ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว - บทที่ 10 เปิดอกอีกรอบ รอบนี้แค่เปรียบเปรย โดย ItsAlthero @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี

รายละเอียด

ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

ผู้แต่ง

ItsAlthero

เรื่องย่อ

#เป็นมังกรไม่ใช่แมว

นามของข้า คือ 'เอมารันไธน์' และข้าต้องการความช่วยเหลือ...

คือเรื่องมันเป็นแบบนี้นะท่านผู้มาเยือน อันตัวข้านั้นเป็นมังกรรุ่นเยาว์ ได้ลงหลุมไปคุยกับรากอ่อนของต้นแอชจิ๋ว จำศีลไปราวๆหนึ่งพันปีตามวิสัยปกติของมังกร แต่พอตื่นมาอีกครั้งก็ต้องพบว่า... ข้ากลายเป็นแมวไปแล้ว

...ตอนข้าหลับอุตุมันมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ข้าไม่เข้าใจ

มิหนำซ้ำ ดวงของข้ายังดิ่งลงเหวอย่างที่นรกก็ฉุดไม่อยู่ ทั้งผู้บัญชาการชาวมนุษย์เอย จักรพรรดิสวรรค์เอย ราชาปีศาจเอย จ้าวอสูรเอย และผู้นำอมนุษย์เผ่าอื่นๆมากมาย ต่างก็จ้องจะเข้ามาขย้ำพุงข้าไม่หยุดไม่หย่อน เอาแต่กวักมือเรียกข้า
เหมียวๆ... เหมียวบ้านพวกเจ้าสิ 

ข้าคือมังกรบรรพกาลตัวสุดท้ายของโลก ทั้งยังเป็นสายพันธุ์หายากขึ้นทะเบียนเป็นอันดับต้นๆของทุกทำเนียบเชียวนะ แต่พวกเจ้ากลับทำเหมือนข้าเป็นแมวจรไร้บ้านแบบนี้ ถือว่าตนเป็นใหญ่เลยจะข่มข้าอย่างไรก็ได้งั้นรึ? คิดหรือว่าข้าจะยอมอยู่ในโอวาท ทำตัวเชื่องเยี่ยงสัตว์เลี้ยงกับพวกเจ้า? ไม่ว่าพวกเอ็งจะทำอะไร ก็ซื้อใจข้าไม่ได้หรอก!

"อย่างอนกันนานนักเลยน่า เอมี่ ฉันซื้อแมวเลียรสโปรดของเจ้ามาให้สามร้อยลังเลยนะ ให้ฉีกตอนนี้เลยไหม คืนดีกันนะ"

"ใจเย็นก่อน เอ็ม ข้าเพียงแต่มาง้อเท่านั้น เจ้าชอบกินเนื้องูใช่ไหม? ข้าเอาเนื้อบาซิลิสก์จากแดนปีศาจมาฝากเจ้า"

"อย่าโกรธกันเลยนะ เด็กดี วันนี้พี่ซื้อขนมมาให้เจ้าเยอะแยะเลยนะ เค้กช็อกโกแลตจากแดนอสูรที่เจ้าชอบยังไงล่ะ มีเครป พาย ทาร์ต อยู่ในตู้อีกเป็นร้อยด้วยนะ"

"ช่างน่าดีใจนักที่ เอมี่น้อย ชอบของขวัญของเรามากถึงเพียงนี้ เจ้าอยากได้เพชรพลอยไปประดับรังเพิ่มอีกเท่าไหร่ล่ะหืม? เรายกให้ทั้งคลังแดนสวรรค์เลยก็ยังได้นะ แต่หากเจ้ายังไม่พอใจแล้วล่ะก็ เดี๋ยวเราจะลองไปถามแดนภูตดูให้ด้วย ดีหรือไม่?"

"ไม่ต้องขอ แดนภูตยกให้หมดเลย ที่รัก"

.....

เอาเป็นว่าข้าจะยอมนอนเฉยๆบนกองเงินกองทองของพวกเจ้าต่อไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน แต่จงระวังไว้เถอะ ประมาทข้ามากๆแล้วเจ้าจะเสียใจ สักวันนึงข้าจะยึดครองโลก ไม่สิ ครองจักรวาล ครองเอกภพไปด้วยเลยเอ้า ยึดได้แล้วข้าก็จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นคาเฟ่แมวซะให้หมดเลยคอยดู อย่าล้อเล่นกับระบบ เพราะระบบตบสวนนะจะบอกให้! 

ระวังโลกเจ้าเอาไว้ให้ดีเถอะ! (●`ω´●)




WARNING!!!

นิยายเรื่องนี้เป็น Boy Love แนว Sci-Fi ผสมแฟนตาซี ไทม์ไลน์ยุคอนาคต/ยุคดวงดาว มีหลายโลก หลายเวิร์ส และมีพระเอกหลายคน มีการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าพระ-นาย แบบ Polygamy เพราะเป็น ฮาเร็มชาย จัดอยู่ในหมวด18+แต่เป็นฉบับCutเพื่อความเหมาะสม จะมีเนื้อหาที่ถูกตัดทอนออกไปบางส่วนเพื่อให้มีเนื้อหาเชิง [Trigger] น้อยที่สุด นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ18ปีขึ้นไป จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ ความรุนแรง และฉากทารุณบางประการ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน โดยจะเขียนคำเตือนกำกับไว้ซ้ำในบทที่จำเป็นเพื่อประกอบการใช้วิจารณญาณในการอ่านต่อไป อนึ่ง ฉบับUncutอยู่ในบ้านหลักสีฟ้า

*เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงจินตาการของผู้เขียน เป็นเรื่องแต่ง ไม่อิงประวัติศาสตร์หรือหลักความเป็นจริงแต่อย่างใด มีเนื้อหาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น*

⚠ นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ไม่อนุญาตให้คัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือกระทำการใดๆ อันเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย ⚠

⚠ หากเราเตือนแล้วยังคุยกันไม่เข้าใจอีก ศาลจะเป็นที่ต่อไปที่ท่านจะได้มานั่งคุยกับเรา ⚠





