ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว - บทที่ 13 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (2) โดย ItsAlthero @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี

รายละเอียด

ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้

ผู้แต่ง

ItsAlthero

เรื่องย่อ

#เป็นมังกรไม่ใช่แมว

นามของข้า คือ 'เอมารันไธน์' และข้าต้องการความช่วยเหลือ...

คือเรื่องมันเป็นแบบนี้นะท่านผู้มาเยือน อันตัวข้านั้นเป็นมังกรรุ่นเยาว์ ได้ลงหลุมไปคุยกับรากอ่อนของต้นแอชจิ๋ว จำศีลไปราวๆหนึ่งพันปีตามวิสัยปกติของมังกร แต่พอตื่นมาอีกครั้งก็ต้องพบว่า... ข้ากลายเป็นแมวไปแล้ว

...ตอนข้าหลับอุตุมันมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ข้าไม่เข้าใจ

มิหนำซ้ำ ดวงของข้ายังดิ่งลงเหวอย่างที่นรกก็ฉุดไม่อยู่ ทั้งผู้บัญชาการชาวมนุษย์เอย จักรพรรดิสวรรค์เอย ราชาปีศาจเอย จ้าวอสูรเอย และผู้นำอมนุษย์เผ่าอื่นๆมากมาย ต่างก็จ้องจะเข้ามาขย้ำพุงข้าไม่หยุดไม่หย่อน เอาแต่กวักมือเรียกข้า
เหมียวๆ... เหมียวบ้านพวกเจ้าสิ 

ข้าคือมังกรบรรพกาลตัวสุดท้ายของโลก ทั้งยังเป็นสายพันธุ์หายากขึ้นทะเบียนเป็นอันดับต้นๆของทุกทำเนียบเชียวนะ แต่พวกเจ้ากลับทำเหมือนข้าเป็นแมวจรไร้บ้านแบบนี้ ถือว่าตนเป็นใหญ่เลยจะข่มข้าอย่างไรก็ได้งั้นรึ? คิดหรือว่าข้าจะยอมอยู่ในโอวาท ทำตัวเชื่องเยี่ยงสัตว์เลี้ยงกับพวกเจ้า? ไม่ว่าพวกเอ็งจะทำอะไร ก็ซื้อใจข้าไม่ได้หรอก!

"อย่างอนกันนานนักเลยน่า เอมี่ ฉันซื้อแมวเลียรสโปรดของเจ้ามาให้สามร้อยลังเลยนะ ให้ฉีกตอนนี้เลยไหม คืนดีกันนะ"

"ใจเย็นก่อน เอ็ม ข้าเพียงแต่มาง้อเท่านั้น เจ้าชอบกินเนื้องูใช่ไหม? ข้าเอาเนื้อบาซิลิสก์จากแดนปีศาจมาฝากเจ้า"

"อย่าโกรธกันเลยนะ เด็กดี วันนี้พี่ซื้อขนมมาให้เจ้าเยอะแยะเลยนะ เค้กช็อกโกแลตจากแดนอสูรที่เจ้าชอบยังไงล่ะ มีเครป พาย ทาร์ต อยู่ในตู้อีกเป็นร้อยด้วยนะ"

"ช่างน่าดีใจนักที่ เอมี่น้อย ชอบของขวัญของเรามากถึงเพียงนี้ เจ้าอยากได้เพชรพลอยไปประดับรังเพิ่มอีกเท่าไหร่ล่ะหืม? เรายกให้ทั้งคลังแดนสวรรค์เลยก็ยังได้นะ แต่หากเจ้ายังไม่พอใจแล้วล่ะก็ เดี๋ยวเราจะลองไปถามแดนภูตดูให้ด้วย ดีหรือไม่?"

"ไม่ต้องขอ แดนภูตยกให้หมดเลย ที่รัก"

.....

เอาเป็นว่าข้าจะยอมนอนเฉยๆบนกองเงินกองทองของพวกเจ้าต่อไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน แต่จงระวังไว้เถอะ ประมาทข้ามากๆแล้วเจ้าจะเสียใจ สักวันนึงข้าจะยึดครองโลก ไม่สิ ครองจักรวาล ครองเอกภพไปด้วยเลยเอ้า ยึดได้แล้วข้าก็จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นคาเฟ่แมวซะให้หมดเลยคอยดู อย่าล้อเล่นกับระบบ เพราะระบบตบสวนนะจะบอกให้! 

ระวังโลกเจ้าเอาไว้ให้ดีเถอะ! (●`ω´●)




WARNING!!!

นิยายเรื่องนี้เป็น Boy Love แนว Sci-Fi ผสมแฟนตาซี ไทม์ไลน์ยุคอนาคต/ยุคดวงดาว มีหลายโลก หลายเวิร์ส และมีพระเอกหลายคน มีการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าพระ-นาย แบบ Polygamy เพราะเป็น ฮาเร็มชาย จัดอยู่ในหมวด18+แต่เป็นฉบับCutเพื่อความเหมาะสม จะมีเนื้อหาที่ถูกตัดทอนออกไปบางส่วนเพื่อให้มีเนื้อหาเชิง [Trigger] น้อยที่สุด นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ18ปีขึ้นไป จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ ความรุนแรง และฉากทารุณบางประการ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน โดยจะเขียนคำเตือนกำกับไว้ซ้ำในบทที่จำเป็นเพื่อประกอบการใช้วิจารณญาณในการอ่านต่อไป อนึ่ง ฉบับUncutอยู่ในบ้านหลักสีฟ้า

*เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงจินตาการของผู้เขียน เป็นเรื่องแต่ง ไม่อิงประวัติศาสตร์หรือหลักความเป็นจริงแต่อย่างใด มีเนื้อหาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น*

⚠ นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ไม่อนุญาตให้คัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือกระทำการใดๆ อันเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย ⚠

⚠ หากเราเตือนแล้วยังคุยกันไม่เข้าใจอีก ศาลจะเป็นที่ต่อไปที่ท่านจะได้มานั่งคุยกับเรา ⚠





แวะไปทักทายกันได้ที่

FB: @Althero_LD

X (Twitter) : @ItsAlthero

♡ ด้วยรักและขอบคุณจ้า ♡


สารบัญ

AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทนำ มาจะกล่าวบทไป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 1 เริ่มมาก็ปังแล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 2 เกือบหลับแต่กลับมาได้,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 3 อยู่ดีๆ เราก็วาร์ป,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 4 โลกใหม่สอนให้เปิด,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 5 เป็นแมวจรต่างดาวไม่ง่ายเลย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 6 เป็นมนุษย์บนต่างดาวยากยิ่งกว่า,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 7 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 8 เปิดใจลูกผู้ชาย ปรับทัศนคติ (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 9 ยังไม่ได้ไปเที่ยว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 10 เปิดอกอีกรอบ รอบนี้แค่เปรียบเปรย,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 11 ยื่นหมูครึ่งเทพ ยื่นแมวมังกร,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 12 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (1),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 13 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (2),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 14 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (3),AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-บทที่ 15 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายก็แย่แล้ว,AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมว-**คั่นเวลาเล็กน้อย ด้วยรูปท่านนายพล**

เนื้อหา

บทที่ 13 ชีวิตใหม่ ผ่อนคลายไม่ไหว (2)

“นอนไม่หลับรึ เอมารันไธน์?” 


