ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมวข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
มีเชนจ์ลิงอยู่ที่โลกใหม่ของมนุษย์
ผู้มาใหม่หยุดยืนนิ่งตรงหน้าพวกเรา เขามีกลิ่นอายของชาวเฟย์วัยเยาว์อย่างเต็มเปี่ยม แม้จะสวมหนังมนุษย์ได้แนบเนียนขนาดไหนก็ไม่สามารถหลบซ่อนจากประสาทสัมผัสของมังกรไปได้
“อันซาน โลกใหม่ของเจ้านี่น่าสนใจกว่าที่คิดนะ”
“หืม?”
ชายหนุ่มผมทองที่เพิ่งมาถึงไม่ได้กล่าวอะไร เขาทำเพียงหรี่ตามองพวกเราเท่านั้น อันซานผละออกห่างจากข้าเพียงนิดแล้วพยักหน้าทักทาย ซึ่งเขาก็ค้อมหัวตอบ เป็นอันว่าสองคนนี้รู้จักกันแน่แล้ว
“สวัสดี ดร. เธียรนัน”
“สวัสดีท่านนายพลทามัล” ผู้มาใหม่ในชุดขาวหันมาทางข้า “…ยินดีที่ได้พบท่านผู้มาเยือน ผมมีชื่อว่า เธียรนัน วูดส์ …ขอให้ท่านสุขีในโลกใหม่”
นั่นทำให้ข้าหลุดยิ้มออกมา เกมนี้เล่นกันได้สองคนล่ะ “เอมารันไธน์ ยินดีที่ได้พบเช่นกัน เธียร-นัน”
ชายผมทองนิ่งงันไป แววตาซ่อนเร้นสะท้อนความหมายที่มีเพียงเราสองคนที่เข้าใจ ทว่าเขากลับหันหน้าไปหาเจ้านายพลแทน “ขออนุญาตเราสักครู่นะ”
“ตามสบายด็อกเตอร์”
เจ้าสิ่งที่ใช้ชื่อว่า เธียร-นัน (ฮึ ชื่อมนุษย์เนียนเชียวนะ) ยกสองมือของเขาขึ้นคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของเจ้านักวิจัยสติหลุด แล้วลากกลับเข้าไปยังภายในส่วนลึกที่เหมือนจะเป็นโซนห้องที่แยกจากบริเวณนี้ออกไปอีกที เสียงสุดท้ายที่ข้าได้ยินคือคำที่เขาบอกไล่หลังมาว่า “ของที่ท่านต้องการนั้นเราได้เตรียมรอไว้อยู่แล้วท่านนายพล เราจะรอท่านอยู่ที่ห้องปฏิบัติการ L-12 หลังจากที่ท่านทำธุระเสร็จแล้ว …รวมถึงแขกของท่านด้วยเช่นกัน”
“ขอบคุณมาก ด็อกเตอร์” อันซานดันหลังข้าให้เดินเข้าไปด้านในมากขึ้นเพราะเรากำลังขวางประตูทางเข้าอยู่ มนุษย์มากมายที่ผ่านไปมาต่างหันมองพวกเราอย่างสงสัย โดยเฉพาะผู้ที่พวกเขาไม่คุ้นหน้าอย่างข้า แต่นั่นก็หาได้ทำให้ข้าสนใจเท่ากับ… การตกแต่งภายใน ที่เล่นส่องประกายด้วยแสงไฟจนเกือบทำตาข้าพร่าไปวูบหนึ่ง
…ทำไมชอบสาดแสงไฟใส่ตากันนักฟะ ไอ้พวกบ้า
เมื่อสามารถปรับสายตาได้อีกครั้ง ภายในอาคารที่ข้าโดนเจ้าอันซานลากเข้ามา… สำหรับข้าแล้วค่อนข้างอธิบายยากนิดหน่อยแฮะ ตอนนี้เบื้องหน้าของเราคือโถงขนาดใหญ่ที่มีการจัดเรียงข้าวของเครื่องใช้ของมนุษย์ไว้อย่างสวยงาม มีมนุษย์หลายคนเดินตรงดิ่งไปยังกำแพงโปร่งแสงด้านในสุด ซึ่งก็ปรากฏร่างเสมือนจริงของเอไอคล้ายๆ กับเจ้าบัทเลอร์สของอันซานโผล่ร่างออกมาคุยด้วยมากมาย แล้วพวกนั้นก็จะเดินเลี้ยวซ้ายขวาไปยังโถงทางแยก เพื่อเข้าสู่ตัวอาคารชั้นในที่ลึกเข้าไปอีกทีตามธุระของแต่ละคน
นอกจากนี้แล้ว ทั่วทั้งรอบบริเวณของโถงหน้าที่เราโผล่เข้ามา ยังมีโซฟานุ่มๆ มากมายก่ายกองให้เลือกนั่งได้ตามสบาย พร้อมกับโต๊ะที่มีขนมนมน้ำสุดละลานตาล่อลวงข้าให้เผลอเดินเลี้ยวไปหา จนเจ้าอันซานต้องคว้าตัวข้าหมับ แล้วยกลอยสูงจากพื้นเพื่อเดินไปวางแหมะลงกับโซฟานุ่มด้วยมือของตัวมันเอง …ทำไม???