แวะไปทักทายกันได้ที่

FB: @Althero_LD

X (Twitter) : @ItsAlthero

♡ ด้วยรักและขอบคุณจ้า ♡


สารบัญ

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทนำ มาจะกล่าวบทไป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 1 เริ่มมาก็ปังแล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 2 เกือบหลับแต่กลับมาได้,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 3 อยู่ดีๆ เราก็วาร์ป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 4 โลกใหม่สอนให้เปิด,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 5 เป็นแมวจรต่างดาวไม่ง่ายเลย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 6 เป็นมนุษย์บนต่างดาวยากยิ่งกว่า,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 7 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 8 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 9 ยังไม่ได้ไปเที่ยว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 10 เปิดอกอีกรอบ รอบนี้แค่เปรียบเปรย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 11 ยื่นหมูครึ่งเทพ ยื่นแมวมังกร,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 12 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 13 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 14 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (3),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 15 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายก็แย่แล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-**คั่นเวลาเล็กน้อย ด้วยรูปท่านนายพล**

เนื้อหา

บทที่ 10 เปิดอกอีกรอบ รอบนี้แค่เปรียบเปรย

*มีการบรรยายถึงความคิดเกี่ยวกับการทำอัตวินิบาตกรรม ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาส่งเสริมความคิดนี้ ทุกสิ่งที่เขียนเกิดจากจินตนาการเท่านั้น เนื่องจากตัวเอกไม่ใช่มนุษย์ จึงไม่อาจใช้บรรทัดฐานความคิดของมนุษย์ได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*






“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันใหม่ก็แล้วกัน” ร่างสูงในชุดเครื่องแบบแปลกตาเอ่ยกับข้าเป็นรอบที่ล้าน “ถ้าเจ้ากำลังจะกลายร่างเป็นแมว เจ้าจะต้องรีบบอก--”


ข้าปฏิเสธที่จะเล่นตามเรื่องงี่เง่านี่


“ถามจริงเถอะ ทีตอนประชุมในโถงของเจ้าข้ายังอยู่ในร่างแมวได้ แล้วทำไมพอต้องออกมาข้างนอกถึงห้ามข้าแปลงเป็นแมวซะล่ะ? เจ้าต้องเข้าใจนะว่าข้าควบคุมเรื่องนี้ไม่ได้ ร่างแมวเป็นโหมดประหยัดพลังงานของข้า”


“ก็เพราะประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นร่างแมวของเจ้าเป็นสิ่งที่ร้ายแรงพอๆ กับการที่มีเซิร์กมาบุกโลกน่ะสิ”


ซึ่งเขาจะไม่บอกหรอกว่านั่นเป็นเพราะเขาเองน่ะ เพราะถ้าเกิดเจ้ามังกรตัวดีนี่แอบหนีไปข้างนอกตัวเดียวโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวเข้าล่ะก็ เขายังต้องการให้ใครก็ตามที่เห็นมันรีบโทรแจ้งทางการโดยด่วนอยู่


“ไร้สาระชะมัด ว่าแต่เซิร์กคืออะไร?”


“เซิร์ก เป็นชื่อย่อของเผ่า เซอร์กาเรี่ยน ที่ชาวมนุษย์ใช้เรียกกันเองน่ะ พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ต่างดาวหัวรุนแรงที่อพยพเข้ามายังกาแล็กซีมิลกี้เวย์มานานมากแล้ว ปัจจุบันพวกมันเป็นอาชญากรสงคราม ไม่มีเผ่าไหนในมิลกี้เวย์ชอบพวกมัน แม้แต่พวกเซเลสเทียลก็ตาม”


ข้าทำเสียงอ่อนในลำคอ “ฟังดูน่าสงสารชะมัดยาด” ต้องถูกเกลียดจากทั้งกาแล็กซีเลยหรอ เป็นข้าคงช้ำใจจนโดดลงหลุมดำไปแล้ว


“ไม่น่าสงสารหรอก ถ้าเจ้ารู้ว่าพวกมันสามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้เร็วยิ่งกว่ามด และทุกตัวต่างก็มีเป้าหมายหนึ่งเดียวในชีวิตคือการฆ่าล้างบางทุกชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่นที่พวกมันเจอ”


“ไม่เห็นจะร้ายแรงจนทำให้ต้องถูกเกลียดจากทั้งจักรวาลตรงไหนเลย เผ่าหัวรุนแรงแบบนี้ก็มีถมเถไปไม่ใช่หรอ?”


“ต่างกันตรงที่พวกมันสามารถกินได้ทุกอย่างแม้แต่พวกเดียวกันเอง กับมีพฤติกรรมชอบวางไข่ในร่างเนื้อสดๆ ของศัตรูมั้ง” อันซานตอบส่งๆ ไป ตอนนี้ข้าเห็นเขากำลังทำอะไรไม่รู้กับเส้นแสงสีฟ้ากลางอากาศ มันดูเหมือนจอภาพโฮโลแกรมสามมิติที่ข้าเพิ่งเห็นไปตอนประชุม แต่คราวนี้เป็นแผงควบคุมของยานหน้าตาประหลาดแทน 


“นี่… เจ้าใช้งานเจ้าสิ่งนี้เป็นแน่นะ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าพวกเราต้องร่วงจากฟ้าล่ะก็ ข้าจะไม่ช่วยหรอกนะ ตัวข้าในยามนี้น่ะแค่งอกปีกสักคู่ออกมาพยุงตัวเองให้ได้ก็น่าจะเต็มกลืนแล้ว” 


แต่คิดอีกทีตัวมันเองก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็ครึ่งหนึ่งของมันเป็นถึงเซนทิเนลนี่นา ถ้านักรบต่างดาวพันธุ์เถื่อนอย่างมันร่วงจากฟ้าลงไปเละที่พื้นดินล่ะก็ ข้าคงนอนขำกลิ้งข้างๆ ศพมันมากกว่าจะเห็นใจล่ะ


“แน่นอนอยู่แล้วสิว่าฉันขับยานนี่เป็น” ท่านนายพลหนุ่มตอบเสียงดุเข้มอีกละ “จะบอกให้รู้ไว้ว่า ฉันก็ขับยานคล้ายๆกับแบบนี้ตอนไปเจอตำแหน่งของเจ้านี่แหละ คงจำไม่ได้สินะ ในตอนนั้นเจ้ายังมีร่างเป็นมังกรอยู่เลย แต่ตัวเล็กมาก…” เขาชะงัก เหมือนเพิ่งนึกได้ “ลืมถามเรื่องนี้ไปสนิท… นี่ เอมารันไธน์ เจ้าน่ะ ยังเป็นมังกรเด็กอยู่งั้นหรือ?”