อันซานขมวดคิ้วมองข้า ที่กำลังอ้าปากหาวจนกรามแทบค้างต้อนรับรุ่งอรุณ 


“นึกว่าเจ้าจะชอบเตียงของฉันที่ยึดไปมากเสียอีก มันไม่นุ่มพอสำหรับเจ้าหรืออะไร?”


“ช่างข้าเถอะน่ะ” ข้าสะบัดหัวเรียกสติ แต่ก็ไม่ค่อยประสบผลเท่าไหร่ ไม่ชอบฝันร้ายเลยให้ตายสิ “ว่าแต่เรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่นะ?” 


“…ฉันกำลังบอกเจ้าว่าเรามีเรื่องสำคัญเรื่องใหม่ที่ต้องคุยกัน แล้วก็มีสถานที่ที่ต้องไปในวันนี้ แต่ก่อนอื่น... เจ้าต้องอาบน้ำ” 


อันซานเดินมากอดอก เขาเอนตัวพิงประตูห้องน้ำเอาไว้ แล้วเลิกคิ้วถามข้าด้วยสีหน้านิ่งๆ อย่างโคตรจะดูกวนส้นติงในแบบที่ข้าพอจะเริ่มชินบ้างแล้ว 


“ยังจำสิ่งที่ฉันสอนให้เมื่อคืนได้อยู่ใช่ไหม? ถ้าเจ้าเลื่อนมือไปทางซ้ายจะได้น้ำร้อน แต่ถ้าเลื่อนไปทางขวาจะได้น้ำเย็น ส่วนช่องว่างสองช่องข้างๆ นั่นเป็นน้ำยาทำความสะอาดร่างกาย ช่องซ้ายคือสบู่ ช่องขวาคือน้ำยาสระผม อย่าใช้สลับกันล่ะ แล้วก็แปรงฟันด้วย-- อ้อ ไม่ต้องห่วงไป ส่วนผสมในของทั้งหมดนั่นทำจากพืชสมุนไพรที่มนุษย์เพาะปลูกขึ้นเองกับมือ เจ้าต้องชอบแน่”


“พูดพล่ามเยอะขนาดนี้ ไม่เข้ามาช่วยข้าอาบน้ำด้วยซะเลยล่ะ?” ข้าหันไปจิกกัดมันด้วยสายตาร้อนแรง แต่มันกลับยกยิ้มมุมปากได้อย่างน่าต่อยเป็นที่สุด


“ก็อยากอาบให้อยู่นะ เจ้าอนุญาตไหมล่ะ?”


“…”


ข้าเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์โดยพลัน และสังเกตเห็นทันทีว่าร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นช้ากว่าที่เคยอย่างชัดเจนนัก แต่ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปให้เป็นพิรุธ


เมื่อยืนบนพื้นด้วยสองขาอย่างมั่นคงได้แล้ว ข้าก็หยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่สุดนุ่มนิ่มที่มันหามาให้ใช้โดยเฉพาะ สะบัดใส่หน้าเจ้านายพลดังพรึ่บ! แล้วก็เอาผ้าผืนใหญ่นั่นมานุ่งรอบเอวพลางเดินจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำไป ปิดประตูดังปัง แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำลอยผ่านเข้ามาอยู่ดี


อา… หมั่นไส้มันจริงโว้ย 


ข้าอยากกลอกตาขึ้นฟ้าแต่ติดเพดานห้องน้ำที่… ค่อนข้างดูดีเลยทีเดียว ขนาดข้าไม่เคยเห็นห้องน้ำของมนุษย์ด้วยตาตัวเองแท้ๆ มาก่อนยังรู้ได้ถึงความเรียบหรู แต่พอมองซ้ำอีกทีแล้วก็พบว่าไม่ได้มีอะไรให้สนใจมากนัก เพราะห้องน้ำนี่ก็เหมือนส่วนอื่นๆ ของห้องใหญ่ที่เจ้าหมอนั่นใช้อาศัย คือมันไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งจำเป็นสำหรับหนึ่งชีวิต... ไม่สิ สองชีวิตแล้ว เพราะมีข้าอยู่ด้วย แต่โดยรวมก็ยังดูโล่งมากอยู่ดี


ข้ากวาดสายตาไปทั่ว เห็นพื้นห้องน้ำที่สะอาดใสกิ๊งเสียจนชวนให้ลื่นล้มลงไปหัวฟาดพื้นดับอนาถ ทั้งผนังและเพดานมีสีขาวสว่าง มีโถสุขภัณฑ์ตั้งอยู่มุมหนึ่ง ขั้นโซนด้วยต้นไม้ในกระถางขนาดกลางๆ ซึ่งต้นไม้นั่นดูคล้ายกับต้นมอนสเตอร่าเอามากจนข้าเผลอเอื้อมมือไปลูบๆ คลำๆ ใบของมันดูอย่างสนใจเหลือหลาย ปรากฏว่าไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าการที่เจ้าต้นนี้ส่งเสียงกระซิบให้ฟังว่ามันได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยม


ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก ต้นไม้กระซิบได้ แถมพวกมันยังกรีดร้องได้ด้วยนะ พืชรู้สึกชัดเจนเลยล่ะเวลาที่เครียด ขาดน้ำ หรือบาดเจ็บ เพียงแต่เสียงของพวกเขาเป็นคลื่นความถี่ที่สูงเกินกว่าสิ่งมีชีวิตไหนนอกจากชาวมังกรจะได้ยิน ถึงอย่างนั้นก็ตาม แม้แต่มังกรอย่างเรายังต้องตั้งใจฟังมากๆ เพราะเสียงพวกเขาเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบเลยล่ะ


อันที่จริงแล้ว บางสิ่งก็ไม่ต้องถึงขั้นมีชีวิตหรอก เชื่อไหมว่าพวกหินแร่อัญมณีก็กระซิบได้เหมือนกันนะ แต่ก็มีแค่ชาวมังกรเท่านั้นที่ยินอีกเช่นกัน เพราะพวกเราเองก็เป็นทายาทของพระมารดาแห่งปฐพีท่านนี่นา


มาต่อที่การสำรวจเจ้าห้องน้ำ ถ้าหันไปด้านขวา มองลึกเข้าไปหน่อยก็จะเป็นโซนที่แยกออกแบบมีประตูกระจกกั้นเอาไว้ ภายในโซนนั้นมีทั้งอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ และฝักบัวที่ติดบนเพดานในฝั่งตรงข้ามกัน 


อันซานสอนวิธีใช้ให้ข้าหมดแล้ว แต่นอกจากการล้างหน้าล้างตาก่อนนอนเมื่อคืน ข้าก็ง่วงเกินจะฝืนแหกตาตื่นใช้ร่างมนุษย์ไปเล่นอะไรต่อได้อีก เลยจบวันโดยการโยนตัวเองลงบนเตียงด้วยร่างแมวไปทั้ังอย่างงั้น เช้าวันนี้ล่ะ ข้าจะได้ลองเล่น-- เอ้ย จะได้อาบน้ำแบบที่มนุษย์เขาอาบกันสักที แต่ก่อนอื่นข้าคงต้อง… ปลดทุกข์หนักเบาเสียก่อน


เพราะร่างข้าเปลือยอยู่แล้วตอนเปลี่ยนสภาพ ข้าเลยทำแค่ปลดผ้านุ่งออกแขวนไว้กับราวเรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปยังโถสุขภัณฑ์ แล้วก็นั่งลง


….


