ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว - บทที่ 11 ยื่นหมูครึ่งเทพ ยื่นแมวมังกร โดย ItsAlthero @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี

รายละเอียด

ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

ผู้แต่ง

ItsAlthero

เรื่องย่อ

#เป็นมังกรไม่ใช่แมว

นามของข้า คือ 'เอมารันไธน์' และข้าต้องการความช่วยเหลือ...

คือเรื่องมันเป็นแบบนี้นะท่านผู้มาเยือน อันตัวข้านั้นเป็นมังกรรุ่นเยาว์ ได้ลงหลุมไปคุยกับรากอ่อนของต้นแอชจิ๋ว จำศีลไปราวๆหนึ่งพันปีตามวิสัยปกติของมังกร แต่พอตื่นมาอีกครั้งก็ต้องพบว่า... ข้ากลายเป็นแมวไปแล้ว

...ตอนข้าหลับอุตุมันมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ข้าไม่เข้าใจ

มิหนำซ้ำ ดวงของข้ายังดิ่งลงเหวอย่างที่นรกก็ฉุดไม่อยู่ ทั้งผู้บัญชาการชาวมนุษย์เอย จักรพรรดิสวรรค์เอย ราชาปีศาจเอย จ้าวอสูรเอย และผู้นำอมนุษย์เผ่าอื่นๆมากมาย ต่างก็จ้องจะเข้ามาขย้ำพุงข้าไม่หยุดไม่หย่อน เอาแต่กวักมือเรียกข้า
เหมียวๆ... เหมียวบ้านพวกเจ้าสิ 

ข้าคือมังกรบรรพกาลตัวสุดท้ายของโลก ทั้งยังเป็นสายพันธุ์หายากขึ้นทะเบียนเป็นอันดับต้นๆของทุกทำเนียบเชียวนะ แต่พวกเจ้ากลับทำเหมือนข้าเป็นแมวจรไร้บ้านแบบนี้ ถือว่าตนเป็นใหญ่เลยจะข่มข้าอย่างไรก็ได้งั้นรึ? คิดหรือว่าข้าจะยอมอยู่ในโอวาท ทำตัวเชื่องเยี่ยงสัตว์เลี้ยงกับพวกเจ้า? ไม่ว่าพวกเอ็งจะทำอะไร ก็ซื้อใจข้าไม่ได้หรอก!

"อย่างอนกันนานนักเลยน่า เอมี่ ฉันซื้อแมวเลียรสโปรดของเจ้ามาให้สามร้อยลังเลยนะ ให้ฉีกตอนนี้เลยไหม คืนดีกันนะ"

"ใจเย็นก่อน เอ็ม ข้าเพียงแต่มาง้อเท่านั้น เจ้าชอบกินเนื้องูใช่ไหม? ข้าเอาเนื้อบาซิลิสก์จากแดนปีศาจมาฝากเจ้า"

"อย่าโกรธกันเลยนะ เด็กดี วันนี้พี่ซื้อขนมมาให้เจ้าเยอะแยะเลยนะ เค้กช็อกโกแลตจากแดนอสูรที่เจ้าชอบยังไงล่ะ มีเครป พาย ทาร์ต อยู่ในตู้อีกเป็นร้อยด้วยนะ"

"ช่างน่าดีใจนักที่ เอมี่น้อย ชอบของขวัญของเรามากถึงเพียงนี้ เจ้าอยากได้เพชรพลอยไปประดับรังเพิ่มอีกเท่าไหร่ล่ะหืม? เรายกให้ทั้งคลังแดนสวรรค์เลยก็ยังได้นะ แต่หากเจ้ายังไม่พอใจแล้วล่ะก็ เดี๋ยวเราจะลองไปถามแดนภูตดูให้ด้วย ดีหรือไม่?"

"ไม่ต้องขอ แดนภูตยกให้หมดเลย ที่รัก"

.....

เอาเป็นว่าข้าจะยอมนอนเฉยๆบนกองเงินกองทองของพวกเจ้าต่อไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน แต่จงระวังไว้เถอะ ประมาทข้ามากๆแล้วเจ้าจะเสียใจ สักวันนึงข้าจะยึดครองโลก ไม่สิ ครองจักรวาล ครองเอกภพไปด้วยเลยเอ้า ยึดได้แล้วข้าก็จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นคาเฟ่แมวซะให้หมดเลยคอยดู อย่าล้อเล่นกับระบบ เพราะระบบตบสวนนะจะบอกให้! 

ระวังโลกเจ้าเอาไว้ให้ดีเถอะ! (●`ω´●)




WARNING!!!

นิยายเรื่องนี้เป็น Boy Love แนว Sci-Fi ผสมแฟนตาซี ไทม์ไลน์ยุคอนาคต/ยุคดวงดาว มีหลายโลก หลายเวิร์ส และมีพระเอกหลายคน มีการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าพระ-นาย แบบ Polygamy เพราะเป็น ฮาเร็มชาย จัดอยู่ในหมวด18+แต่เป็นฉบับCutเพื่อความเหมาะสม จะมีเนื้อหาที่ถูกตัดทอนออกไปบางส่วนเพื่อให้มีเนื้อหาเชิง [Trigger] น้อยที่สุด นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ18ปีขึ้นไป จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ ความรุนแรง และฉากทารุณบางประการ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน โดยจะเขียนคำเตือนกำกับไว้ซ้ำในบทที่จำเป็นเพื่อประกอบการใช้วิจารณญาณในการอ่านต่อไป อนึ่ง ฉบับUncutอยู่ในบ้านหลักสีฟ้า

*เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงจินตาการของผู้เขียน เป็นเรื่องแต่ง ไม่อิงประวัติศาสตร์หรือหลักความเป็นจริงแต่อย่างใด มีเนื้อหาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น*

⚠ นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ไม่อนุญาตให้คัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือกระทำการใดๆ อันเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย ⚠

⚠ หากเราเตือนแล้วยังคุยกันไม่เข้าใจอีก ศาลจะเป็นที่ต่อไปที่ท่านจะได้มานั่งคุยกับเรา ⚠