“อย่าเพิ่งซน เดี๋ยวฉันขอไปจัดการธุระเรื่องนึงก่อน ช่วยรออยู่ตรงนี้ครู่เดียวได้ไหม… เอมี่?”
ข้ามองจานใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนมชิ้นน่ากินข้างๆ แก้วน้ำบอบบางที่ใส่ของเหลวสีสวยเอาไว้ แล้วก็อดหันหัวไปมองหน้าเจ้าคนที่ยกของทั้งหมดนี่มาวางไว้บนโต๊ะกลมเบื้องหน้าข้าอย่างรู้งานไม่ได้ “แลกกับอะไรล่ะ อันซาน?”
“…หมดนี่ยังไม่พอค่าตอบแทนอีกรึ?”
“รู้จักความเอาแต่ใจของข้าน้อยไปแล้วสินะเจ้าน่ะ”
อันซานถอนหายใจเฮือก เขายกมือขึ้นมาข้างหนึ่งแล้ว… ถอดแหวนสีเงินเรียบหรูวงหนึ่งให้ข้า ลักษณะของมันดูเหมือนเกล็ดงูสีเงินที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ คล้ายกับวงขดของอสรพิษไม่มีผิด แหวนวงนี้เป็นหนึ่งในสองวงที่ข้ามักจะเห็นเขาใส่ไว้ที่นิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างแทบจะตลอดเวลา ทว่าตอนนี้เขากลับถอดวงหนึ่งออกมายื่นให้ข้าเสียอย่างนั้น
“นี่อะไร?”
“อุปกรณ์เชื่อมต่ออเนกประสงค์” อันซานตอบข้าเสียงนุ่ม “มันเป็น [Wearable Device] อุปกรณ์สำหรับสวมใส่เหมือนเครื่องประดับติดตัว แต่สามารถใช้งานได้แบบเดียวกับโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ แถมเจ้ายังสามารถเรียกใช้เอไอของฉันออกมาได้ด้วยนะ”
ข้ารับแหวนมาถือไว้ด้วยสองมือ ประกายเกล็ดสีเงินทำให้ข้าอดจ้องมองเจ้าชิ้นในอุ้งมืออย่างชอบใจไม่ได้ ชาวมังกรชอบนักล่ะของแวววาวแบบนี้… และเมื่ออันซานโบกมือวาดผ่านตัวแหวนเพียงวูบหนึ่งก็มีแสงสีฟ้าสดเรืองออกมา
‘สวัสดีอีกครั้งครับท่าน บัทเลอร์สยินดีให้บริการเสมอ’
แสงเรืองสีฟ้าขาวพลันก่อตัวเป็นภาพฉายโฮโลแกรม ร่างเสมือนของเอไอที่มากอารมณ์ขันตอนนี้มีรูปร่างที่ดูคล้ายกับ… ปลาดาวเรอะ?
