมาที่เธอ
“ฟื้นแล้วหรือ เฆี่ยนต่อไปหากนางสลบ ก็ใช้น้ำเกลือสาดปลุกให้ตื่น ทำต่อไปจนกว่านางจะตาย”
เสียงคำรามด้วยความพิโรธดังก้องโสตประสาทของเสี่ยวหลันจื่อ นี่มันอะไรกันฉันอยู่ที่ไหน แล้วความทรงจำก็วูบเข้ามาในหัวทำให้เสี่ยวหลันจื่อรู้ว่าที่นี่คือคุกใต้ดินในจวนอ๋อง และคนที่ถูกเฆี่ยนอยู่ คืออวี้ซูเหยา หนึ่งในนางกำนัลที่ถูกส่งมาโดยไทเฮา ให้มาทำหน้าที่รับใช้ข้างกายชินอ๋อง พูดให้ชัดคือ ส่งมาให้เป็นอนุของ เซียวอี้เหิง ผู้เป็นอนุชาร่วมอุทรของฮ่องเต้ เซียวหยวนหมิง เหตุเพราะเซียวชินอ๋องผู้นี้อายุยี่สิบห้าแล้วแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงก็ยังไม่มีสักคน ไทเฮากังวลว่าบุตรชายคนเล็กของตนจะเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อเหมือนในข่าวลือที่เคยได้ยินมาจึงส่งนางกำนัลของตนที่ทรงเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็กให้กับชินอ๋องและเพื่อทดสอบว่าบุตรชายของตนยังคงเป็นบุรุษเต็มตัวอยู่หรือไม่
ถึงแม่เซียวอี้เหิงจะยอมรับนางกำนัลเหล่านั้นเข้ามาในจวนเพราะรู้สึกรำคาญใจหากปฏิเสธคนของไทเฮา ก็จะเป็นฮ่องเต้ที่ส่งมาแทน เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้พ่อบ้านใหญ่ที่ดูแลจวนเป็นคนจัดการหาที่อยู่ให้พวกนางแต่เขาไม่เคยสนใจปล่อยให้พวกนางอยู่ในจวนไปอย่างนั้น
เมื่อเข้ามาในจวนชินอ๋องได้แล้ว เหล่าสาวงามที่มีความทะเยอทะยานอยากเป็นหนึ่งในพระชายาของชินอ๋องผู้สูงส่ง หรือเพียงแค่มีฐานะเป็นอนุภรรยา ก็สามารถทำให้พวกนางสบายไปทั้งชาติแล้ว ต่างพยายามพาตนเองไปอยู่ในสายตาของท่านอ๋อง บุรุษที่ทั้งสูงส่งและสง่างาม มากกว่าใครในเมืองหลวง
ดวงตาดำคมราวกับรัตติกาลนิรันดร์ใต้เรียวคิ้วเข้มหนาที่โก่งรับกับจมูกโด่งเป็นสันก็สามารถทำให้คนมองนิ่งหัวใจสั่นสะท้านดั่งต้องมนต์สะกด ใบหน้าคมที่มีลูกผมยาวตรงไรหูดูรับกับผิวขาวตามแบบฉบับบุรุษที่โตเต็มวัย ยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าผู้คนที่อยู่รอบกาย ร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปยิ่งทำให้เขาโดดเด่นไม่ว่าสตรีใดที่ได้เห็นความองอาจสง่างามล้วนอยากเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ไหล่หนากว้างที่ตั้งตรงดูผึ่งผายจนทำให้สาวๆ แอบเก็บไปฝันถึงความอบอุ่นของแผงอกนั้น ในยามที่ริมฝีปากบางได้รูปเม้มเข้าหากันเบาๆ ใบหน้าคมที่ว่าน่ามองอยู่แล้วยิ่งดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น
