ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมวข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
“เอ่อ คือ... ท่านนายพลครับ”
เขาหันไปหาลูกน้องของตน ที่กำลังมองมาเหมือนคนหลงทาง เหล่าทหารแห่งกองกำลังป้องกันตนเองแห่งมาตุภูมิทั้งร้อยกว่าชีวิตต่างก็กำลังจับจ้องมายังเจ้าสิ่งที่นอนนิ่งเงียบในอ้อมแขนของเขาอย่างตกตะลึงจนเห็นได้ชัด แม้การจะมาเป็นลูกเรือของยาน อาร์ค-11 [Ark-11] ได้ จะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับหัวกะทิที่ได้รับการอบรมฝึกฝนอย่างหนักจนไม่ควรจะตื่นตระหนกกับอะไรแล้วก็ตาม
แต่เขาก็เข้าใจลูกน้องตัวเองดีจึงไม่ได้ว่าอะไร เพราะตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา ตัวเขาเองก็ไม่เคยเชื่อเรื่องที่โลกเก่าของมนุษย์นั้น มีมังกรอาศัยอยู่ด้วยกันกับมนุษย์มาโดยตลอด ...จนกระทั่งชะตากรรมของมวลมนุษยชาติในโลกใหม่ขึ้นอยู่กับมัน
ในอ้อมแขนของเขาตอนนี้ คือร่างสัตว์สี่เท้า ปกคลุมด้วยเกล็ดละเอียดที่มีสีเหมือนหินหยกขาวทั้งยังมีลวดลายสีเงินประดับทอประกายแสงระเรื่ออยู่ทั่วทั้งร่าง แผงขนสีทองคำขาวดั่งแพลตตินัมซึ่งพาดยาวตั้งแต่หัวจรดถึงปลายพู่หาง บนหัวของมันมีกิ่งเขาสัตว์สีเงินถึงสองคู่ ปีกของมันก็มีถึงสองคู่เช่นกัน
ปีกสีเงินคู่บนนั้นดูคล้ายกับปีกของค้างคาวที่บอบบางมาก แต่ก็มีขนาดที่ใหญ่กว่าปีกคู่ล่างซึ่งปกคลุมด้วยขนนกสีทองคำขาว ลักษณะการเรียงตัวของขนนกนั้นเหมือนกับปีกของนกนักล่าไม่มีผิด ส่วนสุดท้ายที่เป็นหางนั้นมีปลายแหลมเป็นลิ่มเกล็ดอย่างกับใบมีดที่คมกริบ...
ด้วยลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่พิลึกพิลั่นเช่นนี้ มันต้องเป็นสิ่งที่ชาวสรรค์ตามหาจนแทบจะก่อสงคราม กวาดเอาดาวทั้งหมดในกาแล็กซี่มาเป็นบริวารไม่ผิดแน่
...เจ้าสิ่งนี้เองหรือ คือ มังกร? สิ่งที่เอเลี่ยนไร้หัวใจพวกนั้นกล่าวว่ามีค่ามากกว่าชาวมนุษย์ทั้งดาวรวมกันเสียอีก
แม้เขาจะเพิ่งเคยเห็นสัตว์ชนิดนี้เป็นครั้งแรก ก็ยังพอมองออกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามมากตัวหนึ่ง เขาแอบสงสัยว่ามันจะยังเด็กอยู่ เพราะขนาดร่างกายของมันที่เล็กเสียจนใหญ่กว่าแมวบ้านที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลกใหม่เพียงเท่าเดียวเท่านั้น
แถมมันยังนอนหลับอุตุได้เงียบเอามากๆ... จนเขาเกือบนึกว่าไปขุดฟอสซิลขึ้นมาแทนเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะยานบินของเขาเป็นลำที่บังเอิญตรวจพบสัญญาณชีพของเจ้าตัวเล็กนี่เองล่ะก็นะ
เมื่ออุ้มมันขึ้นยานมาไม่ทันไร หากเขาตาไม่ฝาด ก็เหมือนจะเห็นดวงตาเล็กๆ ข้างหนึ่งของมันลืมขึ้นมามองเขาอย่างงุนงง จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูนิดๆ... นั่นก็มากพอจะทำให้เขาผ่อนอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงในอกลง และไม่วิตกจริตว่ามันจะตายภายในสามนาทีที่ยานสำรวจออกนอกชั้นบรรยากาศได้เสียที
“มีอะไรหรือ นายทหาร?”
