เสี่ยวหลันจื่อหญิงสาวที่ทะลุมิติมา ทำหน้าที่ตัวละครลับเพื่อดำเนินเรื่องในนิยายให้สนุกมากกว่าเดิมโดยไม่ต้องคำนึงว่าเนื้อเรื่องเดิมจะจบอย่างไร แต่กลับถูกท่านอ๋องที่ฆ่าตัวเองตอนต้นเรื่องตามติดเป็นเงา
จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,จีนโบราณ,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ทะลุมิติมาเป็นตัวละครลับของท่านอ๋องอำมหิตเสี่ยวหลันจื่อหญิงสาวที่ทะลุมิติมา ทำหน้าที่ตัวละครลับเพื่อดำเนินเรื่องในนิยายให้สนุกมากกว่าเดิมโดยไม่ต้องคำนึงว่าเนื้อเรื่องเดิมจะจบอย่างไร แต่กลับถูกท่านอ๋องที่ฆ่าตัวเองตอนต้นเรื่องตามติดเป็นเงา
เซียวอี้เหิงพยายามใช้ลมปราณเพื่อสกัดกั้นอารมณ์ที่กำลังจะปะทุของตน เสียงสวบสาบก็ดังขึ้นทางด้านหลัง คราวนี้เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าตนเองถูกวางยาแน่แล้ว น่าตายนักใจกล้าเหลือเกินเขาคงใจดีเกินไปสินะ ในสมองก็คิดอย่างหนึ่งแต่ร่างกายกลับไม่ฟัง เซียวอี้เหิงคว้าตัวอวี้ซูเหยาเข้าหาตนแล้วกระชากเสื้อผ้าของนางออกจนหมด จากนั้นไม่นานเสียงครวญครางก็ดังแว่วออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน จนกระทั่งรุ่งสางฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดจึงหมดลง เซียวอี้เหิงลุกออกจากตัวของอวี้ซูเหยาอย่างรังเกียจ สายตาลึกล้ำดำมืดที่เหมือนคมมีดมองร่างเล็กที่หมดสติไปนานแล้ว เหมือนกับกำลังมองคนตาย
เซียวอี้เหิงพร้อมด้วยองครักษ์ทั้งสองฉีเหลยและฉีเยี่ยนยืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางหมู่ชาวบ้าน เสี่ยวหลันจื่อถึงกับกุมขมับด้วยความปวดหัว
ชาวบ้านในหุบเขาเหล่านี้ไหนเลยจะเคยเห็นชายหนุ่มรูปงามปานเทพเซียนเช่นนี้ สาวน้อยสาวใหญ่ต่างชำเลืองมองพวกเขาด้วยใบหน้าแดงซ่านระคนเขินอายแต่ก็ยังมิวายส่งสายตาเชิญชวนให้ชายหนุ่มหน้าตายสามคนที่เหมือนหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึก
พวกเขาคงยังไม่รู้ว่ามันคือความงดงามที่มาจากนรก เสี่ยวหลันจื่อเดินไปหาตายายของตนที่ยืนรวมกลุ่มอยู่กับเหล่าชาวบ้าน หาได้สนใจชายหนุ่มสามคนที่ยืนเป็นอนุสาวรีย์ให้เหล่าชาวบ้านรุมล้อมอยู่
“ตายาย พวกท่านมายืนทำอะไรที่นี่ ไปกินข้าวเถอะข้าหิวแล้ว" เสี่ยวหลันจื่อดึงแขนสองผู้เฒ่าเข้าบ้านโดยไม่สนใจว่ามีอีกคนที่มองตามนางตลอดด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่เป็นแม่เฒ่าสวีที่สังเกตเห็น
