เสี่ยวหลันจื่อหญิงสาวที่ทะลุมิติมา ทำหน้าที่ตัวละครลับเพื่อดำเนินเรื่องในนิยายให้สนุกมากกว่าเดิมโดยไม่ต้องคำนึงว่าเนื้อเรื่องเดิมจะจบอย่างไร แต่กลับถูกท่านอ๋องที่ฆ่าตัวเองตอนต้นเรื่องตามติดเป็นเงา
จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,จีนโบราณ,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ทะลุมิติมาเป็นตัวละครลับของท่านอ๋องอำมหิตเสี่ยวหลันจื่อหญิงสาวที่ทะลุมิติมา ทำหน้าที่ตัวละครลับเพื่อดำเนินเรื่องในนิยายให้สนุกมากกว่าเดิมโดยไม่ต้องคำนึงว่าเนื้อเรื่องเดิมจะจบอย่างไร แต่กลับถูกท่านอ๋องที่ฆ่าตัวเองตอนต้นเรื่องตามติดเป็นเงา
เซียวอี้เหิงพยายามใช้ลมปราณเพื่อสกัดกั้นอารมณ์ที่กำลังจะปะทุของตน เสียงสวบสาบก็ดังขึ้นทางด้านหลัง คราวนี้เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าตนเองถูกวางยาแน่แล้ว น่าตายนักใจกล้าเหลือเกินเขาคงใจดีเกินไปสินะ ในสมองก็คิดอย่างหนึ่งแต่ร่างกายกลับไม่ฟัง เซียวอี้เหิงคว้าตัวอวี้ซูเหยาเข้าหาตนแล้วกระชากเสื้อผ้าของนางออกจนหมด จากนั้นไม่นานเสียงครวญครางก็ดังแว่วออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน จนกระทั่งรุ่งสางฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดจึงหมดลง เซียวอี้เหิงลุกออกจากตัวของอวี้ซูเหยาอย่างรังเกียจ สายตาลึกล้ำดำมืดที่เหมือนคมมีดมองร่างเล็กที่หมดสติไปนานแล้ว เหมือนกับกำลังมองคนตาย
ตอนี่14 หนุ่มชาวนาผู้หล่อเหลา
เสี่ยวหลันจื่อไม่สนใจบุรุษทั้งสามที่แย่งชิงเนื้อกัน นางเดินเข้าไปในครัวลวกบะหมี่เพิ่มอีกสามชามยกออกมาแล้ววางไว้ตรวหน้าพวกเขา
“ไม่อิ่มก็เอาน้ำซุปราดลงบนบะหมี่อร่อยเหมือนกัน" พูดจบนางก็หันมาหาสองผู้เฒ่าที่ตอนนี้อิ่มจนขยับตัวไม่ไหว
" ท่านตาท่านยาย กินเนื้อเยอะๆ หลังจากอิ่มแล้วพวกท่านก็เดินย่อยสักหน่อย ข้าจะต้มน้ำเอาไว้ให้ อีกครึ่งชั่วยามค่อยอาบน้ำนะ"
เสี่ยวหลันจื่อพูดจบก็เดินเข้าครัวไป
เซียวอี้เหิงมองดูเส้นบะหมี่ที่วางอยู่ตรงหน้าของตน แล้ว จึงหันไปมองตามหลังที่เดินหายเข้าครัวไป เขาดันถ้วยบะหมี่ให้ฉีเยี่ยนแล้วลุกขึ้น
“นายท่าน อิ่มแล้วหรือขอรับ ทานอีกสักหน่อยสิ"
เป็นฉีเหลยที่ดึงเขาเอาไว้อีกครั้ง
“กินเสร็จแล้วเก็บกวาดให้เรียบร้อย” ก่อนเดินตามเสี่ยวหลันจื่อไปเซียวอี้เหิงหันมาสั่งชายหนุ่มทั้งสอง
เสี่ยวหลันจื่อที่กำลังง่วนอยู่กับการใส่ฟืนลงไปในเตาเพื่อต้มน้ำจึงไม่ได้ยินเสียง เซียวอี้เหิงที่เดินมาข้างหลัง นางลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังไปจึงทำให้ชนเข้ากับแผ่นอกแข็งแรงของเซียวอี้เหิงจนหงายหลัง ก่อนที่เสี่ยวหลันจื่อจะหงายหลังล้มลงบนเตาที่กำลังต้มน้ำอยู่ แขนแข็งแรงของเซียวอี้เหิง ก็คว้าร่างของนางเข้ามาในอ้อมแขนของตนได้อย่างทันท่วงที