ไม่ออกว่ะ


อืม อาจจะเป็นเพราะข้าไม่ได้กินอะไรนอกจากปลา แล้วก็อาหารเหลวประหลาด กับขนมที่อันซานเอามาให้ ข้าเลยยังไม่มีอะไรหนักๆ ให้ต้องขับออกจากไส้ กลายเป็นว่าข้าทำแค่ปลดเบาไปอย่างเดียว และไม่ลืมที่จะล้างมือด้วยทุกครั้งเพราะบิดาข้าสอนมาดี


สมรภูมิต่อไปคือการอาบน้ำ


ไม่เห็นจะยากสักเท่าไหร่ จากที่เจ้าอันซานทำให้ดู ก็แค่จิ้มลงไปบนปุ่มตรงผนังปุ่มนั้นเบาๆ เท่านั้น แล้วน้ำอุณหภูมิธรรมดาก็จะไหลออกมาจากฝักบัวเหนือหัว


ข้าเปิดประตูกระจก เดินเข้าไปใต้ฝักบัวแล้วยกนิ้วจิ้มลงไปตรงปุ่มตามที่เคยเห็นเจ้าของมันทำ


มีเสียงดังติ้ง ข้าเผลอสะดุ้ง แล้วน้ำสะอาดก็ไหลออกมาจากฝักบัวบนเพดาน ไม่เบาไม่แรง อารมณ์เดียวกับการอาบน้ำด้วยสายฝนจริงๆ ด้วยแฮะ น้ำมีอุณหภูมิธรรมดาไม่ร้อนไม่เย็น ซึ่งข้าก็ลองเลื่อนมือปรับอุณหภูมิน้ำไปมาเล่นดูแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าน้ำอุณหภูมิห้องนี่แหละดีที่สุด


ใบหน้าข้าเงยขึ้นรับหยาดน้ำที่ไหลพรูลงมาจากเพดาน เหมือนที่ชอบทำในสมัยที่ยังใช้ร่างมังกรอยู่ การยืนนิ่งๆ รับสายฝนพรำให้ชโลมกายจนชุ่มชื่นเป็นกิจกรรมที่ทำให้ข้าผ่อนคลายมานานหลายศตวรรษ ข้าหลับตาลงปิดสนิท รู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมากที่ได้ชำระร่างกายด้วยน้ำจริงๆ เสียที หลังจากที่ทำความสะอาดตนเองแบบแห้งด้วยเวทมนตร์มาตั้งนาน ถึงจะไม่มีกลิ่นตัวเพราะเผ่ามังกรไม่มีเหงื่อไคล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างกายข้าคิดถึงน้ำเหลือเกิน


มังกรถือกำเนิดจากพสุธา และถูกอุ้มชูโดยมหาสมุทร ดินและน้ำสำคัญกับเราพอๆ กับอากาศหายใจที่พระบิดาแห่งท้องนภาท่านประทานให้


ข้าลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองช่องว่างสำหรับสอดมือเข้าไปจำนวนสองช่องที่อยู่ข้างกับปุ่มเปิดฝักบัว เมื่อสอดมือเข้าไปช่องหนึ่งแล้วก็จะมีของเหลวสีประหลาดไหลลงมา ข้าลองฝั่งที่เป็นสบู่ก่อน ได้กลิ่นสมุนไพรที่ไม่คุ้นเคยแต่ชวนให้รู้สึกสดชื่นยิ่งนัก ยิ่งถูตัวกลิ่นก็ยิ่งฟุ้งกระจายทั่วร่าง ถูเสร็จข้าก็ลองฝั่งยาสระผม กลิ่นหอมเย็นในยามที่ขยี้กับเส้นผมยาวๆ ของตนเองยิ่งทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น กลิ่นทั้งสองของน้ำยานี้ไม่ตีกันเลยแม้แต่น้อย เหมือนช่วยเสริมกลิ่นให้กันมากกว่า 


ในที่สุดเจ้าอันซานก็พูดถูกสักเรื่องแล้วล่ะ ข้าชักจะชอบของพวกนี้เข้าแล้วจริงๆ 


ใช้เวลาเพียงพักหนึ่ง หลังจากที่ชำระฟองออกหมดทั้งตัวและหัว ข้าก็เดินออกจากพื้นเปียก มาหยิบผ้าขนหนูเช็ดตัวพอหมาดๆ จากนั้นก็สวมผ้าคลุมอาบน้ำสีอ่อนที่แขวนเตรียมไว้อยู่แล้วตามที่เจ้าหมอนั่นสอน แล้วเดินออกจากห้องน้ำอย่างเบิกบานใจ แทบลืมฝันร้ายเมื่อคืนไปเสียสนิท


…ก็แค่แทบน่ะ เสียงโหยหวนชวนขนลุกยังดังสะท้อนก้องในส่วนลึกของสมองอยู่เลย แต่ข้าขอเมินไปก่อนแล้วกัน ช่วงนี้เรื่องวุ่นวายมันประเดประดังเข้ามาจนสมองข้ารับไม่ทันแล้ว เกิดเจ๊งขึ้นมาก็ไม่รู้จะเอาไปซ่อมที่ไหน เพราะฉะนั้นกังวลไปทีละเรื่อง ทีละวันก็แล้วกัน เหนื่อยเว้ย


“เสร็จแล้วรึ?”


อันซานเปรยถามทั้งที่ไม่จำเป็น ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมอาบน้ำสีดำสนิทกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงนอน ในมือถือแผ่นประหลาดที่เหมือนจะมีตัวอักษรวิ่งมาโชว์หราให้เขาอ่านทุกครั้งที่นิ้วเลื่อนปัดผ่าน ดวงตาคู่คมละจากหน้าจอของเจ้าแผ่นในมือเพื่อเหลือบมองมาทางข้า สีทองคำในแก้วตาของเขายังดูเรืองรองแม้จะเป็นยามกลางวัน 


ภาพโดยรวมช่าง… ทรงเสน่ห์ราศีจับเกินต้าน ราวกับออร่าลึกลับน่าดึงดูดของบุรุษผู้ทรงอำนาจจะแผ่ออกมาจากร่างนั้น ชวนให้วิญญาณใดก็ตามที่เห็นต้องใจอ่อนระทวยยอมสยบต่อเขาแต่โดยดี… 


ทว่า


หัวที่โล่งโปร่งเบาสบายสมองของข้ากลับเอาแต่เฝ้าคิดถึงอาหารเช้า ดันไม่ได้รับรู้ถึงออร่าประหลาดอะไรเลยสักนิด กลายเป็นว่าพอข้าเห็นมันเอ่ยทักด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ ข้าเลยทำเพียงยักไหล่กวนติงมันกลับไปว่า 


“ไม่เสร็จแล้วข้าจะเดินออกมาหรอ? ถามมาได้นะ”


“……..”