อวี้ซูเหยา คือหนึ่งในคนที่คิดแบบนั้น นางคิดว่าตนเองงดงามที่สุดในเมืองหลวงไม่มีหญิงใดเทียม และนางมีความมั่นใจในตัวเองสูงคิดว่าฐานะของนางในจวนอ๋องนั้นสูงส่งกว่าใครเพราะนางเป็นคนของไทเฮา หากว่าท่านอ๋องได้ร่วมหลับนอนกับนางแล้วจะต้องหลงใหลและไปจากนางไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงใช้หลายวิธีเพื่อเข้าหาท่านอ๋องผู้เป็นที่รัก แต่ไม่ว่านางจะใช้วิธีไหนก็ได้รับเพียงความเฉยชาจากท่านอ๋อง ดวงตาสีรัตติกาลยามที่มองมานั้นดูลึกลับและเยือกเย็นจนยากที่จะเข้าใจ ไม่ใช่แค่นางที่ถูกส่งมาที่ชวนชินอ๋องยังมีอีสามคนที่เป็นคู่แข่งของนาง อวี้ซุเหยาไร้ทางเลือกเพราะความเฉยชาของเขานางจึงเสี่ยงวางยาปลุกกำหนัดแก่เซียวอี้เหิง ยานี้นางได้มาจากหมอพเนจรผู้หนึ่ง ในตอนแรกนางไม่กล้าใช้ กลัวว่ามันจะไม่ได้ผลจึงแอบวางยาบ่าวรับใช้ชายที่ดูแลคอกม้าเพื่อทดลองผลของยา ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามกว่ายาจะออกฤทธิ์ ตรวจสอบไม่ได้ไร้สีไร้กลิ่นใส่เพียงหนึ่งหยดก็แทบทำให้คนคลั่งได้แล้ว
อวี้ซูเหยาติดสินบนบ่าวที่รับหน้าที่ชงชานางวางแผนให้เขาหยดยาลงในน้ำชาของเซียวอี้เหิงในตอนเย็นหลังรับประทานอาหารแล้ว จากนั้นจึงรอเวลาและเพราะนางได้ติดสินบนคนเฝ้าประตูเรือนด้านนอกสั่งเอาไว้แล้วว่าถ้าหากท่านอ๋องไปอาบน้ำให้รีบมาตามนางจากนั้นจึงเฝ้ารอ และเวลาที่เซียวอี้เหิงอาบน้ำตอนเย็นก็มาถึง ปกติตอนที่เขาแช่น้ำในบ่อน้ำพุร้อนจะไม่ชอบให้ใครเข้ามาเฝ้า ดังนั้นทางจึงสะดวก เซียวอี้เหิงที่แช่น้ำหลับตาพิงขอบสระด้วยท่าทางผ่อนคลาย แต่จู่ ๆ ร่างกายของเขาก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ และรู้สึกว่าแก่นกายด้านล่างของตนกำลังแข็งตัวขึ้นทีละนิด ความร้อนรุ่มเข้าถาโถมอย่างยากจะควบคุม เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาบนหน้าผากความปรารถนาร้อนแรงที่ท้องน้อยผสมผสานกับไฟโทสะ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น
เซียวอี้เหิงพยายามใช้ลมปราณเพื่อสกัดกั้นอารมณ์ที่กำลังจะปะทุของตน เสียงสวบสาบก็ดังขึ้นทางด้านหลัง คราวนี้เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าตนเองถูกวางยาแน่แล้ว น่าตายนักใจกล้าเหลือเกินเขาคงใจดีเกินไปสินะ ในสมองก็คิดอย่างหนึ่งแต่ร่างกายกลับไม่ฟัง เซียวอี้เหิงคว้าตัวอวี้ซูเหยาเข้าหาตนแล้วกระชากเสื้อผ้าของนางออกจนหมด จากนั้นไม่นานเสียงครวญครางก็ดังแว่วออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน จนกระทั่งรุ่งสางฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดจึงหมดลง เซียวอี้เหิงลุกออกจากตัวของอวี้ซูเหยาอย่างรังเกียจ สายตาลึกล้ำดำมืดที่เหมือนคมมีดมองร่างเล็กที่หมดสติไปนานแล้ว เหมือนกับมองคนตาย
