ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมวข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
‘เจ้าผู้มาจากโลกเก่า เด็กน้อยเอย เหตุไฉนในใจเจ้าจึงขุ่นเคืองเหล่าบุตรบุญธรรมของเรายิ่งนัก?’
อ่า... ก็ไม่รู้สินะขอรับ พระมารดาแห่งโลกใหม่ พอดีว่าก่อนที่ข้าจะมาติดอยู่บ้านท่าน ข้ากำลังหลับอย่างสุขีในอ้อมกอดของแผ่นดินเกิด แต่อยู่ดีๆอีกพันปีต่อมา ข้าก็โดนปลุก โดนขุด โดนลักพาตัว โดนขังในกรงกล่องแก้วไปล่องอวกาศ จากนั้นก็โดนรมยาสลบ โดนลากมาต่างโลก โดนปลุกอีกรอบ แล้วก็โดนขังอีกรอบ แถมยังถูกรายล้อมไปด้วยไอ้พวกสองเท้าเป็นสิบๆตัวที่ส่งเสียงอื้ออึงอย่างเคร่งเครียด ซึ่งข้าก็ไม่เข้าใจว่ามันจะทะเลาะ **ตี๊ด** อะไรกันนักหนา พวกมันยืนรวมกลุ่มกันอยู่บนพื้นที่ยกสูงห่างออกไปเป็นวา ส่วนสิ่งที่พวกมันเอามาครอบขังข้าก็ยังคงเป็นกระจกแก้วบอบบาง ทอประกายวิบวับชวนปวดลูกกะตาอยู่ดี แสงประกายที่ข้ารู้แน่แล้วว่ามาจากกระแสไฟฟ้าพลังแรงสูงมาก ชนิดที่ถ้าเกิดทะเล่อทะล่าไปแตะเข้าล่ะก็แม้แต่มังกรอย่างข้าก็คงได้โดนย่างสด สุกทั่วกันทั้งนอกในแน่นอน
อ้อ! ยัง ยังไม่หมด ข้ายังได้รู้แล้วว่าที่ตัวเองต้องกลายเป็นแมวน่ะ เป็นเพราะจิตใต้สำนึกกำลังใช้เวทมนตร์ผนึกร่างยามฉุกเฉินของมารดามังกรสุดที่รักสาปตัวเองให้กลายเป็น… แมว อีกด้วย
อุแหม ข้าลืมไปได้ยังไงกันนะ? เหตุผลที่ทำให้ข้าแสนจะเคืองขุ่น รู้สึกแน่นคับอกคับใจจนอยากจะระเบิดตัวเองตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดเหล่านี้มีน้อยไปรึยังเอ่ย? เหอะ เหอะ…
‘คิก ฮะ ฮะ... เจ้านี่ตลกดีนะ เจ้าเด็กน้อยจากต่างแดน’
และเสียงหัวเราะคิกคักอย่างเอ็นดูของพสุธา คือเหตุผลข้อสุดท้ายของการอยากระเบิดตัวเองตายของข้าล่ะ...
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า
หลังจากที่ข้าปิดตา เอาหัวดันพื้นร่วมชั่วโมง ขุดคุ้ยทุกความทรงจำของบรรพบุรุษรวมทั้งมารดา ข้าก็ได้ข้อสรุปเรื่องที่ตัวเองเปลี่ยนสปีชีส์ไปเป็นแมว ดังนี้
มีข้อ (1.) ข้อเดียว เหตุผลเดียวตรงๆเลยก็คือ... ข้ากำลังจะตาย
นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าลงแรงขุดหลุมฝังตัวเองบนยอดที่สูงที่สุดของหลังคาโลกพร้อมกับเมล็ดของต้นแอชเพื่อการนั้นนี่หว่า
ทว่าสิ่งที่ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลยก็เกิดขึ้น นั่นคือแม้ข้าจะตัดสินใจหลับยาวด้วยความต้องการของตัวเองจริงๆ แต่อาจเป็นเพราะร่างของข้ายังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าสู่การจำศีลนิรันดร์ได้เหมือนพวกมังกรรุ่นใหญ่ตนอื่นๆ ที่ใกล้หมดอายุขัยอยู่แล้ว กลายเป็นว่าแทนที่อวัยวะภายในและเซลล์ทุกเซลล์ในร่างจะค่อยๆ หยุดทำงานถาวร ร่างของข้าดันเกิดแพนิคเข้าขั้นวิกฤติ แล้วเปิดใช้มนตร์คาถารักษาชีพขั้นฉุกเฉินแทนซะอย่างนั้น
ข้าสงสัยตัวเองว่าเป็นเพราะเหตุนี้ สัญญาณชีพจรของข้าถึงแปรสภาพเป็นคลื่นความถี่ แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งโลกเพื่อขอความช่วยเหลือจากอะไรก็ตามที่มันสามารถเข้าถึงได้ มันกลายเป็นคลื่นความถี่ที่พุ่งไปยังทุกสิ่งไม่ว่าจะมีชีวิต …หรือไม่มี
คลื่นความถี่ฉุกเฉินที่ร่างข้าสร้างขึ้นอย่างไม่ตั้งใจนี่ล่ะที่เป็นตัวบอกพิกัดของข้าได้แม่นยำมากพอที่เจ้าสิ่งสองเท้าหน้าตายนั่นจะสามารถแกะรอยมาตามเจอหลุมข้าได้ …แล้วมันก็มาขุดข้าออกไป...