ข้าหันไปตะโกนใส่หูมันตรงๆ 


“ไม่เด็กโว้ย!! ข้ามีอายุตั้งสองพันปีแล้ว บอกไม่เคยจำ!”


“ก็ไม่ต้องมาตะโกนใกล้กันขนาดนี้ก็ได้มั้ง…” อันซานนวดขมับตัวเอง “แล้วทำไมเจ้าตัวเล็กขนาดนั้นล่ะ?”


ข้าชะงักกึก “...เพราะร่างข้ายังช็อกจากการจำศีลอยู่มั้ง พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก”


มันเอียงคอสงสัย “จำศีลทำไม? เป็นเรื่องปกติของมังกรงั้นรึ?”


“ก็จำศีลเพื่อที่จะได้ตื่นมาแล้วโตไวๆเลยไง” ข้าบอกปัดๆ ไป “และใช่ นั่นเป็นเรื่องปกติของมังกร โดยเฉพาะสายเลือดมังกรบรรพกาลอย่างข้า ตัวข้าน่ะชอบนอนมากๆ”


…จนบางทีก็มากเกินไปหน่อย แต่มันไม่จำเป็นต้องรู้หรอก


“ถ้าอย่างนั้น… แล้วมังกรตัวอื่นๆ ล่ะ หายไปไหน? ทำไมเราถึงพบเจ้าแค่ตัวเดียว? ในหนึ่งอาทิตย์ที่เราไปที่โลกน่ะ เราส่งโดรนออกสำรวจไปทั่วโลกเลยนะ แต่สัญญาณชีพของสิ่งมีชีวิตคล้ายมังกรที่ตรวจจับได้กลับมีแค่ของเจ้าเท่านั้น… หรือว่า การหลบการตรวจจับได้อย่างไร้ร่องรอยนั่นก็เป็นอำนาจหนึ่งของมังกร?”


ในที่สุดมันก็ถามคำถามที่ข้าอึดอัดใจจะตอบจนได้ 


“...ไม่ใช่หรอก ที่เจ้าตรวจจับข้าได้ตัวเดียวก็เพราะ... เผ่าพันธ์ุมังกรเหลือแค่ข้าเพียงตัวเดียวน่ะสิ”


“...”


“...”


“เอมารันไธน์ เจ้าอำกันเล่นใช่ไหม?”


ข้าตบหัวมันไปหนึ่งที 


“นี่มันใช่เรื่องที่ข้าจะพูดเล่นได้เรอะ! ถ้าพ่อแม่พี่น้องมังกรของข้ายังอยู่ คิดหรือว่าเจ้าจะหาข้าพบ? ชาวมังกรหวงลูกหลานของพวกเขามากนะรู้ไว้ซะ ทั้งเจ้าและยานของเจ้าจะตายก่อนได้ทันแตะร่างของข้าอีก” 


ข้ากระแทกก้นลงนั่งกับเบาะขวาของยานส่วนตัวของเจ้าลูกครึ่งบื้อนี่ 


“ที่พวกเจ้ายังรอดกลับออกไปจากโลกเก่าได้แบบเป็นๆ น่ะ เพราะเวทคุ้มครองโลกจดจำสายเลือดของเจ้าได้หรอกนะ ถ้าเกิดเจ้าเป็นพวกต่างดาวที่คิดร้ายต่อโลกและสิ่งมีชีวิตใหม่ในนั้นล่ะก็ สนามแม่เหล็กและแรงโน้มถ่วงโลกจะขยี้เจ้าจนเละ แม้แต่เศษซากของเจ้าก็จะไม่ได้หลุดออกจากชั้นบรรยากาศหรอก”


อันซานสะบัดหัวเรียกสติ “บางทีระบบสัมผัสเจ้าก็แรงไปนะ…” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างปลงๆ แต่เพราะมีชนักติดหลังเยอะเขาเลยยอมให้ข้าประทุษร้ายแต่โดยดี “ว่าแต่เจ้าหมายถึงอะไร เวทคุ้มครองโลก?”


“เป็นเวทโบราณของชาวมังกร พวกเขาสร้างเขตแดนคุ้มครองจากพลังชีวิตและวิญญาณของพวกเขา เป็นปราการที่ทำให้โลกยังสามารถหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตภายในต่อไปได้จนสิ้นอายุขัยของดวงดาว และจะทำลายทุกสิ่งที่มุ่งร้ายต่อเรา” ข้าบอกเสียงเรียบ หันมองออกไปนอกกระจก เวลานี้เป็นยามกลางวัน แสงอาทิตย์จากดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางของโลกใหม่ มีความอบอุ่นและอ่อนโยนแบบเดียวกับที่บ้านเกิด เพียงแต่แข็งแรงและอ่อนเยาว์กว่ามาก ไม่ต่างจากพสุธาของโลกใหม่นี้


“แสดงว่าถ้าไม่ได้คิดร้าย เผ่าต่างดาวเผ่าอื่นก็เข้าไปโลกได้งั้นหรือ?” อันซานถามอย่างสงสัยจริงๆ “งั้นแสดงว่าเจ้ายังติดต่อกับชาวภูตและชาวอสูรใช่ไหม?”


“ไม่”


คำตอบข้าดูจะทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ “ทำไมล่ะ? ไม่ใช่ว่ามังกรชอบพวกเขาหรือ?”