อันซานพลันคิ้วกระตุกยิก ออร่าลึกลับที่น่าดึงดูดทั้งหลายกลับหายวับไปทันควัน แล้วข้าก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาเป็นครั้งแรกของวันได้ในที่สุด


ร่างสูงพลันลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้ามาใกล้ข้า แล้วยกเจ้าแผ่นในมือขึ้นเขกหัวข้าทีหนึ่ง “ขัดอารมณ์ผู้อื่นเก่งจริงนะเจ้า แล้วนี่แปรงฟันหรือยัง?”


อะไรนะ แปรงฟันเรอะ? เฮอะ! ข้าอยู่มาสองพันกว่าปีก็ไม่เคยต้องแปรงฟันเลยสักครั้ง ฟันของมันกรจัดเรียงเป็นชุดแบบที่จะไม่ทำให้เศษอาหารใดๆ มาติดซอกเขี้ยวซอกเหงือกได้หรอก แถมน้ำลายในโพรงปากมังกรยังไม่มีสีและกลิ่น แถมยังช่วยรักษาความสะอาดในช่องปากได้มีประสิทธิภาพมากนะเออ อย่างดีที่สุด มังกรอย่างพวกเราทำแค่เพียงบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดสองสามครั้งหลังมื้ออาหารก็เป็นอันใช้ได้แล้ว


ดังนั้นข้าเลยตอบเขาไปด้วยดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ดุจทารกแรกเกิดว่า 


“ไม่แปรงอะขี้เกียจ” 


“……..”


สีหน้าปลาตายที่ฉายชัดของมันไม่ได้ทำให้ข้าหวั่นไหวสักนิด สายตาที่ตายด้านเหมือนกำลังมองสิ่งที่ทำให้เขาอยากจับโยนลงจากหน้าผาสูงชันนั่นก็เช่นกัน แต่ในฉับพลันที่ข้ายังลำพองใจอยู่ มันก็ยกตัวข้าขึ้นสูงจนขามนุษย์ของข้าลอยเหนือพื้น เคลื่อนตัวเดินกลับไปยังห้องน้ำ แล้วโยนข้าเข้าไปเหมือนหมั่นไส้กันมานานโขแล้ว


“ไม่แปรงฟัน ก็ไม่ต้องไปข้างนอก”


ข้าลงพื้นอย่างสวยงามไม่ลื่นด้วยล่ะ จากนั้นก็หันขวับกลับมาแยกเขี้ยวขู่ฟ่อแฟ่ แม้จะอยู่ในร่างมนุษย์เขี้ยวของข้าก็ยาวได้ 


“เป็นบิดาข้าหรอ สั่งจริง!”


“หึ ไม่ต้องเป็นพ่อ ฉันก็สั่งได้” อันซานกล่าวเสียงเข้มมาก “เพราะเจ้าต้องพึ่งฉันในการ ไปเที่ยว ยังไงล่ะ ไม่อยากได้เงินในกระเป๋าฉันแล้วหรือ? ทั้งขนมนมเนย อาหารหลากหลายที่เจ้าไม่เคยลอง สถานที่มากมายที่เจ้าไม่เคยไป ไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นแล้วรึยังไง?”


ข้าชะงักกึกไปทันทีที่โดนจับจุดได้ และยิ่งทำให้เขารีบพูดหว่านล้อมข้ามากขึ้นไปอีก 


“อีกอย่าง เจ้าให้คำมั่นเอาไว้ชัดเจนเลยนะ เอมารันไธน์ จะปฏิบัติตามสัญญาอย่างยุติธรรมและเท่าเทียม และสัญญาของเราคือการแลกเปลี่ยนกันนี่? ฉันจะมอบสิ่งที่เจ้าต้องการให้ คือการพาเจ้าไปเที่ยว แล้วเจ้าจะไม่ทำส่วนของเจ้าหน่อยหรือ? การที่เจ้าต้องฟังคำขอของฉันเป็นการตอบแทนไง”


โอ้ มันเรียนรู้เร็วจริงนะ เรื่องนี้ข้าเถียงไม่ได้เสียด้วย เพราะข้อสัญญาที่ทำไว้มันประทับเด่นหรารอบข้อมือขวาของเราทั้งคู่อยู่นี่หว่า ข้าเผลอประทับใจนิดหน่อยเลยนะเนี่ยที่มันไม่ได้โง่เง่าซื่อบื้ออย่างที่แอบสงสัยอยู่ลึกๆ


“อะไรกัน? เจ้าเองก็หัวไวใช้ได้เลยนี่นา ข้าเพิ่งบอกเรื่องสัญญานี้ไปไม่ทันเท่าไรเจ้าก็หัดใช้ประโยชน์จากมันเป็นเสียแล้ว นับว่าน่าทึ่งไม่เบา …สำหรับเด็กอย่างเจ้า”


เท่านั้นล่ะ มุมปากอีกฝ่ายคว่ำลงทันที 


“…เด็กเรอะ?”


“ก็เด็กน่ะซี ฮี่ๆ” ข้าฉีกยิ้มกว้าง พลางหัวเราะก่อกวนอารมณ์ “หน้าอย่างเจ้าจะมีอายุซักเท่าไหร่กันเชียว ฮึ!”


“ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ฉันมีชีวิตอยู่มาได้ 150 ปีแล้วเจ้ามังกร และถ้าหากเทียบตามอายุของมนุษย์ที่ปัจจุบันนี้เราบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุครบ 100 ปี เพราะมนุษย์ในปัจจุบันมีอายุขัยราวๆ 400-500 ปี แล้วล่ะก็ ฉันก็เลยวัยผู้ใหญ่แบบเต็มตัวมานานแล้วเช่นกัน” 


เขาเชิดหน้าขึ้น มองข้าจากมุมที่สูงกว่า (เกลียดส่วนสูงมันจังเลยโว้ย) แล้วทำเสียงหึในลำคอทีหนึ่งราวกับหมั่นเขี้ยวในตัวข้ายิ่งนัก 


“จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เจ้าเองหรอกหรือที่ยังไม่โตเต็มวัย? เจ้าเป็นผู้บอกฉันเองกับปากไม่ใช่รึ? ว่าถ้าหากเทียบกับอายุมังกรแล้วเจ้าก็ยังวัยรุ่นอยู่น่ะ?”


“เฮอะ งั้นถ้าเทียบกับอายุของมนุษย์ ข้าก็โตเต็มที่แล้วเหมือนกัน!”