พับผ่าสิแม่เอ๊ย!
ยัง ยังไม่พอ ในยามที่ร่างของข้าถูกขุดขึ้นมาน่ะ ข้ากำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก ขนาดตัวของข้าหดเล็กลงเหลือเพียงหนึ่งส่วนสี่ของขนาดมนุษย์เท่านั้น เพราะพลังของข้าได้แตกกระจายเข้าไปอยู่ในเมล็ดของต้นแอชตามที่ข้าตั้งใจไว้จนเกือบหมด
มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งเวทมนตร์ หากหายไปทั้งหมดพลังชีวิตก็จะหายตามไปด้วยจนในที่สุดก็หมดลมไป นั่นคือกลไกของการจำศีลนิรันดร์ หลับไปเรื่อยๆ จนอายุไขไม่เหลืออีกต่อไป พลังที่แตกกระจายออกมาจะถูกส่งต่อไปยังสิ่งรอบด้าน เพราะแบบนั้นพวกเราจึงสามารถฟื้นคืนต้นไม้ สายน้ำ และผืนดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้ดังเดิม
นั่นเป็นสาเหตุที่ร่างของข้าตัดสินว่าสถานการณ์เลวร้ายเข้าขั้นวิกฤติ เมื่อจิตใต้สำนึกของข้าตรวจจับได้ว่าสิ่งมีชีวิตแรกที่เข้าใกล้ในยามที่อ่อนแอที่สุด ก็คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ผสมกลิ่นสนิมประหลาด สัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็พุ่งทะยานถึงขีดสุด มนตร์คุ้มครองจึงถูกเปิดใช้ และพยายามเปลี่ยนสภาพของร่างกายของข้าไปให้คล้ายคลึงมันมากที่สุด เพื่อที่พอเจ้าสิ่งนั้นเห็นว่าข้าเป็นพวกเดียวกัน มันก็จะได้ไม่ลงมือทำร้าย หรือฆ่าข้าในทันที
แต่การเปลี่ยนสภาพเป็นเจ้าสิ่งสองเท้านั้นซับซ้อนและใช้พลังงานมากเกินกว่าที่จะเปลี่ยนตามได้จริง สุดท้ายข้าก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นสิ่งอื่นที่มีประสิทธิภาพรองลงมา แต่ช่วยประหยัดพลังงานมากที่สุด และใกล้เคียงสภาพเดิมมากที่สุด…
ก็คือแมว
ว่าใครไม่ได้เลย มันมีเหตุผลหลายอย่างที่ต้องเป็นแมว ซึ่งนอกจากเรื่องที่มารดาข้าออกจะรักใคร่ในตัวพวกมันเป็นพิเศษแล้ว แมวยังเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่ปรับตัวเก่งมาก! พวกมันมีความอดทนสูง ฉลาดหลักแหลม ใจกล้าหน้ามึนสู้ได้กับทุกสิ่ง และยืดหยุ่นได้แทบจะทุกสถานการณ์
เพื่อทำการรักษาและสะสมพลังเอาไว้ เวทมนตร์คุ้มครองของมารดามังกรจึงได้ตัดสินใจว่าร่างนี้สามารถเข้ากับข้าได้มากที่สุด และถ้าหากข้าต้องตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตที่ไม่คาดฝันขึ้นมาเมื่อไหร่ ข้าก็จะสามารถใช้พลังที่สะสมไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินเปลี่ยนกลับคืนร่างมังกรได้เอง…
ฟังดูเข้าท่า แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ขุมพลังที่จะปะทุออกมาพร้อมกันนั้นจะต้องสร้างความวินาศบรรลัยเกินกว่าที่จะควบคุมไหวแน่ ทำให้ข้าต้องคิดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจะลงมือทำอะไรจริงๆ
อืม ไม่ยากหรอก ไม่เลยไม่ยากสักนิด ข้าถนัดเรื่องใช้หัวคิดก่อนพุ่งไปขบหัวสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่แล้ว จริงๆ นะ
....เฮ้อ
เสียงที่อื้ออึงอยู่ไม่ห่างไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกอะไรไปมากกว่าอยากตบพวกมันเรียงตัวสักป้าบ แม้จะไม่ได้ลืมตามอง จิตมังกรของข้าก็รู้ว่าตอนนี้เจ้าพวกสิ่งสองเท้า ...ที่แสนจะละม้ายคล้ายคลึงกับมนุษย์มากเสียจนน่าขนลุกนั้น ต่างก็กำลังจดจ้องข้าด้วยความรู้สึกที่รุนแรงมากมาย ทั้งสนใจ หวาดระแวง สับสน ขุ่นข้อง กังวล ไปจนถึงหวาดกลัว พวกมันถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดทั้งยังยืนรวมกลุ่มกันห่างข้าออกไปแค่สิบเมตรเท่านั้น
ดูจะรู้สึกปลอดภัยกันดีนะ ที่มีกระจกแก้วโง่ๆนี่ขังข้าเอาไว้เช่นนี้
โอ๊ะ ไม่สิ มีตัวหนึ่ง มันยืนนิ่งจับจ้องข้าด้วยอารมณ์ที่ต่างจากตัวอื่น ข้าไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรนะแต่ไม่ชอบสายตามันเลยสักนิด จิตที่สัมผัสได้จากมันน่ะ... อ้า ใช่แล้ว เจ้านั่นคือเจ้าตัวที่ขุดข้าขึ้นมาอย่างโคตรจะเสียมารยาทไงล่ะ
....เฮ้อ ไอ้บัดโซ๊บนี่ ตายยากจริงๆ
เมื่อไม่มีอะไรให้ลุกไปทำ ข้าที่ยังแนบหน้าผากกับพื้นเหล็กอยู่ก็ใช้จิตมังกรเพรียกหาพสุธาข้างใต้ของทุกสรรพสิ่งบนดาวดวงนี้ โชคดีเหลือเกินที่พระนางช่างแข็งแรงสดใสซ้ำยังทรงพลังเหลือเชื่อ แตกต่างจากพระนางของโลกเก่ายิ่งนัก แถมพระนางยังดูสนใจในตัวข้าเอามากทีเดียว เป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องแรกของข้าเลยล่ะ
‘มารดาแห่งแผ่นดินใหม่ หากลูกไม่พอใจที่ถูกขัง แต่กลับไม่มีพลังมากพอจะคืนสู่ร่างอันแท้จริงได้ ลูกจะต้องทำอย่างไรดี ...พสุธา โปรดช่วยลูกสักเล็กน้อยได้หรือไม่?’
‘เจ้าอยากออกไปจากสถานที่ๆ เจ้าอยู่หรือ?’
‘สุดๆเลยขอรับ ได้โปรด’
‘ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง ได้สิ เราจักช่วยเจ้า’
...หือ???
ผิดคาดไปหน่อยแฮะ ข้าแค่จะขอยืมพลังมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้พระนางต้องลงแรงทำอะไรสักอย่างเลยแม้แต่น้อย แต่อีกใจนึงก็สงสัยเหลือเกินว่า พระนางจะช่วยยังไงน่ะ?
...มีเสียงครืนเหมือนบางอย่างที่ใหญ่มากกำลังขยับอยู่ใต้ดิน...
ข้ารู้สึกได้ถึงการสั่นไหวอย่างรุนแรงจากข้างใต้ผืนพิภพ มันเคลื่อนที่หมุนวนและรวดเร็วอย่างที่ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ ราวกับอสรพิษโอบโลกที่กำลังขยับกายบิดขี้เกียจ เสียงอันน่าพรั่นพรึงมาพร้อมกับแรงสะเทือนแบบเดียวกับยามที่พสุธาเคลื่อนที่
อ้า แผ่นดินไหวนี่เอง
ครืน...