“เราออกจากชั้นบรรยากาศของโลก [Earth-01] เรียบร้อยแล้วครับ แต่... ใช้พลังงานของยานไปมหาศาลอย่างที่ท่านได้คำนวณเอาไว้เลยครับ”
“เปิดใช้พลังงานที่เหลืออยู่ไปกับการบินเท่านั้น ปิดส่วนอื่นที่ไม่จำเป็นทิ้งไปซะ เราต้องทำตัวล่องหนให้ได้มากที่สุดจนกว่าจะพ้นระบบสุริยะ ไม่สิ ต้องถึงขนาดพ้นเขตบินอิสระด้วย ระวังอย่าให้เตะตาใครได้ โดยเฉพาะพวกเซเลสเทียล… ห้ามให้พวกชาวสรรค์ตรวจจับยานเราได้เด็ดขาด ไม่งั้นพวกเราทุกคนได้หัวหลุดกันทั้งลำแน่”
“ครับท่าน!”
เมื่อสั่งการเสร็จ เขาก็อุ้มเจ้าตัวจิ๋วในอ้อมแขนมายังห้องแล็บผสมผสานกับห้องพยาบาลขนาดใหญ่ของยานเพื่อเก็บตัวอย่างข้อมูลเอาไว้ พร้อมๆกับนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายกว่ายี่สิบชีวิตที่มาห้อมล้อมโต๊ะตัวใหญ่อย่างตื่นเต้นจนออกนอกหน้า
ทว่าเมื่อเขาวางร่างของมันลงบนโต๊ะ ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างหลุดร่วงลงมาจากเจ้าตัวเล็กนี่ เลยทำให้เผลอเลื่อนมือไปลูบมันอย่างไม่ตั้งใจ
ในทันทีที่มือหนาสัมผัสโดนร่างบนโต๊ะเพียงนิด เกล็ดสีเงินแพลตตินัมนั่นก็แตกสลายเป็นผุยผงทันที
“!!!”
เขาตื่นตัวสุดขีดทันที เหล่าแพทย์และนักวิจัยที่ยืนอยู่รอบๆก็ตระหนกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำได้เพียงมองดูเกล็ดเล็กจิ๋วค่อยๆกะเทาะร่วงหลุดจากร่างทีละเกล็ด ก่อนจะทยอยร่วงลงมากขึ้นเรื่อยๆ เศษละอองชิ้นส่วนของเกล็ดเหล่านั้นทอประกายวิบวับจับแสงไฟแม้นในยามที่กำลังสลายเป็นผุยผง สวยเหมือนกากเพชรที่เด็กๆชอบโปรยเล่นก็ไม่ปาน
“ทะ- ท่านนายพลครับ! เกล็ดมันเหมือนจะ--”
“ฉันรู้! อย่าเสียเวลาแล้วเริ่มเก็บตัวอย่างซะ เดี๋ยวนี้!”
