ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว - บทที่ 8 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (2) โดย ItsAlthero @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี

รายละเอียด

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว โดย ItsAlthero @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

ผู้แต่ง

ItsAlthero

เรื่องย่อ

#เป็นมังกรไม่ใช่แมว

นามของข้า คือ 'เอมารันไธน์' และข้าต้องการความช่วยเหลือ...

คือเรื่องมันเป็นแบบนี้นะท่านผู้มาเยือน อันตัวข้านั้นเป็นมังกรรุ่นเยาว์ ได้ลงหลุมไปคุยกับรากอ่อนของต้นแอชจิ๋ว จำศีลไปราวๆหนึ่งพันปีตามวิสัยปกติของมังกร แต่พอตื่นมาอีกครั้งก็ต้องพบว่า... ข้ากลายเป็นแมวไปแล้ว

...ตอนข้าหลับอุตุมันมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ข้าไม่เข้าใจ

มิหนำซ้ำ ดวงของข้ายังดิ่งลงเหวอย่างที่นรกก็ฉุดไม่อยู่ ทั้งผู้บัญชาการชาวมนุษย์เอย จักรพรรดิสวรรค์เอย ราชาปีศาจเอย จ้าวอสูรเอย และผู้นำอมนุษย์เผ่าอื่นๆมากมาย ต่างก็จ้องจะเข้ามาขย้ำพุงข้าไม่หยุดไม่หย่อน เอาแต่กวักมือเรียกข้า
เหมียวๆ... เหมียวบ้านพวกเจ้าสิ 

ข้าคือมังกรบรรพกาลตัวสุดท้ายของโลก ทั้งยังเป็นสายพันธุ์หายากขึ้นทะเบียนเป็นอันดับต้นๆของทุกทำเนียบเชียวนะ แต่พวกเจ้ากลับทำเหมือนข้าเป็นแมวจรไร้บ้านแบบนี้ ถือว่าตนเป็นใหญ่เลยจะข่มข้าอย่างไรก็ได้งั้นรึ? คิดหรือว่าข้าจะยอมอยู่ในโอวาท ทำตัวเชื่องเยี่ยงสัตว์เลี้ยงกับพวกเจ้า? ไม่ว่าพวกเอ็งจะทำอะไร ก็ซื้อใจข้าไม่ได้หรอก!

"อย่างอนกันนานนักเลยน่า เอมี่ ฉันซื้อแมวเลียรสโปรดของเจ้ามาให้สามร้อยลังเลยนะ ให้ฉีกตอนนี้เลยไหม คืนดีกันนะ"

"ใจเย็นก่อน เอ็ม ข้าเพียงแต่มาง้อเท่านั้น เจ้าชอบกินเนื้องูใช่ไหม? ข้าเอาเนื้อบาซิลิสก์จากแดนปีศาจมาฝากเจ้า"

"อย่าโกรธกันเลยนะ เด็กดี วันนี้พี่ซื้อขนมมาให้เจ้าเยอะแยะเลยนะ เค้กช็อกโกแลตจากแดนอสูรที่เจ้าชอบยังไงล่ะ มีเครป พาย ทาร์ต อยู่ในตู้อีกเป็นร้อยด้วยนะ"

"ช่างน่าดีใจนักที่ เอมี่น้อย ชอบของขวัญของเรามากถึงเพียงนี้ เจ้าอยากได้เพชรพลอยไปประดับรังเพิ่มอีกเท่าไหร่ล่ะหืม? เรายกให้ทั้งคลังแดนสวรรค์เลยก็ยังได้นะ แต่หากเจ้ายังไม่พอใจแล้วล่ะก็ เดี๋ยวเราจะลองไปถามแดนภูตดูให้ด้วย ดีหรือไม่?"

"ไม่ต้องขอ แดนภูตยกให้หมดเลย ที่รัก"

.....

เอาเป็นว่าข้าจะยอมนอนเฉยๆบนกองเงินกองทองของพวกเจ้าต่อไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน แต่จงระวังไว้เถอะ ประมาทข้ามากๆแล้วเจ้าจะเสียใจ สักวันนึงข้าจะยึดครองโลก ไม่สิ ครองจักรวาล ครองเอกภพไปด้วยเลยเอ้า ยึดได้แล้วข้าก็จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นคาเฟ่แมวซะให้หมดเลยคอยดู อย่าล้อเล่นกับระบบ เพราะระบบตบสวนนะจะบอกให้! 

ระวังโลกเจ้าเอาไว้ให้ดีเถอะ! (●`ω´●)




WARNING!!!

นิยายเรื่องนี้เป็น Boy Love แนว Sci-Fi ผสมแฟนตาซี ไทม์ไลน์ยุคอนาคต/ยุคดวงดาว มีหลายโลก หลายเวิร์ส และมีพระเอกหลายคน มีการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าพระ-นาย แบบ Polygamy เพราะเป็น ฮาเร็มชาย จัดอยู่ในหมวด18+แต่เป็นฉบับCutเพื่อความเหมาะสม จะมีเนื้อหาที่ถูกตัดทอนออกไปบางส่วนเพื่อให้มีเนื้อหาเชิง [Trigger] น้อยที่สุด นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ18ปีขึ้นไป จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ ความรุนแรง และฉากทารุณบางประการ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน โดยจะเขียนคำเตือนกำกับไว้ซ้ำในบทที่จำเป็นเพื่อประกอบการใช้วิจารณญาณในการอ่านต่อไป อนึ่ง ฉบับUncutอยู่ในบ้านหลักสีฟ้า

*เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงจินตาการของผู้เขียน เป็นเรื่องแต่ง ไม่อิงประวัติศาสตร์หรือหลักความเป็นจริงแต่อย่างใด มีเนื้อหาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น*

⚠ นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ไม่อนุญาตให้คัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือกระทำการใดๆ อันเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย ⚠

⚠ หากเราเตือนแล้วยังคุยกันไม่เข้าใจอีก ศาลจะเป็นที่ต่อไปที่ท่านจะได้มานั่งคุยกับเรา ⚠





แวะไปทักทายกันได้ที่

FB: @Althero_LD

X (Twitter) : @ItsAlthero

♡ ด้วยรักและขอบคุณจ้า ♡


สารบัญ

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทนำ มาจะกล่าวบทไป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 1 เริ่มมาก็ปังแล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 2 เกือบหลับแต่กลับมาได้,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 3 อยู่ดีๆ เราก็วาร์ป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 4 โลกใหม่สอนให้เปิด,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 5 เป็นแมวจรต่างดาวไม่ง่ายเลย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 6 เป็นมนุษย์บนต่างดาวยากยิ่งกว่า,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 7 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 8 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 9 ยังไม่ได้ไปเที่ยว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 10 เปิดอกอีกรอบ รอบนี้แค่เปรียบเปรย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 11 ยื่นหมูครึ่งเทพ ยื่นแมวมังกร,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 12 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 13 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 14 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (3),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 15 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายก็แย่แล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-**คั่นเวลาเล็กน้อย ด้วยรูปท่านนายพล**