ในเมื่อเจ้าใจกล้าไม่กลัวตายเช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้ลิ้มลองว่าการอยู่ไม่สู้ตายเป็นอย่างไร
“ใครก็ได้ มาลากสตรีผู้นี้ออกไปขังไว้ในคุกใต้ดิน ข้าให้นางได้ขึ้นสวรรค์แล้วจากนี้ข้าจะให้นางได้รู้ว่านรกเป็นอย่างไร"
เซียวอี้เหิงแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้คนไปตรวจสอบ นางไม่มีทางทำคนเดียวได้แน่จะต้องมีคนให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางจะรู้ได้ยังไงว่าเขาอาบน้ำเวลาไหน ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามบ่าวรับใช้ชายที่ทำหน้าที่ชงชาและคนเฝ้าประตูเรือนก็ถูกลากตัวออกมา ทั้งสองสารภาพว่ารับเงินมาจากอวี้ซูเหยาเพื่อวางยาและบอกเวลาอาบน้ำของท่านอ๋อง
“ดียิ่งนัก กินข้าวในจวนของข้าแล้วยังร่วมมือกันคนอื่นมาลอบทำร้ายข้าใจกล้าไม่เบา เอาตัวสองคนนี้ไปตัดแขนและตัดลิ้น จากนั้นส่งพวกมันไปที่เรือนไผ่งาม” เสียงร้องขอความเมตตาจากทั้งสองคนดังระงมไปทั้งจวน ใครไม่รู้บ้างว่าเรื่อนไผ่งานที่มีชื่อไพเราะนี้คือหอโคมเขียวสำหรับบุรุษ ข้ารับใช้ในจวนต่างพากันหัวหดเพราะหวาดกลัวในความอำมหิตของชินอ๋องผู้นี้
เซียวอี้เหิง เมื่อนึกถึงตรีน่าตายที่อยู่ในคุกใต้ดินแล้วยิ่งมีใบหน้าถมึงทึงไม่น่ามอง เหล่าองครักษ์ ไม่เคยเห็นท่านอ๋องของพวกเขาโกรธมากขนาดนี้มาก่อน
“เวรกรรม” เสี่ยวหลันจื่อพึมพำออกมาเบาๆ นี่เราคงไม่ได้จะถูกทรมานจนตายอีกรอบหรอกนะ
เสี่ยวหลันจื่อที่กำลังจะร้องขอความเมตตา ก็ถูกแส้เฆี่ยนหลังอย่างแรง เธอเป็นคนที่มาจากโลกที่มนุษย์เท่าเทียมกันไหนเลยจะเคยเจอการทรมานแบบนี้
“ถอดเล็บเท้านางออกให้หมด” เสี่ยวหลันจื่อถึงกับขนลุกไปทั้งตัว เสียงเกรี้ยวกราดนี้เหมือนกับเสียงที่มาจากนรกขุมที่ลึกที่สุดที่เหมือนกำลังจะกระชากวิญญาณของเธอ
“ไม่นะ ระบบช่วยฉันด้วย” เสี่ยวหลันจื่อตะโกนออกไปสุดแรงเกิดที่นางมี แต่สิ่งที่คนอื่นได้ยินคือเสียงพึมพำเบาๆ
“นางกำลังพูดอะไร ตาแก่มาฟังซิ” หญิงชราขยับออกจากเตียงเล็กเพื่อเปิดทางให้สามีเข้ามาฟังว่าเด็กสาวที่นอนสลบไม่ได้สติกว่าสิบวันคนนี้พูดอะไร ก่อนที่ชายชรากำลังจะก้มลงฟังเสียงพึมพำจับใจความไม่ได้ เสียวหลันจื่อก็ลืมตาโพลงขึ้น ทำให้ชายชราตกใจจนผงะถอยหลังไป
“โอ้ ฟื้นแล้วหรือแม่หนู ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง ตาแก่รีบไปตามท่านหมอซูมาเร็ว บอกว่านางฟื้นแล้ว”
ชายชรารีบออกไปตามคำสังของฮูหยินเฒ่าของตน เสี่ยวหลันจื่อมองไปรอบๆ ห้องเล็กที่ตนเองกำลังนอนอยู่จึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนเห็นว่ากำลังถูกทรมานมันคือความฝัน ช่างเป็นความฝันที่เหมือนจริงมากอะไรอย่างนี้ น่ากลัวจริงๆ