“ก็ชอบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะอยากให้พวกเขามาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ในยามที่เราอ่อนแอที่สุดนี่” ข้าถอนหายใจ “ในยุคที่มนุษย์กลุ่มสุดท้ายได้อพยพออกไป โลกกำลังอ่อนแอมาก และนั่นก็ทำให้ชาวมังกรสูญสิ้นพลังตามไปด้วยเช่นกัน…” 


สองมือมนุษย์ของมังกรแปลงยกขึ้นมาทาบแนบกับกระจกของยานสำรวจ ที่กำลังลอยเอื่อยๆขึ้นสู่ฟ้าอย่างนุ่มนวล


“มังกรอย่างเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างมาเพื่อโลก เราเกิดมาเป็นตัวแทนของธรรมชาติ เมื่อโลกป่วย เราทั้งหมดก็ยินดีจะส่งคืนพลังชีวิตกลับสู่โลกเพื่อรักษา สำหรับชาวมังกรแล้ว นี่เป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นเป้าหมายแห่งการดำรงชีวิตของมังกรทุกตัว เป็นความตายที่มีเกียรติ ร่างและพลังของเราจะนำสมดุลกลับมา ดังนั้น ในช่วงเวลาเช่นนั้น ก็ไม่ควรที่จะมีเผ่าพันธ์ุไหนก็ตามเข้ามายุ่งวุ่นวายเด็ดขาด

เหล่ามังกรอาวุโสเลยร่วมกันร่ายเวทสุดท้าย ปรับสนามแม่เหล็กให้กลายเป็นเขตแดนคุ้มครองโลก ทั้งยังแบ่งพลังงานบางส่วนไปสร้างเขตแดนครอบดาวเคราะห์ชั้นในของระบบสุริยะเอาไว้ รวมถึงเชื่อมต่อกับเขตแดนที่ครอบระบบสุริยะซึ่งมังกรบรรพบุรุษเราได้สร้างไว้หลังจากขับไล่พวกเซเลสเทียลไปเมื่อสองแสนปีที่แล้ว ให้ซ้อนทับกันอีกทีด้วย”


ข้าหันกลับไปหาเขาอีกครั้ง “ข้าคิดว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าน่าจะรู้จักเขตแดนเวทเหล่านั้นในรูปแบบอื่นนะ เช่น… สายพานแถบดาวเคราะห์น้อย ที่ขั้นระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี และกลุ่มเมฆออร์ต ที่ครอบคลุมระบบสุริยะจักรวาลอยู่ราวกับโดมขนาดใหญ่ ฟังดูคุ้นๆดีไหมล่ะ?”


อันซานหันขวับมาหาข้าเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เขาปล่อยให้ยานขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ “นี่เจ้าจะบอกว่าทั้งหมดนั่น… เป็นเขตแดนที่ชาวมังกรสร้างขึ้นมาหรือ?!”


ข้าหัวเราะสีหน้าของเขา “ไม่ได้สร้าง! เราแค่ใช้สิ่งที่อวกาศมีให้อยู่แล้วต่างหาก เขตแดนเวทย์เหล่านั้นถูกสลักพลังลงไปในเศษหินอวกาศทุกชิ้นที่ก่อตัวเป็นสิ่งต่างๆ ที่ข้าเพิ่งยกตัวอย่างไปนั่นล่ะ เพราะแบบนี้พวกเซเลสเทียลถึงหาเราไม่เจอไง จำที่ข้าเล่าไม่ได้รึ? ข้าบอกแล้วว่าระบบสุริยะคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด อืม… ก็จนกว่าดวงอาทิตย์ศูนย์กลางจะดับสูญไปล่ะนะ แต่นั่นก็เป็นแค่วัฏจักรหนึ่งของดวงดาวเท่านั้น เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นอมตะ แม้แต่ดาวเองก็ตาม”


มังกรในร่างมนุษย์ยื่นมือมาจิ้มที่อกกว้างของลูกครึ่งเทพอย่างหยอกล้อ “แต่ก็ยังมีโฮโมเซเปียนส์เผ่านึง ที่หลงคิดว่าจะหลีกหนีวัฏจักรนั้นพ้น จนพากันอพยพไปสร้างบ้านที่ดาวอื่น ไม่รู้เอาซะเลยว่าไอ้ดาวอื่นนั่นแหละ ที่จะทำให้พวกมันมีปัญหาเยอะมากกว่าเดิม พวกเจ้านี่ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ” หัวเราะใส่หน้าต่อยาวๆ ซะเลย ฮ่าๆ!


คราวนี้อันซานกลับไม่ทำหน้าเซ็งใส่ข้า แต่จับจ้องมานิ่งๆ “ทำไมเจ้าพูดเหมือนเจ้าอยากตาย”


คราวนี้ข้าชะงักของจริง “เจ้าว่าอะไรนะ?”


“เจ้าพูดถึงความตายที่มีเกียรติ” เขากล่าวเสียงเข้ม “ด้วยสีหน้าของผู้ที่ต้องการมัน” ร่างสูงใหญ่ขยับเข้ามาใกล้ข้ามากขึ้นเรื่อยๆ “ทำไมเจ้าทำสีหน้าแบบนั้น? ทำไมเจ้าถึงพูดเหมือนกับว่าการที่มังกรสูญพันธุ์ไปนั้นเป็นเรื่องที่ดี? หรือที่ฉันเจอร่างของเจ้าในหลุมนั่น--”


“พอแล้ว”


ข้าพูดขัดทันที เรานั่งจ้องกันอยู่แบบนั้นเงียบๆ แล้วข้าก็เบือนหน้าหนีอย่างสุดทน


“เจ้าพูดเหมือนความตายเป็นเรื่องที่เจ้าต้องการ” อันซานกล่าวเสียงเรียบเย็น แบบที่ข้าอ่านอารมณ์ไม่ออก “ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยากตายหรอก เพราะแบบนั้นเซลล์สิ่งมีชีวิตจึงถูกสร้างมาเพื่อเป้าหมายของการส่งต่อยีนไปสู่ทายาทรุ่นถัดไป หลีกเลี่ยงการสูญสิ้นเผ่าพันธ์ุให้ได้ ไม่ว่าจะวิธีไหน” เขาเว้นช่วง เพื่อสังเกตอารมณ์ของเจ้ามังกรแปลง แต่เมื่อข้ายังไม่หันกลับไปมอง เขาจึงพูดต่อเหมือนพยายามจี้ให้ข้ามีปฏิกิริยา “แต่ฟังจากที่เจ้าเล่า เหมือนว่าตัวเจ้าจะตรงกันข้ามเลยนะ”


“…”


“ไม่เหงาหรือไง เอมารันไธน์?” อันซานเอ่ยถาม “กับการที่มังกรอย่างเจ้ามีเหลืออยู่เพียงตัวเดียวในจักรวาล?”