“จื่อเอ๋อ เหมือนพ่อหนุ่มรูปงาน คนนั้นจะมองเจ้าอยู่นะ” เสี่ยวหลันจื่อไม่หันไปมองเขาสักนิด
“อยากมองก็มองไปสิ ไม่เมื่อยสายตาก็มองไปเลย”
เสี่ยวหลันจื่อดึงตายายเข้าบ้านแล้วปิดประตูดังปัง ปิดกั้นทุกอย่างไว้ข้างนอก แต่ไหนเลยที่ประตูไม้แค่นั้นจะสามารถกั้นคนทั้งสามได้ เซียวอี้เหิงและองครักษ์ทั้งสองที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นก่อนหน้านี้จู่ ๆ ก็กระโดดเข้าไปในบ้านของเฒ่าหลิว
ชาวบ้านถึงกับตกตะลึง รั้วสูงเกือบหนึ่งจั้งพวกเขากระโดดข้ามได้อย่างสบาย คนที่ตกใจอีกคนคือเสี่ยวหลันจื่อและสองตายาย
“ท่านเข้ามาในบ้านข้าทำไม” เสี่ยวหลันจื่อดันสองตายายไปข้างหลัง
“เจ้าติดค้างข้าอยู่” เซี่ยวอี้เหิงตอบเสียงเรียบ
“ติดค้างบ้าติดค้างบออะไรออกไปจากบ้านข้าเลยนะ”
เสี่ยวหลันจื่ออยากวิ่งเอาหัวจนกำแพง เจ้าคนหน้าหนานี่ ถ้าจะให้พูดเรื่องติดค้าง ไม่ใช่เขาหรือที่ติดค้างนาง เขาเป็นคนทำร้ายนางนะตัวเองก็แค่กินยาปลุกกำหนัดเข้าไปไม่ใช่หรือไง เป็นนางต่างหากที่เสียเปรียบ
“ข้าจะอยู่ที่นี่” ทั้งห้าคนที่ยืนอยู่ในเรื่อนผู้เฒ่าหลิวต่างตกตะลึงกับคำพูดของท่านอ๋อง
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะทำเช่นนี้ไม่ดีกระมัง” ฉีเยี่ยนที่ติดตามมาด้วยเอ่ยทัดท่าน
“เราตัดสินใจแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีก” เซียวอี้เหิงเดินเข้าไปในเรือนที่เล็กกระจ้อยร่อยและทรุดโทรม ทิ้งให้คนทั้งห้ายืนมองตากันปริบๆ เสี่ยวหลันจื่อที่ได้สติก่อนใคร รีบวิ่งเข้าไปขวางเขาทันที
“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ ท่านอ๋อง เมื่อก่อนท่านรังเกียจเดียจฉันท์ข้าราวกับกิ้งกือไส้เดือน แต่มาตอนนี้ กลับอยากจะเข้าใกล้ข้าท่านมีแผนอะไรกันแน่”
เสี่ยวหลันจื่อจ้องตาเขาเขม็งพร้อมกับพูดรัวเร็ว
“ก็ไม่ทำไม เราไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น ก็แค่อยากมาอยู่กับฮูหยินของเราก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าจะไม่ไปเหยียบจวนอ๋องของเราหรือไง”
คราวนี้เหมือนกับฟ้าผ่าลงมาของจริง แม้แต่องครักษ์ทั้งสองของเขาก็อ้าปากค้างด้วยความเหลือเชื่อที่ท่านอ๋องของตนจะพูดคำว่าฮูหยินออกมา
“ท่านพูดจาไร้สาระอะไรกัน” เสี่ยวหลันจื่อตวาดแหว
“ท่านยายท่านตาอย่าไปเชื่อเขานะเจ้าคะ คนผู้นี้พูดจาเหลวไหล”
เสี่ยวหลันจื่อกลัวว่าตากับยายจะยอมให้เจ้าแห่งเมืองนรกผู้นี้เข้ามาอยู่ในบ้านของตน
