ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว - บทที่ 7 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (1) โดย ItsAlthero @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี

รายละเอียด

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว โดย ItsAlthero @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

ผู้แต่ง

ItsAlthero

เรื่องย่อ

#เป็นมังกรไม่ใช่แมว

นามของข้า คือ 'เอมารันไธน์' และข้าต้องการความช่วยเหลือ...

คือเรื่องมันเป็นแบบนี้นะท่านผู้มาเยือน อันตัวข้านั้นเป็นมังกรรุ่นเยาว์ ได้ลงหลุมไปคุยกับรากอ่อนของต้นแอชจิ๋ว จำศีลไปราวๆหนึ่งพันปีตามวิสัยปกติของมังกร แต่พอตื่นมาอีกครั้งก็ต้องพบว่า... ข้ากลายเป็นแมวไปแล้ว

...ตอนข้าหลับอุตุมันมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ข้าไม่เข้าใจ

มิหนำซ้ำ ดวงของข้ายังดิ่งลงเหวอย่างที่นรกก็ฉุดไม่อยู่ ทั้งผู้บัญชาการชาวมนุษย์เอย จักรพรรดิสวรรค์เอย ราชาปีศาจเอย จ้าวอสูรเอย และผู้นำอมนุษย์เผ่าอื่นๆมากมาย ต่างก็จ้องจะเข้ามาขย้ำพุงข้าไม่หยุดไม่หย่อน เอาแต่กวักมือเรียกข้า
เหมียวๆ... เหมียวบ้านพวกเจ้าสิ 

ข้าคือมังกรบรรพกาลตัวสุดท้ายของโลก ทั้งยังเป็นสายพันธุ์หายากขึ้นทะเบียนเป็นอันดับต้นๆของทุกทำเนียบเชียวนะ แต่พวกเจ้ากลับทำเหมือนข้าเป็นแมวจรไร้บ้านแบบนี้ ถือว่าตนเป็นใหญ่เลยจะข่มข้าอย่างไรก็ได้งั้นรึ? คิดหรือว่าข้าจะยอมอยู่ในโอวาท ทำตัวเชื่องเยี่ยงสัตว์เลี้ยงกับพวกเจ้า? ไม่ว่าพวกเอ็งจะทำอะไร ก็ซื้อใจข้าไม่ได้หรอก!

"อย่างอนกันนานนักเลยน่า เอมี่ ฉันซื้อแมวเลียรสโปรดของเจ้ามาให้สามร้อยลังเลยนะ ให้ฉีกตอนนี้เลยไหม คืนดีกันนะ"

"ใจเย็นก่อน เอ็ม ข้าเพียงแต่มาง้อเท่านั้น เจ้าชอบกินเนื้องูใช่ไหม? ข้าเอาเนื้อบาซิลิสก์จากแดนปีศาจมาฝากเจ้า"

"อย่าโกรธกันเลยนะ เด็กดี วันนี้พี่ซื้อขนมมาให้เจ้าเยอะแยะเลยนะ เค้กช็อกโกแลตจากแดนอสูรที่เจ้าชอบยังไงล่ะ มีเครป พาย ทาร์ต อยู่ในตู้อีกเป็นร้อยด้วยนะ"

"ช่างน่าดีใจนักที่ เอมี่น้อย ชอบของขวัญของเรามากถึงเพียงนี้ เจ้าอยากได้เพชรพลอยไปประดับรังเพิ่มอีกเท่าไหร่ล่ะหืม? เรายกให้ทั้งคลังแดนสวรรค์เลยก็ยังได้นะ แต่หากเจ้ายังไม่พอใจแล้วล่ะก็ เดี๋ยวเราจะลองไปถามแดนภูตดูให้ด้วย ดีหรือไม่?"

"ไม่ต้องขอ แดนภูตยกให้หมดเลย ที่รัก"

.....

เอาเป็นว่าข้าจะยอมนอนเฉยๆบนกองเงินกองทองของพวกเจ้าต่อไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน แต่จงระวังไว้เถอะ ประมาทข้ามากๆแล้วเจ้าจะเสียใจ สักวันนึงข้าจะยึดครองโลก ไม่สิ ครองจักรวาล ครองเอกภพไปด้วยเลยเอ้า ยึดได้แล้วข้าก็จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นคาเฟ่แมวซะให้หมดเลยคอยดู อย่าล้อเล่นกับระบบ เพราะระบบตบสวนนะจะบอกให้! 

ระวังโลกเจ้าเอาไว้ให้ดีเถอะ! (●`ω´●)




WARNING!!!

นิยายเรื่องนี้เป็น Boy Love แนว Sci-Fi ผสมแฟนตาซี ไทม์ไลน์ยุคอนาคต/ยุคดวงดาว มีหลายโลก หลายเวิร์ส และมีพระเอกหลายคน มีการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าพระ-นาย แบบ Polygamy เพราะเป็น ฮาเร็มชาย จัดอยู่ในหมวด18+แต่เป็นฉบับCutเพื่อความเหมาะสม จะมีเนื้อหาที่ถูกตัดทอนออกไปบางส่วนเพื่อให้มีเนื้อหาเชิง [Trigger] น้อยที่สุด นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ18ปีขึ้นไป จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ ความรุนแรง และฉากทารุณบางประการ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน โดยจะเขียนคำเตือนกำกับไว้ซ้ำในบทที่จำเป็นเพื่อประกอบการใช้วิจารณญาณในการอ่านต่อไป อนึ่ง ฉบับUncutอยู่ในบ้านหลักสีฟ้า

*เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงจินตาการของผู้เขียน เป็นเรื่องแต่ง ไม่อิงประวัติศาสตร์หรือหลักความเป็นจริงแต่อย่างใด มีเนื้อหาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น*

⚠ นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ไม่อนุญาตให้คัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือกระทำการใดๆ อันเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย ⚠