ในตอนแรก มันเป็นการสั่นสะเทือนเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจ
ท่านนายพลยืนนิ่ง ไม่เข้าร่วมการต่อล้อต่อเถียงของเหล่าผู้บัญชาการที่อายุอานามก็มากพอจะเป็นปู่ทวดกันหมดแล้ว แต่กลับยังพากันทำตัวเหมือนวัยรุ่นหัวร้อน ทะเลาะกันอย่างออกรสออกชาติ ว่าจะเอายังไงกับไอ้ตัวปัญหาในกล่องแก้วข้างล่างดี
เขาไม่สนใจหรอก หน้าที่ของเขาสำเร็จแล้ว ทีนี้ทั้งเขาและพวกลูกเรือจะได้กลับบ้านไปพักยาวสักที พูดกันตามตรงแล้วแม้ทั้งหมดจะเป็นทหาร แต่เขาไม่ชอบงานที่ต้องอยู่แนวหน้าเลยสักนิด เขาถนัดการเป็นเสนาธิการมากกว่ามานั่งตำแหน่งนายพลเสียอีก
…แต่ชีวิตไม่อาจเป็นดังใจได้ทุกอย่าง ความจำเป็นที่บีบให้เขาต้องออกแนวหน้าทำให้เขาเริ่มชินชากับการเป็นนายพลทหาร อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาถูกรัฐบาลโลกใช้งานไปทำเรื่องอันตรายที่เสี่ยงตายได้ทุกเวลา แต่หากเขาไม่มาคุมงานเองล่ะก็ พวกลูกน้องของเขาจะต้องทำกันเอง และถ้าพวกนั้นโชคร้ายอย่างที่ชอบเป็นบ่อยๆ ล่ะก็ ถ้ายังมีโชคเหลือบ้างทั้งหมดนั่นอาจไปจบที่ศาลทหาร แต่ถ้าไม่เหลือโชคก็คงไม่เหลือชีวิตกันเลยทีเดียว ในฐานะหัวหน้าแล้วเขาจะไม่ยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนไหนต้องรับหน้าไอ้พวกเจ้าเล่ห์นี่ด้วยตัวเองเป็นอันขาด
“ท่านนายพลอันซาน”
ร่างสูงของบุรุษนาม อันซาน ทามัล หันตามเสียงเรียก “ท่านผู้บัญชาการทีค”
ชายแก่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ประดับประดาไปด้วยป้ายแถบแสดงตำแหน่งของ ผู้บัญชาการแห่งโลก เขาปกครองเขต3 ที่โคโลนี-53 ตั้งอยู่นี้ และมีศักดิ์เป็น ท่านอา ของเขา “ทำได้ดีมากไอ้หลานชาย” ชายชรานาม ทีค ฉีกยิ้มใจดี แต่ดวงตาเฉยชาไม่เปลี่ยน “ไม่นึกเลยว่าคนแก่ๆ อย่างฉันจะมีโอกาศได้เห็นมังกรตัวเป็นๆ แบบนี้…”
ผู้เป็นอาขยับเข้ามาใกล้ “บอกอาหน่อยซิ หลานหลบการตรวจจับของไอ้พวกชาวสวรรค์ได้ยังไง”
อันซานขยับยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาจนคนเป็นอาแอบหน้าเสีย “ลูกเรือของผมเก่ง และยานอาร์ค-11 ไม่เคยทำให้เราผิดหวังน่ะครับ” เขาเบือนหน้าหนีอย่างหน่ายใจที่จะคุย “ท่านอาก็รู้ว่ามันเป็นยานที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดของเรา ท่านพ่อไม่เคยใช้งานอะไรไปสั่วๆ อยู่แล้ว”
ไม่เหมือนท่านอา
แม้จะไม่พูด แต่ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาจะพูดอะไร ท่านผู้บัญชาการทีคหุบยิ้ม แต่เพราะไม่อยากโต้เถียงกับหลานชายให้ผู้ร่วมงานโดยรอบเห็น เขาจึงเป็นฝ่ายล่าถอยไปก่อน “แหม อารู้อยู่แล้วว่าหลานน่ะเก่งที่หนึ่ง แน่นอนว่าต้องยกความดีความชอบให้การเลี้ยงดูของพ่อเจ้าสินะ สมัยหนุ่มๆ เจ้ามันก็บ้าดีเดือดพอๆ กับเขาเลยรู้ไหม ไอ้หนู” รอยยิ้มที่ส่งให้หลานชายอบอุ่นเหมือนชาใส่ยาพิษ “อ้อ... อาเกือบลืมไป เจ้าถูกเลี้ยงดูโดยมารดาของเจ้ามาก่อนด้วยนี่นะ”