“เทียบกันได้ที่ไหนล่ะ เจ้าไม่ได้มีสายเลือดของมนุษย์สักหน่อย อย่างน้อยๆ ฉันก็เป็นมนุษย์ครึ่งหนึ่ง แต่เจ้าเป็นมังกรพันธุ์แท้ เพราะฉะนั้นฉันเลยเทียบได้คนเดียว” มันแสยะยิ้มร้ายกาจในยามที่พูดทับถมข้า ทำให้ข้ายิ่งรู้สึกอยากกระโจนใส่มันมากขึ้นไปอีก


“อ๋อหรอออออ” ข้าลากเสียงยาว พลางแยกเขี้ยวยิงฟัน แลบลิ้นใส่มันทีหนึ่ง พอเห็นมันหลุดหัวเราะแล้วก็ยิ่งแยกขู่เข้าไปอีก 


“ถ้าอย่างงั้นอีกครึ่งนึงที่เป็นเซนทิเนลของเจ้าก็ต้องนับด้วยสิใช่ไหม? ฮุ ฮุ ! งั้นเจ้าก็คงเป็นทารกของทารกของทารกของพวกเซเลสเทียลเลยล่ะ! เพราะอายุของเจ้าก็ยังไม่ถึงวัยเด็กของพวกมันเลยด้วยซ้ำ เฮอะ! ยังไม่แตะถึงห้าร้อยปีก็ไม่ต้องยกอายุมาข่มพี่หรอก เจ้าหนู!” 


ข้าได้ทีเชิดหน้าสะบัดผมสะบัดตูดใส่มันอย่างเยาะเย้ย แล้วก็เดินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังเข้าไปยังห้องแต่งตัว


อันซานเลิกคิ้วมองตั้งแต่ต้นจนจบ เขาได้แต่ส่ายหน้าไปมาพลางกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ ทั้งๆ ที่ปกติเขาจะเจอกับความเงียบงันต้อนรับทุกเช้า ในแต่ละวันผ่านไปอย่างเคร่งเครียดและอึมครึม ทว่าหลังจากเขามีรูมเมทมาอยู่ด้วย ชีวิตก็เหมือนมีรสชาติจัดจ้านขึ้นมาในฉับพลัน …เขาควรจะรู้สึกดีใจใช่ไหม


อา… นี่เป็นครั้งแรกเลยที่การได้ต่อปากต่อคำกับใครสักคนในตอนเช้าแบบนี้ ทำให้เขารู้สึก… ดี และปลอดโปร่งในอกได้อย่างน่าประหลาด 


ทำไมกันนะ?


.

.

.

.

.


อนิจจา ข้าหนีเข้าห้องแต่งตัวได้แค่สามนาทีเป๊ะ เจ้าอันซานก็บุกเข้ามาจับข้าโยนเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ทำให้ข้าต้องจำใจแปรงฟันได้ในที่สุด


เล่นกอดอกตีหน้ายักษ์ยืนเฝ้าหน้าประตูห้องน้ำขนาดนั้น ข้าจะทำอะไรได้อีกล่ะ เซ็งเว้ย






ข้าแต่งตัวด้วยชุดเรียบง่ายที่-- ก็เป็นของที่เจ้าอันซานเอามาให้อีกนั่นแหละ ซึ่งข้าไม่ต้องพึ่งมันมาช่วยแต่งตัวแล้ว หึๆ วันนี้ข้าสวมใส่เสื้อแขนยาวสีอ่อนทำจากเนื้อผ้าบางเบาที่นุ่มมากยามสัมผัส กางเกงสีดำยาวสวมเข้าแนบกับเอวและช่วงขาได้สนิท เส้นผมยาวๆ ก็ถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย 


เหตุผลที่ต้องเล่นใหญ่ (ในความคิดข้า) ขนาดนี้ เพราะข้าโดนไอ้นายพลข้างกายบังคับข่มขู่ยิ่งกว่ามารดาเสียอีก เจ้าหมอนี่สั่งให้ข้าแต่งตัวดีๆ ทุกครั้งที่เราต้องออกไปข้างนอก เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกนี้ไม่ได้รู้ว่ามีมังกรตัวหนึ่งถูกลักมาเจ๋อเสนอหน้าแถวนี้ และร่างแมวของข้าเป็นรูปลักษณ์ที่แปลกปลอมจนอาจทำให้เกิดจลาจลกันได้เลยทีเดียว (อะไรมันจะขี้กลัวขนาดนั้น มนุษย์มีญาติลับๆ เป็นกระต่ายเรอะ) แถมมันยังอ้างเรื่องมารยาทอันงดงามของมังกรอีกครั้ง ข้าเลยต้องยอมทำตามที่มันขอเพื่อให้มันเลิกบ่นเป็นหมีกินผึ้งสักที


อันซานก้าวยาวๆ ไปคว้าเสื้อคลุมเครื่องแบบนายพลที่มันชอบใส่ จากนั้นเราก็รีบเร่งเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าที่มียานส่วนตัวจอดอยู่อีกครั้ง เมื่อเราขึ้นไปนั่งเรียบร้อย ยานบินก็ลอยขึ้นฟ้า มุ่งตรงไปยังจุดหมายอย่างนุ่มนวล


“นั่งดีๆ สิเจ้า” อีกฝ่ายหันมาดุข้า เพราะข้านั่งโยกเยกไปมาอย่างสนุกสนานบนเบาะนุ่ม ยืดคอเป็นยีราฟในโลกเก่าชมวิวทิวทัศน์ข้างล่างด้วยความกระดี๊กระด๊าเหมือนปลาได้น้ำ เพราะดีใจที่จะได้ออกไปเดินเที่ยวเล่นข้างล่างของจริงแล้ววันนี้ 


ซึ่งข้าก็ทำตามที่มันขอด้วยการขยับตัวโยกไปมาให้มากขึ้นอีกเป็นสองเท่า


“……”


เมื่อแน่ใจว่าไม่อาจสั่งอะไรข้าได้แน่นอนแล้ว อันซานก็ทำสีหน้าตายด้านใส่ข้าอีกครั้งอย่างสุดแสนจะละเหี่ยใจ จากนั้นมันก็หันกลับไปสั่งการให้เอไอของมันเข้าควบคุมยาน เร่งเดินทางไปยังจุดหมายในทันที


วันนี้เราจะไปยังสถานที่หนึ่ง เรียกว่า ‘สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งมาตุภูมิ [New Earth Development Research Institute]’ หรือที่อันซานเรียกย่อๆ ว่า ‘สถาบันเนดริ’ จากคำย่อ ‘เอ็นอีดีอาร์ไอ (NEDRI)’ 


ข้าถามอันซานว่ามันคืออะไร มันตอบว่าเป็นสถานที่ที่พวกมนุษย์สร้างไว้เพื่อวิจัยสิ่งต่างๆ (แหม ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย) ประมาณว่าเป็นสถานที่เอาไว้เพื่อศึกษาบางสิ่งอย่างลึกซึ้ง ทำความเข้าใจสิ่งที่ค้นพบ เฝ้าสังเกตการณ์ จดบันทึก ทดลอง และอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมายจนข้าเริ่มมึนงง พวกมนุษย์ลำบากลำบนทำเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนั่น แค่เพียงเพื่ออยากพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทำเอาข้านึกสะท้อนใจขึ้นมาเลย ชีวิตของมนุษย์แค่จะอยู่อย่างสงบสุขทำไมถึงต้องยากเย็นขนาดนั้นกันนะ 


พอข้าถามต่อว่าเราจะไปทำไม มันก็บอกว่ามีบางสิ่งอยากคืนให้ข้า ซึ่งทำให้ข้ามึนงงหนักกว่าเดิมอีก เพราะไม่รู้ว่ามันมายืมอะไรของข้าไปตอนไหน 


แต่เพราะข้าไม่อยากถามเยอะ ก็เลยเดินตามเขาไปต้อยๆ นี่แหละ ยังไงซะการได้ไปสถาบันอะไรนั่นก็ถือว่าข้าได้ออกไปข้างนอกอยู่ดี แม้ใจจริงจะอยากไปเดินที่ชุมชนเมืองมนุษย์มากกว่าก็เถอะ แต่ไว้คราวหน้าแล้วกัน


ติ้ง!