⚠ หากเราเตือนแล้วยังคุยกันไม่เข้าใจอีก ศาลจะเป็นที่ต่อไปที่ท่านจะได้มานั่งคุยกับเรา ⚠





แวะไปทักทายกันได้ที่

FB: @Althero_LD

X (Twitter) : @ItsAlthero

♡ ด้วยรักและขอบคุณจ้า ♡


สารบัญ

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทนำ มาจะกล่าวบทไป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 1 เริ่มมาก็ปังแล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 2 เกือบหลับแต่กลับมาได้,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 3 อยู่ดีๆ เราก็วาร์ป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 4 โลกใหม่สอนให้เปิด,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 5 เป็นแมวจรต่างดาวไม่ง่ายเลย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 6 เป็นมนุษย์บนต่างดาวยากยิ่งกว่า,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 7 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 8 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 9 ยังไม่ได้ไปเที่ยว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 10 เปิดอกอีกรอบ รอบนี้แค่เปรียบเปรย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 11 ยื่นหมูครึ่งเทพ ยื่นแมวมังกร,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 12 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 13 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 14 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (3),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 15 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายก็แย่แล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-**คั่นเวลาเล็กน้อย ด้วยรูปท่านนายพล**

เนื้อหา

บทที่ 7 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (1)


ช่างงดงามนัก


คือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมอง ท่ามกลางกระแสพลังอันหนักหน่วงไม่ต่างจากพายุใบมีดที่คมกริบ พัดกรีดผิวกายจนทำให้เขาต้องทุ่มพลังสุดตัวในการเอาชีวิตรอด อันซานจำใจถอดหมวกเกราะของชุดปฏิบัติการนาโนเทคล้ำสมัยทิ้งไป เมื่อแม้แต่วัสดุที่แข็งแกร่งที่สุดในดวงดาวยังแตกร้าวร่วงกระจายในยามที่ต้องปะทะกับพลังดิบของมังกร แต่ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าสิ่งมีชีวิตแสนอันตรายนั่นอีกครั้ง เขาก็ต้องตะลึงไป


ท่ามกลางแสงสว่างสีเงินยวง ทอประกายนุ่มนวลดุจแสงจันทร์ ร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าแทนร่างของสัตว์สี่ขา นั่นเป็นร่างของบุรุษแน่นอน ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับยังดูเยาว์วัยนัก ราวกับว่าเขาเพิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ไม่นานเท่านั้น


รูปร่างของอีกฝ่ายสูงโปร่งเกือบเท่าตัวเขา แต่ขนาดของลาดไหล่นั้นแคบเล็กกว่ามาก ผิวสีน้ำนมนวลเนียนดูผุดผาดผ่องใส หน้าท้องขาวที่มีกล้ามเนื้อให้เห็นรำไร พร้อมกับไหล่ที่ผึ่งผาย และหน้าอกแบนราบอย่างบุรุษ เส้นผมสีแพลตตินั่มส่องประกายเรืองรองราวกับเส้นไหมที่ถักทอขึ้นมาจากแสงจันทร์ มันยาวเลยบั้นเอวของร่างตรงหน้าลงไปจนแทบจะปกปิดเรือนร่างเปลือยเปล่าได้หมด แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาเสียสมาธิได้เท่ากับใบหน้านั้น...


อีกฝ่ายมีสันกรามเพียงเล็กน้อย ไม่ได้คมคายชัดเจนอย่างชายฉกรรจ์ แต่ก็ไม่ได้กลมมนเหมือนอิสตรี ทั้งคิ้วเรียวที่ขึ้นเป็นทรงสวย และขนตางอนยาวจนทอดเงาเป็นแพ ต่างก็มีสีสว่างเหมือนเส้นผม จมูกโด่งเชิดรั้นขึ้นเพียงนิด ริมฝีปากรูปทรงกระจับเล็กน้อยมีสีสดแวววาวเหมือนผลไม้ เขี้ยวสีมุกโผล่มาให้เห็นวับแวมในยามที่มุมปากขยับยิ้มบางเบา สิ่งที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ส่งผลให้ใบหน้านั้นงามจนยากที่จะแยกเพศชายหญิงได้ชัดเจน


และสุดท้าย... เมื่อเปลือกตาคู่นั้นลืมขึ้น เผยให้เขาเห็นดวงตาคมกล้า เปล่งประกายเจิดจรัสเหมือนอัญมณี สีม่วงอมแดงเข้มดั่งอมารันธีน รูม่านตาดำภายในแก้วตามีรูปทรงรีแหลมเหมือนแมว ดวงตาคมวาวคู่นั้นจดจ้องตรงมาที่เขาไม่มีหลบ สายตาอันแกร่งกล้าฉายชัดถึงความทระนงในพงศ์พันธุ์


อันซานลืมหายใจของจริง จนเขานึกว่าตนเองโดนขโมยวิญญาณไปเสียแล้ว และเพื่อไม่ให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่งได้หยุดทำงานกะทันหัน มือข้างที่ถืออาวุธอยู่ก็พลันลั่นไกออกไป


เสียงดังปังของมันช่วยปลุกสติของเขาให้กลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง เขาสะบัดหัวหัวอย่างมึนงงเล็กน้อย และเผลอคิดไปเองว่าร่างตรงหน้าอาจจะเล่นงานตนเข้าแล้ว การปะทะกันครั้งต่อไปเขาจึงลงมือรุนแรงของจริง ไม่มีคำว่าปรานีอีก


เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องทำให้อีกฝ่ายหมดสภาพให้ได้ ต้องทำให้ยอมจำนนต่อเขาให้ได้


ต้องจับเอาไว้ให้ได้ ไม่งั้นสิ่งมีชีวิตที่ล้ำค่าที่สุดในจักรวาลตรงหน้านี้จะหลุดมือเขาไปตลอดกาล