“ที่นี่ที่ไหน......หรือเจ้าคะ” เสี่ยวหลันจื่อใช้เสียงที่แหบแห้งของตนเองถามหญิงชราข้างเตียง เพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีการพูดของคนยุคนี้จึงฟังแล้วค่อนข้างตะกุกตะกัก
“ที่นี่คือบ้านของข้าเอง หมู่บ้านเถาฮวาข้ากับตาแก่ขี่เกวียนผ่านมาเห็นเจ้าล้มฟุบอยู่ข้างทางจึงช่วยมาไม่นึกว่าจะบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เจ้าสลบไปถึงสิบวัน ตอนแรกหมอซูบอกว่า ไม่มีหวังแล้ว ข้าคิดว่าไหน ๆ ก็ช่วยมาแล้วก็ช่วยให้ถึงที่สุดแล้วกัน”
“มาแล้วๆ ท่านหมอซูมาแล้วยายเฒ่า” ชายชรารีบเข้ามาในห้องพร้อมกับ ชายวันกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปี สะพายกล่องยาไว้ที่หัวไหล่ บ่งบอกว่าเขาคือหมอซูที่ชายชราพูดถึง
“ข้าขอตรวจชีพจรของเจ้าหน่อย” หมอซูนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ไม่พูดพร่ำให้เสียเวลา เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหญิงสาวคนนี้รอดมาได้อย่างไร ก็ในเมื่อตอนแรกชีพจรของนางอ่อนแรงรวมทั้งอาการบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะเหมือนคนตาย
หมอซูหลับตาจับชีพจรของเสี่ยวหลันจื่อครู่หนึ่ง ก็โพล่งขึ้นว่า “ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ชีพจรของเจ้าเต้นไม่ต่างจากคนปกติทั่วไปเลย ทั้งๆ ที่บาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น ยังรอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์”
เสี่ยวหลันจื่อมองหมอซูที มองหญิงชราที “ข้าหายแล้วยังงั้นหรือ แล้วแผลที่หลังละ” เสี่ยวหลันจื่อเอื้อมมือไปสัมผัสที่หลังของตัวเองกลับพบว่ามันไม่เจ็บเลยสักนิดคลายกับว่าแผ่นหลังของนางไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน
“อืม .....คงจะหายจริงๆ ข้าไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ท่านหมอท่านเก่งมาก”
เสี่ยวหลันจื่อยิ้มพร้อมกับชมในฝีมือการรักษาของหมอซู หมอซูพยักหน้าพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ให้นางหนึ่งทีเพราะเขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพียงแค่รักษาตามอาการ ตอนที่เห็นบาดแผลครั้งแรกเขาตกใจแทบเป็นลม แผ่นหลังของนางถูกเฆี่ยนจนแตกยับเนื้อหนังเปื่อยยุ่ยออกมา แทบจะมองไม่ออกว่าเคยเป็นแผ่นหลังของมนุษย์
“เดี่ยวข้าจะเขียนเทียบยาบำรุงให้นางสักหน่อย ต้มให้นางกินอีกสักสิบวันนางก็หายเป็นปกติ” หลังจากเขียนเทียบยาเสร็จหมอซูก็จากไป