“เหตุใดท่านมายืนอยู่ข้างหลังข้าเงียบๆ เช่นนี้ทำเอาข้าตกใจจนเกือบหงายหลังลงบนน้ำร้อนแล้ว” เสี่ยวหลันจื่อที่ตกใจเป็นอย่างมาก ต่อว่าเขาเสียงดัง
“ข้าก็เดินมาของข้าปกติ เจ้าต่างหากที่มัวเเต่เหม่อ ลอยอันใดอยู่จนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุแล้ว”
“ข้าเปล่านะ เป็นท่านต่างหากที่ผิด”
เสี่ยวหลันจื่อเถียงออกไปข้างๆคูๆ ทั้งสองคนมัวแต่เถียงกันโดยลืมไปว่ากำลังกอดกันอยู่ ฉีเหลยที่ถือชามเดินเข้ามา ตกใจจนตาค้างทำชามกับตะเกียบหลุดมือทำให้ทั้งสองคนได้สติแล้วผละออกจากกัน
“ขะ ขออภัย พวกท่านต่อเถอะข้าไม่รบกวนแล้ว”
ฉีเหลย รีบวิ่งออกจากห้องครัวไป
“ลนลานอะไรของเขากัน” เสี่ยวหลันจื่อเก็บชามกับตะเกียบที่อยู่บนพื้นขึ้นมาวางลงในอ่างที่เตรียมเอาไว้ล้างชาม
“เจ้าไม่ต้องทำหรอกปล่อยให้พวกเขาทำเถอะ ตามข้ามานี่”
เซียวอี้เหิงดึง มือของเสี่ยวหลันจือตามตนเองออกไป
“นี่ท่านจะพาข้าไปไหนจะมืดแล้วนะ” เสี่ยวหลันจื่อ กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขาไปด้วยขาที่สั้นกว่า
หลังจาก ที่ทั้งสองเดิน ออกมาได้สักพักเซียวอี้เหิง ก็ใช้แขนอีกข้างรวบเอวของนางเข้ามาแนบอก จากนั้นใช้วิชาตัวเบาทะยานออกจากที่แห่งนั้นไป
“ว้าว” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นที่ข้างหูของเซียวอี้เหิง ด้วยความตื่นเต้น
“ข้าไม่นึกเลยว่าถ้าจะเก่งกาจปานนี้”
เสี่ยวหลันจื่อยกนิ้วให้เขา
“จับดีๆ หากเจ้าร่วงลงไปข้าไม่รับผิดชอบ”
เซียวอี้เหิงขู่นาง เสี่ยวหลันจื่อรีบคว้าเอวเขาเอาไว้อย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าตัวเองจะตกลงไปคอหักตาย เซียวอี้เหิงยกยิ้มมุมปากบางๆ เขาใช้วิชาตัวเบาทยาน ขึ้นภูเขามาได้สักพักจึงหยุดลงบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีอายุน่าจะมากกว่า หนึ่งร้อยปี จากนั้นจึงหากิ่งที่แข็งแรงและเหมาะนั่งลง เขาดึงเสี่ยวหลันจื่อมานั่งลงบนตักตัวเอง นางดิ้นต่อต้านเล็กน้อย
“นั่งลงดีๆ อยากจะตกลงไปคอหักตาย ข้างล่างหรือ” เสี่ยวหลันจื่อจึงนั่งนิ่งเลิกดิ้นทันที
“ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม” เสี่ยวหลันจื่อมองหน้าเขา
“ดูนั่นสิ” เซียวอี้เหิงชี้ให้เสี่ยวหลันจื่อมองไปที่ภูเขาอีกลูกด้านหน้า แสงพระอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังจะหายลับไปหลังยอดภูเขาลูก นั้นเปล่งประกายย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีทอง เหมาะกับเสียงนกกาที่กำลังบินกลับรังนอน เสียงลมพัดใบไม้โยกไหวทำให้ให้บรรยากาศดูโรแมนติกยิ่งนัก เสี่ยวหลันจื่อ อึ้งกับภาพที่เห็น นางหลับตาสัมผัสสิ่งต่างๆรอบข้าง