ปึง!


มือข้างหนึ่งที่มีเกล็ดปรากฏชัดบนผิวหนัง กอบกุมลำคอหนาของท่านนายพล แล้วกระแทกลงกับผนังด้านหนึ่งของยานอย่างแรง 


“ข้าบอก.. ว่าพอแล้ว”


อันซานมองร่างขาวผ่องที่บีบคอเขาแน่น ทว่าเขากลับพูดต่อไปเหมือนไม่รู้สึกเจ็บอะไร “ในที่สุดเจ้าก็เผยตัวออกมาคุยกันตรงๆ เสียที เจ้ามังกร เลียนแบบอารมณ์ของมนุษย์ได้เก่งมากเลยนะ… เจ้าน่ะ”


ข้าบีบคอมันแน่นขึ้นอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเป็นบ้าอะไรอีก?”


“ก็แค่อยากคุยแบบเปิดอกอย่างลูกผู้ชายเท่านั้น” เขาตอบข้านิ่งๆ “เพราะคำขอของเจ้า ที่บอกให้เราทำให้เจ้ารักภายในร้อยปีอะไรนั่น มันโกหกทั้งหมดเลยไม่ใช่รึยังไง?”


เงียบกันไปครู่หนึ่ง ข้ากำลังชั่งใจว่าบนฟ้ากว้างกลางแดดเปรี้ยง ด้วยความสูงขนาดนี้ ตกลงไปมันจะตายไหม ข้าเริ่มอยากให้มันตายตงิดๆ


“อ้อ แล้วเจ้าคิดว่าข้ามีแผนอะไรในใจล่ะ เจ้าลูกครึ่งเทพ?” ข้าเอียงคอถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ


“คิดว่าเจ้ากำลังหลอกใช้พวกเราเพื่ออะไรอย่างอื่นอยู่น่ะสิ” อันซานตอบกลับ เขาจ้องดวงตามังกรอย่างกล้าแกร่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดที่อาจเป็นจุดอ่อนให้โดนเล่นงานได้ แม้ว่าเขาจะกำลังถูกบีบอยู่ในอุ้งมือมังกรก็ตามที “อันที่จริง ฉันก็เข้าใจดีว่าทำไมเจ้าถึงไม่ไว้ใจพวกเรา เข้าใจดีเลยด้วยซ้ำ และก็ไม่ได้จะว่าอะไรที่เจ้าคิดแบบนั้นด้วย แค่…” เขาหยุดพูด เริ่มหอบหายใจ เพราะแรงบีบที่คอเริ่มรัดแน่นมากขึ้น “แค่อยากรู้ว่า… สิ่งที่เจ้าต้องการจริงๆ น่ะ …จะส่งผลร้ายต่อโลกนี้ไหม ก็เท่านั้น…”


“เป็นห่วงผู้นำของเจ้าหรือยังไง?” ข้าแสยะยิ้มเย็น แต่อันซานปฏิเสธทันควัน


“ไม่ใช่ผู้นำ” เขาตอบเสียงเบา “แต่เป็นประชาชน”


ข้าชะงัก จนเผลอคลายกรงเล็บออก 


“…ผู้บริสุทธิ์” อันซานหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดทันทีที่ทำได้ “…ช่วยบอกทีว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายพวกเขา ถ้าหากจะโกรธเกลียด หรืออยากแก้แค้นเอาคืนล่ะก็… มาลงที่ฉันคนเดียวเถอะ ฉันจะยอมรับแต่โดยดี แค่… คราวนี้ ช่วยบอกสิ่งที่เจ้าคิดมาตรงๆ เถอะ” เขากระพริบตา มองข้าราวกับกำลังขอร้อง “ได้โปรด”


ข้าสะบัดกรงเล็บ เหวี่ยงอีกฝ่ายลงกับพื้นยาน เพราะพื้นที่ไม่ได้กว้างเลยทำให้ร่างของเขากระแทกเข้ากับจอควบคุมด้วยเช่นกัน แต่เขาทำเพียงปล่อยให้ข้าระบายอารมณ์ ไม่ได้ลงมือตอบโต้อะไร ไม่แม้แต่จะป้องกันร่างตนเองด้วยซ้ำ เฮอะ ยังมีหน้ามาจี้ปมข้าเรื่องสัญชาตญาณในการมีชีวิตรอดอยู่อีกนะ


ข้าขยับตัว เคลื่อนไปหย่อนสะโพกลงนั่งทับบนอกกว้างของมัน แต่ก็ยอมปล่อยมือที่บีบคอมันอยู่แต่โดยดี เพราะเริ่มชอบใจในตัวมันขึ้นมาจริงๆ แล้ว


“เจ้านี่ เอาจริงๆ แล้วก็น่ารักดีนะ”


อันซานถึงกับผงกหัวขึ้นมา “ฮะ?” รอบที่ล้านของวัน “ช่วยขยายความทีได้ไหม?”