แวะไปทักทายกันได้ที่

FB: @Althero_LD

X (Twitter) : @ItsAlthero

♡ ด้วยรักและขอบคุณจ้า ♡


สารบัญ

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทนำ มาจะกล่าวบทไป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 1 เริ่มมาก็ปังแล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 2 เกือบหลับแต่กลับมาได้,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 3 อยู่ดีๆ เราก็วาร์ป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 4 โลกใหม่สอนให้เปิด,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 5 เป็นแมวจรต่างดาวไม่ง่ายเลย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 6 เป็นมนุษย์บนต่างดาวยากยิ่งกว่า,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 7 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 8 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 9 ยังไม่ได้ไปเที่ยว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 10 เปิดอกอีกรอบ รอบนี้แค่เปรียบเปรย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 11 ยื่นหมูครึ่งเทพ ยื่นแมวมังกร,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 12 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 13 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 14 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (3),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 15 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายก็แย่แล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-**คั่นเวลาเล็กน้อย ด้วยรูปท่านนายพล**

เนื้อหา

บทที่ 11 ยื่นหมูครึ่งเทพ ยื่นแมวมังกร

“สรุปก็คือ… เจ้าแค่หลอกให้ความหวังเราเฉยๆ”


“ใช่”


“เจ้าไม่ได้จะให้โอกาสเราทำสำเร็จมาตั้งแต่แรก เรื่องทำให้เจ้ารักให้ได้อะไรนั่น”


“ใช่”


“เจ้าเพียงแค่อยากได้เวลามากพอที่จะสืบหาข้อมูลเพิ่ม ว่าเรื่องที่ยังมีชาวมังกรอยู่อีกฟากของจักรวาลน่ะเป็นความจริงหรือไม่ก็เท่านั้น”


“ใช่”


แล้วเราทั้งคู่ก็เงียบไปอีกครั้ง


อันซานหลับตาลง เขาก้มหน้าช้าๆ แล้วถอนหายใจยาวออกมา 


“เอาล่ะ… โอเค อย่างน้อยในคราวนี้เจ้าก็ยอมพูดกันตรงๆ ล่ะนะ” 


เขาปล่อยมือทั้งสองออกจากทั้งสะโพกข้าและข้างใบหน้าตัวเอง จากนั้นก็สอดมือเข้ามาที่ใต้รักแร้ของข้า แล้วเขาก็ดันตัวลุกขึ้นทั้งๆที่สองมือเขายังอยู่ใต้ข้อพับ เขายกข้าขึ้นสูงไปแบบนั้น ข้ากะพริบตาไม่กี่ทีก็กลับมานั่งบนเบาะเสียแล้ว


“เจ้าบอกให้ข้าลุกเฉยๆ ก็ได้นะ”


หลังจากปล่อยข้าไว้บนเบาะนุ่ม นายพลหนุ่มก็ไม่ได้หันกลับมามองข้าอีก เขาเดินกลับไปจัดการแผงควบคุมยานที่ปล่อยให้ลอยตัวเอื่อยๆ จนเราบินวนอยู่ที่เดิมมานานมากโขแล้ว “ทำไม? ไม่ชอบที่ฉันจับตัวรึ?”


“…ก็เปล่า” ข้ากะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง “เจ้าจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรอ?”


อันซานเงียบไป เขาผละจากแผงจอที่ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วหันกลับมามองข้าอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย “อยากให้ฉันพูดอะไรล่ะ?”


“ไม่รู้สิ แค่… นึกว่าเจ้าจะไม่พอใจซะอีก”


ท่านนายพลทำเพียงยืนนิ่งเหมือนไตร่ตรองหลายอย่างในหัว แต่ที่สุดเขาก็เอ่ยตอบ “…บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ไม่ว่าใจจริงของเจ้าจะรู้สึกกับเรายังไง ก็จะขอยอมรับเอาไว้ทั้งหมด ยังไงซะ เราก็ไม่มีสิทธิบังคับเอาสิ่งใดจากเจ้าแต่แรกอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจ” 


พูดจบแล้วเขาก็หันหลังกลับไปที่เดิม เมื่อข้าเห็นมันยืนนิ่งอยู่แบบนั้น กลับเกิดรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจเสียได้ น้ำเสียงทุ้มต่ำที่พูดเสริมอย่างที่ข้าเดาอารมณ์ไม่ถูกยิ่งทำข้ารู้สึกคันยิบๆ ข้างในอก ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกแปลกพิกล


แผ่นหลังกว้าง รูปร่างสูงใหญ่ กอปรกับชุดเครื่องแบบสีเข้ม และท่าทางที่บ่งบอกความเป็นนักรบ ข้าควรจะเห็นมันเป็นผู้ใหญ่อย่างที่มันเป็นจริงๆ หากเทียบกับอายุของมนุษย์ …แต่ข้ากลับเห็นภาพของมันเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ยืนหยัดอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวมานานไปแทนเสียได้


…บ้าจริง


“เจ้าอยากได้อะไรจากเราก็เอาไปเถอะ จะเวลา ข้อมูล เทคโนโลยี กำลังพล--” เขาหยุดพูดไป แล้วเสริมใหม่ “--ที่หมายถึงแค่ตัวฉันก็พอ ไม่ว่าเจ้าอยากจะได้อะไรหรืออยากจะให้ฉันทำอะไร ถ้าฉันสามารถทำได้ก็ยินดีเสนอตัวทุกอย่าง”


น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอีกครั้ง แต่ข้ากลับรู้สึกว่าสิ่งที่มันแสดงออกไม่ใช่อารมณ์ข้างในจริงๆ …มันเล่นมามุกแบบนี้อีกแล้ว ข้ายิ่งเดาอารมณ์ของมนุษย์ไม่เก่งอยู่ด้วยสิ การแสดงออกของมันมักจะมาจากการคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วนมาแล้ว ราวกับว่าถูกฝึกให้ต้องปิดกั้นตัวเองมาโดยตลอด เมื่อแสร้งทำบ่อยเข้า สิ่งที่แสดงออกจึงดูเป็นธรรมชาติมากเสียจนข้าเกือบคิดว่ามันไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ


แต่มังกรมีประสาทการรับรู้ที่ดีเลิศ ไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหน ดังนั้นข้าจึงพอจะคิดได้อยู่ว่ามันกำลัง… หือ? 