“เจ้าสลบไปหลายวันคงจะหิวเดี๋ยวข้าเอาโจ๊กมาให้เจ้า กินสักหน่อยจะได้มีแรง” หญิงชรามองเสี่ยวหลันจื่อเล็กน้อยเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ผ่านไปหนึ่งเดือนเสี่ยวหลันจื่อยังคงพักอยู่กับสองสามีภรรยาผู้เฒ่าสกุลหลิว ชายชรามีชื่อเต็มว่าหลิวฝูไห่ และภรรยามีชื่อว่าสวีเหมยฮวา ทั้งสองมีอาชีพทำนา เมื่อก่อนผู้เฒ่าหลิวมีอาชีพล่าสัตว์ขายแต่หลังจากผู้เฒ่าหลิวถูกหมูป่าทำร้ายหญิงชราจึงขอร้องอ้อนวอนให้สามีของตนเลิกเข้าป่าล่าสัตว์ แล้วหันมาทำนาแทน ทั้งสองพอมีเงินเก็บอยู่บ้างจึงไม่ลำบากอะไร สองสามีภรรยาไม่มีลูกด้วยกันแต่ทั้งสองก็ยังอยู่ด้วยกันด้วยความรัก แม่เฒ่าสวีเคยคิดรับเลี้ยงเด็กสักคนแต่หลิวฝูไห่ผู้เป็นสามีบอกว่าอยู่ด้วยกันแค่สองคนก็ไม่เป็นไร เขาจะเป็นคนดูแลนางเอง แล้วทั้งสองก็อยู่ด้วยกันมากว่าสี่สิบปีแล้ว
เสี่ยวหลันจื่อยังได้เล่าสาเหตุที่ตนเองถูกทำร้ายแบบบิดเบือนเล็กน้อย ให้แก่แม่เฒ่าสวีฟังว่าตนเคยเป็นสาวใช้ในจวนขุนนางแต่เพราะความงามของตนทำให้ถูกรังแกและถูกทำร้ายจนแทบเอาชีวิตไม่รอด หญิงชราก็เชื่อเสี่ยวหลันจื่อจนหมดใจ เพราะอวี้ซูเหยาร่างเดิมคนนี้มีใบหน้าและรูปร่างที่งดงามเป็นอย่างมาก ดวงตากลมโตดำขลับขนตางอนยาวเป็นแพราวปีกผีเสื้อ จมูกโด่งเชิดรั้นเล็กน้อย ใบหน้าเล็กเรียวรูปไข่ ผมดำยาวสยายนุ่มราวกับไหมชั้นดี รวมกับผิวขาวราวหิมะ รูปร่างอรชรอกอวบเอวเล็กคอด โดยรวมแล้วรูปร่างหน้าตาของอวี้ซูเหยา งดงามแบบฉบับที่สาวๆ แทบทั้งโลกใฝ่ฝันที่จะมี
ถึงแม้ใบหน้าจะซีดเซียวไปบ้างเพราะอาการบาดเจ็บแต่กลับไม่สามารถลดทอนความงามของนางได้เลย เสี่ยวหลันจื่อเห็นหน้าตัวเองในกระจกทองแดงครั้งแรกยังรู้สึกตกใจ ไม่แปลกใจเลยที่นางจะมีความมั่นใจในตัวเองว่านางจะสามารถมัดใจท่านอ๋องได้ แต่นางคำนวณผิดไปนิดเพราะอ๋องคนนี้ไม่เหมือนใคร ช่างเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจแถมยังอำมหิตอีกด้วย ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายคนอื่นไม่แน่อาจจะวิ่งตามนางจนเบียดผู้หญิงคนอื่นจนตกขอบไปเลย ดูท่าว่าข่าวลือที่ท่านอ๋องเป็นพวกตัดแขนเสื้อจะเป็นเรื่องจริง
ตอนนี้นางคือเสี่ยวหลันจื่อไม่ใช่อวี้ซูเหยาอีกต่อไป จากนี้คงต้องวางแผนชีวิตให้ดีถึงเจ้าระบบจะบอกว่าให้เปลี่ยนเนื้อเรื่องให้สนุกและน่าสนใจขึ้นกว่าเดิมแต่นางเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ จะไปมีความสามรถอะไร ไม่มีทั้งอำนาจและเงินทอง อีกอย่างคงอาศัยสองสามีภรรยาผู้เฒ่าให้เลี้ยงดูนางตลอดไปไม่ได้ ต้องหาทางหาเงินก่อนเป็นอันดับแรก