เขาสั่งเสียงเฉียบขาดด้วยความเคร่งเครียด เมื่อละอองผงเริ่มจะไหลทะลักลงจากโต๊ะจนกลายเป็นกองทรายขนาดย่อมๆเต็มพื้นไปเสียแล้ว
เหล่าแพทย์กุลีกุจอวิ่งมาที่โต๊ะตัวใหญ่พร้อมอุปกรณ์ในมือ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบว่าร่างบนโต๊ะมีบาดแผลตรงไหน พวกเขาทำได้แค่กวาดผงทรายที่ไหลทะลักเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุดเหล่านั้นเอาไปเก็บไว้แทน
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ เมื่อพวกเขาพยายามจะให้ปัญญาประดิษฐ์ของยานใช้เครื่องสแกนร่างกายเจ้าสิ่งนั้น อุปกรณ์แสนไฮเทคที่ล้ำสมัยของการทหารทั้งหมดในห้องก็พลันช็อตเปรี้ยง! จนไฟดับไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ไฟกลับมา พวกเขาต้องก็พบว่าไม่สามารถใช้มันทำอะไรกับเจ้าร่างบนโต๊ะได้อีก
นักวิจัยทั้งหลายถึงกับหน้าซีดเผือด เมื่อตอนที่ยกเอาเครื่องสแกนอุณหภูมิของสิ่งมีชีวิตมาตรวจ แต่ผลที่แสดงบนหน้าจอกลับไม่ปรากฏว่าตรวจพบอุณหภูมิของร่างมังกรนี่แม้แต่นิดเดียว! ราวกับว่าไอ้ที่นอนหลับเป็นตายบนโต๊ะเป็นแค่ตุ๊กตาตัวหนึ่งเท่านั้น
เทคโนโลยีใช้ไม่ได้ผลกับมันสินะ... ถ้างั้นคงต้องใช้ พลังพิเศษ สักหน่อยแล้วกัน
“ถอยไปก่อน ฉันจะลองใช้พลังจิตดู” ท่านนายพลกล่าวเสียงหนัก ไม่รอช้าสะบัดมือขวาขึ้นแล้วกระชากถุงมือหนังสีดำของตนออก จากนั้นก็วางมือลงแนบร่างบนโต๊ะ แล้วส่งกระแสจิตเข้าไปภายใน
เมื่อเขาหลับตาลงเพื่อพยายามสื่อจิตไปถึงร่างเล็กจ้อย ในฉับพลันทันทีนั้น คลื่นกระแสจิตต่อต้านสิ่งแปลกปลอมก็พุ่งเข้ามาซัดกระแทกใส่เขาเหมือนสึนามิลูกยักษ์ ขับไล่เขาออกไปอย่างรุนแรง!
ร่างบนโต๊ะที่นิ่งงันมาตลอดเกิดกระตุกกึกอย่างแรงครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เกิดสิ่งใดต่อจากนั้น ละอองเกล็ดยังไหลทะลักลงเช่นเดิม ทว่าท่านนายพลนี่สิ ถึงกับเซถลาถอยห่างจากโต๊ะ ทรุดลงชันเข่าท่ามกลางเหล่าลูกน้องที่วิ่งเข้ามาช่วยพยุงเจ้านายตัวเองอย่างตกใจ ใบหน้าคมคายของท่านนายพลตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ท่านนายพลครับ!” ทหารชั้นผู้น้อยทั้งหลายที่เข้ามาพยุงไหล่ไว้ เห็นชัดๆ กันเต็มสองตากันหมดว่าชายหนุ่มวางมือลงแนบได้ไม่ทันเท่าไร ร่างสูงสง่าเหมือนผาหินก็ถูกคลื่นพลังบางอย่างซัดกระแทกเสียจนต้องกระเด็นถอยออกมาทันที
“ขอบใจ...” ท่านนายพลกัดฟันกรอด มือแกร่งข้างที่ชาดิกเพราะโดนคลื่นพลังลึกลับซัดเข้าตรงๆ ถูกยกขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกหน้าออกไปอย่างหงุดหงิดมากกว่าเดิม เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันไปสั่งการลูกน้องโดยรอบ
“รีบเก็บตัวอย่างอะไรก็ได้ก่อนที่มันจะตาย เร็ว!”