“มีหลายรอบแล้วที่เจ้าออกตัวอย่างเห็นได้ชัดว่าต้องการปกป้องลูกฝูงของเจ้า” ข้าพยักหน้ากับตนเอง “ในตอนที่เรายังอยู่บนยาน เจ้าไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ข้า นั่นเพราะเจ้ารู้แก่ใจดีว่าข้าจะต้องอาศัยโอกาสนั้นลงมือทำร้ายผู้อื่นแน่นอน แล้วพอเราลงมาที่ดาวดวงนี้ เจ้าก็รีบนำข้าไปอยู่ในป้อมปราการที่แข็งแกร่งมากจนข้าต้องขอยืมพลังจากพสุธาในการหลบหนี อีกทั้งตอนที่อยู่ในเมือง กล่องเหล็กมากมายที่เจ้าส่งมาก็พยายามอย่างหนักที่จะผลักข้าให้ออกห่างจากเขตชุมชนให้ได้ จนไปเจอกับเจ้าในพื้นที่ห่างไกลจากผู้คน…”


ข้าเอียงคอมองชายใต้ร่างด้วยดวงตาของมังกร มันสว่างวาบแม้จะเป็นยามกลางวัน “พูดกันตามตรง… ข้าชอบที่เจ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ล่ะ เพราะเจ้ารู้ว่าข้าอันตราย เลยมักจะคำนวณสิ่งที่แสดงออกมาให้ข้าเห็นอยู่เสมอ” ข้าทำเสียงครางเครือในลำคอ “เจ้าแกล้งทำเป็นว่าบอกข้าทุกอย่าง ยอมเปิดเผยด้านอ่อนแอให้ข้ารู้ ยินดีทำตามทุกสิ่งที่ข้าเรียกร้อง …แต่ภายในเจ้าก็เฝ้าคอยสงสัย ว่าเมื่อไหร่ข้าจะหันกลับมาขย้ำ” 


ข้าหัวเราะในลำคอ แล้วก้มลงไปใกล้ๆ ชายหนุ่มใต้ร่างตนเอง “ข้าประทับใจที่เจ้ามองข้าอย่างผู้ทัดเทียมเช่นนี้มากทีเดียว ขอบใจนะ อันซาน ที่เคารพในพลังของข้ามากพอจะมองว่าข้าเป็นตัวอันตราย”


“ก็ฉันไม่ได้เป็นนายพล... เพราะจับฉลากมานี่นา…” อันซานเริ่มหอบหายใจอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเพราะเขาพยายามที่จะหักห้ามใจอย่างสุดกำลัง เพื่อต้านทานสิ่งล่อลวงร้ายกาจที่นั่งทับอยู่บนอกของตนเองตอนนี้


“นั่นสินะ” ข้าพยักหน้ายอมรับจากใจจริง “แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้เผยไต๋ออกมาล่ะ? มาบอกข้าตรงๆว่าคิดระแวงอยู่ทำไมกัน? ดูจะเป็นเทคนิคที่ไม่ค่อยเป็นผลดีกับเจ้าเลยนะ”


“...เพราะฉันเชื่อว่าข้างในใจจริงของเจ้าน่ะ เป็นมังกรที่ไม่ได้คิดร้ายต่อมนุษย์น่ะสิ…” 


เงียบไปครู่หนึ่ง ข้าเบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิดถึงคำตอบนั้น แล้วก็เงยหน้าหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆ! อะไรทำให้เจ้าคิดแบบนั้นไปได้ล่ะเนี่ย? ไหนบอกว่าไม่ได้เป็นนายพลเพราะจับฉลากไง? ไปเอาความคิดน่าเอ็นดูแบบนี้มาจากไหนกัน ฮึ!”


“เจ้าใจอ่อน เวลาฉันพูดว่า ได้โปรด” เสียงของอันซานดังไม่ต่างจากการกระซิบ “เจ้ามีความสนใจใคร่รู้ในเทคโนโลยีของเรา และมีสีหน้าแบบเดียวกับผู้ที่เพิ่งเคยเห็นสิ่งที่ตนได้ยินมานานเป็นครั้งแรก นั่นทำให้ฉันสงสัยว่าเจ้าอาจรู้จักวิถีชีวิตของมนุษย์มาก่อนเจอเรา ทั้งยังคงจะชอบใจในตัวเรามากทีเดียว เพราะเจ้าจดจำและทำความเข้าใจสิ่งต่างๆได้ในเวลาอันสั้น เจ้าไม่เคยถามสิ่งใดเป็นรอบที่สองเลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญที่สุด คือ… เจ้ารู้ภาษาของมนุษย์ในโลกเก่าดีนัก อย่างกับว่าเจ้าสนใจที่จะพูดคุยกับมนุษย์มานานแล้วไม่มีผิด”


เมื่อเห็นข้าเงียบไป คราวนี้ก็เป็นตาเขายิ้มบ้าง “อย่าว่าแต่จะยอมสนทนาด้วยเลย ไม่มีเผ่าที่เกลียดชังมนุษย์ หรือเผ่าต่างดาวที่ไหนจะสนใจเรียนภาษาของมนุษย์หรอก แต่เจ้าก็ทำลงไปแล้ว เพราะแบบนี้ฉันถึงอยากเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง… ว่าแผนการที่เจ้าซ่อนไว้ในใจนั่น… ไม่ใช่แผนการที่จะทำลายโลกใบใหม่ของเรา”


ข้าถอยร่นลงไปที่ตัก เมื่อปล่อยให้บุรุษหนุ่มดันตัวเองขึ้นมาจากพื้นยาน กลายเป็นเราทั้งคู่นั่งจ้องตากันในระยะประชิด ความเงียบแผ่กระจายพร้อมกับความเครียดขึง ที่หากขยับผิดพลาดเพียงนิดเดียว หัวทุยๆ ของเราคนใดคนหนึ่งจะต้องขาดกระเด็นลงไปกลิ้งที่พื้นยานด้วยน้ำมือของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน


แต่แทนที่ชายตรงหน้าจะแสดงพลังของเซนทิเนลออกมาข่มขู่ มือข้างหนึ่งของเขากลับเอื้อมมาจับอุ้งมือที่ยังมีเกล็ดละเอียดปรากฏอยู่ทั่วหลังมือของข้า แล้วค่อยๆ นำไปแนบกับใบหน้าของตนเองอย่างเชื่องช้า “…เจ้าพูดถูก เรื่องที่พวกเรากำลังจนตรอกมาก พวกเราไม่อาจติดต่อไปยังชาวภูต ชาวอสูร หรือชาวปีศาจให้มาช่วยปกป้องเราได้เลย เพราะหากทำ นั่นจะต้องจุดชนวนสงครามจักรวาลแน่ และจะกระตุ้นให้เซเลสเทียลยกทัพมาทำลายดาวดวงนี้จนย่อยยับ…” 