พวกเขาสู้กันนาน... และอันซานอดไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกสนุกไปกับมัน การได้ไล่ล่าบางสิ่งที่สามารถอดทนรอดมือเขาได้เป็นชั่วโมงเช่นนี้โดยที่สิ่งมีชีวิตนั้นไม่ใช่เซนทิเนลเหมือนยามปกติ เป็นอะไรที่แปลกใหม่ไม่น้อย พลังที่เขาเคยกดข่มเอาไว้ลึก จึงยิ่งถูกใช้ออกมาเรื่อยๆ อย่างเผลอตัว


...ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือเขาไม่คิดวุ่นวายใจกับมันเหมือนเก่า แต่กลับรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในยามที่ได้ใช้พลังจากสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองสู้คู่ปะทะที่ฝีมือสูสี พลังที่เขาจงใจลืมไป เพราะไม่อยากยอมรับว่าตนเองไม่ได้เป็นแค่มนุษย์


ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกเป็นอิสระยิ่งนัก ในยามที่ได้ทุ่มพลังสีทองคำร้อนระอุของตน ซัดใส่ร่างของมังกรแปลงสีเงินตรงหน้า แต่เขาก็รู้ดีว่าเหตุผลที่เขากำลังจะเป็นฝ่ายชนะในครั้งนี้ ก็เพราะอีกฝ่ายยังไม่คุ้นชินกับร่างมนุษย์ที่ใช้อยู่เท่านั้น อีกทั้งยังดูเหนื่อยล้ามาตั้งแต่แรก เขาจึงยิ่งอยากจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุดที่จะทำได้


หลายชั่วโมงผ่านไป เขาต้อนอีกฝ่ายให้จนมุมได้ในที่สุด แผ่นหลังเปล่าเปลือยล้มกระแทกลงติดกำแพงผนัง ดูเหมือนว่าการดื้อรั้นต่อต้านของอีกฝ่ายจะจบลงแล้ว ร่างมนุษย์แปลงแทบไม่ขยับหลบเมื่อเขาทุบกำปั้นลงข้างหัวเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย เปลือกตาบางของอีกฝ่ายปิดลงสนิท ใบหน้าหลุบต่ำเอนเอียงไปด้านข้าง เปิดเผยลำคอขาวเปล่าเปลือยต่อเขา อากัปกริยาที่แสดงถึงความจำนนชัดเจนต่อผู้พิชิต


ความรู้สึกอยากสัมผัสที่ท้วมท้นกำลังทำให้มือทั้งคู่ของเขาสั่น แต่เพราะลืมตัวเผลอไผลใกล้ชิดร่างของอีกฝ่ายมากจนเกินไป ดวงตาคู่นั้นจึงขยับลืมขึ้นมามองจ้องเขาอีกครั้ง และลมหายใจเขาก็สะดุดอีกทีเช่นกัน


จากนั้นร่างมังกรแปลงตรงหน้าก็พูดกับเขา


เขาตกตะลึงเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบ ไม่ใช่แค่เพราะเพิ่งได้ยินน้ำเสียงที่แม้จะฟังดูอ่อนล้าแต่ก็ยังไพเราะมากจากปากของอีกฝ่าย (เสียงทุ้มใสเหมือนระฆังแก้วไม่มีผิด...) แต่ยังเป็นเพราะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่ามังกรตรงหน้า จะอยากเอ่ยปากพูดกับมนุษย์ด้วย


เรียกมันว่าความขี้ระแวงเกินเหตุก็ได้ แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างพวกเขาชาชินกับการที่สิ่งมีชีวิตทรงอารยะหลายเผ่าพันธุ์จากหลายดวงดาวเมินเฉยไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยสนทนากับสัตว์ด้อยปัญญาอย่างมนุษย์ แต่กลับเลือกที่จะใช้กำลังห้ำหั่นแทนการพูดคุยกันดีๆ เพียงเพื่อจะได้จัดลำดับชนชั้นทางอารยะของดวงดาวในจักรวาล


หลังจากที่ได้ขึ้นศาลจักรวาลไปอีกหลายหนในช่วงหลายพันปีมานี้ พวกเขาดันเผลอซึบซับด้านนั้นมาอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็เฉยชากับการใช้ความรุนแรงก่อนคิดพูดคุยไปเฉกเช่นเดียวกัน


ดังนั้น ในทันทีที่เจ้ามังกรได้หลบหนีไปจากป้อมปราการ เขาจึงคิดไปก่อนว่าต้องใช้กำลังสยบให้ได้ ยิ่งอีกฝ่ายหนีไปยังเขตชุมชนดังคาด ก็ยิ่งทำให้เขาไม่อาจเอาชีวิตประชาชนมาเสี่ยงว่าอีกฝ่ายจะยอมพูดคุยดีๆ กับเขาหรือไม่ การจับกุมอย่างละม่อมตามแผนแรกได้เปลี่ยนเป็นการปะทะอย่างรุนแรงในทันทีที่อีกฝ่ายเปิดฉากทำลายโดรนจับกุมตัว


โชคดีที่เอไอของเขายังไม่เสียหายหนักเท่าไหร่ เมื่อสามารถตรวจจับได้ว่าภาษาที่อีกฝ่ายใช้เป็นภาษาของมนุษย์ในโลกเก่า ประมวลผลไม่นานเขาก็สามารถสนทนาโต้ตอบกลับไปได้เช่นกัน


แน่นอน เขารู้อยู่เต็มอกทีเดียวเชียวล่ะ ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันดูประหลาดมาก ทั้งๆ ที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาเพิ่งใช้พลังกดอีกฝ่ายลงกับพื้นเองแท้ๆ ในตอนนี้กลับมาทำเป็นพูดคุยทักทายเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