เนื้อหา

บทที่ 8 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (2)

“เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากการที่... ชาวเซเลสเทียล ต้องการกลืนเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา แล้วเปิดสงครามระดับจักรวาลน่ะ”


อื้ม นี่แหละ เปิดบทสนทนาด้วยเรื่องดีๆ ไม่ใช่เรื่องชิบหายเลยแม้แต่น้อย 


“《พวกมันยังไม่เลิกทำแบบนั้นอีกหรอ》” ข้าตบพวงหางฟูฟ่องลงกับเตียงใหญ่ แล้วฝนเล็บจิ๋วหลิวแต่คมกริบของอุ้งเท้าแมวระบายอารมณ์ลงกับหมอน


อันซานมองการกระทำนั้นนิ่งๆ แต่ไม่ได้ดุอะไร เขาลุกยืนขึ้น เดินไปทำอะไรบางอย่างที่มุมห้องตรงชั้นเก็บของ จากนั้นเขาก็เดินกลับมานั่งที่เดิม ข้าสังเกตเห็นว่าเขาถือบางอย่างติดมือมาด้วย


“เท่าที่ชาวมนุษย์รู้ พวกเขาเก็บเกี่ยวพลังงานและเศษซากที่เหลืออยู่จากดวงดาวที่ตายแล้วมานานแล้ว-- เดี๋ยวก่อน ถ้างั้น เจ้าก็รู้จักเซนทิเนลจริงๆ ใช่ไหม?”


ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ “《เป็นอริเก่าของเผ่ามังกรน่ะ เรื่องมันผ่านมาสองแสนปีแล้ว ข้าไม่ค่อยอยากพูดถึงมันเท่าไหร่》”


สงครามในเวลานั้น มังกรอาจขับไล่พวกมันไปได้สำเร็จ แต่เราก็สูญเสียสิ่งสำคัญไปเช่นกัน ดังคำที่ท่านตาของข้าชอบเอ่ย ในทุกครั้งที่ข้าเฝ้ามองเขาผ่านความทรงจำของมารดา ‘ไม่เสียสละ ชัยชนะก็ไม่เกิด’ ท่านตาข้ายอมรับข้อนี้มานานแล้ว


“《ว่าแต่... นั่นอะไรน่ะ?》” ข้าบุ้ยใบ้ไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของมัน


“นี่หรือ? ของขวัญของเจ้าเองล่ะ ...แล้วก็เป็นคำขอโทษจากฉันด้วย" ชายหนุ่มแกะสิ่งนั้นออกมาจากกล่อง “ถ้าเจ้าสวมใส่สิ่งนี้เอาไว้ เจ้าก็จะสามารถพูดภาษามนุษย์ของโลกนี้ได้เองโดยที่ไม่ต้องให้เอไอของฉันแปล ...อยากรับไว้ไหม?”


มันดูเหมือนปลอกสวมคอสีดำ บางและเบา มีจี้ห้อยสีเงินเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเหล็กแบบเดียวกันกับเจ้า... ชิป ของมนุษย์ (?) ตรงหน้า ข้าอยากยักไหล่เหลือเกิน ถ้าข้ามีไหล่น่ะนะ 


“《เอาสิ》” ถามอย่างกับว่าข้ามีทางเลือกงั้นล่ะ


มันขยับยิ้มนิดหน่อย แล้วค่อยๆ บรรจงสวมปลอกผ้าเข้ากับคอของข้า พอดีเป๊ะ... จนข้าแอบหลอนว่ามันต้องวัดขนาดรอบคอของร่างแมวตอนข้ากำลังสลบเหมือดอยู่แน่ๆ


จี้สีเงินพลันส่องแสงเมื่อชายหนุ่มกดเปิดระบบมัน “เอ่ยชื่อของเจ้าสิ”


ข้าลังเลนิดหน่อย แต่ก็เปล่งเสียงออกไป


“《เอมารันไธน์》”


มีเสียงติ้ง! จนข้าหลุดสะดุ้ง แล้วจี้นั่นก็พูดออกมา 


‘ยืนยันการแปลภาษาของท่าน เป็น ภาษามนุษย์ปัจจุบัน สวัสดี เอมารันไธน์’


ข้าตาเหลือก จ้องมองเจ้าสิ่งห้อยคอ สลับกับเจ้าร่างสูงที่ยังยืนค้ำหัวข้าอยู่ได้


อา... มนุษย์อย่างพวกเจ้า.. เริ่มประหลาดเหมือนพวกต่างภพเข้าไปทุกทีแล้วนะ... ชาวมังกรไม่น่าใจดีปล่อยให้พวกมันแวะมาเดินเล่นบนโลกตั้งนานเลย ให้ตายสิ”


“...เจ้าหมายความว่ายังไง?”


ข้าเหลือบมองนิ่ง “เอาจริงๆ ข้าก็สงสัยอยู่นิดหน่อย นี่ชาวมนุษย์คงไม่ได้คิดมาตลอดว่า ตำนานเกี่ยวกับเทพ ปีศาจ และสัตว์อสูรอื่นๆ ทั้งหลาย ในแต่ละยุคของมนุษย์น่ะ... คิดกันขึ้นมาเองหรอกใช่ไหม หือ?”


“...นี่เจ้าหมายความว่า เมื่อหลายพันปีก่อนที่มนุษย์ออกมาจากโลก ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้เจอพวกเอเลี่ยนงั้นหรือ?”


ข้ามองหน้าเขาตาโต แล้วหลุดหัวเราะร่วนออกมาพรืดใหญ่ เสียงข้าฟังดูแปร่ง ผิดเพี้ยน และแปลกหูไม่น้อย เพราะกล่องเสียงในคอแมวออกเสียงหัวเราะได้ไม่เท่ากล่องเสียงของมนุษย์


เอเลี่ยน งั้นรึ! ฮ่า! พูดอะไรประหลาดจริง ถ้าเจ้าเรียกพวกนั้นว่าเอเลี่ยน ไม่คิดบ้างหรือว่าตัวเองก็เป็นเอเลี่ยนเหมือนกันน่ะ บ้านของเจ้าสร้างบนดาวคนอื่นอยู่ไม่ใช่หรือไง? เอเลี่ยน... ช่างสรรหาคำไปเรียกผู้อื่นเขา ฮ่าๆๆ!” 


