ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมวข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
นั่นมัน... อะไร?
ข้าเห็นแสงวูบวาบหลากสีสันไม่ต่างจากสายรุ้งกินน้ำ ทว่ามันกลับสะท้อนวิบวับไปมาระหว่างสิ่งปลูกสร้างมากมายตรงหน้า แถมสีมันยังสว่างวาบจนปวดลูกกะตาแปลกๆ สีสดกว่าสายรุ้งหลายร้อยเท่านัก แสบตา!
นี่อะไร โน่นอะไร นั่นอะไร?!
แม้ข้าจะเกิดทันพอดีในสมัยที่มนุษย์เพิ่งทอดทิ้งโลกเก่าไปหมาดๆ มารดาเคยพาข้าไปดูอารยธรรมที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ทำให้ข้าเคยเห็นเครื่องจักรกล หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีของพวกมนุษย์มาก่อน แม้จะไม่เคยเห็นตอนที่สิ่งเหล่านั้นถูกใช้งานก็ตาม
ช่างน่าอัศจรรย์นัก พวกเขาไม่มีเวทมนตร์สักนิด แต่ก็ยังสามารถที่จะทำให้ชีวิตสะดวกสบายได้ด้วยเทคโนโลยีเหล่านั้น
แต่วันนั้นก็ไม่อาจทำให้ข้าทึ่งได้เท่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าวันนี้
แสง สี เสียง วูบวาบตระการตา ยานรูปร่างประหลาดมากมายร่อนผ่านไปมาเหนือหัว บางลำเหมือนยานขนส่งขนาดเล็ก บางลำเหมือนนกเหล็ก บางลำเหมือนลูกกลม เมื่อมองลงมาอีกหน่อยจะเจอกับสิ่งปลูกสร้างคล้ายที่อยู่อาศัยของพวกมนุษย์ผุดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา พื้นที่ระหว่างตึกอาคารพวกนั้นมีภาพฉายที่ขยับได้อยู่บนแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ประดับอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ข้างล่างคือสิ่งมีชีวิตที่ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกแล้วเดินขวักไขว่ไปตามถนน เสียงของผู้คนมากมายฟังไม่ได้ศัพท์ อื้ออึงเหมือนนกกระจอกรังแตก
มีกลิ่นของเหล็ก ปูน และอิฐกระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณ แทรกด้วยกลิ่นดินชื้นแฉะหลังฝนตก กลิ่นของพืชและชีวิตสีเขียวที่ขึ้นเป็นกระจุกตามหย่อมต่างๆ ประปราย มีกลิ่นหอมของอาหารลอยมาตามลมจนท้องข้าส่งเสียงโครกคราก และ... กลิ่นของมนุษย์
อา...
ข้าไม่อยากจะยอมรับเลยจริงๆ
ตั้งแต่ครั้งที่เราได้มอบเปลวไฟให้แก่มนุษย์ มังกรอย่างพวกเราก็ต้องทึ่งในความทะเยอทะยานที่จะวิวัฒน์พัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกมนุษย์มาโดยตลอด ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยพอใจในความสงบสุขของสถานะที่เป็นอยู่เหมือนชาวมังกร อาจเป็นเพราะพวกเขามีอายุขัยที่สั้นกว่าเรามาก จึงถูกบีบคั้นจากกาลเวลาให้ต้องวิวัฒน์ตนเองอยู่เสมอ
พวกเขาบางส่วนโหดร้าย ไร้ความปรานีต่อสิ่งที่อ่อนแอกว่า หรือแม้แต่พวกเดียวกันเอง แต่พวกเขาอีกส่วนก็สามารถอ่อนโยนเป็น และคอยต่อสู้กับด้านที่โหดร้ายของพวกเขาเองเสมอ
มีผู้ทำลาย จึงมีผู้ปกป้อง มนุษย์ชอบสร้างสงคราม แต่มนุษย์ก็จะเป็นผู้จบสงครามเช่นกัน
ชาวมังกรที่เฝ้าดูพวกเขาอยู่เสมอทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ มีชาวมังกรบางส่วนทนรับพฤติกรรมป่าเถื่อนของมนุษย์ที่เอาแต่สร้างสงครามไม่ไหวจึงเปลี่ยนไปเกลียดพวกเขาแทน และไม่เคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือเมื่อภัยธรรมชาติคร่าชีวิตมนุษย์ บางครั้งยังเกลียดชังถึงขั้นลงมือขับไล่มนุษย์เองเสียด้วย