ช่วยไม่ได้หรอก หน้าที่ก็ส่วนหน้าที่ แต่เขาไม่อาจพลาดโอกาสที่จะได้พูดคุยกับสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ตรงหน้านี้ไปได้เด็ดขาด ถ้าจะให้พูดอย่างเห็นแก่ตัวตรงๆก็คือเขาอยากได้ยินเสียงอีกฝ่ายซ้ำอีกครั้งนั่นแหละ


แล้วในที่สุดเขาก็ได้รู้ชื่อของอีกฝ่ายเป็นรางวัล


“[AMARANTHINE]”


หมายถึงความงามอันเป็นนิรันดร์สินะ เป็นชื่อที่ฟังดูไพเราะมากจริงๆ


อาการหนักแล้วสิตัวเขา... ร่างแปลงตรงหน้าช่างอันตรายนัก อีกฝ่ายทำให้หัวใจเขากระตุกหนักมากขึ้นทุกที เขาไม่รู้ว่าถ้าให้แพทย์มือหนึ่งของดาวทำการรักษาให้ จะสามารถหายได้หรือเปล่า เพราะขนาดชุดปฏิบัติการนาโนเทคที่สร้างด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดของดาวที่เขาสวมอยู่นี้ ยังไม่สามารถทำให้เสียงหัวใจของเขาเต้นเบาลงได้เลย






มันเป็นวันที่เหนื่อยมาก


แม้หลังจะชนฝา แต่ข้ายังไม่ได้กลับไปเป็นแมว ด้วยเหตุผลที่ตัวข้าเองก็สุดจะรู้ได้ ซึ่งไม่นานหลังจากที่ข้าบอกชื่อของตนให้เจ้ามนุษย์พันธุ์ผสมได้รู้ ร่างจำแลงมนุษย์ของข้าก็เซวูบ ยืนไม่อยู่อีกต่อไป ข้าทรุดลงไถลจากกำแพงและคงได้หน้าคะมำหัวทิ่มพื้นแน่ ถ้าไม่ได้แขนของอีกฝ่ายตวัดรั้งเข้าหา ยึดตัวข้าไว้ไม่ให้ลงไปกองอยู่แทบเท้ามันได้ทันเวลาพอดี


ปึก


ไม่เจ็บสักนิดแต่จุก... ถามจริงเถอะ นี่ร่างมนุษย์หรือกำแพงเหล็ก อะไรมันจะแข็งขนาดนี้ มิน่าล่ะกรีดเท่าไหร่ข้ายังทำได้แค่สร้างรอยเล็บฝากไว้เฉยๆ มันจะแข็งแกร่งแข่งกับเพชรหรอ ไปเป็นเกล็ดมังกรเลยไป๊ ไอ้มนุษย์เก๊!


ข้าพยายามอย่างมากที่จะดันตัวเองออกห่าง แต่อ้อมแขนของเจ้า... มนุษย์ (เฮอะ) ที่บอกว่าตนเองเป็นนายพลนาม อันซาน อะไรนี่ กลับรัดร่างข้าแน่นกว่าเดิมเหมือนงูเหลือมรัดเหยื่อ ...ข้าไม่ใช่อาหารของเอ็งนะเว้ย รัดแบบนี้เดี๋ยวปั๊ดอ้วกน้ำย่อยใส่หน้าซะเลย


“ปล่อย ข้า” นี่กัดฟันขอร้องเลยนะ


ไอ้นายพลอันซานทำหน้าตาย ขมวดคิ้วใส่ข้าเล็กน้อยแล้วเอ็ดด้วยน้ำเสียงเหมือนผู้ปกครองดุเด็กเล็กไม่มีผิด


“ปล่อยไม่ได้หรอก เจ้าอ่อนแรงจนแค่ยืนก็ยังไม่อยู่แบบนี้ ฉันก็ต้องกอดไว้ก่อนน่ะสิ หรืออยากร่วงลงไปนอนพื้น?”


ก็แล้วใครมันทำข้าหมดแรงล่ะวะ?!


อีกฝ่ายไม่ใส่ใจการพยายามดีดดิ้นหนีออกห่าง หรือสายตาเสียดแทงอันร้อนแรงของข้า มันรัดแขนแน่นขึ้นจนข้าเริ่มจุกของจริง แล้วยังกล่าวต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำเรียบนิ่ง แต่ฟังแล้วน่าต่อยปากแตกสุดๆ


“อีกอย่าง เรายังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าถ้าฉันปล่อยเจ้าไป เจ้าจะไม่หนีไปสร้างปัญหาเพิ่ม หรือแย่กว่า คือไปทำร้ายมนุษย์คนอื่นเข้า ฉันเป็นนายพลของดาวดวงนี้ เสี่ยงไม่ได้หรอก”


ข้าเผลออ้าปากค้าง 


“พูด **ตี๊ด** อะไรของเจ้ากันวะ? ข้าน่ะเป็นมิตรไม่เคยคิดทำร้ายใคร มีแต่เจ้านั่นแหละที่มาทำร้ายข้าก่อน!”


“อย่าพูดคำหยาบสิ ไม่น่ารักเลยนะ”


มันขมวดคิ้วเป็นปม ทำเป็นขึงตาดุ ข้าล่ะอยากขบหัวมันนัก เอาให้เลือดกระฉูดสักที แบบไม่หวังดื่มเพื่อฟื้นพลังด้วย


เจ้านักรบพล่ามต่อไปเหมือนไม่สนใจอาการกระฟัดกระเฟียดของข้าอย่างน่าหงุดหงิด


“พวกเราไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นมิตรหรือศัตรู แต่การที่เจ้าโผล่ไปยังเขตชุมชนแบบนี้ ฉันจะลองเสี่ยงกับอารมณ์อยากเมตตามนุษย์ของเจ้าไม่ได้เด็ดขาด เลยต้องทำการจับกุมตัวเจ้าให้เร็วที่สุด ถ้าเจ้าไม่ได้เพิ่งทำลายโดรนของเราพังไป เราคงไม่ต้องออกแรงกันแต่แรกแล้ว”

เอ้า นี่สรุปข้าผิดเองหรอกเรอะ...