ข้าหัวเราะท้องแข็ง น้ำตาเล็ดจนต้องถูไถหัวกับหมอน 


“แน่นอนว่า ก็ต้องไม่ใช่ครั้งแรกอยู่แล้วสิ พวกต่างภพอย่างชาวแวร์บีสต์ [มนุษย์เรียก ชาวอสูร] หรือชาวเฟย์ [มนุษย์เรียก ชาวภูต] น่ะ ชอบแอบผ่ามิติแวะเวียนมาที่โลกสมัยที่พวกเจ้าสร้างอารยธรรมจะตาย ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามาดี มังกรอย่างเราเลยไม่ได้ไล่ไปน่ะ แต่แค่มาไม่บ่อยเท่านั้นเอง


เหมือนว่าพวกมนุษย์จะเคยเห็นเจ้าพวกนั้นบ้างนะ แค่ไม่รู้ว่าเห็นอะไรจริงๆ ก็เท่านั้น แล้วพวกมนุษย์ก็เอาเจ้าพวกนั้นไปใส่สีตีไข่เสียสนุกสนานจนเขียนเป็นเรื่องราวตำนานต่างๆ ได้ตั้งมากมาย ชาวมังกรชอบล้อเจ้าพวกนั้นด้วยเรื่องนี้หลายครั้งเชียวล่ะ!”


ข้าส่ายหน้าไปมาอย่างขำๆ 


“ขนาดมังกรอย่างพวกข้า มนุษย์อย่างพวกเจ้ายังหลงคิดว่าเป็นแค่สัตว์ในจินตนาการกันอยู่เลย ...เอ่อ อันที่จริง เราก็อยากให้เป็นแบบนั้นด้วยส่วนนึงนั่นล่ะ”


แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าลูกครึ่งอีกครั้ง ก็เห็นมันมีสีหน้าเจื่อนลงเรื่อยๆ 


“ทำไมทำหน้างั้นล่ะ? หรือไม่ชอบที่ข้าล้อบรรพบุรุษเจ้าหรือ? พูดก็พูดเถอะ บ้านตัวเองมีก็ไม่อยู่เอง ไปขอดาวคนอื่นอยู่แล้วเจ้าของเขาเรียกเก็บค่าเช่า เจ้าจะมาบ่นทีหลังไม่ได้หรอกนะ”


ร่างนักรบหนุ่มนิ่งไป แต่แววตายังคงฉายความวุ่นวายใจบางอย่าง “ชาวแวร์บีสต์ กับ ชาวเฟย์... ที่เจ้าเรียกนี่หมายถึง ชาวอสูร กับ ชาวภูต ใช่ไหม?”


“ใช่ พวกเจ้านี่ชอบเปลี่ยนคำศัพท์ของผู้อื่นให้เป็นของตนเองจริงนะ”


อันซานถอยหายใจเฮือกใหญ่ ดูเหนื่อยใจอย่างมาก “...เรื่องที่ไม่ให้บ่นน่ะ ฉันเข้าใจดีอยู่หรอก แต่ช่วยเห็นใจเราทีเถิด สิ่งที่เหล่าบรรพบุรุษของมนุษย์ทำลงไป ก็เพียงแค่อยากให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่รอดเท่านั้น... พวกเขาแค่อยากให้ลูกหลานของพวกเขาได้เติบโตบนโลกที่ปลอดภัยเท่านั้นเอง”


สีหน้ามันทำข้าเกือบใจอ่อนยวบ เพราะในยามที่กำลังนอนมองเขาจากมุมนี้ ดวงตาสีทองสวยนั่นมองมาทางทางข้า มันดูอ่อนแสงอย่างขอความเห็นใจ


...ให้เติบโตบนโลกที่ปลอดภัยงั้นหรือ เฮอะ ตอนแรกโลกก็ปลอดภัยดีอยู่แล้ว แต่พวกมนุษย์มันทำโลกให้ไม่ปลอดภัยเองนี่นา มาขอความเห็นใจตอนนี้... เดี๋ยวข้าก็ใจอ่อนหรอก ไม่นะ ข้าไม่ใช่มังกรใจง่ายนะ


ข้าทำเสียงดุดันเท่าที่เสียงแมวจะอำนวย


“อย่าทำหน้าแบบนั้นนะ!”


เขาชะงักไป “ทำไมล่ะ?”


“ก็มันดูน่าสงสาร!” ข้าตอบ “เดี๋ยวข้าก็ใจอ่อนกันพอดี”


สิ้นคำพูดข้า อันซานก็เบิกตากว้าง แล้วหลุดหัวเราะออกมาบ้าง เสียงทุ้มต่ำของเขาเวลาหัวเราะออกมาจากใจจริงแล้ว ก็... เออ ยอมรับก็ได้ว่ามันฟังดูเพราะดี-- หมายถึงมันน่าต่อยน้อยลงนิดหน่อย!


ข้าเอียงคอมอง “หัวเราะทำไมกัน?”


“ก็เปล่าหรอก... แค่...” เขาส่ายหัวยิ้มๆ “คิดว่าเจ้าเป็นมังกรที่มีนิสัยน่าสนใจดีน่ะ ในตอนแรกฉันคิดว่าเจ้าจะ... ดุร้าย เกรี้ยวกราด เจ้าคิดเจ้าแค้นกว่านี้ซะอีก” ร่างสูงพลันจ้องมองข้าตรงๆ “...ไม่โกรธหรือที่ฉันลักพาตัวเจ้ามา”


ข้ามองเขาตอบนิ่งๆ “นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะแก้ตัวว่าอย่างไร”


อันซานยิ้มเหนื่อยล้า “...ไม่มีคำแก้ตัวหรอก แต่... ฉันอยากขอโทษเจ้า เรื่องที่พรากเจ้ามาอยู่ที่นี่ แล้วยังพยายามขังเจ้า ฉันขอโทษ จากใจจริง” เขาก้มหัวลงให้ข้าจนหัวติดฟูกเตียงทั้งที่ยังนั่งอยู่กับเก้าอี้


“ฉันขอโทษเจ้าด้วยจริงๆ เอมารันไธน์”


ร่างแมวแปลงบนหมอนใบใหญ่ถึงกับชะงัก เพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำขอโทษจากปากมันเข้าจริงๆ 


...ข้าไม่ได้ยินชื่อของตนเองจากปากของสิ่งมีชีวิตอื่นมาหลายพันปีแล้ว...