อ้าว นี่มันกำลัง… เศร้าอยู่หรอกเรอะ? ไม่ใช่ความโกรธอย่างที่คิดแฮะ แปลกชะมัด ทำไมล่ะ? พสุธา… ดูบุตรบุญธรรมท่านสิ มันทำตัวพิลึกอีกแล้วเนี่ย โว๊ะ มังกรเครียด!


“เฮ้ อันซาน!” ข้าโพล่งออกไปอย่างไม่จำเป็น แต่ก็ไม่ได้หยุดตัวเองไว้ “เจ้าบอกว่าจะทำตามคำขอของข้าทุกอย่างเลยใช่ไหม?” 


“..อืม”


“ถ้าอย่างงั้น… เจ้า” ข้ายกอุ้งมือตบเบาะหนานุ่มที่ตรงข้างกายของตนเองเปาะแปะสองสามครั้ง “มานี่”


เมื่อท่านนายพลหนุ่มเหลือบมองการกระทำของเจ้ามังกรแปลงที่ตบเบาะเรียกเขาอย่างกับเรียกสุนัขแล้ว ก็เกิดรู้สึกอยากถอนหายใจออกมาใส่หน้ามันตรงๆ อย่างแรงกล้า แต่ก็จำยอมเดินกลับไปนั่งข้างๆ แต่โดยดี


“เอาล่ะ” เราทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันเหมือนครั้งแรกที่เราได้สู้กัน แต่คราวนี้ข้าเลือกที่จะยื่นมือมนุษย์ธรรมดาออกมาแทนกรงเล็บแหลมคม “เรามาเริ่มกันใหม่แล้วกันนะ”


“หือ?” 


“สวัสดีอันซาน ข้าคือมังกร มีนามว่า เอมารันไธน์ เมื่อโชคชะตานำพาเรามาเจอกัน ก็ขอพสุธาโปรดเมตตาอำนวยพรให้แก่เจ้า”


เขาเบิกตากว้าง สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นความสงสัยเพราะไม่แน่ใจถึงสิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่ มือใหญ่วางนิ่งข้างตัว ยังไม่ขยับเหมือนงุนงง


“เฮ้ ถึงตาเจ้าแล้ว พูดแนะนำตัวสิ” ข้าเอ่ยเร่ง พลางเขย่ามือตนที่ยังยกค้างอยู่โบกไปมาต่อหน้ามัน


“…สวัสดี เอมารันไธน์” เขายอมเล่นตามน้ำแต่โดยดีล่ะ “ฉันคือนายพลครึ่งเทพของมนุษย์ในโลกใหม่ มีนามว่า อันซาน ทามัล และ… ขอให้สุขีในโลกใหม่กลับคืนเฉกเช่นกัน”


ข้ายิ้มกว้างออกมา ส่วนอีกฝ่ายยังดูสับสนอยู่ไม่น้อย ก็เลยตัดสินใจเอ่ยบอกเขาไป


“แหม ก็ตอนแรกน่ะ พวกเราเริ่มต้นกันได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ใช่มั้ยล่ะ? ตอนนั้นเจ้าตั้งใจจะจับข้า ส่วนข้าตั้งใจจะฆ่าเจ้า” 


เห็นเขาชะงักเพราะประโยคหลังข้าก็หลุดหัวเราะออกมา 


“แต่ไม่คิดทำแล้วล่ะ ข้าจะชอบโลกนี้มากกว่าเดิมถ้ามีเจ้าอยู่ในนั้น”


ได้ยินดังนั้น อันซานก็หรี่ตาลง เขาจ้องมองข้านิ่งๆ อยู่นาน “…นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”


“ทำความรู้จัก ผูกมิตร สร้างสัมพันธไมตรียังไงล่ะ คราวนี้เอาจริงๆ ไม่หลอกแล้ว” ข้าพยักหน้าเสริมความน่าเชื่อถือ แต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้วมุ่น 


“เอมารันไธน์” เขาส่ายหัวเบาๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนทำอะไรให้เราหรอก เราเป็นฝ่ายพาเจ้ามาที่นี่เพื่อแก้ปัญหาที่ไม่ใช่ของเจ้าด้วยซ้ำ ฉันเข้าใจดีว่า--”


“เจ้าบอกว่าจะทำทุกอย่างที่ข้าขอนี่ ใช่ไหม?”


เขาชะงักกึก แต่ก็ยอมพยักหน้า “ใช่”


ข้ายิ้มกว้างกว่าเดิมจนเห็นเขี้ยว “ถ้าอย่างนั้น นี่คือคำขอแรกของข้าล่ะ” มือข้ายื่นไปจนจะทิ่มหน้ามันอยู่แล้วก็ยังไม่ขยับสักนิด ยังจะมัวมาทำหน้างงอยู่ได้ ถึงจะเริ่มคิ้วกระตุกแต่ข้าก็ยังส่งเสียงอย่างร่าเริงบอกมันว่า


“มาเป็นเพื่อนกันนะ”


เท่านั้นล่ะ จากที่อีกฝ่ายยังดูงงๆอยู่ ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด ราวกับกำลังเห็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดที่สุดในจักรวาลโชว์เต้นระบำหน้าท้องให้ดูต่อหน้าต่อตา


เฮ้ย! ปฏิกิริยาเอ็งพิลึกมากเกินไปแล้วเฟ้ย!