แม่เฒ่าสวีและผู้เฒ่าหลิวยังไม่ได้สติกลับมาในหัวของเขามีเพียงคำว่าฮูหยินที่เซียวอี้เหิงเปล่งออกมา เสี่ยวหลันจื่องเห็นว่าทั้งสองผู้เฒ่ายังเหม่อลอยก็อุท่านว่า แย่แล้ว
“โอ้ว......เจ้าหลานเขยนี่เองไม่ต้องเกรงใจบ้านของเราเล็กไปสักหน่อยแต่ไม่ต้องเกรงใจ” เฒ่าหลิวเป็นคนแรกที่ได้สติก่อนเรื่องที่เสี่ยวหลันจื่อปฏิเสธเขาล้วนไม่ได้ยิน
“มาๆ กินข้าวมาหรือยังเหตุใดมาแต่เช้าเพียงนี้” แม่เฒ่าสวีรีบตามเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็วทิ้งให้สามคนยืนนิ่งอยู่ตรงลานบ้านโดยไม่สนใจ
“ข้าเป็นหลานสาวท่านนะเหตุใดเห็นคนอื่นดีกว่าข้าเล่า”
เสี่ยวหลันจื่อร้อนใจรีบวิ่งตามเข้าไปในเรื่อน กลัวว่า อ๋องหน้าหนาผู้นี้จะล้างสมองสองผู้เฒ่าจนยอมให้อยู่ที่นี่
เมื่อเดินเข้าไปในบ้านฉากที่เสี่ยวหลันจื่อเห็นคือสองสามีภรรยากำลังยกอาหารเข้ามาบริการให้อ๋องหนุ่มที่นั่งหลังตรงเป็นประธานเหมือนว่าเขาเป็นเจ้าของบ้านซะเอง และพวกนางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ เสี่ยวหลันจื่อหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เซี่ยวอี้เหิงปรายตามองนางด้วยสายตาเรียบ ๆ
“ย่อมได้” เซียวอี้เหิงตอบรับ
“ตามข้ามา”
เสี่ยวหลันจื่อเดินเฉียดผ่านเขาไปทางหลังบ้านเพื่อที่จะคุยกับเขาสองต่อสอง เซียวอี้เหิงลุกเดินตามนางไปเงียบๆ
“ท่านอ๋องที่นี่คือหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา ไม่มีบ่าวรับใช้ไม่มีโรงเตี๊ยมไม่มีพ่อครัวมือหนึ่ง เกรงว่าท่านจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ข้าขอร้องรบกวนท่านกลับไปเถอะ”
เสี่ยวหลันจื่อพยายามพูดกับเขาอย่างใจเย็น
มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา
“ข้าพูดจริงๆ นะ ทั้งยุงทั้งแมลง ท่านกลับไปเถอะ ถ้าไม่อยากถูกกัดจนตัวลายเป็นตุ๊กแก”
เสี่ยวหลันจื่อขู่เขา คิดว่าเขาเป็นคุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวงไหนเลยจะเคยเจอของเหล่านั้น
“พูดจบแล้วหรือยัง ถ้าพูดจบแล้วข้าจะไปกินข้าว” เสี่ยวหลันจื่อถึงกับพูดไม่ออก
“ที่ข้าพูดมาทั้งหมดท่านฟังไม่เข้าหูเลยหรือไง”
เซียวอี้เหิงที่หันหลังเดินไป หยุดเดินแล้วตอบออกมาทั้งที่ยังหันหลังอยู่
“ได้ยิน แต่ข้าไม่ไป” อีกครั้งที่เสี่ยวหลันจื่ออึ้งในความหน้าหนาของเขา
ผู้ชายคนนี้เป็นพระเอกในนิยายจริงหรือ ทำไมนิสัยเสียแบบนี้ หรือว่านักเขียนไปช้อปปิ้งตัวละครออนไลน์มาเลยได้ของแถมเป็นนิสัยแย่ๆ แบบนี้ เสี่ยวหลันจื่ออยากเปิดกะโหลกเขาดูจริงๆ ว่าข้างในเขากำลังคิดอะไร