พวงหางนุ่มสลวยสีเงินปัดป่ายใบหน้าของชายหนุ่ม ดันให้เงยขึ้นมาดังเดิม “บอกแล้วไง ว่าอย่าทำหน้าเช่นนั้น” ข้ากล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าจะใจอ่อนเอานะ”


นั่นเป็นอีกครั้งที่ข้าเห็นเขายิ้ม สีหน้าเขาอ่อนลงจนสิ่งที่นั่งอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนมนุษย์จริงๆ เป็นครั้งแรก เสียงสะท้อนก้องจากอดีตของเผ่าพันธุ์ในความทรงจำ สิ่งมีชีวิตที่ครั้งหนึ่งมังกรเคยหลงรัก


“แค่เจ้ายอมฟังคำขอโทษของฉัน ก็เกินกว่าที่เราสมควรได้รับแล้ว ...ขอบคุณจริงๆ”


ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าอ่อนลงราวกับบางสิ่งที่หนักอึ้งในใจได้รับการปลดปล่อยลงบ้างแล้ว


“เอาล่ะ... ถ้าจะให้เท้าความเรื่องทั้งหมด มันจะเป็นเรื่องที่ ยาว มากๆ คิดว่าฟังไหวไหม?”


“...ในร่างที่ปวกเปียกเช่นนี้ ยังมีอะไรให้ข้าทำนอกจากนอนฟังนิทานของเจ้าอีกเรอะ”


“นั่นสินะ...” ชายหนุ่มกระแอม “...สำหรับเหตุผลที่ฉันต้องนำตัวเจ้ามาที่นี่... มันเป็นคำสั่งของรัฐบาลโลก แลกกับสิทธิให้ฉันอยู่อาศัยบนโลกต่อไป และสถานะความเป็นมนุษย์น่ะ... ฉันจำเป็นต้องมีสถานะมนุษย์โลกจริงๆ เพราะฉันมีสิ่งที่รักมากอยู่ที่นี่”


ข้าตั้งใจฟังเขาทันควัน “สิ่งที่รักหรือ?”


“ใช่... สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต ต่อให้ฉันต้องทำเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ฉันก็ยอมถวายหัวให้”


ร่างสูงใหญ่เหมือนจะกำลังหวนนึกถึงบางอย่าง สีหน้าเขานิ่งเรียบเหมือนสิ่งไร้ชีวิต เหมือนถูกฝึกให้ทำตั้งแต่เกิด แต่แววตาบางส่วนกลับเปิดเผยความเศร้าลึกๆ จนข้านึกสะท้อนใจ


เขาหยุดพูดไปเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว แล้วสูดลมหายใจลึกราวกับกำลังดึงสติตัวเองให้กลับมาดังเดิม แล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่องทันใด


อ่า... อย่างที่ฉันเคยพูดไปแล้ว ชาวเซเลสเทียล ต้องการกลืนเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเปิดสงคราม


นั่นคือหลังจากที่พวกเราขึ้นศาลจักรวาลครั้งแรก ด้วยคำพิพากษาขององค์อุตรเทพ ท่านเป็นหนึ่งในผู้ดูแลครรลองของจักรวาล ซึ่งได้ตัดสินให้มนุษย์บรรพบุรุษย้ายมาอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ได้

ในตอนนั้นองค์จักรพรรดิแห่งดาวสวรรค์ทรงลงนามยินยอมให้เราใช้มันเป็นบ้านหลังใหม่ เพราะยังไงซะ ดาวดวงนี้ก็ว่างเปล่า ไม่ได้ใช้ทำสิ่งใดตั้งแต่แรก ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ถึงกับเขียนเอาไว้ว่าในช่วงเวลานั้น เซเลสเทียลมีเมตตากับมนุษย์มากกว่าตอนนี้เอามากๆ เลยเชียวล่ะ 

...แต่กระทั่งองค์จักรพรรดิแห่งดาวสวรรค์ท่านนั้นทรงพระประชวรหนักกระทันหัน แล้วพระอนุชาของพระองค์ก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ทุกอย่างก็พลันดิ่งลงนรกไปหมด...”


สีหน้าของอันซานเครียดขึงมากขึ้น เขาเกือบจะกลับไปดูเหมือนสิ่งไร้ชีวิตอย่างที่ข้าเคยเห็นในครั้งแรกที่เจอกัน 


“หลังจากเลื่อนตำแหน่งให้ตัวเองใหม่อย่างปุบปับ เซเลสเทียลตนนั้นก็เริ่มส่งกองทัพนักรบเซนทิเนลจำนวนมหาศาลเข้าบุกดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ในกาแล็กซีทางช้างเผือก แล้วเรียกเอาบรรณาการ... ก็คือส่วย หรือภาษีนั่นแหละ เผ่าไหนที่ไม่ยินยอม ก็ต้องถูกยึดครองด้วยความรุนแรง ถูกกลืนชาติ อารยธรรม และเผ่าพันธุ์ จนกระทั่งกลายเป็นดาวอาณานิคมของดาวสวรรค์ไปในที่สุด”


“โอ้โฮ หนักกว่าตอนชาวมังกรอย่างเราเจอมันครั้งแรกเมื่อสองแสนปีที่แล้วอีกนะเนี่ย มันเล่นกระทำการอุกอาจเสียขนาดนั้น นี่ไม่มีใครไปฟ้อง เอ่อ... ศาลจักรวาลอะไรนั่นเลยหรือ?”


ข้าแปลกใจหลายอย่าง ประการแรกคือ ข้าไม่คิดว่าพวกเซเลสเทียลจะสามารถถูกเขียนลงประวัติศาสตร์ว่า ใจดี ได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ การที่มีหนึ่งในพวกมันลุกขึ้นมาโวยวายอ้างสิทธิ์โง่ๆ ในบ้านของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่แปลกใจเลย นั่นต่างหากที่เรียกว่าธรรมชาติปกติของพวกมัน แต่ขอถามประเด็นนี้ก่อนแล้วกัน


“อ๋อ มีสิ” อันซานตอบกลับเสียงเรียบ “แต่ตายหมดแล้วล่ะ”


“เอ้า...”


“หลังจากที่องค์อุตรเทพตัดสินคดีของเราเสร็จ ท่านก็เดินทางกลับออกไปจากกาแล็กซีมิลกี้เวย์ แต่ก่อนไปท่านได้ทิ้งเทพชั้นผู้น้อยเป็นตัวแทนท่านไว้สามองค์ ให้อยู่ประจำศาลแทน และตั้งให้เป็นตัวแทนของสหพันธ์ดวงดาวที่ประจำการอยู่มิลกี้เวย์ด้วย 

...ทว่า เมื่อพันปีก่อน ในทันทีที่ดาวสวรรค์เปลี่ยนผู้ปกครอง เทพผู้แทนสามองค์นั้นก็ได้ถูกกองทัพของเซนทิเนลระดับสูงสุดสังหารทิ้งไปแล้วล่ะ”


ข้านิ่งอึ้ง แต่ยังฟังชายหนุ่มพูดต่อไป


“ในทันทีที่เรื่องแดง พวกเซเลสเทียลก็จัดการเปิดใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่เราไม่อาจเข้าใจได้ สร้างเขตแดนขนาดยักษ์ระดับกาแล็กซี กักขังพวกเราทั้งหมดเอาไว้ ปิดตายทุกการเข้าออก ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสามารถเดินทางเข้ามาหรือออกไปจากมิลกี้เวย์ได้เลย เขตแดนที่สร้างขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ ของชาวเซเลสเทียล แข็งแกร่งถึงขนาดที่.. คงจะอยู่ไปจนกว่าดาวเคราะห์บ้านเกิดของพวกมันล่มสลายเลยล่ะ”


“อ้าว?!” อึ้งแล้ว อึ้งอยู่ อึ้งต่อ “แล้วเผ่าพันธุ์อื่นที่เหลือทำยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ?”