ยิ่งคุยกับไอ้เวรนี่ยิ่งประสาทจะกิน ช่วงลำคอข้าคันคะเยอยิบๆ อยากพ่นไฟเผาขนบนหัวมันให้โล่งเตียนเหลือเกิน


“...ก็ถ้าเจ้าไม่ลักพาตัวข้ามาจากโลกตั้งแต่แรก... จะต้องมาลำบากจับตัวข้าแบบนี้ไหม?... คิดบ้างรึเปล่าที่พูดน่ะ ไอ้บ้า...” 


ข้าเริ่มอ่อนล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แรงดิ้นหนีก็ไม่มีเหลือแล้ว มาสะดุ้งรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มันตวัดแขนพรึบ! ยกข้าขึ้นอุ้มแนบกับอกกว้างของมันอย่างกะทันหัน ส่งผลให้หัวข้าหมุนติ้วจนต้องหลับตาปิด มึนหนักแถมยังคลื่นไส้ตงิดๆ ตรงขมับปวดตุบจนเผลอร้องครางผะแผ่วเหมือนลูกแมวออกมา


“...ในเรื่องนั้น ต้องขอโทษด้วยจริงๆ...”


สุ้มเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูรู้สึกผิด ทำให้ข้าอดลืมตามองอีกฝ่ายไม่ได้ ดวงตาสีทองที่จ้องมองข้าอยู่ทอแสงอ่อนลงต่างไปจากตอนแรกที่เห็น สีหน้าของมัน-- ของเขา แสดงออกชัดเจนถึงความจนใจ


“...แต่อันตรายกำลังมา และมนุษย์ต้องการเจ้า”


สิ่งสุดท้ายที่รู้สึกก่อนห้วงนิทราจะดึงสติข้าไป คือสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผาก มันนุ่มนวลเหมือนผีเสื้อบินแตะผิวน้ำ


“ได้โปรด มาอยู่กับเราเถิด เอมารันไธน์”






เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็พบว่าร่างกายตนเองช่างหนักอึ้งยิ่งนัก รู้สึกเหมือนมีใครเอาภูเขามาถ่วงไว้ ข้าแทบขยับตัวทำอะไรไม่ได้ แค่จะพยายามลืมตาตื่นยังต้องเค้นพลังแทบตาย


สิ่งแรกที่เห็น ไม่ใช่แสงจ้า (โอ๊ย ดีใจน้ำตาจะไหล) แต่เป็นภาพพร่ามัวของใบหน้าด้านข้างมนุษย์คนหนึ่ง ใบหน้าของ... ไอ้นายพลเวร นาม อันซาน ดูเหมือนว่ามันจะกำลังนั่งเฝ้าข้าอยู่ข้างๆ ตรงที่ข้านอนอืดเป็นปลาเกยหาดอยู่


“มะ... เมี้ยว…”


เอ่อ... นั่นเสียงข้าจริงหรอ ทำไมมันอ่อนระโหยโรยแรงขนาดนั้น ทั้งยังดูเหมือนว่าข้าจะกลับไปเป็นแมวอีกแล้วสิเนี่ย โอย อยากโดดหน้าผาจังเลยเว้ย...


ชายหนุ่มข้างกายหันมาหาข้าทันทีราวกับได้ยินชัดเจน แม้ว่าข้าจะเปล่งเสียงได้แผ่วเบากว่าเสียงผายลม ...ไม่สิ ข้าเปรียบไม่ถูกไปหน่อย ไม่มีเสียงผายลมที่ไหนเบาหรอก ยิ่งพยายามเบาเสียงยิ่งดัง


“อย่าเพิ่งลุกขึ้นเร็วแบบนั้น เจ้ายังไม่ฟื้นตัวดีอยู่” มือใหญ่ยื่นมากดร่างข้าลงที่เดิมเบาๆ ข้าเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีหมอนนุ่มนิ่มมารองตัวข้าไว้อีกครั้ง และข้าก็ชอบมันมากจนไม่พยายามที่จะลุกขึ้นอีก


“ฉันลองให้เอไอสแกนตรวจร่างกายเจ้าคร่าวๆ แล้ว ดูเหมือนเจ้าจะกำลังฟื้นฟูซ่อมแซมร่างกายตัวเองอยู่ในอัตราคงที่ แต่เรายังไม่สามารถทำการตรวจอวัยวะภายในของเจ้าอย่างละเอียดได้ ...เจ้ากางจิตป้องกันคลุมตัวเองอยู่ตลอดเลยสินะ เราถึงไม่สามารถใช้เทคโนโลยีอะไรกับร่างเจ้าได้เลย โดยเฉพาะในยามที่เจ้าหลับน่ะ” 


มันผายมือออกไปด้านข้างแล้วชี้ลงพื้น ข้าเหลือบมองนิดหน่อยอย่างสงสัยใคร่รู้ แล้วก็เห็นกองเศษซากของอะไรบางอย่างที่ข้าไม่รู้จักกองพะเนินอยู่มุมหนึ่งของห้องกว้างที่สะอาดมากนี้ แล้วข้าก็ตัดสินใจว่าจะไม่สนใจด้วย 


“เมี้ยว” 《สมน้ำหน้า》


อันซานขมวดคิ้ว แล้วกล่าว “นั่น ไม่น่ารักเลยนะ”


ข้าอยากจะขมวดคิ้วเหมือนกัน แต่ร่างแมวไม่มีคิ้ว ข้าเลยเปล่งเสียงด่ามันอีกทีแม้คอจะเจ็บมาก


“เมี้ยว หึ!” 《เรื่องของ **ตี้ด** สิ》


แล้วมันก็นิ่งไป ก่อนที่ดวงตาสีทองคมกริบนั่นจะเรืองแสงเข้มอย่างดุดันอีกครั้ง “อย่าพูดคำหยาบ ไม่สุภาพเลย เจ้าเด็กดื้อ”