อันซานหุบยิ้ม
“เอ่อ ทะ-ท่านผู้บัญชาการ ท่านนายพลครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเจี๋ยมเจี้ยมมาหาด้วยสีหน้าเจื่อนสนิท “เราต้องการความเห็นของพวกท่านว่า เอ่อ.. จะทำอย่างไรกับ มัน ต่อไปน่ะครับ…”
ทั้งอาทั้งหลานหันไปมองคนถาม ที่ๆ พวกเขาถกเครียดกันอยู่ตอนนี้คือ คุกธีซีอุส มันเป็นปราการคุกใต้ดินที่แน่นหนาที่สุดในดาวโลกใหม่ ตั้งอยู่ภายใต้อาคารที่เป็นปราการฐานทัพแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมี มันถูกสร้างขึ้นมาให้ทนทานการโจมตีทุกรูบแบบ ไม่ว่าจะด้วยอาวุธล้ำยุคแค่ไหน ก็ไม่อาจทำได้แม้แต่สร้างรอยขีดข่วนบนผนัง
และกระจกรอบด้านที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขา กับ มัน อยู่นั้น ก็สร้างจากวัสดุที่เสริมความแข็งแกร่งระดับเดียวกัน เมื่อประกอบกับกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ปล่อยอย่างต่อเนื่องแล้ว แม้แต่เซนทิเนลของพวกเซเลสเทียลก็แหกคุกออกไปไม่ได้โดยง่ายหรอก
อันซานขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าเจ้าสัตว์ประหลาดในร่างแมวนั่นไม่ขยับมาหลายชั่วโมงแล้ว เขามั่นใจว่ามันตื่นแล้วอย่างแน่นอน ทว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ สักนิด
“สัญญาณชีพของมันเป็นยังไง”
เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าจออยู่แอบสะดุ้ง ตอบเขาตะกุกตะกัก “คะ-ครับ! หัวใจเขาเต้นในจังหวะที่เร็วเกินกว่าสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักมากครับ อุณหภูมิของเขาก็สูงมาก แต่อัตราความถี่ที่เราตรวจพบมีระดับคงที่ เราพอจะคาดเดาได้ว่านี่คือยังปกติอยู่ครับ”
ตั้งแต่ย้ายมันลงมาโลก เหมือนบางอย่างที่ก่อกวนเทคโนโลยีล้ำสมัยของพวกเขาจะหายไปแล้ว ทำให้ตอนนี้พวกเขาสามารถตรวจสอบและบันทึกทั้งสัญญาณชีพ อัตราความเร็วของการเต้นของหัวใจ และอุณหภูมิร่างกายของมันได้ในที่สุด ค่าวัดที่ได้นั้นประหลาดมาก ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต เขาอาจจะคิดว่ากำลังตรวจสอบภูเขาไฟอยู่แน่ๆ ระดับความร้อนสูงที่จับได้จากร่างของมันร้อนไม่ต่างจากลาวา แน่ใจได้ว่าเลือดของมันต้องเป็นกรดเดือดพล่าน ที่น่าประหลาดใจก็คือ ตอนที่เขาอุ้มมัน กลับไม่ร้อนเลยสักนิด มันรู้สึกเรียบเย็นเหมือนจับหินหยกมากกว่า
“แล้วท่านอื่นๆ คิดเห็นอย่างไรกันบ้างหรือครับ?” ทีคสอบถามท่านที่อยู่ใกล้เขาที่สุด ชายแก่ไม่ต่างกันหันมาด้วยใบหน้าวิตกอย่างยิ่ง
“จะทำอะไรได้อีกล่ะครับ ก็ต้องลงความเห็นว่าฆ่ามันน่ะสิ!”
แทบทุกคนในห้องหันมองผู้พูดเป็นตาเดียว ไม่นานอีกคนก็โพล่งขึ้นมาบ้าง “ใช่แล้ว! เราเอาชิ้นส่วนมันไปสร้างเป็นอาวุธที่ต่อกรกับพวกชาวสวรรค์ได้แน่ ไม่อย่างนั้นมันจะตามหาไอ้สิ่งนั้นจนแทบจะยึดดาวเราทำไมกัน!”