มันเหมือนกับภาพวาดราคาแพงที่นางไม่มีวันจะได้จับต้อง นางรู้สึกเหมือนว่า ภาพนี้จะกลายเป็นของนางคนเดียว
ทั้งสองคนนั่งนิ่งต่างคนต่างความคิดแต่สายตากลับมองไปที่จุดเดียวกัน เสียงของเซียวอี้เหิงดังขึ้นข้างใบหูของนางทำให้ขนอ่อนบนตัวของเสี่ยวหลันจื่อลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ แก้มของนางแดงขึ้นโดยอัตโนมัติลามไปถึงใบหู
“เจ้ามองไปที่ภูเขาลูกนั้นเมื่อถึงยามเหมันต์ ดอกท้อจะบานสะพรั่งทั่วทั้งภูเขา”
เสี่ยวหลันจื่อ แหงนหน้ามอง คนที่พูดกับนางอยู่ตอนนี้นางมองเห็นเพียงคางแหลมได้รูปที่เกลี้ยงเกลาและลูกกระเดือกที่กำลังขยับขึ้นลงตามเสียงพูด
เสี่ยวหลันจื่อ รู้สึกลำคอแห้งผากอย่างไม่ทราบสาเหตุนาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ริมฝีปากบางได้รูปของเขาช่างเย้ายวน นางไม่เคยเห็นใครที่ ริมฝีปากน่ากินขนาดนี้
เสี่ยวหลันจื่น สะบัดหน้าตัวเองไปมาไล่ความคิดไร้สาระของตัวเอง ใบหน้าเล็กที่ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดง ประเดี๋ยวครุ่นคิด ประเดี๋ยวโมโห ทำให้ดูตลกยิ่งนัก
เซียวอี้เหิงไม่เคยคิดว่าคนหนึ่งคนจะแสดงสีหน้าได้มากมายถึงเพียงนี้ เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเซียวอี้เหิง ก็พาเสี่ยวหลันจื่อ กลับมาที่บ้านตระกูลหลิว
“กลับมาแล้วหรือ จื่อเอ่อเจ้าหนุ่มพวกเจ้าไปไหนกันมา” เเม่เฒ่าสวี ซักถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
เสี่ยวหลันจื่อหน้าเเดง รีบเดินเข้าห้องไป ทิ้งให้เซียวอี้เหิง ยืนรับหน้าแม่เฒ่าสวี อยู่ตรงนั้น
“ออกไปเดินย่อยอาหารมาขอรับ”
เซียวอี้เหิง ตอบเพียงเท่านั้นก็เดินเลี่ยงออกไป เเม่เฒ่าสวี ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหมือนว่าตนเองกำลังจะได้อุ้มเหลนในเร็วๆ นี้
“ตาเฒ่าข้าว่าเราน่าจะได้อุ้มเหลนในเร็วๆ นี้เเล้วเจ้าดูสิบรรยากาศระหว่างนางหนูของเรากับเจ้าหนุ่มนั่น”
เเม่เฒ่าสวีทำหน้าเพ่อฝัน ราวกับว่าในแขนของตนเองมีเด็กตัวเล็กๆ นอนอยู่
“พูดเรื่องอันใดของเจ้าข้าก็เห็นว่าพวกเขาทำตัวปกติดีไม่เห็นมีอะไรแปลกตรงไหน”
ผู้เฒ่าหลิว มองฮูหยินคู่ยากด้วยสายตาแปลกประหลาด
“นี่เเน่ะ เจ้ามันพวกไร้จินตนาการข้าไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว”
เเม่เฒ่าสวีตีแขนสามีของตน แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องไป ผู้เฒ่าสวียกมือเกาหัวด้วยความงุนงงไม่เข้าใจว่ายายเฒ่าของตนเป็นอะไร ถ้าหากจะบอกว่าเป็นช่วงประจำเดือนมาก็ไม่น่าจะใช่ยายเฒ่าของเขาอายุห้าสิบกว่าแล้วจะมีประจำเดือนได้อย่างไร
เสี่ยวหลันจื่อหลังจากกลับมา นางก็รีบอาบน้ำแต่งตัวล็อคประตูกลัวว่าเซียวอวี้เหิง จะเข้ามานอนในห้องของนางอีก แต่มีหรือประตูไม้เล็กๆ ดูอ่อนแอแบบนี้จะสามารถกันเขาเอาไว้ได้ เซียวอี้เหิงใช้มือเปิดประตูแล้วจึงรู้ว่ามันถูกล็อคจากด้านในเขาจึงใช้พลังลมปราณดันประตูเบาเบา กลอนไม้ที่ล๊อคไว้หักลงทันที