“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าอะไรมิทราบ อย่างน้อยๆ ก็จับมือข้าซักทีสิ” ยกค้างแบบนี้มันเมื่อยนะเว้ย เดี๋ยวข้าก็กัดซะหรอก


“…ให้ตายสิ ฉันทำความเข้าใจเจ้าไม่ถูกเลยจริงๆนะ” อันซานขมวดคิ้ว เขาเริ่มมองข้าตาขวางแล้ว คงจะเก็บอาการหงุดหงิดข้าไม่ไหวแล้วล่ะ “เจ้าเพิ่งบอกฉันอยู่หยกๆ ว่าเราไม่มีโอกาสทำให้เจ้ารักได้แน่ …แล้วนี่มาอารมณ์ไหนถึงได้อยากเป็นเพื่อนกันขึ้นมาล่ะ”


“อารมณ์ว้าเหว่มั้ง” ข้าตอบง่ายๆ จนมุมปากของอีกฝ่ายกระตุกยิก “คือข้าเหงาน่ะ นี่เรื่องจริง”


ความเงียบโรยตัวลงมาระหว่างเราอีกครั้ง ข้าพลันนึกสงสัยว่ายานโดยสารส่วนตัวที่เรากำลังนั่งโง่ๆ อยู่ตอนนี้ จะกำลังบินวนอยู่ที่เดิมมาได้เกินครึ่งวันแล้วกระมัง เมื่อกำลังคิดจะลดมือลง อีกฝ่ายก็ยอมจับมือของข้าในที่สุด 


“ตกลงก็ตกลง” เขาตอบรับคำ “ยังไงก็... ยินดีที่ได้ผูกมิตรกับเจ้าล่ะนะ ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม”


“ยินดีเช่นกัน สหายใหม่ของข้า เอาล่ะ ทีนี้… เรามาทำข้อสัญญาแลกเปลี่ยนกันเถอะ”


อันซานขยับนั่งตัวตรงทันที “แลกเปลี่ยน?”


“ใช่” ข้าพยักหน้า ยิ้มเผล่ออกมา “ไหนๆ ตอนนีี้เจ้าก็มีสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว และข้าก็มีสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้ารู้เรื่องที่เจ้าไม่รู้ ส่วนเจ้าก็รู้เรื่องที่ข้าไม่รู้ เพราะงั้น… เรามาแลกเปลี่ยนกัน”


“ยื่นหมูยื่นแมวสินะ” เขาพยักหน้าตอบรับ แต่ข้าดันงงกับคำศัพท์ที่มันใช้


“อะไรหมูแมวนะ???”


“ยื่นหมูยื่นแมว มันเป็นสำนวนของเราน่ะ” เขาเริ่มยิ้มออกบ้างแล้ว “สำนวนนี้แปลได้ประมาณว่า คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ทำการตกลงแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม และเท่าเทียมยังไงล่ะ”


ยุติธรรมและเท่าเทียม…


สองคำนี้ทำให้ข้านิ่งงันไป สายตาจับจ้องมองร่างสูงใหญ่ของบุรุษตรงหน้า ตั้งแต่ที่เราเจอกัน ข้าประทับใจในตัวเขามากพอๆ กับความไม่ชอบใจ แต่หลังจากที่ได้ลองอยู่ด้วยในระยะสั้นๆ ที่ผ่านมานี้ เจ้าหมอนี่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายอะไร เขาเพียงแค่มีหน้าที่ที่ต้องแบกรับ มีชีวิตในฐานะของมนุษย์ที่ต้องรับผิดชอบ และมีฐานะของนายพลที่จำต้องทำในสิ่งที่ตนไม่ได้อยากทำ ก็เท่านั้น 


ริมฝีปากของข้าขยับเปิด แล้วเปล่งเสียงออกมา เสียงของมังกรซ้อนทับกับเสียงของมนุษย์ ต่างผสมผสานจังหวะสูงต่ำเข้าด้วยกันราวกับท่วงทำนองของบทเพลงที่แปลกหู


“…ในนามของเอมารันไธน์ ตราบเท่าที่เจ้าตกลงจะมอบสิ่งที่ข้าต้องการมาให้ ข้าก็จะมอบในสิ่งที่เจ้าต้องการคืนให้ดุจเดียวกัน” ข้ายื่นมือทั้งสองออกไปกอบกุมใบหน้าคมคร้ามนั่นอีกครั้ง แล้วดึงรั้งเข้ามาใกล้ๆ เขาเอนตัวตามมาอย่างไม่ขัดขืนใดๆ “อย่างยุติธรรม และเท่าเทียม”


อันซานเบิกตากว้างอีกครั้ง มุมปากพลันขยับยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มจากใจ มือทั้งสองของเขาเลื่อนมาอังที่หลังคอของข้าเช่นกัน 


“ในนามของอันซาน ทามัล ขอตกลงในสัญญาแลกเปลี่ยนข้อนี้ และจะปฏิบัติตามสัญญาอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมเฉกเช่นเดียวกัน”


ในที่สุดหน้าผากของเราทั้งคู่ก็สัมผัสกัน พวกเราหลับตาลงปิดสนิท ในฉับพลันทันทีนั้นเอง กระแสพลังก็แล่นเปรี้ยะออกมารอบกาย สายพลังสีทองร้อนระอุของเขาและสายพลังสีเงินเส้นน้อยของข้า พุ่งเข้าเกี่ยวประหวัดรัดกัน เส้นแสงจากสองพลังต่างพุ่งเข้าโอบล้อมพวกเราเอาไว้ มันบิดตัว เต้นเร่า ผสานเข้าด้วยกัน ราวกับสายอัสนีบนฟากฟ้า ไม่ก็สายธาราที่ไหลรินบนพื้นดิน ท้ายที่สุดแล้วมันก็บิดรัดตัวเองจนเป็นเกลียวหมุน แล้วก็แตกสายออกมาเป็นสองเส้น ต่างพุ่งเข้าใส่ข้อมือขวาของเราทั้งคู่ เส้นแสงสองสีบิดเกลียวลีบเล็กลงเรื่อย ผสานตัวจนกลายเป็นกำไลบอบบางรัดอยู่ที่ข้อมือของเรา


เมื่อข้าลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ผละออกห่างจากร่างสูงเพื่อที่จะดูข้อมือตัวเอง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ อีกฝ่ายดันเอนตัวตามมาด้วยเสียอย่างนั้น ข้าเลยตัดสินใจนั่งนิ่งๆ ให้มันวางศีรษะลงบนไหล่ ไม่งั้นได้มีล้มทับกันแน่


“เมื่อครู่นี่… คืออะไรหรือ?”