“สงคราม” อันซานตอบง่ายๆ “หลังจากที่ศาลจักรวาลและสหพันธ์ดวงดาวประจำมิลกี้เวย์ล่มสลาย ชาวอสูรกับชาวปีศาจก็ประกาศสงครามกับชาวสวรรค์ ...ส่วนชาวภูตแยกตัวออกไป ไม่เข้าข้างฝ่ายใด”


อืม... คำเรียกของพวกมนุษย์นี่น่าตลกดีชะมัด ทั้งชื่อ อสูร ปีศาจ ภูต เทพสวรรค์ อะไรนั่นนะ นิสัยชอบตั้งชื่อให้เผ่าพันธุ์อื่นด้วยศัพท์ของตนเอง แถมยังลำเอียงแบบนี้ ไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด ทั้งๆ ที่เจ้าต่างดาวพวกนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ต่างดาวของจริงซึ่งไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับตัวตนในความเชื่อของพวกมนุษย์เลยแท้ๆ เชียว-- แต่เรื่องนี้เอาไว้ก่อน


“แล้วพวกมนุษย์ล่ะ ทำยังไง?”


ชายหนุ่มยิ้ม แต่ไม่ใช่ยิ้มที่มีความสุข มันดูเหมือนแยกเขี้ยวอย่างกรุ่นโกรธมากกว่า แต่ไม่ได้ส่งมาที่ข้า


“ในตอนแรก รัฐบาลโลกอยากประจบประแจง เลียแข้งเลียขาพวกเซเลสเทียลใจจะขาด... แต่หลังจากที่พวกมันเรียกร้องบรรณาการจากเรา ต้องการให้เราผลิตลูกมากขึ้น แล้วส่งมนุษย์เด็กๆ ให้ชุดละสิบล้านคน เพื่อเอาไปทำการทดลองที่สามารถสร้างนักรบสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา...”


เล่าถึงตรงนี้ ดวงตาสีทองของเขาก็ลุกวาบ จนข้าหลุดสะดุ้ง เขาส่งเสียงฟ่อเหมือนงูที่กำลังโกรธอย่างลืมตัว แต่พอเห็นข้ารอฟังต่ออยู่ เขาก็คลายสีหน้าลงแล้วเล่าต่อ


“...ลูกผสมของมนุษย์และเทพ... เพื่อส่งเสริมกองทัพมันให้ทรงพลังมากขึ้น นับแต่นั้นชาวมนุษย์ก็พยายามถอนตัวออกมาจากสงคราม ซึ่งแน่นอนว่าชาวสวรรค์ไม่ยอมอยู่แล้ว พวกนั้นทวงบุญคุณที่ยกดาวดวงนี้ให้เรา รัฐบาลโลกเลยเจรจา ขอเปลี่ยนจากลูกมนุษย์ มาเป็นมนุษย์โคลนแทน”


ชายหนุ่มหัวเราะแผ่วในลำคอ ทั้งๆ ที่สีหน้าเขาดูแย่ไม่เบา ข้าเผลอจิกหมอนลึกเพราะเหมือนจะเดาบางอย่างออก


“...ตอนที่เราสู้กัน เจ้าก็เห็นพลังของฉันแล้วใช่ไหมล่ะ? เจ้าเป็นมังกรที่ฉลาดมาก ฉันรู้สึกว่าเจ้าน่าจะรู้อยู่แล้ว”


ข้าไม่ตอบอะไร แต่สายตาอ่อนลงอย่างไม่อาจห้าม ตอนนี้รอยยิ้มของร่างสูงใหญ่ตรงหน้าดูขมขื่นยิ่งนัก


“ในบรรดามนุษย์โคลนจำนวนสิบล้านคนที่รัฐบาลโลกส่งไปชุดสุดท้าย ฉัน... เป็นตัวทดลองเพียงตัวเดียวที่มีชีวิตรอด”


ความเงียบรอยตัวลงมาระหว่างพวกเรา ห้องที่กว้างขวาง แต่กลับโล่งจนแอบดูเงียบเหงา ไร้สิ่งของวางเกะกะ มีเพียงสิ่งของจำเป็นน้อยนิดสำหรับชีวิตหนึ่ง หน้าต่างบานใหญ่ถูกปิดด้วยผ้าม่านที่ไม่ทึบนัก แสงอาทิตย์อ่อนๆ ลอดออกมาให้เห็นรำไร 


“ในตอนที่ฉันถูกสร้างมาใหม่ๆ ฉันเคยได้ยินมาว่าเผ่าพันธุ์เซเลสเทียลน่ะ มีเชื้อสายต้นกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์ของอุตรเทพแท้ๆ แต่ถึงแม้พวกมันจะเป็นสายญาติที่ห่างมากๆ ถึงพันล้านปี เซเลสเทียลแต่ละตนที่ถือกำเนิดก็ยังทรงอำนาจมาก พวกเขาคือสายพันธุ์ที่สืบสายเลือดมาจากเผ่าพันธุ์มีอารยะที่ทรงอำนาจระดับจักรวาล...

และเหล่าเซนทิเนล ก็คือชาวเซเลสเทียลที่ทรงพลังมากที่สุด จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักรบของดาวสวรรค์ ยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งทรงอำนาจมากขึ้นเป็นเท่าตัว จนระดับสูงสุดแค่หนึ่งตนก็สามารถทำลายได้แม้แต่ดวงจันทร์ เพราะงั้นเมื่อพวกมันจัดตั้งกองทัพบุกเข้าโจมตี ยึดดาวดวงอื่นๆ ถึงไม่มีใครต่อต้านได้... แม้แต่ตุลาการทั้งสาม ที่เป็นสายญาติห่างๆ กันก็ตามที

ด้วยพลังที่มากขนาดนั้นน่ะ.. มันเกินกว่าที่มนุษย์โคลนจะสามารถรับไหวอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์แท้ๆ เลย ตลอดพันปีที่พวกมันทำการทดลอง เพื่อยกระดับกองทัพของพวกมัน ได้สูญเสียมนุษย์โคลนไปเป็นล้านๆ ...แต่ในที่สุด มนุษย์โคลนจำนวนสิบล้านคนชุดสุดท้ายที่รัฐบาลโลกส่งให้ ก็สามารถใช้สร้าง... ฉัน ขึ้นมาได้สำเร็จ”


ข้านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “อันซาน... ถ้าหากเจ้าเป็นนักรบที่พวกมันสร้างขึ้นมา… แล้วเจ้ามาอยู่ที่โลกนี้ได้ยังไง?”