แต่ในขณะเดียวกัน มังกรที่เหลือก็ยังคงรักพวกเขาอยู่ และบ่อยครั้งก็คอยลงแรงปกป้องคุ้มครองพวกมนุษย์จากภัยต่างๆ มากมาย และจากมังกรด้วยกันเองเช่นกัน
พวกเราไม่เคยฆ่ากันเองหรอก เราไม่เคยแตกหักกันร้ายแรงถึงขนาดนั้น การทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของพี่น้องอยู่แล้ว
และเรื่องนี้คงเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวตะวันตกถึงมองว่ามังกรอย่างเราเป็นสัตว์ร้ายจากนรก ในขณะที่ชาวตะวันออกนับถือเราดั่งเทพพิทักษ์อันศักดิ์สิทธิ์
ในบางครั้ง ยามคึกคะนองที่มักจะเกิดขึ้นช่วงชีวิตหนึ่ง เคยมีชาวมังกรนึกสนุก ลอบแปลงกายเป็นมนุษย์ แล้วเข้าไปอาศัยปะปนอยู่กับพวกเขาอยู่ระยะเวลาหนึ่งเช่นกัน ในบางครั้งพวกมังกรแปลงเหล่านี้ ก็แอบสอนความรู้บางอย่างให้มนุษย์อีกด้วย อาจะเป็นเพราะว่าพวกเขาอยากรู้ว่ามนุษย์ใช้ชีวิตกันอย่างไร แล้วถ้าชาวมังกรมอบความรู้ให้ พวกเขาจะใช้ภูมิปัญญานั้นอย่างไร
...ผลที่ได้ คือการที่เทคโนโลยีต่อมาของมนุษย์ได้ก้าวล้ำหน้าเปลี่ยนไปจากธนูไม้และรถลากเทียมม้า มาเป็นยานสำรวจดวงจันทร์และระเบิดปรมาณู
ในข้อหลังสุดนี้ ผู้อาวุโสมังกรไม่พอใจมากจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ชาวมังกรในร่างแปลงไม่เคยอยู่กับมนุษย์นาน พวกเขาจะรีบทำทีเป็นด่วนจากไปก่อนที่พวกมนุษย์จะจับได้ว่าพวกเขาไม่เคยแก่ขึ้นตามเวลาของมนุษย์ เหตุผลหลักคือพวกมนุษย์มักจะหวาดกลัวต่อสิ่งที่แตกต่างจากพวกเขาเสมอ และพวกเราชาวมังกรต้องระมัดระวังตัวทุกครั้งที่พยายามแอบเข้าหา
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์มากเกินพอแล้ว แม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะถูกชี้ว่าไม่เป็นความจริง แต่พวกเราไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่มจนกลายเป็นสงครามล่าแม่มดอีกครั้งในประวัติศาสตร์หรอก การต้องแกล้งตายเพราะไฟกองเล็กๆ คงจะเป็นอะไรที่แสดงลำบากมากทีเดียว
ทว่า.. สำหรับข้า การโดนมนุษย์ในโลกเก่าจับเผาอย่างไร้ประโยชน์และไม่ได้เกิดผลอะไรขึ้นจริง อาจจะไม่น่าสะเทือนใจเท่าตอนนี้ก็ได้
ในโลกใหม่ที่ข้าถูกลักพามาตอนนี้ ข้าเห็นเจ้าสิ่งมีชีวิต1หัว 2มือ 2เท้า เดินพลุกพล่านไปตามสถานที่ต่างๆ จากมุมที่หยุดดูอยู่ ทำให้พวกมันดูเหมือนกับสังคมของมดในอาณาจักรแมลงไม่มีผิด สิ่งมีชีวิตสองขาที่มีลักษณะและกลิ่นคล้ายมนุษย์ในความทรงจำมากเสียจนข้าเริ่มสงสัยว่าข้อสมมุติฐานในหัวข้าถูกต้อง
...มนุษย์ได้วิวัฒน์ตนเองไปอีกครั้งแล้วจริงๆ
ข้าปฏิเสธมัน ไม่ยอมรับความจริงว่าแม้แต่มนุษย์ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกตั้งแต่แรกแล้วเมื่อเห็นพวกเขาอีกครั้ง ตั้งแต่ที่พสุธาแห่งโลกใหม่เอ่ยต้อนรับข้า ตั้งแต่ที่พระนางเรียกเจ้าสองขาพวกนี้ว่าบุตรบุญธรรม แต่ข้าก็ยังไม่อยากยอมรับว่าพวกนี้เป็นมนุษย์...