ข้าหันไปมองมันด้วยสีหน้าเหลือจะเชื่อ “เจ้านี่ถามอะไรช้าจริงนะ ถ้าเกิดข้าหลอกร่ายคำสาปใส่เจ้าจะทำยังไง ฮึ?”


“คงยอมยกวิญญาณให้แต่โดยดีล่ะมั้ง” เห็นมันยักไหล่ตอบหน้าซื่อแล้ว ข้าก็ได้แต่ถอนหายใจ


“นี่คือคำสัญญาของมังกร” ข้ายกมือขวาของเราทั้งคู่ขึ้นมา โชว์ร่องรอยของกำไลแสงเส้นบางๆ สวมอยู่ที่ข้อมือ มันดูราวกับรอยสักสีสว่างสวยๆ สักรอย กำไลที่จับต้องไม่ได้อย่างกับภาพลวงตา “สิ่งนี้จะผูกพันข้าและเจ้าเอาไว้ ว่าเราจะทำการแลกเปลี่ยนกันโดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีบิดพลิ้ว ไม่มีการหักหลัง” มือข้าขยับไปวางทาบทับบนมือของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล “ให้เราอยู่ในฐานะของคู่สัญญาที่มีหน้าที่ต่อกันและกัน อย่างยุติธรรมและเท่าเทียม”


อันซานมองฝ่ามือของข้านิ่ง รอยยิ้มยินดีที่มุมปากยังปรากฏไม่เสื่อมคลาย “ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ นะ จากใจจริง”


“ด้วยความยินดีน่ะสหาย ซึ่ง… ไหนๆ เราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว ช่วยพาข้าไปชมบ้านเจ้าสักทีสิ อันซาน”


อันซานถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นครั้งที่ล้าน แต่ก็ยอมตามใจข้าอย่างว่าง่ายเหมือนเดิม “ได้สิ แน่นอนอยู่แล้ว”


มือใหญ่ของเขาขยับยกขึ้น ยื่นเข้ามาใกล้จนสัมผัสโดนแก้มของข้าแผ่วเบา ปลายนิ้วเขาเขี่ยเส้นผมยาวๆของข้าไปทัดหลังใบหูแหลมให้อย่างนุ่มนวล 


“เพื่อเจ้าแล้ว ได้ทุกสิ่งเลย เอมารันไธน์”






ในที่สุด ข้าก็ได้นั่งยานชมเมืองสมใจ


หลังจากที่เราตกลงเริ่มใหม่ด้วยการผูกมิตรไมตรีเบื้องต้นกันแล้ว เขาก็ขับยานพาข้าไปชมวิวทิวทัศน์กว้างๆ ของเขตที่เราอยู่ พร้อมกับเขตข้างเคียงนิดหน่อย แต่เพราะว่าเราเพิ่งใช้เวลาปรับทุกข์กันไปนานกว่าครึ่งวันของจริง พวกเราเลยตัดสินใจว่าวันนี้จะทำแค่บินชมวิวอยู่บนฟ้าเฉยๆก่อน ให้ข้าได้เห็นสังคมโดยรวมก่อนจะลงไปเดินยังเขตเมืองวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าอันซานคงจะตามไปประกบติดข้ายิ่งกว่าเงาตามตัวแน่ๆ พอข้าแสดงเจตนาชัดแจ้งว่าไม่ต้องการให้มันอยู่ติดข้าทั้งวัน มันก็ตอบกลับนิ่งๆ เพียงว่า 


“ไม่อยากได้กระเป๋าตังค์ส่วนตัวหรือไง?”


ข้าเลยหุบปากฉับ ปล่อยเบลอไป เกือบซวยแล้วไหมล่ะ ลืมไปเลยว่ามนุษย์มันใช้ระบบเงินตราในการแลกเปลี่ยนสิ่งของและอาหาร นั่นเท่ากับว่าถ้าข้าอยากได้อะไรก็ต้องพึ่งเงินของมันทั้งหมด


สถานะของข้าในตอนนี้เรียกว่าอะไรหนอ… ยาจก รึเปล่านะ….


พลันความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายก็แตกกระจายเมื่อเส้นผมยาวๆ ของข้าถูกมือหนาสางเล่น ข้าเลยหันหน้าไปมองเขา 


“ฉันกำลังอธิบายเรื่องเขตต่างๆ ให้ฟังเจ้าก็เหม่ออีกแล้ว ยังสนใจฟังต่อรึเปล่าน่ะ?”


“สนใจอยู่สิ” ข้ายักไหล่ “เจ้ากำลังพูดถึงพรมแดนแบ่งเขตปกครองของพวกเจ้าในรูปแบบใหม่ พวกเจ้าล้มเลิกการแบ่งเขตแบบประเทศ เปลี่ยนมาเป็นการสร้างปราการเขตทั้ง 12 แห่งแทน และแต่ละเขตก็มีผังโครงสร้างแบบกำแพงยักษ์รูปหกเหลี่ยมเหมือนรังผึ้งที่ล้อมเมืองเอาไว้อยู่ ใช่ไหมล่ะ?”