“มีเซนทิเนลนางหนึ่งช่วยฉัน”


“เซนทิเนลหรือ?”


“ใช่... แต่ถึงถูกเรียกแบบนั้น นางก็ไม่ใช่นักรบที่เคร่งครัดในกฎระเบียบอะไรหรอก อันที่จริง... นางเกลียดสงคราม แทบจะเรียกได้ว่านางเป็นแกะดำของสวรรค์เลยล่ะ” อันซานหลับตาลง เหมือนกำลังหวนรำลึกถึงผู้ที่สำคัญยิ่งนางนั้น


“ทำไมนางถึงช่วยเจ้าล่ะ?”


“นั่นสินะ ฉันเองก็ไม่เคยถามด้วยสิ นางรับเอาฉันไปดูแลในตอนที่ฉันเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ๆ” เขาถอนหายใจ “ร่างของฉันถูกสร้างให้ไม่ต่างจากมนุษย์วัยเด็ก เพื่อให้ง่ายต่อการถูกล้างสมองในยามที่เติบโตขึ้นมากับกองทัพสวรรค์ ...แต่เซนทิเนลนางนั้นชิงรับฉันไปดูแลก่อนที่ทางกองทัพจะเอาฉันไปได้ นางดูแลฉัน ฝึกฝนฉัน เหมือนฉันเป็นลูกศิษย์คนหนึ่ง... ไม่ใช่อาวุธสงครามที่ถูกสร้างขึ้น ฉัน...” เขาลังเล แต่ก็ยอมพูดต่อ “...ฉันเรียกนางว่าท่านแม่”


เดี๋ยวๆ-- เจ้าจะมาดึงดราม่าปุบปับแบบนี้ใส่ข้าได้ยังไงกัน ข้าพยายามอย่างมากที่จะให้เรื่องนี้เป็นสโลไลฟ์คอมเมดี้นะ


...แต่ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้ว ข้ายกหางยาวฟูฟ่องของตนเองสะบัดขึ้นไปแตะหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ


“ถ้าไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ เปลี่ยนเรื่องก็ได้นะ”


ชายหนุ่มเหม่อมองข้าด้วยดวงตาอ่อนแสง แล้วยิ้มบางออกมา คราวนี้เป็นยิ้มจากใจ


“ไม่หรอก ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้พูดเรื่องท่านแม่กับใครสักคนมานานมากแล้ว มนุษย์บนโลกนี้ที่รู้ว่าฉันเป็นตัวอะไรจริงๆ ก็มีแค่เหล่าผู้บัญชาการของรัฐบาลโลกเท่านั้น แต่มนุษย์ทั้งหลายก็ยังรู้สึกได้ว่าฉันแตกต่างจากพวกเขาอยู่ดี เป็นตัวอันตรายน่ะ เพราะงั้นรัฐบาลโลกถึงได้มองฉันแบบเดียวกับที่มองระเบิดปรมาณูอย่างไรอย่างนั้น”


เขาหัวเราะเบาๆ “ฉันอยู่บนโลกนี้มาได้เกือบร้อยปีแล้ว เหตุผลเดียวที่ฉันยังไม่ถูกเฉดหัวกลับทัพสวรรค์ เพราะคนรับรองของฉันทั้งสองน่ะยิ่งใหญ่มาก”


“คนรับรองหรือ?” ข้าเอียงคอถาม เขาพยักหน้า จากนั้นก็กระเถิบตัวขึ้นมาบนเตียง เขาเอนตัวลงนอน จนหัวฟุบใกล้กับหมอนที่ข้านอนอยู่ ดูผ่อนคลายมากขึ้นนิดหนึ่ง


“คนรับรอง ผู้ปกครอง ...พ่อและแม่บุญธรรมของฉัน" รอยยิ้มเขาอ่อนโยนและเลือนลาง “เหตุผลที่ไม่มีใครกล้าขัดนางเซนทิเนลที่รับฉันไปเลี้ยง ก็เพราะนางคือองค์หญิงแห่งสวรรค์ บุตรีคนสุดท้องขององค์จักรพรรดิน่ะ ...นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของไอ้ทรราชนั่น ...ชื่อของนางคือ เฮสเทีย”


“หลังจากที่นางรับเลี้ยงฉัน ท่านอาของนางก็รู้ถึงข่าวนี้ แล้วประกาศว่านางทำผิดร้ายแรงที่ไม่ยอมส่งฉันให้กองทัพสวรรค์ มันสั่งขังนาง แต่ก่อนหน้านั้นนางได้ส่งฉันมาที่โลก มีมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้ายื่นมือเข้ามาช่วย ชายคนนั้นคือจาร์กัล ทามัล อดีตท่านผู้บัญชาการเขต3 และอดีตผู้นำทหารสูงสุดของโลก ...พวกเขาตกหลุมรักกัน”


ยิ่งฟัง ตาข้าก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ อันซานหัวเราะ มือใหญ่ยกขึ้นมาใกล้ข้า แล้วก็หยุด เป็นเชิงขออนุญาต เมื่อเห็นว่าข้าไม่ขยับหลบ เขาก็ลงสัมผัสแผ่วเบา ลูบขนแมวฟูฟ่องของข้าช้าๆ


“ฉันได้รับการรับรองให้เป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลทามัล ในตอนนั้น... ท่านพ่อรับดูแลฉันต่อ เขาเลี้ยงฉันเหมือนฉันเป็นลูกแท้ๆ เหมือนเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ต่างจากที่เฮสเทียทำ แต่เพราะทั้งคู่รักกัน ทางสวรรค์เลยประกาศให้พวกเขาเป็นกบฏ”


มือใหญ่หยุดลูบข้า เสียงถอนหายใจตามหลังมา ข้ายุบตัวลงกับหมอน เก็บอุ้งเท้าทั้งสี่ซุกไว้ใต้ท้องจนตัวกลม ยื่นหัวไปใกล้ๆ หน้าของชายหนุ่มข้างล่างหมอนใบใหญ่ 


...นี่มังกรอย่างข้า นอกจากกลายร่างมาเป็นแมว เป็นมนุษย์ ยังต้องกลายมาเป็นผู้บำบัดจิตใจให้เจ้ามนุษย์ที่ขุดข้าขึ้นมาจากหลุมด้วยหรอเนี่ย 