‘ถึงที่หมายของท่านเรียบร้อยแล้วครับ ขอให้ท่านทั้งสองสุขีในโลกใหม่’


ในฉับพลันทันทีหลังสิ้นเสียงพูด ข้าก็เบิกตากว้างเป็นไข่มังกร จ้องมองกลุ่มแสงสีฟ้าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแทนแผงควบคุมโฮโลแกรม รูปร่างมันเหมือนลูกไฟกลมๆ สีฟ้าที่โบกสะบัดไปมายามลมพัดผ่าน ทั้งยังพูดได้ราวกับมีชีวิต 


“อันซาน ข้าว่ายานบินของเจ้ามีผีสิงอยู่ด้วยล่ะ”


อันซานหลุดขำพรืดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ไม่-- นั่นไม่ใช่ผี นั่นเอไอของฉันเอง”


“ฮะ?”


‘สวัสดีครับ เอมารันไธน์ กระผมมีนามว่า ‘บัทเลอร์ส’ เป็นปัญญาประดิษฐ์ส่วนตัวของท่านนายพลอันซาน ทามัล เองครับ ขออภัยที่เพิ่งจะแนะนำตัว แต่ท่านนายพลเกรงว่ากระผมอาจทำให้ท่านตกใจได้ จึงไม่ได้ออกมาแสดงตัวให้รับรู้ตั้งแต่วันแรก แต่กระผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า กระผมไม่ใช่ผีสางนางไม้หรือวิญญาณสัมภเวสีที่ไหนหรอกครับ ไม่ต้องตกใจไป’


“ผีของเจ้ามีอารมณ์ขันด้วยแฮะ ข้าชอบ”


เจ้าของผีส่ายหน้าขำๆ “ชอบก็ดีแล้ว เพราะเขาอยู่กับเราแทบจะตลอดเวลาเลยล่ะ” เขาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วเดินลงออกจากยาน จากนั้นเขาก็อ้อมมาเปิดประตูให้ข้าอย่างน่าประทับใจ “เชิญลงครับ คุณหนู”


“อยากโดนขย้ำนักใช่ไหมอันซาน?”


“อธิบายคำว่าขย้ำของเจ้าให้ฟังทีซิ เพราะถ้ามันตรงกับที่ฉันคิดก็อยากโดนอยู่หรอก”


‘ถ้าหากท่านทั้งสองเกิดอยากสนิทสนมชิดเชื้อกันอย่างแนบแน่น กระผมแนะนำว่าให้ไปเปิดห้องส่วนตัวนะครับ เพราะนอกจากความบัดสีบัดเถลิง ยังลำบากผู้อื่นให้เสียสายตาอย่างยิ่งด้วยครับ’


“….”


สงสัยการมีอารมณ์ขันมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีนะเนี่ย


“ว่าแต่พวกเราจะไปเจอใครงั้นหรอ เจ้าถึง--”


คำพูดที่เหลือติดอยู่ในลำคอของข้า เมื่อพวกเราเดินเข้ามาในระยะที่มองเห็น สถาบันวิจัย ได้เต็มสองตา


สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ตรงหน้า ยากนักที่ข้าจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมด เอาเป็นว่ามันเป็นอาคารหลังใหญ่มาก และสูงมาก รูปร่างเหมือนโดมทรงกลมที่มีหลายชั้นอยู่ภายใน ดูผ่านๆ ก็เหมือนโพรงรังของสิ่งมีชีวิตไม่มีผิด แต่ทั้งหมดกลับสร้างขึ้นด้วย… ข้าไม่รู้แฮะ อาจจะเหล็กกล้าและปูนและอิฐและวัสดุประหลาดทั้งหลายที่มนุษย์ขยันสรรหามาใช้ได้ โครงสร้างของมันคงแข็งแรงเกือบเท่าปราการคุกที่ข้าเคยแหกออกไปเลยกระมัง


มีมนุษย์หลายคนวิ่งมาทำความเคารพเรา แน่ละพวกเขามองข้าอย่างสงสัย อันซานทำเพียงพยักหน้าทักทายทุกคนแล้วยกมือดันหลังข้าให้เดินเร็วๆ ไปกับเขามากขึ้น


ข้าชะงักกึก ตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นสิ่งที่มนุษย์หลายคนเดินผ่านบางสิ่งเพื่อเดินเข้าออกจากอาคาร กระจกบานใหญ่สองด้านเปิดทุกครั้งที่มีคนเข้าใกล้ มีแสงประหลาดฉายวาบผ่านร่างกายคนพวกนั้น แล้วพอคนเดินหายจากไป กระจกสองบานนั่นก็กลับมาปิดสนิท


ข้ารับรู้ได้ทันทีว่านี่คือศัตรู


“…เอมารันไธน์ เจ้าทำอะไร?”


ข้ายืนจังก้า แยกเขี้ยว ตาขวาง ใส่เจ้าประตูกระจกบานยักษ์ที่เลื่อนเปิดปิดทุกครั้งที่มีมนุษย์เดินเข้าไปใกล้ 


“เงียบน่า ข้ากำลังข่มขู่ศัตรูอยู่”


“…..อะไรนะ???”


“ข้ารู้ว่ามันกำลังทำอะไร มันกำลังจะตรวจสอบข้า” มีเสียงขู่เล็ดรอดไรฟันออกมาพร้อมกับประกายไฟ ยามข้าเงยหน้ามองสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไป เหนือสุดของประตู มีเจ้ากล่องเหล็กสีดำเล็กๆ ที่กำลังส่งคลื่นสัญญาณมาตรวจจับการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตรอบด้าน และมันกำลังเตรียมตรวจสอบร่างกายของข้าเช่นกัน ข้าเลยแยกเขี้ยวขู่ทันที 


“กล้าดีนี่นา เจ้ากล่องนั่น คิดจะโถมคลื่นสัญญาณนั่นมาใส่ข้าตรงๆ ซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลยงั้นรึ? คงเตรียมพร้อมที่จะโดนทำลายมาแล้วสินะ”


แต่ยังไม่ทันกระโจนไปซัดกับเจ้าตัวที่ควบคุมประตู ข้าก็โดนรวบไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรงอีกครั้ง


“อันซาน ปล่อยข้า”


“ปล่อยก็แย่น่ะสิ” อันซานทั้งขำทั้งฉิว เขารัดตัวเจ้ามังกรในร่างมนุษย์ไว้แน่น “เจ้าจะสู้กับประตูอัตโนมัติทำไมก่อน?”