ตื่นตระหนกก็ส่วนหนึ่ง แต่หลังจากที่ลองทำทุกอย่างที่พวกเขารู้ เทคโนโลยีบนยานก็ใช้ไม่ได้ พลังจิตก็ใช้ไม่ได้ อุปกรณ์ไฮเทคส่วนใหญ่ขัดข้องไปหมด ไม่ก็ถูกพลังประหลาดบดขยี้จนแหลกเละทันทีที่แตะโดนร่างบนโต๊ะ เหล่าแพทย์และนักวิจัยคนอื่นๆ ไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่าการชั่งน้ำหนัก วัดขนาดและความยาว ซึ่งค่าวัดที่ได้มาก็ลดฮวบลงลงเรื่อยๆ ตามจำนวนกองผงเกล็ดที่มากขึ้นเป็นเท่าตัว
เข็มเจาะขนาดใหญ่ที่พวกเขาคิดจะใช้เจาะเข้าเนื้อ หักในทันทีที่พยายามกดลงไปบนร่าง เมื่อพยายามเปิดปากของมันออก กลับพบว่ามันหุบปากสนิทจนแงะไม่ได้ ทั้งยังไม่มีสารคัดหลั่งบนร่างนี้เลยแม้แต่น้อย และเมื่อพวกเขาสิ้นหวังจนต้องพยายามใช้ไม้แข็งกับ ส่วนก้น ของมัน (ใช่ พวกเขาจนตรอกถึงขั้นนั้นเลยนั่นแหละ) ก็ต้องถูกกระแสพลังซัดกระแทกเข้าให้อย่างจังจนกระเด็นลงไปนอนกองกับพื้นทั้งหมด ต่างล้วนมีสีหน้าเหมือนคนถูกไฟช็อตจนตาตั้งกันถ้วนหน้า
วิธีอื่นๆ ก็ไม่ได้ผลอะไรเช่นกัน เจ้ามังกรตัวเล็กจ้อยนอนนิ่งเหมือนตาย ทรายสีเงินไหลออกมามากขึ้นพร้อมกับขนาดตัวที่เล็กลงไปเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนในห้องนั้นต่างใจเสียเข้าจริงๆ
ในช่วงเวลาอันแสนตึงเครียด ท่านนายพลพลันคิดขึ้นมาว่าจะต้องเลื่อยตัดเอาส่วนเขาหรือเล็บของมันออก โดยหวังว่าสิ่งที่หลุดออกจากร่างของมันจะยังคงสภาพเช่นเดิมเอาไว้ได้ก่อนสลายไปทันใด มือขวาที่ยังเกร็งอยู่จึงถูกยกขึ้นมาระดับไหล่ในท่าพร้อมฟาดฟันทันที ส่วนลูกน้องรอบข้างทั้งหลายที่เห็นเจ้านายทำแบบนั้น ก็รีบพุ่งไปรวมตัวกันไปอยู่ด้านหลังท่านทันใดเช่นกัน
“ท่านครับ! ได้โปรดระวังด้วย พลังของท่านบึ้มยานลำนี้ได้ง่ายๆเลยนะครับ!”
ลูกน้องเขาร้องลั่นอย่างเสียขวัญ ต่างพากันส่ายหัวแทบหลุด ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่นายพลของตนคิดจะทำ
...เห็นแล้วก็นึกอนาถจิต พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของกองพลทหารมือหนึ่งแห่งมาตุภูมินะ ไม่ใช่กองร้อยลูกเสือสามัญ... ช่างเถอะ เขาไม่ทำก็ได้
ท่านนายพลส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจกับลูกน้องตนเองยิ่งนัก ทว่าเมื่อหันกลับไปมองร่างบนโต๊ะอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดในห้องนั้นก็ต้องประหลาดใจกันถ้วนหน้า
สิ่งที่อยู่บนโต๊ะนั้นไม่มีปีก เขาแหลม หรือเกล็ดอีกต่อไป แต่มันถูกแทนที่ด้วยขนสัตว์... สีขาวปลอด และยาวฟูฟ่อง ซึ่งงอกขึ้นมาปกคลุมทั่วทั้งร่างในอัตราเท่าทวีคูณชัดๆ ต่อหน้าต่อตา จนกระทั่งทั่วทั้งร่างของมันกลายเป็นขนไปทุกส่วน ราวกับว่าตอนที่เขาขุดมันขึ้นมาจากดินมันก็มีสภาพเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว...