ถ้าข้ายังอยู่นอกโลกแบบนี้ในอนาคตข้าจะได้เป็นอะไรเพิ่มอีกหนอ ชีวิตใหม่ของข้าช่างน่าตื่นเต้นเร้าใจอะไรอย่างนี้นะ เฮ้อ…


“เฮสเทีย... นางถูกขังลืมอยู่ที่คุกสูงสุดของสวรรค์ ส่วนท่านพ่อบุญธรรมของฉัน ...เขาถูกตัดขาทั้งสองข้าง ริบพลังและตำแหน่ง พวกเราเลยประกาศสงครามกับสวรรค์เช่นกัน”


“เจ้าลุกขึ้นสู้กับพวกมัน” ข้าชื่นชมมัน คือตอนนี้อะไรที่ชมได้ก็ชมไปก่อนล่ะ เห็นมันทำสีหน้าอื่นนอกไปจากสีหน้ากวนตีนหน้าตายแบบปกติของมันแล้วไม่สบายใจเอาซะเลย


“ใช่ เราสู้เต็มกำลังจริงๆ” เขายิ้มออก แล้วเล่าต่อ “แต่เราไม่อาจชนะได้หรอก มันคนละระดับกัน และลูกครึ่งเทพของฝ่ายมนุษย์ก็มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น... ถ้าไม่ใช่เพราะชาวอสูรยกทัพมาเข้าร่วมรบช่วยเราสู้ศึกนั้น พวกเราคงแพ้ไปแล้ว แต่ในที่สุดเราก็สามารถขับไล่ให้พวกมันกลับดาวไปได้ชั่วคราว”


เขาเงยหน้ามองข้า “ฉันเพิ่งรู้ทีหลังว่าชาวปีศาจยกทัพไปโจมตีที่ดาวอีเดนของสวรรค์ในเวลาเดียวกันด้วย พวกเซนทิเนลถึงได้ยอมล่าถอยไป ส่วนชาวอสูรไม่คุยกับเราเลย พวกเขามาช่วยแล้วก็ไป เรื่องมันเพิ่งจบไปเมื่อร้อยปีที่แล้วนี่เอง แต่เพราะแบบนี้มนุษย์เลยหวาดระแวงพวกชาวสวรรค์มากกว่าเดิมเสียอีก พวกเรากลัวว่าสนามรบที่ต่อไปคือโลกใหม่นี้”


เงียบกันไปครู่หนึ่ง แล้วร่างสูงใหญ่ก็ผุดลุกขึ้นจากเตียง มานั่งจ้องข้าเขม็ง 


“...จากนั้นเราก็ได้รับเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดในจักรวาลมา เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”


ข้าที่กำลังฟังเพลินๆ สะดุ้งนิดหน่อย “หือ? เรื่องอะไรล่ะ?”


“มนุษย์ได้รับสารมาจากหลายทาง พวกเราพยายามส่งสายลับเข้าไปแทรกซึมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สารนี้ส่งตรงมาจากผู้ลึกลับผู้หนึ่งในแดนสวรรค์ ...ลายมือของท่านแม่ฉัน” เขากล่าวเสียงหนัก


“สารนั้นเขียนว่าเซเลสเทียลได้พบเจอพิกัดของชาวมังกรแล้ว และจะล่าเจ้ามาใช้สร้างเป็นอาวุธสงครามระดับสูงสุด พวกมันตั้งใจจะสร้างอาวุธที่ทรงพลังจนสามารถทำลายแม้แต่หลุมดำได้ เพื่อใช้จัดการกับเผ่าอสูรและเผ่าปีศาจที่อยู่อีกฟากของกาแล็กซี”


ในสิ้นคำนั้น ร่างของแมวก็แข็งเป็นหิน เสียงที่เล็ดรอดกลับกลายเป็นเสียงมังกรฉับพลัน


เลือดของข้าเย็นเป็นน้ำแข็ง กรงเล็บข้ากรีดหมอนขาดเป็นริ้วยาว “...แล้วพวกมันรู้ได้อย่างไรกัน” เสียงของแมวฟังดูขลุกขลักและลึกล้ำมากขึ้น ราวกับเป็นเสียงของสัตว์โบราณที่ใหญ่โตกว่ามากกำลังพูดอยู่แทน “ว่ามีมังกรอยู่ที่โลก?”


อันซานมองข้าเหมือนไม่แน่ใจ “เรื่องนั้น... ฉันคงต้องถามเจ้ามากกว่า เจ้าบอกว่ามังกรเป็นอริกับเซนทิเนลใช่ไหม? ตั้งแต่เมื่อสองแสนปีก่อนน่ะหรือ?”


ข้าสูดลมหายใจลึก “ใช่ ชาวมังกรเคยสู้กับเซนทิเนลเมื่อสองแสนปีก่อนที่ชายขอบดาวพลูโต ไม่สงสัยหรือว่าทำไมวงโคจรของดาวดวงนั้นถึงประหลาดกว่าชาวบ้าน” ข้าหัวเราะเสียงเย็น 


“สงครามวันนั้นเราชนะ แต่ก็เพราะเผ่ามังกรรัตติกาลยอมเสียสละลากมันออกไปจากวงโคจรระบบสุริยะ ท่านตาเล่าให้ท่านแม่ฟังว่าพวกเขาไปสิ้นใจในดาวอื่นไกล เพื่อที่พวกมันจะได้ไม่หาเราเจออีก แล้วทำไม... ทั้งๆ ที่พวกเขาทั้งหมดยอมสละชีวิตปกป้องเราไว้ ทำไมพวกเซเลสเทียลถึงรู้ว่ามีมังกรอยู่ที่โลก?”


“เจ้าบอกว่าชาวอสูรกับชาวภูตเคยมาที่โลกไม่ใช่หรือ? นั่นอาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล--”


“ทั้งสองเผ่านั่น เกลียด เซเลสเทียลเหมือนกันกับพวกเรา ข้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาทั้งหมดยอมตายเสียดีกว่าจะถูกล้วงความลับจากเซเลสเทียล อีกอย่าง พวกเราทั้งหมดได้ทำคำสาบานศักดิ์สิทธิ์กันไว้แล้ว ผู้ใดที่เคยพบเห็นมังกรบนโลกแล้วพยายามบอกผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องถูกสาปด้วยคำสาปที่ร้ายแรงมาก แม้แต่วิญญาณก็จะไม่หลุดพ้น”


เสียงข้าเย็นเยียบมากขึ้น “เพราะงั้น มันควรจะไม่มีใครเอาไปบอกหรอก นอกจาก... นอกจากพวกมันจะได้ความทรงจำมาจากที่อื่น...”


“เช่นอะไรล่ะ?”


“บอกตามตรง... ข้าก็ไม่รู้ เจ้าเชื่อใจสารปริศนานั่นแค่ไหนล่ะ?”