ข้าลืมตัว ไม่เจียมสังขาร ด่ากลับอีกที “เมี้ยว! เมี้ยว! เมี้ยว! เมี้-- แค่ก” 


《เด็กอะไร! ไอ้ **ตี๊ด!** ข้าแก่กว่าเจ้าเป็นพันปีรู้ไว้ซะด้วย เจ้านั่นแหละเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ริอ่านมาทำเหมือนข้าเป็นแค่ลูกสัตว์เดรัจฉาน! เจ้ามันหน้า-- แค่ก》


“สมน้ำหน้า”


มันย้อนคืน มองดูข้าสำลักน้ำลายตนเองแล้วก็ลุกขึ้นจากไปทำอะไรบางอย่างแทนอย่างใจดำ ข้าได้แต่ไอค่อกแค่กอยู่กับหมอน รู้สึกอ่อนแอจนอยากขุดรูแล้วลงไปนอนตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด


เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ มันรู้ได้ยังไงว่าข้าพูดอะไร ในเมื่อข้าเมี้ยวเป็นภาษาแมวอยู่


ข้าเช็ดคราบน้ำลายที่เปรอะปากจากการไอไม่บันยะบันยังออก แล้วเงยหน้าหันไปหามันอีกครั้ง


“เมี้ยว” 《ไอ้งั่ง》


ชายหนุ่มหันมาด้วยสีหน้าอันตราย “เรียกฉันอย่างนั้นอีกที เจ้าโดนดีแน่”


ข้าตาโตเป็นไข่มังกร


“《นอกจากภาษายุคเก่า เจ้ายังพูดภาษาแมวได้ด้วยอีกหรอ?!》”


อันซานหันมามองหน้าข้า แววตาอ่อนลงเหมือนเหนื่อยใจแปลกๆ “เปล่า ที่จริงฉันไม่ได้พูดภาษาแมว แล้วก็ไม่ได้พูดภาษายุคเก่าด้วย”


อ้าว แล้วไอ้ที่คุยกันได้ตั้งนานคือข้าหลอนไปเองหรอกเรอะ


เหมือนจะเห็นความสับสนก่อตัวในใจข้า ร่างสูงใหญ่ของบุรุษหนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นเขาก็ชี้กวาดรวมๆ ที่ร่างของตนเอง 


“ก่อนที่ฉันจะอธิบายเรื่องภาษาให้ฟัง คงต้องบอกเจ้าก่อนว่า ฉัน... ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา”


อือ... เอาล่ะ เริ่มมาก็ประหลาดแล้ว


“มนุษย์บนดาวโลกใหม่ [Earth-02] เป็นสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์มาจากยีนเดิมของมนุษย์ กระดูกของเราที่แต่เดิมเปราะหักง่ายดาย ได้กลายพันธุ์จนมีสภาพโครงสร้างคล้ายเหล็กกล้า แม้โครโมโซมของเราจะยังคงมีโครงสร้างคล้ายมนุษย์สายพันธุ์เก่า แต่DNAก็ได้เปลี่ยนไปจนแทบจะเป็นคนละสายพันธุ์กันแล้ว ...ไม่สิ” 


ชายหนุ่มนิ่งไป เอียงหัวนิดหนึ่ง 


“ต้องบอกว่าคนละสายพันธุ์กันแล้วจริงๆ เสียมากกว่า พวกเรามีความสูงที่มากกว่ามนุษย์ยุคเก่า กระดูกเราแข็งพอๆกับเหล็กกล้า และกระแสไฟฟ้าที่ร่างของเราผลิตขึ้นมากกว่าปกติ ก็ส่งผลให้มนุษย์โลกใหม่บางคน-- อย่างฉัน-- มีพลังจิตตื่นขึ้นมาเช่นเดียวกัน”


อ้อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง 


“《เพราะงั้นข้าถึงได้กลิ่นเหล็กจากกระดูกของพวกเจ้าสินะ แล้วเรื่องที่เจ้าฟังข้าออกล่ะ》”


“ได้กลิ่นเหล็กชัดเจนเลยหรือ? จมูกมังกรนี่น่าทึ่งจริงนะ” จากนั้นเขาก็ขยับเข้าใกล้ข้าอย่างช้าๆ ให้หวั่นใจเล่น เขาเอียงใบหน้าไปด้านข้าง แล้วชี้ไปยังคอหนาตรงส่วนที่อยู่ใต้กกหูของตนเอง


มีบางอย่าง... เหมือนแผ่นเหล็กทรงกลมสีดำ มันมีขนาดที่เล็กจิ๋วจนถ้าไม่ได้สังเกตดีๆ ก็คงไม่เห็น ฝังตัวอยู่ตรงกกหูของมันด้วย!


“นี่คือไอดีชิป [ID Chip] ชาวมนุษย์จะต้องลงทะเบียนฝังเอาไว้เพื่อยืนยันตัวตนและสถานะของมนุษย์โลก มันคือเครื่องประมวลผลที่ช่วยเปลี่ยนกระแสไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์เราเป็นคลื่นสัญญาณ ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีของโลกได้ รวมถึงดึงเอาข้อมูลมาใช้ได้ทุกเวลา ปกติแล้วชิปพวกนี้มักจะมีเอไอ-- เอไอ [AI] คือปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ คอยดูแลอยู่ด้วย ซึ่งความสามารถก็แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น แล้วแต่ความชอบและกำลังทรัพย์”


เมื่อเขาเห็นว่าข้าตั้งใจฟังสิ่งที่พูดตาไม่กระพริบ ข้าก็เหมือนจะเห็นเขายิ้มออกมานิดหนึ่ง