เขาถอนหายใจแผ่วเบา เอียงใบหน้าแนบชิดกับอุ้งมือข้ามากกว่าเดิม “อีกอย่าง… พวกเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะเจรจาใดๆ กับพวกเราเลยสักนิด ไม่เหมือนกับเจ้า… ฉันรู้ว่ากำลังเห็นแก่ตัวอยู่ และเข้าใจดีถ้าหากเจ้าจะเกลียด…”


เขาลืมตาสีทองขึ้นมองข้า แววตาที่ข้าอ่านได้ถึงความเว้าวอน มีความเป็นมนุษย์อยู่ในนั้นมากกว่าที่ข้าคิด และมันกำลังทำให้ข้าใจอ่อนอีกแล้ว “…เจ้าเป็นความหวังสุดท้ายของเรา เอมารันไธน์… ไม่ต้องรักเราก็ได้ จะไม่ไว้ใจเราเลยก็ได้ แต่ได้โปรด… ขอแค่เรื่องนี้ ช่วยบอกมาทีว่าสิ่งที่เจ้าต้องการจากเรา ไม่ใช่สิ่งที่จะทำลายดาวดวงนี้จนดับสิ้นไป”


ตลอดเวลาข้านั่งนิ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป แต่ก็ยังไม่ได้ถอนมือออก เมื่อหลับตาลงครุ่นคิดสักพัก ข้าก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“เจ้าพูดถูก” ข้ากล่าวสั้นๆ “ข้าชอบเวลาเจ้าพูดว่าได้โปรด”


อันซานเอียงคอ จมูกโด่งนั่นไซร้ฝ่ามือข้าเล็กน้อย “แล้ว…?”


ข้าพ่นควันคุกกรุ่นบางๆ ใส่หน้าเขา จนอีกฝ่ายชะงักไปนิดหนึ่ง “เจ้ารู้หัวใจสำคัญของการทำให้สิ่งมีชีวิตหนึ่งรักเจ้าไหม อันซาน?”


เขานิ่งงันไป “…ในข้อนี้ ฉันไม่มั่นใจว่ารู้จริง เพราะงั้นฉันไม่อาจตอบเจ้าจากใจจริงได้ ต้องขออภัยด้วย”


ข้ายิ้มให้เขา เพราะอีกฝ่ายไม่ดันทุรังจะแถจนสีข้างถลอกอย่างที่แอบคิด บางทีข้าน่าจะใจดีให้มากขึ้นกว่านี้หน่อย อย่างไรเสีย เขาก็เด็กกว่าข้ามากนี่นะ


“มันคือความเชื่อใจ”


อันซานเบิกตากว้าง สีหน้าที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เสมอ ยามนี้ฉายชัดถึงความตกใจ ก่อนจะกลายเป็นความเข้าใจอย่างจำยอม นั่นคือ ความเชื่อใจ ไม่ใช่สิ่งที่เราทั้งคู่มอบให้กันตั้งแต่ต้น ดังนั้นคำมั่นที่จะทำให้ข้าหลงรักให้ได้เพื่อที่ข้าจะยอมปกป้องดาวดวงนี้ทั้งหัวใจน่ะ มันทำไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว และข้าก็แค่… ให้สัญญาปากเปล่ากับเขาในเรื่องที่เขาไม่มีวันทำได้จริงนั่นเอง


“เจ้า… ” เขานิ่งไป เหมือนไม่รู้จะพูดอะไร “…มีอะไรที่ฉันพอจะแก้ไขได้หรือเปล่า?”


ข้ายิ้มแล้วส่ายหัว “อันซาน ไม่ใช่แค่เจ้าหรอก ข้าเองก็ไม่ได้แสดงความเชื่อใจเจ้าออกมาเช่นกัน เรื่องแบบนี้น่ะ พยายามอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ก็เหมือนคำพูดที่ว่า… ตบมือข้างเดียวไม่ดังนั่นไง”


“ถ้าอย่างนั้น… สัญญานั่น?”


“ข้าเพียงแค่ให้สัญญาที่เจ้าคงไม่มีวันทำสำเร็จ เพื่อให้เจ้าพอมีบางอย่างกลับไปรายงานผู้นำของเจ้าเท่านั้นแหละ” 


ข้าถอนหายใจเบาๆ 


“ในคราแรกข้าขุ่นเคืองในตัวพวกเจ้าจริง ข้ายอมรับ แต่ไม่ได้คิดจะวางแผนการซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรลับหลังเจ้าหรอกนะ อันซาน… วางใจเถอะ ทุกสิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ใช่การทำลายบ้านใหม่ของพวกเจ้าอย่างแน่นอน” 


เขายังคงมองข้านิ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร คงรอให้ข้าอธิบายเพิ่มอยู่ 


“ข้ากำลังนึกถึงเรื่องที่เจ้าเล่าให้ข้าฟัง เรื่องที่มีสารลึกลับส่งมาหาเจ้า ที่เซเลสเทียลรู้แล้วว่ามังกรอยู่ที่ไหน และกำลังออกตามล่าอยู่” ข้าพูดช้าๆ เพื่อทบทวนข้อสงสัยของตนเองไปด้วย “อย่างที่ข้าเพิ่งเล่าให้ฟัง เมื่อสองแสนปีก่อนชาวมังกรกับเซนทิเนลสู้รบกัน และพวกเราชนะ เจ้าพอเดาออกไหมว่าทำไมพวกมันถึงไม่ส่งกองทัพมาล่าเราเพิ่มหลังจากนั้น?”