“เหตุใดจึงท่านต้องพังประตูห้องข้า ทำไมท่านทำตัวเป็นคนป่าเถื่อนไร้อารยะเช่นนี้”
เสี่ยวหลันจื่อตวาดเเหวออกไป
“ถ้าเจ้าไม่ล็อคประตูข้าก็ไม่ต้องพังประตู”
เขาพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยจากนั้นจึงเดินไปที่เตียง เเล้วนั่งลง
“มานอนเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเจ้าแค่นอนเท่านั้น”
เสี่ยวหลันจื่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินไปที่เตียงแต่โดยดี นางรีบมุดเข้าไปด้านในของเตียง จากนั้นจึงใช้ผ้าห่มคลุมร่างตนเอง
ผ่านไปสักพักเสียงลมหายใจของ นางเริ่มสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่านางหลับไปแล้ว
เซียวอี้เหิง จึงลืมตาขึ้นจ้องมองใบหน้าเล็กๆ ในความมืด เขาจะทำอย่างไรดีหากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันจะยากต่อการควบคุม อีกอย่างเขาคงอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้ มีทางเดียวคือทำให้นางยินยอมกลับไปกับเขา แม้จะต้องแสดงละครว่ารักนางก็ตามที เซียวอี้เหิงคิดในความมืดสายตาที่เหมือนกับรัตติกาล กลมกลืนไปกับความมืดกลับเปล่งประกายอย่างน่าแปลกประหลาดราวกับห้วงลึกไร้ที่สิ้นสุด
สี่ยวหลันจื่อ งัวเงียตื่นขึ้นมาไม่เจอร่างของอีกคนที่นอนกับนางเมื่อคืนก็ถอนใจอย่างโล่งอก นางล้างหน้าล้างตาเพื่อออกไปช่วยท่านยายทำอาหารเช้าแต่ทุกอย่างเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยนางไม่เห็นบุรุษสามคนรวมถึงทั้งตาของนางจึงถามหาพวกเขากับแม่เฒ่าสวี
“ท่านยายทุกคนหายไปไหนกันหมดเหตุใดบ้านถึงเงียบเชียบเช่นนี้”
เเม่เฒ่าสวี เห็นหลานสาวคนงามตื่นขึ้นมาแล้ว ก็กุลีกุจอ รีบตักข้าวต้มมาให้นางเสี่ยวหลันจื่อกล่าวขอบคุณเบาๆ
“พวกเขาตามท่านตาของเจ้าไปที่นาของบ้านเราเพื่อถอนหญ้าตอนนี้ต้นข้าวกำลังขึ้นงามเชียว”
เสี่ยวหลันจื่อ ที่กำลังตักโจ๊กเข้าปาก ถึงกับสำลัก
“ท่านว่าอย่างไรนะ ไปที่นาถอนหญ้าพวกเขาน่ะหรือไปถอนหญ้า”
เสี่ยวหลันจื่อ รีบตักโจ๊กเข้าปากจนหมด เมื่อเก็บชามในครัว เรียบร้อยแล้วนางรีบออกจากบ้านตรงไปที่นาของบ้านสกุลหลิวทันที
นางจะพลาดเรื่องสนุก ที่หาได้ยากเช่นนี้ได้อย่างไร จะมีสักกี่คนบ้างที่จะได้เห็นผู้สูงศักดิ์ถอนต้นหญ้าในแปลงนามันไม่ต่างอะไรกับการไปดูของโบราณหายากในพิพิธภัณฑ์เลยนะ ต่อให้ต้องจ่ายเงินเข้าไปดูนางเชื่อว่ามีหลายคนที่ยอมเสียเงินมาดู
เสี่ยวหลันจื่อ เดินมาสักพักก็มองเห็นแปลงนาของบ้านสกุลหลิวอยู่ไกลๆ แต่ที่น่าแปลกคือมีคนมากมายมามุงดู
เป็นอย่างที่นางคาดเดาไว้
ชายหนุ่มที่หล่อเหลาสามคน กำลังถอนหญ้าอย่างขมักเขม้นในแปลงนา ด้านข้างก็มีสาวๆ ยืนคอยให้กำลังใจ