“แต่ถ้าพวกท่านต้องการให้มันตาย” อันซานเอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ “แล้วท่านจะบากหน้ามาสั่งให้ผมไปชิงตัวมันมาแบบเป็นๆ ก่อนที่พวกเซเลสเทียลจะได้ไปทำไมกัน”
เงียบกริบ ชายชราหลายคนที่มีตำแหน่งสูงทำอึกอักไม่ตอบเขา ส่วนท่านอาที่น่าเคารพหันหน้ามายิ้มให้หลานชายอย่างเอ็นดูราวกับเห็นหมาที่ยอมทำตามคำสั่งเพื่อขอเศษอาหาร
“ยังไงอาวุธก็คืออาวุธ สิ่งที่ชาวสวรรค์ต้องการมากขนาดนั้นอยู่ในโลกของเรา จะปล่อยให้มีเอเลี่ยนที่ไหนขโมยไปได้ยังไงกันล่ะ จริงไหม? มังกร… เฮอะ ถึงสภาพมันตอนนี้จะดูไม่ต่างกับลูกแมวอ่อนแอตัวนึง แต่... เราใช้มันได้แน่”
ดวงตาของชายแก่ที่จับจ้องร่างเล็กจ้อยข้างล่างนั้นมีแววกระหายถึงอำนาจพาดผ่าน “ข่าวสารที่เราได้มาอย่างลึกลับนั่น บอกเราว่าพวกชาวสวรรค์ต้องการมังกรเพื่อพลังบางอย่างของมันที่ล้ำค่ามากทีเดียว… ผมว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ก่อนสักพัก”
ผู้บัญชาการเขตอื่นพยักหน้าเห็นด้วย ชายร่างสูงใหญ่คนนี้ดูภูมิฐานมีรัศมีของผู้ปกครองอย่างเต็มเปี่ยม แตกต่างจากคนอื่นโดยรอบ
“ผมเห็นด้วยกับท่านทีค มันมีค่าเกินกว่าแค่จะเอาชิ้นส่วนมาทำอาวุธแน่ เราต้องตรวจสอบอย่างละเอียด และคิดให้รอบคอบกว่านี้ ดีไม่ดีเราอาจใช้มันต่อกรกับพวกเซนทิเนลได้ด้วยซ้ำ”
ชายผู้นั้นหันมาหาอันซาน ดวงตาคมปลาบดุดันพลันอ่อนแสงลงเพียงนิดเมื่อมองลูกศิษย์ของตน “อันซาน เจ้าว่าอย่างไร?”
อันซานค้อมหัวให้ผู้เป็นอาจารย์อย่างนอบน้อม “ผมเห็นด้วยกับท่านผู้บัญชาการดันสตันครับ”
ผู้เป็นอามุมปากกระตุก ส่วนท่านอาจารย์ลอบยิ้มขัน
เมื่อเห็นว่าผู้มีอำนาจทั้งสาม-- ทั้งสอง และท่านนายพลผู้โด่งดังเรื่องความเด็ดขาดเห็นชอบที่จะให้สัตว์ประหลาดข้างล่างมีชีวิตต่อไป คนอื่นๆ ก็เริ่มลังเลใจ และค่อยๆ พากันเห็นด้วย
“เช่นนั้นก็สรุปแบบนี้สินะครับ” ชายแก่นามทีคทำทีเป็นกล่าวปิดงาน “อย่างไรเสียรัฐบาลโลกอย่างเราก็ไม่อาจเปิดเผยข้อมูลลับนี้กับสาธารณชนได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น…” เขาหันไปหาอันซาน ที่รู้ชะตากรรมตัวเองทันที “อันซานเอ๋ย เจ้ารับหน้าที่ดูแลมันไปแล้วกันนะ”
ผู้ถูกโยนภาระใส่ได้แต่กัดฟันกรอด แต่ตราบใดที่ยังอยากถือสถานะของมนุษย์โลก เขาต้องกัดฟันยอมรับมันทุกอย่าง เก่งอย่างไรเขาก็ปกครองโลกนี้โดยไม่มีรัฐบาลโลกไม่ได้ “…ครับ”
ผู้บัญชาการดันสตันเดินมาตบบ่าเขาเบาๆ ส่วนคนอื่นๆ ได้แต่เสมองอย่างอื่นด้วยไม่อยากยื่นเงาหัวไปยุ่งเรื่องในครอบครัวของตระกูลใหญ่ทรงอำนาจของโลกที่ขึ้นชื่อเรื่องความเอาแน่เอานอนไม่ได้ตรงนั้น
อันซานหลับตาลง ตั้งใจจะเรียบเรียงสติใหม่ ทว่าเขาก็ต้องชะงักกึก แล้วพุ่งพรวดไปที่แผงควบคุมของคุกทันที
“เปิดระบบป้องกันภัย!”