“ลายมือของท่านแม่ไม่มีผู้ใดลอกเลียนได้ พลังที่นางสลักลงมาก็เช่นกัน สารนั่นเป็นของนางจริง” อันซานตอบข้าเสียงเข้ม


“แล้วแม่เจ้าได้ข้อมูลมายังไง?”


เขานิ่งไปเช่นกัน “...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่... หวังว่านางจะไม่เป็นอะไร” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่แววตายังมีความกังวลพาดผ่าน “หลังจากได้สารมา รัฐบาลโลกจัดประชุมลับ แล้วพวกเขาก็สั่งให้ฉันไปเอาตัวเจ้ามาก่อนที่ทรราชนั่นจะได้ไป แล้วต่อมา... เจ้ากับฉัน ก็ได้มานั่งจ้องหน้ากันอยู่ตรงนี้นี่แหละ”


ข้ามองเขา เขามองตอบ


“เจ้าต้องการใช้ข้าเป็นอาวุธต่อกรกับพวกเซนทิเนล”


“รัฐบาลโลกต้องการให้เจ้าทำแบบนั้น ใช่” อันซานยอมรับ 


ข้าหลุดยิ้ม “แล้วทำไมข้าต้องทำด้วยล่ะ?”


ได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็นิ่งงันไป “...ถ้าหากเจ้ายินยอมช่วยเหลือเรา ไม่สิ ช่วยเหลือครอบครัวของฉัน และโลกใบนี้ ฉันสัญญาว่าเจ้าจะได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ และ... ฉันจะเป็นข้ารับใช้ของเจ้าชั่วชีวิต”


จากนั้นเขาก็คุกเข่าลง แล้วก้มหัวให้ข้าอีกครั้ง


“ได้โปรด มาอยู่กับเราเถิด เอมารันไธน์”


นั่นทำให้ข้าหลุดหัวเราะเสียงใสออกมาจนได้


“มนุษย์! พวกเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ คิดแต่ได้ ขนาดข้าอยู่ในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้ ยังจะมาขอพึ่งพลังข้า... พวกเจ้าคงกำลังจนตรอกมากจริงๆ สินะ”


ร่างของข้าเรืองแสงอ่อน แล้วขนาดตัวของข้าก็ขยายใหญ่ขึ้น


เมื่ออันซานเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ลมหายใจเขาก็สะดุดห้วง ยามที่ปลายนิ้วเท้าเปลือยเปล่าหมดจดของมนุษย์แปลง ดันใบหน้าเขาขึ้นสูง


“เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าทำข้าใจอ่อนได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้า”


“...ให้โอกาสเรางั้นหรือ? สำหรับสิ่งใด?”


เสียงทุ้มต่ำของท่านนายพลแตกพร่านิดหนึ่ง เมื่อร่างสีขาวสะอาดตาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเพื่อขโมยวิญญาณเขาไปอีกครั้งแล้ว


“ในอีกประมาณหนึ่งร้อยปี... ข้าจะสามารถฟื้นกำลังของตนกลับมาได้ดังเดิม” ข้ายกมือมนุษย์ของตนขึ้นขยับเล่นแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่าง เกล็ดละเอียดที่สานตัวกันเลียนแบบผิวหนังมนุษย์ทอประกายแวววาวราวกับเพชร


“ข้าจะมีกำลังมากพอที่จะบินกลับบ้าน แบบที่พวกเจ้าก็ใช้อะไรมาห้ามข้าไม่ได้ แม้แต่ตัวของเจ้าเองก็ตาม” ข้ายิ้มบางที่มุมปาก เขี้ยวคมซี่เล็กโผล่มาให้เห็นวับแวม


“อันซานเอ๋ย เมื่อข้าอยู่ในระบบสุริยะแล้ว จะไม่มีเซนทิเนลตัวไหนสามารถฝ่าเขตแดนปกป้องของมังกรที่เราเคยทำไว้เข้ามาชิงตัวข้าได้หรอก เพราะงั้นไอ้สิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งทำลงไปน่ะ ...อา ไร้ประโยชน์มากเลยล่ะ เพราะพวกเจ้าเพิ่งเอาข้าออกมาจากสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในจักรวาล ตอนนี้พวกเซนทิเนลคงรู้แล้วว่ายังมีมังกรที่มีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในอีกไม่นาน พวกมันจะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่”


อันซานได้แต่เพียงตกตะลึง ร่างมังกรแปลงขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขากระทันหันจนไม่ทันตั้งตัว มันใกล้มากเสียจนทั้งสองใช้ลมหายใจเดียวกันอีกครั้ง


“ในระหว่างที่เรื่องชิบหายประเดประดังเข้ามาเช่นนี้ ... ข้าจะให้โอกาสเจ้า” นิ้วมือเรียวยาวพร้อมกรงเล็บแหลมคม เชยคางของท่านนายพลขยับเข้ามาใกล้กับเจ้าของร่างมากขึ้น


“...โอกาสอะไรหรือ?”


ข้ายิ้มนุ่มนวลให้ลูกครึ่งเทพหนึ่งเดียวตรงนี้ จากมุมสูงของร่างมนุษย์ที่นั่งอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ชายตามองต่ำลงไปยังท่านนายพลมนุษย์ที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ปลายเท้าของข้าสัมผัสกับผ้าหนาสีเข้มนั่นแผ่วเบา 


“ทำให้ข้ารักซะสิ มนุษย์เอ๋ย ทำให้ข้ารักพวกเจ้าอีกครั้ง มากพอที่ข้าจะยอมยกพลังทั้งหมดให้ ทำให้ข้ารักเจ้าให้ได้สิ อันซาน แล้วครอบครัว และโลกของเจ้า ข้าจะช่วยปกป้องเอง”


 



 

[TALK: ...อะ อะแฮ่มๆ... เอ่อ เนื่องด้วยเรื่องนี้เราพยายามเขียนให้เป็นแนวตลก เบาสมอง เพราะฉะนั้นเราจะไม่พยายามผูกปมใดๆเยอะคับ พล็อตเบาๆ เพราะคนเขียนโง่-- (แค่ก) 

คือนักเขียนไม่อยากให้เรื่องมันดราม่าปมเยอะอะไรมากมาย เลยจะพยายามเฉลยเนื้อเรื่องให้ไวหน่อยน่ะคับ ถ้ามีพล็อตโฮลก็... แหะๆ *เอาหน้ามุดดิน*

เอาเป็นว่า... เรามาดูมังกรเที่ยวต่างโลก (จริงๆ) กันเถอะคับ ในตอนหน้า... มั้ง]

.

.

.

 *อัปเดตจากอนาคต: ตอนหน้าก็ยังไม่ได้ไปจ้ะ แหะ //*ร้องไห้*