น่าสนใจดีนี่ เจ้าพวกนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ดึงดูดสตรีได้อย่างง่ายดาย
“โอ พวกเจ้าทั้งหลายมาทำอะไรที่แปลงนาของบ้านข้า” เสี่ยวหลันจื่อตะโกนมาแต่ไกล
สตรีเหล่านั้นที่เห็นนางเดินมาก็พากันทำหน้าเจื่อนเล็กน้อย
“เสี่ยวหลันจื่อเจ้ามาเเล้วหรือ” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้าให้นาง เด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหก เป็นบุตรสาวท่านป้าจางที่อยู่ข้างบ้านสกุลหลิว
“จางเสวี่ย เจ้าก็มาดูของหายากเหมือนกันหรือ”
เสี่ยวหลันจื่อหยอกนาง จางเสวี่ยหน้าเเดง เสี่ยวหลันจื่อไม่ถือสาทั้งยังพูดหยอกเย้านางไปหลายคำ
“เจ้าชอบคนไหน ชี้ได้เลยเดี๋ยวข้าช่วยเป็นแม่สื่อให้”
เสี่ยวหลันจื่อพูดพลางหัวเราะ จางเสวี่ยหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เด็กสาวคนนี้นิสัยดีชอบมาพูดคุยกับนางหลายครั้งโดยไม่สนใจว่านางเป็นคนที่มาจากที่อื่น
“เจ้าล้อข้าเล่นแล้ว”
“ล้อเล่นอะไรกันข้าพูดจริงๆ นะ” พูดจบเสี่ยวหลันจื่อ ก็หัวเราะฮ่า ฮ่าขึ้นมา หญิงสาวหลายคนที่เสี่ยวหลันจื่อ คุ้นหน้าคุ้นตาก็เข้ามาร่วมวงด้วย
“จ้าพูดจริงหรือ” เด็กสาวอีกคนที่เเต่งตัวดีกว่าคนอื่นๆ เดินเข้ามา
“จริงสิข้าจะโกหกเจ้าทำไม”
“ถ้าเป็นสามีเจ้าล่ะ” เสี่ยวหลันจื่อมองนางอย่างสนใจ อายุราวสิบห้าสิบหกหน้าตาพอใช้ได้ แต่ก็แค่พอใช้ได้แหละ ถ้าออกจากหมู่บ้านก็ถือว่าหน้าตาธรรมดา
“จ้าคือ” เสี่ยวหลันจื่อถามนาง
เด็กสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
“ข้าคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของหัวหน้าหมู่บ้านชื่อว่า หลิวหลี” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้า
“อ้อ หลิวหลี เจ้าอยากได้เขาหรือ ย่อมได้ถ้าเจ้าสามารถทำให้เขาชอบเจ้าได้ข้าก็จะยอมยกเขาให้เจ้า ด้วยความ เต็มใจ” เสี่ยวหลันจื่อพูทีละคำอย่างสบายๆ
“เจ้าพูดแล้วนะอย่ามาเสียใจทีหลัง”
“แน่นอนข้าพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ”
“คำไหนคำนั้น” หลิวหลี รีบรับปากด้วยความดีใจ
“เสี่ยวหลันจื่น เจ้าทำแบบนี้จะทำให้สามีเจ้าเสียใจได้นะ” จางเสวี่ย หันมาพูดกับนาง
“เจ้าคิดว่านางจะทำสำเร็จหรือ นางไม่มีทางทำสำเร็จหรอก”
เสี่ยวหลันจื่อพูดเบาๆ กับจางเสวี่ย ด้วยความมั่นใจ หญิงสาวหลายคนเมื่อเห็นว่าหลิวหลีกล้าท้าชิงแย่งสามีกับเสี่ยวหลันจื่อ ตนก็อยากจะทำบ้างแต่ไม่มีความกล้าเสี่ยวหลันจื่อมีหรือ จะมองพวกนางไม่ออก
“พวกเจ้าก็เหมือนกันสู้กันอย่างแฟร์แฟร์ ….. ข้าหมายถึงด้วยความยุติธรรม ถ้าหากว่าพวกเจ้าคนใดสามารถทำให้เขา ชอบพวกเจ้าได้ข้าก็ยอมยกเขาให้พวกเจ้า”
เสี่ยวหลันจื่อพูดพลางชี้ ไปที่เซียวอี้เหิง