“เมื่อคืน ฉันเพียงแค่ให้เอไอประมวลผลว่าภาษาที่เจ้าพูดคืออะไร แล้วก็ใช้มันแปลสิ่งที่ฉันพูดเป็นภาษาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษามนุษย์ยุคโบราณ-- หรือภาษาแมว” มันชี้กวาดทั้งตัวข้า “ก็แปลออกได้หมด อันที่จริง ไม่ว่าจะภาษาเอเลี่ยนของที่ไหนในจักรวาล ขอแค่มีข้อมูลภาษานั้นๆ บันทึกไว้อยู่ในคลังข้อมูลก็เพียงพอจะใช้พูดกันได้แล้ว”


ข้าจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโต “《แล้วภาษามังกรล่ะ?》”


เขานิ่งไป เหมือนไม่ทันตั้งตัว “...ยกเว้นภาษามังกร เราแปลภาษาเกิดของเจ้าไม่ได้หรอก เพราะไม่มีข้อมูลภาษามังกรถูกบันทึกไว้ในคลังข้อมูล อีกอย่างก่อนที่ฉันจะเอาเจ้ามาที่โลกนี้ ก็ไม่มีใครเคยรู้ว่ามังกรอย่างพวกเจ้ามีตัวตนอยู่จริงๆ มาก่อนนี่?”


การคาดเดาของข้าถูกต้อง แต่ก็ยังอดรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยไม่ได้


“《แล้วทำไมถึงมีภาษาแมวอยู่ในคลังข้อมูลล่ะถ้างั้น? ข้าเคยเห็นแมวจรของโลกเจ้า เจ้าของมันก็ไม่ยักจะนั่งคุยเป็นเรื่องเป็นราวกับแมวเหมือนที่เจ้าทำอยู่เลยสักนิด》”


ชายหนุ่มข้างๆข้าเลิกคิ้วขึ้นเหมือนแปลกใจ “เจ้าเจอชีวจักรกลตัวอื่นแล้วสิ? มิน่าล่ะถึงไม่ค่อยดูตกใจเรื่องเราเท่าไหร่ ถึงเห็นเป็นแบบนั้นแต่พวกมันก็ยังถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ ยังสามารถกินและขับถ่ายได้อยู่นะ” 


เขายักไหล่ ดูกวนตีนหน้านิ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่ใช่เพราะข้าหมั่นไส้มันมากหรอกนะ ไม่ใช่เลย ไม่ๆ 


“อีกอย่าง บอกแล้วนี่ว่าชิปแต่ละรุ่นมีความสามารถต่างกัน ส่วนใหญ่แล้วชิปที่แปลภาษาสัตว์ได้น่ะราคาแพงไม่เบาเลยทีเดียว ปกติแล้วมีแต่ชนชั้นสูงที่มีเงินและเวลาเหลือเฟือพอจะไปนั่งคุยกับสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเองเท่านั้นล่ะที่จะซื้อมันไป”


“《มันประหลาด แต่ใจดี มันช่วยข้าหาอาหาร》” 


ข้ายอมรับว่าชอบเจ้าแมวตัวนั้น แต่เสียใจตงิดๆ ที่ตามมันไป ไม่งั้นป่านนี้ข้าคงได้นอนสบายๆ ใต้ผืนดาวไปแล้ว ไม่ใช่ห้องของเจ้ามนุษย์นี่ 


“《แล้วการที่เจ้าคุยกับข้าได้แบบนี้ แสดงว่าไอ้นั่นของเจ้าก็ใหญ่ไม่เบาเลยสิ?》” ข้าจงใจพูดกำกวม เพื่อกวนตีนมันเล่นๆ


แล้วบุรุษหนุ่มตรงหน้าก็เผยอยิ้ม แบบที่ทำให้ข้าสันหลังเย็นนิดหน่อย


“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ว่าฉันคืออันซาน นายพลของโลกใหม่ อำนาจฉันเป็นรองแค่ผู้บัญชาการเท่านั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าทุกสิ่งที่ฉันมีล้วนเป็นรุ่นที่ดีที่สุดบนดาวดวงนี้ เพราะฉันนี่ล่ะเป็นคนควบคุมมัน”


เล่นพูดดักซะเหมือนกลัวว่าข้าจะหนีไปไหนรอด แสดงว่าไม่ว่าข้าจะแอบแวบไปไหนมันก็รู้หมดสิ บ้าเอ๊ย ทำไมมันต้องเสือกเป็นจ่าฝูงด้วยนะ ควบคุมทั้งดาวแบบนี้ขี้โกงที่สุด!


“《ดีเลิศถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังแปลภาษามังกรไม่ออก แสดงว่าถ้าไอ้ชิปอะไรนั่นพัง เจ้าก็ต้องเป็นใบ้ คุยกับใครไม่รู้เรื่องสินะ?》”


ข้ากำลังพาล ข้ารู้ดี ก็ไม่อยากจะเอาแต่ใจแบบนี้หรอกนะแต่... ข้าแค่อยากจะพูดภาษามังกรกับใครซักคนเหมือนที่คุยอยู่ตอนนี้บ้างนี่นา แต่ข้าก็เข้าใจแล้วล่ะว่าชีวิตไม่อาจเป็นดังใจทุกอย่าง


“พวกเราอัปเดตข้อมูลในตัวชิปได้เสมอ ถ้าเจ้าต้องการจะบรรจุภาษามังกรเพิ่มเข้าไปในคลังข้อมูลภาษาของเผ่าพันธุ์ต่างๆ” 


มันเริ่มทำหน้าหงิกนิดๆ เหมือนเริ่มหงุดหงิดใจ 


“แต่เราคงให้เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้เร็วๆ นี้หรอก เพราะเรายังไม่ต้องการให้พวกชาวสวรรค์รู้ว่ามังกรอย่างเจ้ายังมีชีวิตอยู่จริง ขอโทษในเรื่องนี้ด้วย”


หืม... ขึ้นอยู่กับข้างั้นหรือ? โอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ นี่หมายความว่าไม่ว่าข้าจะด่าอะไร ถ้าเป็นภาษามังกรมันก็ฟังไม่ออกแล้วสินะ? 