“มันกำลังตรวจสอบร่างกายของข้าโดยที่ข้าไม่ยินยอม มันต้องกำลังประเมินจุดอ่อนข้าอยู่แน่ๆ นั่นมันอันตรายนะอันซาน”


“...นั่นมันประตูอัตโนมัติ” 


“แล้วไง?”


“ก็--” อันซานขมวดคิ้ว “มันเป็นแค่ประตู?”


“ประตูที่ไหนมันส่งคลื่นมาตรวจสอบร่างกายชาวบ้านเขา ไม่ก็พยายามแทรกแทรงเข้ามาในสมองอย่างหยาบคายแบบนั้นมิทราบ? ไอ้นั่นมันน่าสงสัยจะตายชัก ประตูที่บ้านเจ้าก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยนี่หว่า”


“นั่นก็เพราะฉันชอบประตูที่ต้องลงแรงเปิดปิดเองต่างหาก สถานที่อื่นๆ ในโลกนี้น่ะเขาใช้ประตูอัตโนมัติแบบนี้กันหมดเลยนะ ไม่ได้อันตรายหรอก ก็แค่เซนเซอร์ที่ใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง”


อันซานพยายามลูบหลังให้ข้าใจเย็นลงราวกับกำลังปลอบแมวที่ขู่ฟ่อพองขน ข้าเลยหันไปแยกเขี้ยวใส่มันด้วยอีกคน


“แล้วแสงที่สาดใส่มนุษย์ทุกคนที่เดินผ่านนั่นล่ะอะไร?”


“เซนเซอร์ตรวจสอบไอดีชิปของแต่ละบุคคลน่ะ เพราะมนุษย์ที่จะเข้าไปในสถาบันวิจัยได้ต้องเป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นยังไงล่ะ”


“อ้าว แล้วข้าจะเข้าไปในนั้นได้ยังไงล่ะ? ข้าไม่ได้ฝังชิปของพวกเจ้านี่นา”


“เจ้าก็มีเจ้าสิ่งนี้ไง” อีกฝ่ายพลันยกมือขึ้นสูง แล้วเคาะนิ้วลงกับแผ่นเหล็กกลมๆ ตรงคอของข้า “จี้เส้นนี้นี่แหละบัตรผ่าน ไม่ว่าจะที่ไหนเจ้าก็เข้าไปได้ทั้งนั้น” ตราบเท่าที่เขาได้บันทึกคำอนุญาตลงไปให้น่ะนะ


ข้าหันไปหรี่ตามองเจ้าประตูนั่นอีกครั้ง “สรุป… นั่น ไม่เป็นอันตราย?”


“ประตูอัตโนมัติไม่เป็นอันตราย” อันซานพยักหน้า


“มันไม่ได้พยายามส่งคลื่นเข้ามาแทรกแทรงในหัวสมองของข้า?”


“จะไม่มีอะไรพยายามแทรกเข้าไปในหัวเจ้าได้หรอก” เขารู้ เพราะเขาลองแล้ว แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการลองครั้งนั้นคือ เละ


“อ้อ รู้แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย” ข้าถอนหายใจออกมา “เพราะเจ้าต้องไม่อยากให้ข้าบึ้มกระแสไฟฟ้าของที่นี่ทิ้งแน่ๆ”


อันซานที่กำลังพาข้าเดินข้ามประตูไปอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เจ้ามังกรไหวตัวทัน พลันสะดุดกึกชะงักไปทันใด เขาเผลอหลุดปากออกมาเพราะตกใจ


“เจ้าจะตัดไฟของที่นี่ทิ้งงั้นเรอะ!?”


“ไม่ทำแล้วเฟ้ย! ว่าแต่เราเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่--”


“ห้ามตัดไฟฟ้าของที่นี่เด็ดขาด!!”


ข้าแอบสะดุ้งเฮือกจากพลังเสียงที่ตะเบ็งออกมากระแทกหู เสียงตะโกนนั่นไม่ได้มาจากอันซาน ผู้ซึ่งหันขวับไปทางด้านหน้าของเรา และ--


มีคนผู้หนึ่ง กำลังวิ่งฉิวอย่างกับนักกีฬาโอลิมปิก (ใช่ มังกรก็รู้จักโอลิมปิกนะ เราอยู่ด้วยตอนที่พวกมนุษย์จัดการแข่งขันครั้งแรก จนถึงครั้งสุดท้ายของโลกเก่า เราอยู่ด้วยเสมอนั่นแหละ) ตรงมายังพวกเราด้วยสีหน้าถมึงทึงอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งๆ ที่ข้าเพิ่งเคยเจอเขาเป็นครั้งแรก นั่นทำให้ข้าต้องสะกิดคนข้างกายทันที “แล้วหมอนั่นล่ะ ข้าซัดได้ไหม?”


“ไม่ได้เด็ดขาด เพราะนั่นคือ--”


โครม!!


ในระหว่างทีี่เจ้าร่างมนุษย์ในชุดคลุมยาวสีขาวทึบกำลังวิ่งห้อตรงมาทางเรา เจ้าหมอนั่นก็ดันเหยียบชายเสื้อยาวๆ ของตัวเองจนสะดุดล้มหน้าคว่ำ ฟาดคะมำลงพื้นอย่างแรงเสียจนข้าอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ แล้วจากนั้นมันก็กลิ้งไถลพื้นประมาณซักยี่สิบตลบ มาจบลงตรงที่… แทบเท้าของพวกเราพอดิบพอดี


“….นี่คือ ดร. เดิร์ก เมเยอร์” อันซานถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้าตายด้าน แล้วก้มลงไปพยุงร่างยับเยินของ… ด็อกเตอร์เดิร์ก ขึ้นมาจากพื้น “ตื่นก่อนครับดร. เรามาตามนัด-- ดร? คุณได้ยินผมมั้ย?”


ชายที่ถูกพยุงดูแก่กว่าอันซานพอสมควร เหมือนกำลังอยู่ในวัยกลางคนของมนุษย์ เขามีสีหน้ายับยู่ยี่เหมือนผ้าที่โดนขยุ้มจนขึ้นเป็นรอยริ้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวจากการกลิ้งยี่สิบตลบมาถึงเราจนพื้นเงาวับ แต่เสื้อคลุมตัวยาวของเขายังขาวสะอาดเอี่ยมอ่องได้อย่างไม่น่าเชื่อ


“ห-หือ??” 


ดร. ตรงหน้าหันซ้ายหันขวา หน้าตาดูเหลอหลาเหมือนสติยังไม่กลับเข้าร่องเข้ารอยเท่าไหร่ ข้าเลยหวังดี ยกฝ่ามือข้างนึงฟาดเปรี้ยงลงไปที่กลางหลังให้หนึ่งครั้งถ้วน


ป้าบ!


“โอ๊ย!!”