“และมีโคโลนี หรือเมืองยิบย่อยซ้อนอยู่ภายในอีกชั้นหนึ่งด้วย ใช่” เขาชี้ให้ข้าชะโงกดูด้านล่าง “ที่โลกนี้ มนุษย์อาจมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นแม้จะอยู่ในสภาวะสงครามต่างดาว แต่การที่ดาวโลกใหม่ หรือ Earth-02 ดวงนี้มีขนาดใหญ่กว่าดาวโลกเดิมมากถึงสามเท่า ทำให้เราไม่ได้ขยายเขตที่อยู่อาศัยไปมากกว่าที่เป็นอยู่” 


ข้าเห็นยานบินหลายลำแล่นผ่านยานของเราไป แต่ละลำมีลักษณะและรูปร่างร่างแปลกตานัก อีกทั้งสีสันของบางลำยังฉูดฉาดจนแสบตาเหมือนที่เคยเห็นมาแล้วหลายลำด้วย ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกแล้วแต่ข้าก็ยังรู้สึกชอบใจทุกครั้งที่เห็นเทคโนโลยีต่างๆ ของมนุษย์ ให้อารมณ์เหมือนเห็นของเล่นสุดเจ๋งจนข้าอยากเล่นเองบ้างเลยทีเดียว


“สอนข้าขับยานนี่หน่อยสิอันซาน”


“ฮะ?” เขามองข้าที่เดินเข้าไปใกล้ เหมือนกังวลว่าข้าจะทำพวกเราร่วงลงไปดับสนิท “เอาจริงรึ?”


“เอาจริงสิ น่าสนุกจะตาย” ข้าขยับไม้ขยับมือแบบอยากเล่นบ้าง


“นี่ไม่ใช่ของเล่นสักหน่อย” ถอนหายใจอีกละ “ไว้ฉันค่อยสอนเจ้าทีหลังก็แล้วกันนะ เพราะขั้นตอนมันเยอะนิดหน่อย อีกอย่าง เจ้าไม่มีใบอนุญาตขับยานบินด้วย ในฐานะนายพลคนหนึ่ง จะปล่อยให้เจ้าเล่นซี้ซั้วไม่ได้หรอกนะ”


ได้ยินแบบนั้นข้าก็กลอกตาใส่มัน ไม่เล่นก็ได้ ขี้หวงจริง


“อย่างที่บอกไป เรามีเขตใหญ่เพียง 12 เขต” เขาเล่าต่อเหมือนพยายามเบนความสนใจของข้าไปจากหน้าจอควบคุมยานบิน “กำแพงเขตทั้งหมดที่ติดกันสามารถแปรสภาพเป็นโดมครอบคลุมทั้งเขตเมืองได้ เพื่อใช้เป็นที่หลบภัย”


“หลบภัย? จากสงครามน่ะหรือ?”


“ทั้งสงคราม และภัยธรรมชาติ” เขาตอบ “ที่โลกนี้มีหลายสิ่งมากที่เรายังไม่รู้จัก แม้มนุษย์จะอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้วก็ตาม แต่เพราะขนาดที่ใหญ่กว่าโลก แถมสภาพเขตแดนธรรมชาติยังมีหลากหลายเกินกว่าเราจะสำรวจได้ทั่ว มหาสมุทรของที่นี่ยังน่ากลัวกว่าที่โลกเก่าเสียอีก โลกนี้อาจว่างเปล่ามาก่อนก็จริง แต่พลังธรรมชาติของที่นี่ดูแคลนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นมันจึงอันตรายสำหรับมนุษย์ทั่วไปมากที่จะออกจากเขตไปทำอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วเราจะใช้หุ่นยนต์ที่มีไว้สำรวจโดยเฉพาะแทน”


“หุ่นยนต์… แบบที่สร้างขึ้นมาจากเหล็กโดยพวกเจ้าน่ะหรือ?”


“ใช่ แล้วก็มีอีกอย่างด้วย พวกไซบอร์ก หรืออีกชื่อ ชีวจักรกล ที่ฉันเคยพูดถึงไง”


ข้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ถามจริงนะ มันเป็นไปได้ยังไงน่ะ? สัตว์พวกนั้น… ข้านึกว่ามีแต่พวกมนุษย์ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่เสียอีก” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปเกือบหมดแล้ว พวกสัตว์ป่าดิ้นรนมีชีวิตรอดแทบตายจากสภาวะเปลี่ยนแปลงฉับพลันของโลก จนมังกรอย่างข้าพยายามอย่างหนักให้พวกมันรอดไปอยู่บนเกาะที่ปลอดภัยแทนถิ่นเดิม ซึ่งไม่ต้องพูดถึงพวกสัตว์เลี้ยงในบ้านมนุษย์เลย ขิตยกกระบินั่นแหละ


“ตอนแรกพวกเราก็คิดแบบนั้น จนกระทั่งกลุ่มผู้อพยพกลุ่มหนึ่งถูกทางการจับได้ว่าแอบขนสัตว์เลี้ยงของพวกเขาขึ้นมาด้วย พวกมันเลยตามติดมาถึงที่นี่ แล้วยังมียานอพยพลำอื่นของประเทศหนึ่งที่เล่นขนเอาสัตว์ทั้งสวนสัตว์มาด้วยได้ยังไงก็ไม่รู้ กลายเป็นว่าทางรัฐบาลโลกชุดแรกต้องพยายามทำยังไงก็ได้ให้ทั้งมนุษย์และสัตว์พวกนั้นสามารถปรับตัวเข้ากับโลกใหม่ได้ สุดท้ายพวกเขาก็เลือกจะทำการทดลองครั้งสำคัญที่เปลี่ยนยีนของมนุษย์ไปตลอดการ”


ข้าเบิกตาโตเป็นไข่มังกร “พวกเขาฉีดเหล็กใส่มนุษย์ด้วยกันเองหรอ?”