ทุกคนในห้องต่างตกใจและสับสน “ท่านนายพลอันซาน!? ทำอะไรครับ” เจ้าหน้าที่คนเดิมหน้าซีดเผือดเมื่อท่านนายพลหนุ่มหันมาจ้องตนอย่างดุดัน น่ากลัวจนเขาแทบฉี่ราด
“ฉันบอกให้เปิดระบบป้องกันเดี๋ยวนี้!”
ผู้เป็นอาที่เลิกอึ้ง หันมาตะคอกใส่เสียงดัง “เอ็งทำบ้าอะไรไอ้หนู! จะเปิดระบบขังพวกเราทำไม?!”
“ก็เพราะมีบางอย่างที่อันตรายมากกำลังเกิดขึ้นน่ะสิครับ! ท่านคิดว่าผมจะทำอะไรไม่มีหัวคิดเหมือนท่านรึยังไง?!”
คนถูกหลานด่าว่าไม่มีหัวคิดหน้าแดงก่ำอย่างกราดเกรี้ยว แต่ก็ถูกอีกท่านแทรกขึ้นมาเสียก่อนจะได้อ้าปากตวาด
“ทำตามที่เขาบอก!” ผู้บัญชาการดันสตันสะบัดมือสั่งการด้วยน้ำเสียงดุดันไม่แพ้กัน “พวกท่านทั้งหมดไปห้องหลบภัย เดี๋ยวนี้”
ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งโลกอย่างดันสตัน ผู้ดำรงตำแหน่งสูงในรัฐบาลโลกท่านที่เหลือทั้งหมดจึงต้องทำตามที่บอก พวกเขาออกไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกว่าครึ่งร้อย ส่วนอีกครึ่งร้อยยังอยู่ในห้อง เผื่อเจ้านายทั้งสองจะสั่งการอะไรเพิ่มอีก
ผู้บัญชาการดันสตันเข้ามาถามลูกศิษย์ตัวเองอย่างเคร่งเครียด “มันเกิดอะไรขึ้น”
“มีบางอย่างขยับอยู่ใต้ดินลึกลงไปมาก ...ใต้เรา” อันซานกัดฟันตอบ เขากำลังใช้ทั้งเทคโนโลยีและพลังจิตของตนตรวจสอบพื้นที่โดยรอบทั่วทั้งอาคาร “และป้อมปราการนี่กำลังสั่นอยู่ครับอาจารย์ มันกำลังร้าว!”
“เป็นไปไม่ได้!” ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มวัยกลางคนพุ่งไปที่หน้าจอควบคุมคุกอีกอัน “นี่คือคุกที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะเกิดรอยร้าวได้เด็ดขาด!”
“แต่มันกำลังเกิดขึ้น! ผมรู้ว่าท่านเชื่อผม ตอนนี้เราต้องเตรียมรับมือแล้วครับ!”
ท่านนายพลอันซานสะบัดมือเพียงครั้งเดียว อาวุธร้ายแรงทุกชิ้นในห้องก็พุ่งเป้าไปที่ร่างเล็กจ้อยทันที สัญชาตญาณบอกเขาว่ามันจะไม่ตายด้วยอาวุธพวกนี้หรอก แต่ถ้าแค่สกัดไม่ให้หลบหนีล่ะก็… เขามั่นใจว่าทำได้แน่นอน
“เจ้าสิ่งนั้นเป็นคนทำงั้นหรือ…” ท่านผู้บัญชาการดันสตันมองสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อยกลางห้อง มันดูอ่อนแอและเปราะบางเกินกว่าจะคิดว่าอันตราย แต่เขาไม่ได้อยู่ตำแหน่งสูงสุดทางทหารเพราะจับฉลาก ฉะนั้นเขาจึงเปิดรหัสแดงสำหรับเวลาฉุกเฉิน
เสียงไซเรนดังขึ้นกรีดร้องทั่วอาคารทันที แสงสีแดงสาดส่องทุกพื้นที่ รับมือกับอะไรบางอย่างที่กำลังจะมา ความตึงเครียดแผ่กระจายอย่างไม่อาจห้าม ท่านนายพลอันซานจ้องเขม็งไปยังร่างเล็กจิ๋วอย่างตาแทบไม่กะพริบ
ในฉับพลันนั้นเอง แมวตัวนั้นก็ขยับ หัวของมันหันมาหาเขา และดวงตาของมันที่สะท้อนแสงไฟสีแดงสดก็ดูราวกับสัตว์ร้ายไม่มีผิด
ครืนนนน…
เสียงอันน่าสะพรึงที่คราวนี้ได้ยินกันทุกคนดังกึกก้อง พื้นเริ่มสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินกำลังไหว ระดับความรุนแรงที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนต้องใช้พลังจิตปกป้องตัวเองทันที
“หมอบลงเดี๋ยวนี้!” อันซานตะโกนก้อง พลังจิตอันแข็งแกร่งของเขาแผ่กระจายก่อตัวเป็นกำแพงปกป้องทุกคนในห้องเอาไว้
แล้วจากนั้น ทุกอย่างก็หยุดนิ่ง
นิ่ง... ราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความสงัดที่ตามมาทำให้เขาตึงเครียดมากกว่าเดิมเสียอีก...