เพราะความเห็นแก่ตัวของข้า... ที่อยากให้สายพันธุ์ในตัวของมนุษย์ยังคงเหมือนเดิม เหมือนเมื่อหลายพันปีก่อนที่พวกเขาจากไป ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์พี่น้องจากโลกเก่าของข้าอยู่เช่นเดิม
แต่ไม่ใช่อีกแล้ว ตอนนี้กระดูกของพวกเขาคือเหล็ก เลือดของพวกเขาเปลี่ยนไป พันธุกรรมของพวกเขาเกิดการวิวัฒนาการจนกลายเป็นสิ่งใหม่ พวกเขาคือมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ สายเลือดใหม่ ที่กำเนิดขึ้นใหม่บนดาวดวงนี้อย่างเต็มตัว
...แม้แต่สิ่งมีชีวิตสุดท้ายจากโลกเก่า ก็ยังถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงไปเช่นกันหรือ...
....แม้แต่ที่นี่ ข้าก็โดดเดี่ยวอีกครั้งใช่ไหม....
ไม่มีสิ่งใดอยู่ยั้งยืนยง นั่นคือสัจธรรมของธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าข้าจะต้องการหรือไม่ มังกรผู้ใหญ่ทุกตนเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่พวกมนุษย์ทำ ไม่ว่าผลกระทบต่อโลกเก่าจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม
พวกมังกรผู้ใหญ่ทุกตัวปล่อยปละละเลย ไม่เคยคิดประกาศตัวตนห้ามปรามการกระทำเหล่านั้นเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่มังกรอย่างเรารักบ้านมากแท้ๆ เชียว จนบางครั้งข้าแอบคิดว่าพวกเขาต้องการให้มันเกิดขึ้นเองเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะยังไงเสีย ดาวโลกจะไม่ดับสิ้นไปเพียงเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์หรอก สิ่งเล็กๆ อย่างพวกมันทำได้แค่กระตุ้นให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งที่6 เท่านั้นเอง
ในท้ายที่สุดแล้ว โลกก็จะไม่เป็นไร แม้สิ่งมีชีวิตเดิมจะหายไปก็จะมีสิ่งใหม่กลับมาทดแทนเสมอ ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคือพวกมนุษย์ต่างหาก การสร้างมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อมมายาวนานทำให้มนุษย์ต้องไปจากโลก เมื่อถึงตอนนั้นโลกจะกลับมาฟื้นฟูแข็งแรงด้วยความช่วยเหลือของเราชาวมังกร และสมดุลจะกลับคืนมาอีกครั้งอย่างที่เคยเป็น
แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งที่ข้าอายุเป็นพันปีแล้วแท้ๆ ข้าก็ยังคงเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจไม่ต่างจากเมื่อครั้งยังเป็นมังกรทารกไม่มีผิด
...ข้าเคยเฝ้าฝัน อยากให้พวกมนุษย์กลับบ้าน
ทุกครั้งที่มองฟ้า ข้าครุ่นคิด คะนึงหา สงสัยว่าในยามที่พวกเจ้าอยู่ในโลกที่ห่างไกลเหลือเกินนั้น ชีวิตใหม่ของพวกเจ้าเป็นอย่างไรกัน? อยู่บนโลกโน้นปลอดภัยกันดีหรือเปล่า? ...คิดถึงบ้านบ้างรึเปล่า?