เป็นไงล่ะ ป้าบแห่งการตื่นรู้ของข้า สติกลับมาชัดเจนเลยเห็นไหม


“ธ-เธอ!”


หลังจากโดนฝ่ามือเรียกสติเข้าไปแบบที่อันซานห้ามไม่ทัน เขาก็หันขวับมาจ้องข้าแล้วอ้าปากค้าง


“โอ้ ให้ดิ้นตายสิ เธอ! ตัวเป็นๆ! ฉัน-- ฉันน่ะ เหลือเชื่อ!! เธอ-- โอ-- โอออออ!!!” 


“…อะไรของเจ้า? อยากได้อีกเปรี้ยงรึไง?”


“เอมารันไธน์” อันซานหันขวับมาเอ่ยปรามข้าด้วยเสียงดุเข้ม และนั่นทำให้ข้าขมวดคิ้วทันที อะไรของมัน ข้าไม่ได้ชี้หน้าผู้อื่นอย่างเสียมารยาท แถมด้วยอาการตาถลนแทบหลุดจากเบ้า ปากก็อ้ากว้างจนกรามแทบจะลงไปถึงหัวเข่าอย่างที่ไอ้คนข้างๆ มันกำลังทำอยู่ซักหน่อย ถ้าหมอนั่นอ้าปากมากกว่าเดิมอีกนิดเดียวกรามมันคงหลุดของจริงแน่


“อย่ามาทำเสียงดุใส่ข้า เจ้านายพล ข้า ไม่ ชอบ


อันซานชะงักไปเมื่อข้าแยกเขี้ยวใส่หน้าด้วยอารมณ์ขุ่นข้องของจริง เขาลอบถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง แต่ก็ยอมลดเสียงอ่อนลงทันที “ฉันขอโทษ เอมี่ ใจเย็นก่อนนะ”


คราวนี้ข้ากลับเป็นฝ่ายหยุดกึก คลายคิ้วที่ขมวดออกอย่างสับสนไม่น้อย 


“--เอมี่?” 


“ชื่อเล่นของเจ้า ขอเรียกแบบนั้นได้ไหม …นะ?”


พอเห็นหัวคิ้วหนาทั้งสองข้างขยับเลิกขึ้นสูงและดวงตาสีทองที่ส่องประกายคู่นั้น ข้าก็กลอกตาขึ้นฟ้าลงดิน 


“…เฮ้อม เอาที่สบายใจเลย” 


ร่างสูงพลันขยับยิ้มออกมา แต่เหมือนเจ้ามนุษย์ประหลาดในชุดขาวจะไม่อยากเป็นอากาศธาตุไปนานมากกว่านี้ มันเลยส่งเสียงร้องดังลั่นอีกครั้ง คราวนี้ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเพิ่มเสริมไปด้วย สงสารลูกตาตัวเองจริงๆ


“เธอ!!”


…เอ่อ ถามจริงนะ เป็นอะไรของมันเนี่ย?


“เจ้ามีปัญหาอะไรกับข้าก็พูดออกมาซักทีสิฟะ เอาแต่ชี้หน้ากันอยู่ได้ แล้ววันนี้เราจะคุยกันรู้เรื่องไหม? เดี๋ยวปั๊ดกัดนิ้วขาดซะเลยนี่!”


อันซานเห็นข้าเริ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดูท่าจะไม่ดี เขาเลยปล่อยมือที่พยุงไหล่ชายคนนั้นทิ้งแล้วปรี่เข้ามาลูบหลังข้า 


“ใจเย็น ใจเย็น เขาแค่เครื่องช้านิดหน่อยน่ะ” ร่างสูงใหญ่ผายมือข้างหนึ่งไปทางชายวัยกลางคนที่ยังทำตาถลนใส่ข้าไม่เลิก “นี่คือนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยที่อัจฉริยะที่สุดของมนุษย์เลยนะ ฉันให้เจ้าซัดเขาจนเดี้ยงไม่ได้หรอก”


“ถามจริงดิ? หมอนี่เนี่ยนะ??” อัจฉริยะหรือบ้ากันแน่ มันมีแค่เส้นบางๆ ขั้นกลางไว้อยู่นะรู้ไหม


“ก็จริงน่ะสิ เขาเป็นมนุษย์ที่เก่งมากเลยนะ และเป็นคนสำคัญมากเช่นกัน ได้โปรดช่วยทนอาการสติหลุดของเขาไปก่อน พอดีเขาก็เป็นหนึ่งในนักวิจัยที่รู้เรื่องของ-- ตัวเจ้า เลยค่อนข้างจะตื่นเต้นเอามากๆ ก็เท่านั้นเอง”


“สติหลุดหนักขนาดนี้ไม่เรียกว่าตื่นเต้นแล้วมั้ง ตื่นตูมซะมากกว่า”


“นักวิทยาศาสตร์ก็ประมาณนี้ทุกคนนั่นแหละ เอาน่าๆ”


ยังไม่ทันที่ข้าจะได้พูดอะไรเพิ่ม ก็พลันจับสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตประหลาดอีกหนึ่งที่กำลังใกล้เข้ามา ซึ่งนั่นอาจไม่ได้ทำให้ข้าสนใจเท่าไหร่ …ถ้าไม่ใช่เพราะข้าสัมผัสถึงพลังงานของ เผ่าพันธุ์ต่างภพ ได้จากวิญญาณดวงนั้นเข้าละก็


มีคนผู้หนึ่งเดินเร่งรี่มาที่เรา ชายคนนี้ดูอ่อนเยาว์พอๆ กับอันซาน รูปร่างก็สูงใกล้เคียงเช่นกัน เขาสวมชุดยาวกรอมเท้าสีขาวทึบแบบเดียวกับเจ้านักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องข้างๆ เรา เส้นผมที่ยาวเลยบ่าของเขามีสีเหลืองทองเหมือนรวงข้าวในความทรงจำซึ่งถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าของมนุษย์เพศชาย… เขาดูดีทีเดียว ชายหนุ่มมีดวงตาเป็นสีของป่าเขียวชอุ่ม ผสมปนกับสีของไม้ผลัดใบ มันดูราวกับเปลี่ยนสีได้ยามเล่นแสง 


และดวงตาคู่นั้นก็กำลังจับจ้องตรงมายังดวงตาของข้าที่ไม่ได้เบนหลบแต่อย่างใด ราวกับเรากำลังหยั่งเชิงกันและกัน ข้ารู้สึกได้ว่าสัมผัสของอันซานหนักขึ้น เขาขยับเข้ามาใกล้ข้าเหมือนกำลัง-- เอนตัวบังให้?


ข้าเก็บข้อสงสัยไว้ในใจ เพราะเมื่อในฉับพลันที่ผู้มาใหม่เดินมาถึงเรา ข้าก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นสิ่งใด


เชนจ์ลิง







[TALK: *ตั้งแต่บทนำ จนถึงบทที่11 มีการรีไรท์เพื่อขัดเกลาคำ แก้คำผิด และเพิ่มเติมเนื้อหานิดเดียวเท่านั้น เนื้อหาหลักยังเหมือนเดิมทุกประการค่า*]