.
.
.
.
.
.
จากนั้นเขาก็เห็นมัน
ครืนนนนนนน!!!
ราวกับฝ่ามือของพญายมที่ผุดขึ้นมาจากดิน สายธารลาวาเดือดพล่านโผล่พุ่งขึ้นจากพื้น ทะลุผ่านเหล็กแกร่งกล้าได้อย่างง่ายดายเหมือนมีดตัดผ่านน้ำ เสียงกรีดร้องของโลหะที่มอดไหม้หลอมละลายดังเสียดแทงแก้วหู มันเผาไหม้พื้นที่รอบด้านแล้วพุ่งตรงเข้าหาร่างเล็กจ้อยตรงกลางอย่างรวดเร็ว
เพล้ง!!
กระจกแก้วแตกละเอียดทันทีที่สายลาวาเพียงน้อยนิดสาดกระเซ็นเข้าใส่ องศาความร้อนทะลุขีดจำกัดสร้างแรงกดดันที่แทบจะทำให้กลุ่มมนุษย์ตรงนั้นสลบไป อันซานจับจ้องเส้นแสงสีส้มของเพลิงลาวาที่เต้นเร่าอย่างสวยงามเบื้องหน้า มันไม่มีทีท่าว่าจะทะลักเข้ามาบนนี้อย่างที่เขาแอบเกรง
สักพักชายหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้าง พูดอะไรไม่ออก เมื่อเห็นชัดๆ ว่าสายธารลาวานั้นตวัดวูบไหลท่วมพื้นที่ด้านล่าง มันกลืนกลินเจ้าสิ่งนั้นจนหายไปจากสายตา ท่านนายพลอันซานได้แต่ถูกตรึงกับที่ เมื่อทันทีที่สายลาวาหายไป แมวสีขาวปลอดตัวนั้นก็หายไปด้วย
แล้วทุกอย่างก็กลับมาสงบอีกครั้ง ป้อมปราการขนาดยักษ์กลับมานิ่งสนิท เหลือเพียงรอยไหม้และเศษชิ้นส่วนที่ถูกธารลาวาเผาทำลายเท่านั้นเป็นหลักฐานถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ร่างสูงของชายหนุ่มขยับลุก เขาเข้าไปใกล้กับกระจกที่แตกกระจายไม่มีชิ้นดีเหมือนคนเดินละเมอ
“...มังกรตัวนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง “หายไปแล้ว”
ณ พื้นที่รกร้างว่างเปล่า ห่างไกลจากปราการทหาร ผ่านเข้าสู่เขตใกล้กับชานเมือง พื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในปัจจุบัน
แมวตัวหนึ่งผุดขึ้นมาพร้อมลาวาร้อนระอุจากพื้นธรณี ธารลาวาสีส้มสวยสดงดงาม ห่อหุ้มร่างมันเอาไว้ดั่งดอกไม้ตูม สักพักก็คลี่บานออกให้เจ้าแมวนั่นเดินลงมาขยับยืดเส้นยืดสาย สะบัดหัวดุ้กดิ้ก มันแนบหน้าผากลงกับพื้นเพื่อเอ่ยขอบคุณบางสิ่ง แล้วขยับร่าง เดินไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยชีวิตเบื้องหน้าตนอย่างไม่รีรอ
ฮัดช่า
ข้ารอดออกมาได้แล้วโว้ย!