สองมือของมนุษย์อาจทำลายสิ่งต่างๆ มากมายก็จริง แต่ด้วยสองมือเดียวกันนั้นพวกเขาก็สร้างสรรค์สิ่งที่งดงามมากมายหลายอย่างเช่นกัน โดยเฉพาะยามที่พวกเขาหลงรักในบางสิ่ง
ความรักคือแรงขับเคลื่อนอันทรงพลังของมนุษย์มาช้านาน มันคือความรักที่เกิดมาจากการต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดก่อนจะหมดสิ้นอายุขัยที่มีเพียงชั่วพริบตาเดียว มันงดงาม ละเอียดลออ แบบที่มังกรอย่างข้าก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด
หลังจากมารดาข้าหลับไป ข้าก็เดียวดายและโศกเศร้า มีเพียงเศษซากอารยธรรมของมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่แค่หยิบมือเดียวเป็นเพื่อนคลายเหงา ไม่ให้ข้าหลงลืมอารยธรรมที่มีมายาวนาน ไม่ให้ข้าหลงลืมการพูด การเขียน การอ่าน แม้ว่าข้าจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นก็ตาม
ข้าได้กลายเป็นอารยธรรมสุดท้าย ท่ามกลางโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เพราะสงสัยใคร่รู้ในสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ ข้าจึงไม่เคยอยู่เฉย ข้าศึกษาประวัติศาสตร์ของพวกเขา ข้าคอยใช้มนตรารักษามรดกโลกของพวกเขาไม่ให้พังทลาย ข้าปกป้องสิ่งปลูกสร้างอันสวยงามของพวกเขาจากภัยธรรมชาติมากมาย ...และข้าก็แอบเฝ้าฝันว่า สักวันหนึ่ง เมื่อถึงวันที่โลกกลับมาปลอดภัยพอให้มนุษย์อยู่ได้อีกครั้ง พวกเขาจะกลับไปที่นั่น
กลับมาสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม กลับมาอยู่เป็นเพื่อนข้าที่โลกเก่านี้ กลับมาบ้าน... ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจ ว่ามันจะไม่มีวันนั้นตลอดกาล
หลงรักเผ่าพันธุ์ในความทรงจำที่จากไปนานแล้ว ข้านี่ช่าง... น่าละอายจริงๆ
ร่างของข้าคุดคู้ลง ขดเป็นก้อนกลม หน้าผากข้าแตะดิน น้ำตาไหลอย่างไม่อาจห้าม ผืนดินสีน้ำตาลเข้มของดาวดวงนี้ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนไม่ต่างจากหัตถ์ของพระมารดา กลิ่นดินชุ่มชื้นผ่อนคลายหัวใจข้า สายลมบางเบาพัดมากระทบกายราวกับกำลังปลอบประโลม
“ผมขอเสนอให้ประกาศฉุกเฉินออกไปซะ”
ท่ามกลางความเคร่งเครียดที่ยิ่งกว่าตอนที่ยานสำรวจลับอาร์ค-11แตะลงพื้นโลก แล้วอันซานนำร่างของไอ้แมวนั่นลงมา พวกเขาจัดประชุมเร่งด่วนเพื่อจัดแผนตามหาสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงนั่น
หลังจากที่สายลาวาหายไปหมด ทั้งหุ่นรบ ทั้งทหาร และเจ้าหน้าที่ร้อยกว่าชีวิตต่างบุกเข้ามาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังอยู่ในห้อง คุกคุมขังนั่นเละเทะเสียยิ่งกว่าอะไร ท่านนายพลอันซานยืนนิ่งกลางคุกกระจกที่แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี เขากัดฟันกรอด สีหน้าเยียบเย็นด้วยความกราดเกรี้ยวต่อบางสิ่งอย่างเห็นได้ชัด
ท่านผู้บัญชาการดันสตันยกมือกดหัวคิ้วนวดคลึงขมับ พูดตามตรงในช่วงเวลานั้น หากไม่ได้พลังของเขาคุ้มครองไว้ล่ะก็ คงได้ลงไปนอนกองกับพื้น หมดสติจากแรงกดดันมหาศาลของพลังธรรมชาติกันทั้งห้องแน่
กลิ่นของกำมะถันยังคงตลบอบอวลอยู่ในปอด ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกเหมือนกับมีถ่านร้อนคุกรุ่นอยู่ภายใน ทำเอาเจ้าหน้าที่หลายคนถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ แม้แต่ผู้บัญชาการสูงสุดอย่างเขายังปวดหัวหนักไม่หาย
ให้ตายสิ... เขาแก่เกินจะออกภาคสนามแล้วจริงๆสินะ เขาเพิ่งจะอายุครบสามร้อยได้ปีนี้เอง...