“เหล็กไหล โลหะมีชีวิต ใช่ทั้งหมด” อันซานพ่นลมหายใจ “เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้มนุษย์สมัยนั้นค่อยๆ ปรับตัวจนในที่สุดก็วิวัฒน์ยีนขึ้นใหม่อีกครั้ง กลายเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่อย่างที่เจ้าเห็นนี่แหละ” เขาโคลงหัวไปมานิดหนึ่ง 


“ในส่วนของสิ่งมีชีวิตที่เราเลี้ยงไว้บริโภค ทั้งการปศุสัตว์และการประมง พวกเราตัดแต่งพันธุกรรมมันให้กลายเป็น GMO ที่เติบโตขึ้นบนดาวดวงใหม่นี้ได้สำเร็จ เรามีฟาร์มเพาะเลี้ยงที่ทันสมัยกว่าของเก่าร้อยเท่าเลยล่ะมั้ง 

ส่วนพวกสัตว์เลี้ยง แล้วก็สัตว์ที่คนเอามาจากสวนสัตว์นั่น... พูดตามตรง มนุษย์ช่วงนั้นทำเพียงแค่ฉีดยีนกลายพันธุ์ของเหล็กมีชีวิตให้พวกมัน แล้วก็ปล่อยพวกมันไปสู่พื้นที่ธรรมชาติของดาวโลกนี้เท่านั้น เพราะรัฐบาลโลกในตอนนั้นไม่สามารถดูแลพวกมันได้น่ะ แต่กลายเป็นว่าพวกมันวิวัฒน์ตัวเองได้เร็วกว่ามนุษย์ซึ่งใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับโลกนี้นานถึง 500 ปีเสียอีก แค่ภายในร้อยปีที่พวกมันถูกปล่อยไปยังที่รกร้างบนดาวนี้ พวกมันก็ได้กลายเป็นชีวจักรกลอย่างสมบูรณ์ไปเลย”


“เป็นชีวจักรกลอย่างสมบูรณ์? หมายถึงยังไงน่ะ?”


“พวกมันกลายเป็นโลหะที่มีชีวิตน่ะสิ เลือดของพวกมันส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นสีฟ้า เซลล์ผสานตัวเข้ากับโครงสร้างของโลหะจนเป็นหนึ่งเดียวอย่างที่แม้แต่เราก็ทำไม่ได้ นอกจากนี้พวกมันยังสามารถขยายเผ่าพันธ์ุได้ไม่ต่างจากสัตว์แท้ๆ แถมบางตัวที่เกิดมาแข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ยังมีพลังอีกด้วยนะ”


อื้อหือ อะไรมันจะปานนั้น


“พวกมันกินอาหารและขับถ่ายด้วยใช่ไหม ข้าเคยเจอตัวนึง”


“กินอาหารน่ะใช่ แต่ไม่ขับถ่ายหรอกนะ” เขาเลิกคิ้วมองข้าที่อ้าปากเหวอ


“ไม่ขับถ่าย! ท้องไม่ผูกเรอะ!”


“นี่ล่ะที่น่าทึ่งที่สุด พวกมันสามารถเปลี่ยนทุกสิ่งที่เข้าปากลงกระเพาะเป็นพลังงานใช้ซ้ำได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีกากอาหาร ไม่มีของเสีย น้ำย่อยในกระเพาะและลำไส้ของพวกมันละลายทุกอย่างหายไปหมด”


ว้าว ข้าอยากมีกระเพาะแบบนั้นบ้างจัง ข้าจะได้ไม่ต้องกลัวท้องเสียเวลากินอะไรแปลกๆ เข้าไปอีกเลย


“ทำไมทำตาวาวแบบนั้น ฉันไม่คิดว่าเจ้าจะกินพวกมันได้หรอกนะ เหล็กไม่อร่อยหรอก”


“ไม่ได้จะกินสักหน่อย” ข้าพ่นลมออกจากจมูก มันเห็นข้าเป็นตัวอะไรไม่ทราบถึงคิดว่าข้าจะกินกระทั่งเหล็กเนี่ย “แต่ถ้าเป็นธาตุเหล็กข้าก็ไม่เกี่ยงนะ” พูดเสร็จก็มองที่คอมัน “อย่างเช่นเลือดเจ้าเป็นต้น”


“ฮะ? อะไรนะ?” อันซานเปล่งเสียงอย่างงุนงงสุดขีด “ทำไมมันวกมาที่ฉันได้ แล้วเลือดฉันมาเกี่ยวอะไรด้วย”


“ก็ตอนที่สู้กัน ข้างับเจ้าไปทีหนึ่งนี่นา จำได้ไหม?”


“ไม่มีลืม” ร่างสูงใหญ่ขยับมือออกห่างจากปากข้า เขารู้ซึ้งดีถึงความคมของเขี้ยวเจ้ามังกรนี่ “ตอนนั้นเจ้าดื่มเลือดฉันเข้าไปด้วยงั้นเรอะ?”


“ช่าย” ข้าตอบเสียงยานคาง “ด้วยเหตุผลบางอย่างน่ะนะ พอข้าดื่มเลือดเจ้าไปแค่ไม่กี่อึก ก็สามารถเพิ่มพลังตัวเองจนข้าสร้างร่างมนุษย์ให้ตัวเองได้เชียวนะ แถมเลือดเจ้ายังอร่อยด้วย นุ่มๆ เหมือนไวน์เลย”


“…แล้วฉันต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ดีล่ะนั่น” เขาคิ้วกระตุกจนจะพังอยู่แล้ว มองหน้าเจ้ามังกรแปลงแบบทั้งอยากตีทั้งอยาก… ไม่พูดดีกว่า


“ไม่เอาน่า สหาย เราเพื่อนกันนี่นา” ข้าเซ้าซี้ “ขอกัดคำนึงไม่ได้หรอ ข้าไม่ทำเจ็บหรอก สัญญาเลย”


“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น… แค่ ฉันจะให้เจ้ากัดเป็นขนมไม่ได้หรอก” เขาเริ่มเหงื่อตก เห็นมันยิ้มยิงฟันเขี้ยวให้ดูแล้วเขาก็รู้สึก… แปลกๆ โดยเฉพาะตรงสันหลังและช่วงล่าง… ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยสักนิด นี่แค่เห็นเขี้ยวนะ ถ้าเขาโดนกัดอีกรอบ ก็ไม่รู้ว่าจะสติหลุดเผลอทำอะไรลงไปบ้าง เป็นตายร้ายดียังไงเขาจะไม่ขอเสียมิตรภาพที่เพิ่งงอกเงยกับเจ้ามังกรนี่ไปเด็ดขาด