อันซานส่ายหน้าเบาๆ ข้าจึงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล 


“ท่านตาของข้าเล่าว่า เผ่ามังกรรัตติกาลใช้พลังเฮือกสุดท้ายในการลากพวกมันออกไปจากระบบสุริยะ หลังจากสร้างเขตแดนเวทคุ้มครองโดยใช้กลุ่มเมฆออร์ตในห้วงอวกาศเป็นรากฐาน พวกเขาทั้งหมดก็ใช้เวทมนตร์บิดเบือนความทรงจำของพวกเซเลสเทียลที่ยังเหลือรอดจากการสู้รบนั่น ให้เชื่อว่าพวกเขานี่แหละที่เป็นมังกรกลุ่มสุดท้ายของจักรวาล แล้วทั้งหมดก็บินไปสิ้นใจถึงกลุ่มดาวอันไกลโพ้นเพื่อให้ไม่มีผู้ใดออกตามล่ามังกรอีกต่อไป

สิ่งนี้ทั้งเผ่าเฟย์และเผ่าแวร์บีสต์ล้วนแต่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องโกหก ชาวมังกรถึงได้ลงคำสาปไว้กับพวกนั้นทุกตนที่มาเยือนโลก ซึ่งนั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่พวกเซเลสเทียลจะรู้ไม่ได้เด็ดขาด ว่าความทรงจำที่พวกมันได้ไปน่ะไม่ใช่ความจริง…” 


ข้าหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าเข้าใจข้าไหม อันซาน? ทั้งๆ ที่พวกเซเลสเทียลควรจะเข้าใจว่ามังกรตายหมดแล้ว แต่จู่ๆ มันก็ออกตามล่ามังกรในสองแสนปีให้หลัง นั่นหมายความว่า พวกมันเพิ่งได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของชาวมังกรอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เจ้าจะนำร่างของข้าออกมาจากโลกเก่าเสียอีก สาเหตุนี้มีความเป็นไปได้อย่างเดียว… และเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยแม้แต่จะกล้าฝันถึง…”


ข้ายกสองมือกอบกุมใบหน้าของเขา เสียงขลุกขลักราวกับว่ามังกรโบราณกำลังเป็นฝ่ายพูดแทนร่างจำแลงที่ใช้อยู่


“…ยังมีมังกรหลงเหลืออยู่ข้างนอกนั่น ในห้วงอวกาศอันไกลโพ้นที่เผ่ามังกรรัตติกาลบินจากไปอย่างไม่หวนกลับ… เพราะแบบนั้นพวกเซเลสเทียลถึงรู้แล้วว่าเรื่องที่มังกรสูญสิ้นไปหมดแล้วนั่นไม่ใช่ความจริง และอาจเพราะมังกรที่พวกมันเห็นทรงอำนาจเกินกว่าที่พวกมันจะจับไว้ได้ พวกมันเลยเบนเข็มมายังมังกรที่อาจหลงเหลืออยู่ในระบบสุริยะแทน และดาวเคราะห์ที่พวกมันคิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดที่จะมีมังกรอยู่อาศัย ก็คือดาวที่ชาวมนุษย์เพิ่งอพยพออกไป… ดาวโลก”


ร่างของลูกครึ่งเทพนิ่งงันไปอย่างตกตะลึง ข้าฟังที่ตัวเองพูดแล้วก็อยากตกตะลึงอีกครั้งเช่นกัน เรื่องนี้มีอิทธิพลต่อข้าอย่างแรงกล้า มันจุดประกายความหวังในใจข้าอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานนับพันปี


ข้าไม่ใช่มังกรตัวสุดท้ายของจักรวาล


ความคิดนี้แผดเผาข้า ทรมานข้าด้วยความเปี่ยมสุขตั้งแต่ครั้งที่มันผุดขึ้นมาในหัวสมอง หลังจากที่ฟังอันซานเล่าถึงเนื้อความในสารลึกลับที่ได้มา ข้าก็ไม่อาจสลัดความเป็นไปได้นี้ออกจากหัวอีก ดังนั้นข้าจึงจำต้องสร้างสถานการณ์ให้ตนเองมีเวลาอยู่บนดาวดวงนี้ให้มากขึ้น และต้องทำสัญญาให้พวกมนุษย์ตกลงยินยอมช่วยเหลือข้าทุกสิ่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้นจนสามารถแน่ใจได้อย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่ข้าคิดเป็นความจริง


เผ่ามังกรรัตติกาลยังไม่ตาย… พวกเขาไม่อาจกลับมายังดาวโลกได้ เพราะนั่นจะทำลายความพยายามทั้งหมดของมังกรบรรพบุรุษที่จะขับไล่ให้พวกเซเลสเทียลไปห่างๆ จากระบบสุริยะ ดังนั้นพวกเขาอาจจะซ่อนตัวมาตลอดสองแสนปีที่ผ่านมา และตัดสินใจเปิดเผยตัวอีกครั้งเพราะเซเลสเทียลทรราชนั่นเริ่มทำการก่อสงครามระหว่างดวงดาว


มังกรพวกนั้นไม่รู้ถึงสถานการณ์บนโลก และข้าก็ไม่รู้ถึงสถานการณ์ของพวกเขาเช่นกัน


สิ่งเดียวที่ข้ามีอยู่ในมือ คือความหวังของมนุษย์สายพันธุ์ใหม่พวกนี้ที่มีต่อข้า ซึ่งคาดหวังอย่างสุดซึ้งว่าพวกเขามีโอกาสจะทำให้ข้ารักจนยอมปกป้องบ้านของพวกเขาได้ และข้า... ก็หลอกใช้ความหวังของมนุษย์เหล่านี้ ตอบแทนความเอาแต่ใจของพวกเขาด้วยความเห็นแก่ตัวของข้าเอง


 

 




[TALK: ใกล้แล้ว อีกนิด ไม่ใช่ใกล้จะได้ไปเที่ยวนะ แต่นักอ่านน่าจะใกล้เลิกอ่านแล้วเนี่ย บทนี้มัวแต่พูดทั้งตอน ยังไม่ได้ไปเที่ยวซักที *ปิดหน้าร้องไห้* ทนอีกซักตอนนะคะ ฮือออ