“ท่านนายพลอันซาน”
นายพลหนึ่งเดียวในห้องขานรับทันที “ครับ ท่านผู้บัญชาการดันสตัน”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ? เรื่องที่จะประกาศออกไป?” ผู้บัญชาการดันสตันหันไปหาศิษย์เอกของตน นึกสงสัยว่าเจ้าหนุ่มนี่จะทำอะไรให้เขาต้องหัวใจวายอีกครั้งหรือไม่
ยังไม่ทันที่อันซานจะได้ตอบ ก็มีเสียงตวาดดังออกมาจากชายชราที่เดินโขยกเขยกมายังห้องประชุมฉุกเฉินอย่างเร่งรีบเท่าที่สังขารจะเอื้ออำนวย
“นี่เอ็งจะประกาศออกไปทั้งดาวเรอะว่าเราทำมังกรหายน่ะ หา!? มังกรในร่างแมวเนี่ยนะ รัฐบาลโลกได้กลายเป็นตัวโง่เง่าพอดีสิ ไอ้หลานโง่เอ๊ย แล้วเราจะอธิบายให้สาธารณชนฟังยังไง แล้วถ้าไอ้พวกชาวสวรรค์มันแอบสอดแนมโลกเราอยู่ล่ะ!? เดี๋ยวก็ได้ฉิบหายกันหมด--”
“--ซึ่งอาจจะทำให้ท่านอารู้สึกดีขึ้น ถ้าผมบอกว่าไม่ใช่” อันซานพูดแทรกทันที น้ำเสียงเขาเกรี้ยวกราดและเย็นชา ไร้ความสุขุมอย่างเคย เขาไม่คิดยั้งอารมณ์รุนแรงเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นอาอีกต่อไป “ไม่ต้องห่วงว่าผมจะโง่บรมหรอก ผมเติบโตมากับท่านพ่อ ไม่ใช่กับท่านอา”
ท่านผู้บัญชาการทีคโกรธจนหน้ามืด ทรุดลงนั่งนิ่งบนเบาะอยู่มุมห้อง ดูแก่เพิ่มไปอีกร้อยปี
ทั้งห้องประชุมของรัฐบาลโลกเงียบกริบราวป่าช้า ท่านนายพลอันซานถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อผ่อนอารมณ์ แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง
“ผมอยากให้ประกาศออกไปว่า ทางการตรวจพบว่ามีสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่เป็นอันตรายร้ายแรง แอบแฝงตัวเข้ามายังโลกของเรา มันใช้ร่างของแมวสีขาวปลอด และดวงตาของมันมีสีม่วงแดงเหมือนไวน์ บอกประชาชนไปว่ามันเป็นเอเลี่ยนที่อันตรายระดับเดียวกับ เผ่าเซอร์กาเรี่ยน ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด และขอให้ประชาชนทุกคนที่พบเห็นมันต้องแจ้งเบาะแสกับทางการทันที”
เขาหันไปหาเจ้าหน้าที่ข้างๆ “เปิดระบบก็อดส์อาย ใช้กล้องทุกตัวบนโลก เชื่อมต่อกับดาวเทียมทุกดวงนอกโลกซะ เราต้องหาตัวมันให้เจอก่อนที่มันจะสร้างเรื่องขึ้นอีก แจ้งเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยออกค้นหามัน ผมจะออกไปเองด้วยเช่นกัน”
“ท่านต้องไปด้วยรึ?” ท่านผู้บัญชาการเขตอื่นเอ่ยถาม เหมือนว่าหลายคนในห้องนี้ต้องการให้เขาอยู่ด้วยมากกว่า
“ผมเชื่อว่าพวกท่านจะปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองของผู้บัญชาการดันสตัน อย่างไรท่านอาจารย์ก็เป็นผู้นำสูงสุดทางการทหารที่เก่งกาจที่สุดท่านหนึ่ง พวกท่านไม่เป็นไรหรอกครับ ต่อให้มีกองทัพเซนทิเนลมาประชิดถึงหน้าบ้านก็ตาม”
ผู้บัญชาการดันสตันลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ไม่กล่าวขัดอะไรศิษย์รักของตน ราวกับคนแก่ที่ปลงไปแล้วไม่ว่าลูกหลานจะโยนงานอะไรให้ก็ตาม
“ผมต้องการให้ใครก็ตามที่เจอมัน ต้องแจ้งผมโดยด่วนทันที ห้ามเข้าไปจับมันด้วยตัวเองเด็ดขาด! ผมไม่ต้องการให้มีความเสี่ยงใดๆ ทั้งนั้น เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะสามารถทำอะไรได้อีก” ชายหนุ่มย้ำเสียงหนัก
“ให้เจ้าหน้าที่ที่พบมันจงพยายามล่อมันออกไปจากเขตที่ประชาชนอยู่ด้วย เราจะไปค้นหาที่เมืองเลย กระจายการค้นหาในวงพื้นที่เขตเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับเขตทหารของเรามากที่สุด มีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะแอบแฝงเข้าไปอยู่ในเขตชุมชน เพราะมันต้องกำลังหิวอยู่แน่...”