“แค่คำเดียวก็ไม่ได้หรอ ขี้ตืดชะมัด” ยังอีก ยังจะมาทำหูตกใส่เขาอีก เจ้ามังกรนี่ ถ้าเกิดเขาหน้ามืดขึ้นมาจะทำยังไง เพราะเขามั่นใจว่าตัวเองคงจะโดนเด็ดหัวทิ้งในทันทีที่สติแตกแล้วเริ่มทำสิ่งที่ไม่กล้าฝันลงไปแน่ๆ 


ท่านนายพลหนุ่มรีบเบี่ยงความสนใจไปที่อย่างอื่น ก่อนอะไรๆ มันจะตื่นเต้นกว่านี้


“จะว่าไปแล้ว เจ้าใกล้จะต้องกลับไปเป็นแมวแล้วรึยังน่ะ? หรือยังเหลือพลังพออยู่ในร่างนี้?”


“เอาจริงๆ ข้าเริ่มรู้สึกหน่วงที่ขาแล้วล่ะ แต่ไม่น่าเป็นอะไรหรอก ข้าอยากดูเมืองเพิ่มอีก อย่าเพิ่งกลับนะ”


ข้ารีบพุ่งไปติดกระจกยานทันที เมื่อพวกเรามุ่งหน้ากลับสู่เขตชุมชนหลักอีกครั้ง ข้าเห็นแบบแปลนผังเมืองที่ดูเหมือนรังผึ้งขนาดยักษ์แล้วก็เผลอเห็นภาพเหล่ามนุษย์ตัวกระจิ๋วหลิวข้างล่างซ้อนทับกับภาพของพวกผึ้งงานขึ้นมา จนข้าต้องยกมือขึ้นหมายจะขยี้ตาตัวเองให้หายหลอน


มือใหญ่กลับเอื้อมมาจับมือทั้งสองของข้าไว้ก่อนที่ข้าจะได้ขยี้แรงๆ อย่างที่ตั้งใจทำ 


“อย่าขยี้ตาแรงนัก เดี๋ยวก็แดงหมดหรอก ดวงตาของมนุษย์บอบบางกว่าที่เจ้าคิดนะ” แล้วเขาก็เอาผ้าสะอาดจากไหนก็ไม่รู้มาเช็ดตาให้ข้า “เริ่มง่วงแล้วหรือ?”


“หือ? ข้าคิดว่ายังนะ…” ข้าขมวดคิ้วมุ่น แต่ด้วยเหตุผลนานับประการที่ข้าไม่ใส่ใจจะแลมาโดยตลอด เริ่มส่งผลกรรมติดจรวดพุ่งมากระแทก เพราะขาข้าเริ่มย้วยแล้ว แถมยังอ้าปากหาวหวอดออกมาอีก


“…เอ่อ ง่วงจริงแฮะ สงสัยว่าพลังงานข้าจะหมดแล้วล่ะ” 


เมื่อยกมือทั้งสองขึ้นมาดูอีกครั้ง ข้าก็เห็นว่าร่างมนุษย์กำลังจะสลายกับคืนเป็นร่างแมวอีกแล้ว


“งั้นก็นอนซะ” อันซานพยักหน้าไปที่เบาะนุ่มเจ้าเก่าเจ้าเดิม “เดี๋ยวถึงที่พักแล้วจะปลุก”


“เจ้าจะไม่แกล้งทิ้งข้าไว้บนยานใช่ไหม?”


“ฉันจะไม่ปล่อยให้เจ้าคลาดสายตาหรอก ไม่ต้องแอบคาดหวังเลย”


ข้าถอนหายใจอย่างเสียดาย เห็นมันยิ้มร้ายกาจให้ทีหนึ่งแล้วก็เกิดอยากประทุษร้ายขึ้นมาตงิดๆ แต่ก็ตัดสินใจเดินไปทิ้งตัวลงกับเบาะดังตุ้บ! แทน 


หน้าข้าจุ่มลงไปในเบาะจนยุบเป็นหลุม แต่ไม่ยักจะหายใจไม่ออกแฮะ? เอาจริงๆ แล้วนอนฟุบคว่ำแบบนี้ก็ค่อนข้างสบายดีทีเดียว มนุษย์นี่เจ๋งชะมัด เรื่องสร้างของเก่งนี่ขอชมเลย


พอร่างของข้าเริ่มผ่อนคลาย แสงสีเงินก็ค่อยเรืองออกมาจากร่าง เมื่ออันซานหันกลับมามองข้าอีกครั้ง ข้าก็อยู่ในร่างแมวเสียแล้ว


“ฮื่อ… ราตรีสวัสดิ์นะ อันซาน”


ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินเสียงงึมงัมของข้าหรือเปล่าแต่ข้าก็พูดออกไป รู้สึกเหมือนร่างกายแมวๆ นี่หนักจนข้าไม่แม้แต่จะพยายามขยับตัวนอนหงาย อุตส่าห์นอนเยอะๆ เพื่อจะได้อยู่ร่างมนุษย์ให้นานขึ้นแล้วแท้ๆ แต่วันนี้แค่นั่งโง่ๆ บนยานบินไปมา ทำไมถึงหมดก๊อกเสียแล้วล่ะเนี่ย เซ็งชะมัด 


ที่สุดแล้ว สติของข้าก็ยอมจำนนต่อห้วงนิทราแสนหวาน สิ่งสุดท้ายที่รู้สึกก่อนจะหลับไป คือสัมผัสหนึ่งตรงสันหลัง ที่กำลังลูบขนของข้าอย่างนุ่มนวล และน้ำเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาราวกับอยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล


‘…ราตรีสวัสดิ์ เอมารันไธน์...’


 



 

[TALK: 

ไม่มีใคร: 

นักเขียน: *เต้นแซมบ้าขอบคุณนักอ่านที่น่ารักทั้งหลาย และส่งจูบให้หลายที*]