หึ... หึ ๆ ๆ


“หัวเราะชั่วร้ายอะไรของเจ้า? กำลังคิดจะหลอกด่าฉันเป็นภาษามังกรอยู่ใช่ไหม?”


หลอกเหลิกอะไรกัน ข้ากำลังด่าเอ็งโต้งๆ ตรงๆ ซึ่งๆ หน้าต่างหาก 


ข้าส่งเสียงดัง เฮอะ! ใส่มัน


“《แล้วข้าจะเสียพลังงานแสนล้ำค่าไปกับเรื่องไร้สาระอย่างนั้นทำไม? จะว่าไปแล้วถ้าเจ้าคุยกับข้าได้ตั้งแต่แรก ทำไมไม่ทำตั้งนานล่ะ? มาไล่ตีข้าเพื่ออะไรมิทราบ》”


อันซานขมวดคิ้ว ทำหน้าเคร่ง ดูยุ่งยากใจเป็นอย่างมาก “แล้วเจ้าเปิดโอกาสให้เราลองคุยกันดีๆ ตอนไหน?”


เฮ้ย! มันกล้าว่าข้าแบบนี้ได้ยังไง?! 


ข้ากำลังจะอ้าปากเถียง แต่เขาพูดขัดขึ้นมาก่อน


“ในตอนแรกที่ฉันเจอเจ้า เจ้านอนหลับเป็นตาย แถมกลายสภาพไปเป็นแมวอีก เอไอทางการทหารทั้งหมดที่เรามีตอนนั้นอาจมีภาษาต่างดาวเยอะ แต่ไม่มีภาษาแมวโหลดไว้หรอกนะ แถมพอฉันกลับมาถึงโลก พยายามวัดค่าตรวจสแกนร่างเจ้า เจ้าก็ทำลายอุปกรณ์พังเกือบหมด พอย้ายเจ้าไปยังปราการที่ปลอดภัยที่สุดในโลก กำลังให้เอไอติดตั้งการแปลภาษาแมวได้ไม่ทันเท่าไหร่ เจ้าก็เรียกใช้ลาวาใต้พิภพหลบหนีไปเสียอย่างนั้น จากนั้นเจ้าก็โผล่ไปในเมือง แล้วยังทำลายโดรนตำรวจสะกดรอยอีก”


ชายหนุ่มหยุดพูดนิดหน่อย แล้วเอนตัวลงกับเตียงที่ข้านอนอยู่ แขนข้างหนึ่งยกขึ้นมาค้ำใบหน้า ดวงตาคู่คมจ้องมองข้าอย่างอ่อนใจ


“พอฉันพยายามจะจับเจ้าอย่างละมุนละม่อมที่สุด รู้ตัวอีกทีเจ้าก็โบกหัวฉันคว่ำลงพื้น แถมพอเราทั้งคู่เครื่องติด ก็พากันหาเรื่องใช้แรง ฝ่ายหนึ่งไม่ตายอีกฝ่ายก็ไม่หยุด ออกกำลังจนเหนื่อย ไม่มีจังหวะให้คุยเลยสักนิด ถ้าเจ้าไม่ได้ยอมลงให้ฉันในตอนสุดท้าย พวกเราคงได้เด็ดหัวกันไปแล้ว”


แล้วเขาก็หัวเราะหึๆ ในลำคอ “แต่นั่นเป็นเพราะเจ้ายังอ่อนแออยู่ ไม่ใช่เพราะยอมแพ้ต่อฉันจริงๆใช่ไหมล่ะ ถ้าเจ้าแข็งแรงดีเต็มร้อย กรงเล็บมังกรของเจ้าคงได้กระชากหัวฉันไปเป็นรางวัลจริงๆ แน่”


ข้าอยากเลิกคิ้วขึ้นบ้าง เพราะแปลกใจที่มันรู้ใจข้าดีจริง 


“《เจ้ารู้จักมังกรอย่างข้ามากแค่ไหน? ไม่สิ ข้าต้องถามว่าทำไมเจ้าถึงเอาตัวข้ามาสินะ ทั้งๆที่ตั้งแต่มนุษย์ย้ายดาวไป ก็ผ่านมาเป็นพันๆปีแล้ว ...ทำไมจู่ๆถึงเพิ่งสนใจว่ามีตัวอะไรอยู่ที่โลกเก่าบ้าง?》”


สิ้นคำถามข้า เขาก็หยุดเคลื่อนไหว มันไม่เป็นธรรมชาติเสียจนข้าแอบตกใจ ทำไมถึงชอบให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตนักนะเจ้าลูกครึ่งบ้านี่


เวลาผ่านไปไม่นาน บุรุษตรงหน้าก็ค่อยๆ กลับมาเป็นอันซานอีกครั้ง


“นั่นสินะ เรื่องนี้สำคัญที่สุดจริงๆนั่นล่ะ พูดตามตรง ฉันแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่มันไม่ใช่คำถามแรกของเจ้า”


แล้วมันก็ถอนหายใจเฮือกโต จนข้าเริ่มรู้สึกเปลี่ยนใจไม่อยากถามเสียแล้ว 


“เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากการที่... ชาวเซเลสเทียล ต้องการกลืนเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา แล้วเปิดสงครามระดับจักรวาลน่ะ”



 




[แว่วเสียงตัวละคร:

เอมารันไธน์ said: ข้าไม่ใช่คนที่ต้องปรับทัศนคติ มันต่างหากที่เป็นคนต้องปรับทัศนคติ!!

*ชี้ท่านนายพลที่ทำหน้านิ่งกวนประสาทได้หล่อมากๆ*]