เมื่อเขาสะบัดมือ ภาพหน้าจอสามมิติปรากฏขึ้นทั่วทั้งห้อง มันฉายภาพเรียลไทม์จากกล้องทุกกล้องในเขตเมืองของมนุษย์ ภาพที่ขึ้นจอฉายสลับไปมาระหว่างสัตว์สี่เท้าหลายตัว ปัญญาประดิษฐ์ล้ำสมัยกำลังค้นหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
“พวกเราโชคดีที่รูปลักษณ์ของมันแตกต่างจากสัตว์ทั่วไปบนโลกนี้อยู่แล้ว ต่อให้มันจะเปลี่ยนเป็นตัวอะไรอื่นอีกก็ตาม แต่มันไม่มีทางเลียนแบบเป็นสัตว์ในโลกเราได้เหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงเย็น ผายมือไปยังภาพฉายโฮโลแกรมที่กลางห้อง ภาพสามมิติของแมวสีขาวปลอดที่มีดวงตาสีม่วงแดงดั่งไวน์จ้องตอบกลับมา
“เพราะมันเป็นสัตว์เพียงตัวเดียวบนโลกนี้ ที่ไม่ใช่ชีวจักรกล”
ข้ากำลังตาเหลือกโตจดจ้องเจ้าสัตว์สี่ขาตรงหน้า ที่กำลังทำตาโตจ้องมองข้าตอบเช่นกัน
ไอ้ตัวประหลาดเหล็กไหลนี่มันอะไร?!
ข้าว่าการที่มนุษย์สายพันธุ์ใหม่มีกลิ่นเหล็กเย็นโชยมาจากกระดูกก็น่าตกใจพออยู่แล้ว แต่การที่ข้าได้พบเจ้าสิ่งนี้เข้า ทำเอาลืมตกใจไปเลย
มันมีรูปลักษณ์คล้ายกับข้ามาก คือมันดูคล้ายกับแมวน่ะ แต่มันไม่ใช่แมวแน่ เพราะร่างทั้งร่างของมันประกอบขึ้นจากเหล็กทั้งร่าง!
“เมี้ยว”
แล้วมันยังร้องเมี้ยวเลียนแบบแมวได้ไปอีก!
ร่างเพรียวบางของมันเรียบลื่นสนิท ขนที่ขึ้นบนตัวมันนั่นข้าคิดว่าเป็นขนสัตว์เทียม ขาทั้งสี่ดูเรียวยาวปราดเปรียว ข้างในใบหูสามเหลี่ยมมีสัญลักษณ์ประหลาดเรืองแสงได้ประทับอยู่ ดวงตาของมันมีสีฟ้าสดเหมือนกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบ ทั้งๆ ที่มันดูเหมือนถูกสร้างจากเหล็กทั้งร่างแท้ๆ แต่ข้ากลับรู้สึกว่า... มันเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ ไปเสียได้
“เมี้ยว”
มันร้องอีกครั้ง แล้วเริ่มส่งเสียงครืดคราด มันใช้จมูกดอมดมข้าอย่างสงสัยใคร่รู้ (มันมีประสาทรับกลิ่นได้ยังไงน่ะ) แล้วก็เอาหัวมาถูไถกับขนฟูฟ่องของข้าไปมา หางเรียวยาวของมันตั้งตรงชูขึ้นสูง
อ่า... ประสบการณ์การผูกมิตรกับแมวต่างดาวครั้งแรก ผ่านฉลุย
ข้ายกอุ้งเท้ามาดันหัวมันออก “เจ้าเป็นแมวที่ประหลาดมาก”
แทนที่จะถอยออกไป มันกลับทำตาใสซื่อใส่ข้า แล้วร้องเมี้ยวราวกับเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด
“เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรอ?” ข้าตกใจ จึงถามย้ำ มันเมี้ยวตอบกลับอย่างมั่นใจ
“เมี้ยว!”