มังกรเปลี่ยนสภาพไปเสียแล้ว มันทำแบบนี้ได้ด้วยงั้นหรือ? นี่อาจเป็นสาเหตุที่มนุษย์ไม่เคยรู้ถึงการมีตัวตนของมันมาก่อนก็ได้ ถ้าหากมันสามารถเปลี่ยนสภาพตนเองได้ราวกับเล่นกลเช่นนี้... สมแล้วที่เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือจินตนาการ ...แต่เขาจะเอายังไงกับมันต่อดีล่ะทีนี้
ร่างสูงสง่าของท่านนายพลขยับเข้าไปใกล้เจ้าตัวปัญหาอย่างไร้เสียง ดวงตาคู่คมฉายความอัศจรรย์ใจอย่างไม่ปิดบัง
บรรดาชีวิตลูกน้องที่เหลือซึ่งขยับออกมาจากข้างหลังท่านนายพลแล้วก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป นับครั้งได้เลยทีเดียวที่พวกเขาเห็นท่านนายพลผู้เสมือนหุ่นยนต์มีชีวิตมากกว่า... มนุษย์ คนนี้ แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาให้เห็นกันอย่างชัดๆ
ท่านนายพลจ้องมองสิ่งมีชีวิตบนโต๊ะเงียบๆได้แค่ห้านาที ก็ทนสายตาร้อนแรงของพวกลูกน้องที่จ้องตนเองอีกทีไม่ไหว จึงหันไปสั่งการเสียงเฉียบขาด
“ฉันจะย้ายเขาไปห้องชั้นล่างสุดเพื่อความปลอดภัย คนที่เหลือไปเปิดระบบนำทางเตรียมเดินเครื่องวาร์ปในอีกสิบนาที ...พวกเราจะกลับบ้านกัน”
เขาถอดเสื้อคลุมยาวของตนออก แล้วใช้มันห่อร่างบนโต๊ะขึ้นอุ้มกับอก มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อมองร่างในอ้อมแขน ดวงตาคมวาวอย่างลึกล้ำ ประหนึ่งคนที่ได้สมบัติที่ล้ำค่าสุดในจักรวาลมาครองเสียที
สิ่งแรกในคลองสายตา คือความมืด
ข้าไม่กลัวความมืด เพราะดวงตามังกรสามารถมองเห็นได้แม้นอยู่ในที่ที่มืดมิดที่สุดของจักรวาล… หมายถึง ถ้าอิงตามภูมิปัญญามังกรของมารดาที่บอกกับข้าผ่านความทรงจำน่ะนะ ...ก็ข้าไม่เคยออกไปส่องใครที่ไหนนอกชั้นบรรยากาศโลกเหมือนท่านตานี่นา
แต่มันมืดเพราะข้าหลับตา จึงแน่ล่ะว่าข้าจะไม่เห็นอะไรเพราะข้ามองทะลุเปลือกตาตัวเองไม่ได้ ดังนั้นเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้าจึงค่อยๆ ลืมตาตื่นอีกครั้งในรอบพันปี
และสิ่งแรกที่รับรู้หลังตื่นจากความตายก็คือ... ข้าหิว
ทั้งหิว ทั้งแสบตาจนตาพร่า ใครมันเอาดวงอาทิตย์มาส่องใส่ตาข้าตรงๆ แบบนี้! แสบตาชิบ... แถมยังรู้สึกตัวเบาแปลกๆด้วย ปกติร่างข้าเบาขนาดนี้เลยหรือ? อาจเป็นเพราะข้าหลับนานเกินไปตัวเลยผอมซูบลงก็ได้ ประหลาดใจแหละนะแต่ขอหยุดความสงสัยเอาไว้ก่อน ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหนกันหว่า?