...เอาล่ะ ภาษาแมวสากล101 ได้เวลาปัดฝุ่นใช้งานแล้ว!
ข้ากระแอมเบาๆ ราวมีบางอย่างติดคอ “ถ้าเจ้าฟังข้ารู้เรื่อง ก็ช่วยบอกข้าทีว่าข้าจะหาอาหารในเมืองนี้ได้ยังไง เจ้าอาจจะแปลกประหลาดไปหน่อย... แต่ข้าได้ยินเสียงเหมือนหัวใจและกระเพาะ (?) ดังมาจากข้างในตัวเจ้า... เอ่อ นั่นแปลว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยังต้องกินอยู่ใช่ไหม?”
เจ้าแมวขนสีเหล็กเบิกตากว้าง จากนั้นมันก็ขยับตัวลุก แล้วกระโจนลงจากกำแพงสูงที่พวกเรานั่งจ้องกันตั้งนาน มันเดินนำหน้าข้าไปสามสี่ก้าว แล้วหันมาร้องเมี้ยวให้ข้า
“ให้ตามไปหรอ?”
ข้ากระโจนลงไปยืนข้างมัน จากนั้นมันก็ออกวิ่งเหยาะๆ นำข้าไปในทิศทางหนึ่งทันที
“โอเค นำทางไปสู่อาหารเลย สหายแมวต่างดาว”
การตามติดมันเป็นเรื่องงายดายยิ่งนัก ใช้แรงเพียงน้อยนิดข้าก็ตามการเคลื่อนไหวของแมวต่างดาวผู้เจนจัดในเส้นทางอันคดเคี้ยวของเขตชุมชนได้ทัน มันพาข้าโผล่มาที่แห่งหนึ่ง มีกลิ่นของบางอย่างคล้ายกลิ่นปลาโชยมาจากภายในสิ่งปลูกสร้างนั้น
“เมี้ยว”
เจ้าแมวขนเหล็กหันมาเมี้ยวให้ข้า แต่ตบหางลงพื้นเบาๆเหมือนบอกให้รออยู่นี่ก่อน ข้าจึงทำตัวว่าง่าย นอนหมอบลงกับพื้น มันเห็นแบบนั้นก็เดินเข้ามาหา แล้วอ้าปาก... ใช้ลิ้นสีฟ้าประหลาดของมันเลียขนบนหัวข้า
โอ้โฮ มีน้ำลายออกมาด้วยเว้ยเฮ้ย... ใช่มั้ยน่ะ? ให้ตายเถอะ เจ้านี่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อจริงๆ สินะ แค่เลือดเนื้อของมันคือเหล็กและของเหลวเทียมเท่านั้นเอง
“พอแล้ว หน้าข้าชุ่มจนเปียกหมดแล้ว ไหนล่ะอาหารที่เจ้าพามาเอาน่ะ”
ข้าเบี่ยงหน้าออกแล้วใช้อุ้งเท้าดันตัวมันออกไป เจ้าแมวขนเหล็กร้องเมี้ยวอีกครั้ง แล้ววิ่งเข้าไปในร้านตรงหน้า
ข้านอนรอได้พักเดียว มันก็ออกมาพร้อมกับ... มนุษย์คนหนึ่ง (เออ ยอมเรียกเจ้าพวกนี้ว่ามนุษย์ก็ได้ฟะ) ซ้ำมันยังคลอเคลียขาของชายคนนั้นไปมาอย่างคุ้นเคยมากเสียด้วย
“@&&♡??”
มนุษย์ผู้นั้นวางชามอาหารลงให้เจ้าแมวขนเหล็ก มันคือเนื้อปลาปรุงสุกที่ส่งกลิ่นหอมมากมายเสียจนท้องข้าร้องโครกคราก แมวขนเหล็กตัวนั้นไม่เข้าไปกินอาหาร แต่หันมาเรียกข้าที่ซ่อนอยู่ในหลืบมืดแทน
“เมี้ยว เมี้ยว”
ข้ามองมนุษย์คนนั้น ลังเลพอสมควร แต่ก็ยอมเดินออกมาจากมุมมืดอย่างช้าๆ แสงจากไฟข้างถนนตกกระทบลงบนแผงขนของข้า มันทอประกายแสงสีเงินระเรื่ออ่อนๆ ไม่ต่างจากยามที่ข้าอยู่ร่างมังกร
แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น มนุษย์คนนั้นที่ตอนแรกยังดูเป็นมิตรดีอยู่ ก็ต้องหน้าถอดสีฉับพลันเมื่อเห็นข้าเข้า จากนั้นมันก็ร้องตะโกนดังลั่นออกมาอย่างหวาดกลัว
เฮ้ย อะไร อะไร!? ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!
เจ้าแมวขนเหล็กผงะห่างออกมาจากชายคนนั้นเช่นกัน มนุษย์หนุ่มรีบกุลีกุจอผลุบหายกลับเข้าไปข้างในบ้านไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าแมวเทียมงง แมวปลอมอย่างข้าก็งง แต่ก็ยังเดินไปกินปลาในชามอยู่ดี กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
โอ้! ไอ้นี่อร่อยดีแฮะ นี่ปลาอะไรน่ะ? ไม่เหมือนที่ข้าเคยกินมาก่อนเลยสักนิด อยากได้กลับบ้านจังเลย
กินได้สักพักเสียงโครมครามก็ดังออกมาถึงข้างนอก ข้ากินปลาไปขนพองไปด้วยความงงงวยสุดขีด แล้วจู่ๆประตูก็ค่อยๆอ้าออก เจ้ามนุษย์คนนั้นกล้าๆ กลัวๆ โผล่แค่หัวมันออกมาจากบ้าน ในมือของมันถือ... เหล็กแท่งยาวๆท่อนนึง ที่ดูบอบบางและแตกหักง่ายเกินกว่าจะเอามาฟาดข้า
เจ้ามนุษย์สูดหายใจลึก ทำใจกล้ายื่นเหล็กมาใกล้ข้า ข้ามองระยะที่เข้าใกล้มาถึงตัวทุกทีแล้วก็ตัดสินใจอยู่เฉยๆ เพราะสงสัยว่ามันจะทำบ้าอะไร
แล้วมันก็ใช้ปลายเหล็กทื่อๆ นี่จิ้มจึกเข้าที่ขนข้า
จิ้ม แล้วก็เขี่ย หมุนเหล็กไปมา แล้วมันก็เปลี่ยนที่จิ้มบนร่างข้าอีกที แรงจิ้มของมันเบามากจนไม่น่าจะใช่การประทุษร้าย แต่ข้าก็พูดไม่ออกตรงที่มันทำเหมือนข้าเป็นตัวประหลาดที่ต้องใช้ไม้เขี่ยไล่ออกไปนอกบ้านมากกว่า
เห็นข้าเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ต้องเขี่ยออกไปนอกบ้านได้ยังไง?! หรือข้าในร่างแมวแบบนี้จะดูอัปลักษณ์มากกันนะ?!
ต้องใช่แน่ๆ บางทีเจ้าแมวขนเหล็กนี่อาจเป็นสัตว์พื้นถิ่นที่มนุษย์โลกใหม่คุ้นเคย มากเสียจนข้าที่ร่างเป็นขนสัตว์แท้ทั้งตัวนั้นดูประหลาดเกินไปที่พวกเขาจะชอบ
ข้าเหลือบตามองมนุษย์เพศชายคนนั้น มันกำลังยกข้อมือตัวเองไปใกล้กับปาก แล้วละล่ำละลักพูดอะไรสักอย่างใส่เครื่องประดับข้อมือของมัน แสงสว่างวาบจากเครื่องประดับนั่นทำเอาข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเลยสักนิด
ชายผู้นั้นมองข้าที่กินปลาหมดแล้ว สลับกับมองเจ้าแมวขนเหล็กข้างๆ มันสูดหายใจลึก แล้วใช้มือข้างที่ว่างตบตักดังๆ
“#฿#%!!”
เจ้าแมวขนเหล็กร้องเมี้ยวตอบรับ แล้วเดินเข้าไปหา มนุษย์คนนั้นรีบใช้มือคว้าตัวมันไว้อย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งเข้าบ้านไป ประตูปิดดังปัง! จนข้าตกใจอีกรอบ
แค่ข้าไม่น่ารักพอให้เจ้าเอ็นดู มันต้องขับไสไล่ส่งกันขนาดนี้เลยเรอะ?!