เมื่อข้าสะบัดหัวเรียกสติตัวเองให้กลับมาครบๆ ซึ่งครบจริงรึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน พอหันมองไปรอบกายก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ครอบด้วยกระจกแก้วใสกิ๊ง ซึ่งมีขนาดใหญ่พอให้ข้าวิ่งไล่จับหางตัวเองได้จนเหนื่อย กระจกบอบบางเหมือนแก้วใสๆ นั่นน่าเอาปีกฟันฉับให้แตกเล่นอย่างไรไม่รู้ แต่... เพราะเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบผ่านกระจกพวกนั้นอยู่ เลยขอนอนคุมเชิงมันตรงนี้เฉยๆ ดีกว่า
ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เพราะปกติแล้วข้าจะไม่สนใจกระแสไฟฟ้าแค่นี้เลยสักนิด แต่ตอนนี้กลับคิดขึ้นมาว่า ข้าไม่ต้องการโดนย่างสดจากข้างในจนตายหรอกนะ
เพิ่มเติมนอกจากนั้น คือ… มีบางสิ่งยืนมองข้าอยู่ด้วยแฮะ
เพราะเพิ่งตื่น หรือเพราะเริ่มหิวแล้วก็ไม่อาจทราบ แต่ข้าก็จ้องมันกลับไปด้วยดวงตาสีม่วงอมแดงเฉดเดียวกับสีอมารันธีนอย่างไม่คิดหลบแม้แต่น้อย แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์คนแรกที่ข้าได้พบเจอในรอบพันปีก็ตาม
คล้ายมนุษย์ แต่ไม่ใช่ แม้มันจะมีรูปร่างจะเหมือนมนุษย์ทุกประการก็ตามที ด้วยหัวหนึ่งหัว มือและแขนสองข้าง ขายาวสองข้าง พร้อมกับร่างของชายฉกรรจ์ที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเหมือนนักรบในความทรงจำของมารดาไม่มีผิด
แต่ก็ไม่ใช่อยู่ดี เพราะกลิ่นสนิมของเหล็กจากร่างของมันน่ะปิดกันไม่ได้หรอก มังกรอย่างข้าซึ่งมีประสาทการรับกลิ่นดีที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งมวลย่อมต้องบอกได้อยู่แล้ว
...เผ่าพันธุ์ต่างดาวเรอะ?
ข้าหยัดตัวลุกขึ้นจากกองหมอน แล้วเริ่มบิดขี้เกียจอย่างไม่ใส่ใจมันเท่าไหร่ หางยาวยืดตั้งตรงขึ้นสูง ส่วนขาคู่หน้าเหยียดดันตัวออกไปจนหลังแอ่น เสร็จแล้วข้าก็อ้าปากหาวหวอด โชว์เขี้ยวคมๆ เต็มชุดตามกรอบปากให้เจ้านั่นดูไปหนึ่งที
…มันหัวเราะว่ะ ขำอะไรของมัน
แม้ร่างมังกรจะไม่มีคิ้ว ข้าก็อดรู้สึกอยากขมวดมันในใจไม่ได้ ความหงุดหงิดเริ่มมาพร้อมความหิวข้าวที่มากขึ้น ทำให้ข้าพยายามกางปีกข่มขวัญ--
เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ
...ปีกข้าหายไปไหน?
เมื่อเพิ่งเริ่มรู้สึกตัวว่าร่างกายตัวเองผิดปกติ ข้าก็กระเด้งดึ๋งขึ้นมาจากหมอน จนเจ้านั่นถึงกับผงะตกใจ แต่ข้าสิต้องตกใจกว่า เมื่อสำรวจร่างกายตัวเองชัดๆ ซ้ำอีกครั้ง
ช็อกจนพูดไม่ออกยังบอกได้ว่าน้อยไป ตาของข้าเหลือกโตยิ่งกว่าไข่มังกรเมื่อเห็นว่าทั้งปีกสองคู่ ทั้งกิ่งเขาแหลม ทั้งเกล็ดละเอียดต่างอันตรธานหายไปจากร่างตัวเองอย่างไร้ร่องรอย
เหลือเพียงแต่ขน... สีขาวปลอดฟูฟ่อง เขี้ยวเล็บที่แสนภูมิใจหดเล็กลงจนเหลือแค่กระจึ๋งนึง หางที่ไม่มีปลายเกล็ดแหลมอีกต่อไปแล้ว และใบหูนุ่มนิ่มที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิดอย่างน่าประหลาด
...ไม่สิ ไม่ใช่แค่คล้าย เมื่อข้าเบิ่งจ้องเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกที่ครอบห้องอยู่นี้จนลูกตาทั้งสองแทบหลุดออกจากเบ้า มันสะท้อนภาพของ... แมวตัวหนึ่ง ที่มีสีหน้าช็อกโลกที่สุดเท่าที่แมวจะทำได้
จากนั้นแมวตัวนั้นก็กรี๊ดแตก
“กร๊าซซ-แง้ววววววว!!!!”
มารดาเจ้าข้าเอ๊ย!! ข้ากลายเป็นแมวไปแล้ว!!!
[TALK: เวลาเพิ่งตื่นแล้วหิวข้าว หัวจะแล่นช้าเป็นธรรมดา]