“ทำไมตอนนี้เจ้ามีร่างเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?” ตอนแรกที่เห็นยังเป็นลูกไฟอยู่เลย
‘ที่จริงแล้วกระผมไม่มีร่างหรอกครับ กระผมสามารถใช้ร่างใดก็ได้อย่างอิสระ เพราะท่านนายพลไร้อารมณ์ขันอย่างยิ่ง เลยไม่เคยใส่ใจหรอกครับว่ากระผมจะใช้ร่างอะไรบ้าง’
ข้าหันไปมองหน้าอันซานทันที เห็นเขาคอตกนิดหน่อยด้วยล่ะ
“ยังไงก็… ให้บัทเลอร์สอยู่เป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน อยากได้อะไรหรือสงสัยอะไรก็ถามเขาเอา ฉันยังมีแหวนอีกวงอยู่จะติดต่อมาก็ได้ถ้ามีเรื่องอะไร-- แต่มันจะดีกว่ามากถ้าไม่มีเรื่องนะ” ร่างสูงที่มัวแต่ยืนค้ำหัวข้าอยู่ได้พักใหญ่แล้วทำท่ากระแอมเบาๆ “เสร็จธุระแล้วเดี๋ยวฉันจะมาเรียกนะ ไม่นานหรอก”
“ไหนคำโปรดข้าล่ะ?”
“ได้โปรดเอมี่”
“อือ” ข้าหลุดหัวเราะเสียงใสออกมาจนได้ “เจ้าจะไปไหนก็ไปเถอะ” ว่าจบก็หยิบขนมมาโยนใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ และพยักหน้าไล่เขาไป
ท่านนายพลคิ้วกระตุกนิดหน่อย แต่เขาก็ทำเพียงส่ายหน้าเบาๆ อย่างขบขัน เห็นสองแก้มของเจ้ามังกรแปลงที่เต็มไปด้วยขนมแล้วก็ชวนให้รู้สึกหมั่นเขี้ยวนัก อันซานเดินผละห่างออกมาเตรียมจะออกจากโถงต้อนรับ แต่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นชาวแอบมุงมากมายที่ลอบมองมาทางพวกเขาตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้วเพียงแค่ทั้งสองไม่ได้สนใจเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาคงต้องขอความเป็นส่วนตัวคืนสักหน่อยแล้วสิ
ร่างสูงใหญ่มีสีหน้าขรึมลงอย่างฉับพลัน คิ้วที่ขมวดลึกและสายตาคมปลาบที่เริ่มดุดันก็ทำให้ผู้ที่ถูกเขากวาดสายตาเย็นๆ ใส่ถึงกับเหงื่อตกหัวหดวิ่งหนีกันวุ่นวายราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมีงานค้างต้องไปทำ เพียงโดนเขากวาดตามองแค่ครั้งเดียวชาวมุงทั้งหลายต่างพากันสลายโต๋หายวับไปทันใด เมื่อนำความสงบคืนมาให้เจ้ามังกรแปลงได้อีกครั้งเขาก็พยักหน้าพอใจกับตัวเอง แล้วเดินเลี้ยวเข้าไปโซนด้านในเพื่อจัดการธุระของตนทันที
เวลาผ่านไปไม่นาน ข้ายัดขนมเข้าปากจนหมดจานได้แล้วก็ยกสองมือกุมแก้ม เพราะขนมมันอร่อยมาก! ไม่ได้สนใจเรื่องอะไรข้างหลังโซฟาตัวเบ้อเริ่มที่โดนเอามาปล่อยทิ้งไว้สักนิด “เฮ้ บัทเลอร์ส”
‘ครับ เอมี่’
“อย่ามาเรียกข้าแบบนั้น” ส่งเสียงขู่ใส่เจ้าเอไอที่ตอนนี้มีรูปร่างเป็นแมงกะพรุนลอยดุกดุ๋ยไปมารอบกายทันใด
‘อ้าว แล้วทำไมอนุญาตให้ท่านนายพลเรียกแบบนั้นได้ล่ะครับ? ท่านลำเอียงนี่นา’
“แล้วก็เอาแต่ใจที่สุดในกาแล็กซีด้วย นั่นแหละข้าเลย” แสยะยิ้มร้ายกาจใส่เจ้าแมงกะพรุนโปร่งแสงสีฟ้าขาว เห็นมันสะดุ้งเฮือกกับเขี้ยวของข้าแล้วก็ได้แต่สงสัยว่ามันเป็นภาพจำลองไม่ใช่เรอะ จะมาตกใจอะไรกับเขี้ยวชาวบ้านเขามิทราบ
“ถามหน่อยสิ รู้จักเจ้าหัวทองเมื่อกี้นี้ไหม?”
‘หัวทองหรือครับ?’
“ก็เจ้าคนที่อันซานเรียกว่าดอกทอ-- เอ้ย! ด็อก-ด็อกเตอร์?”
‘ด็อก-เตอร์ ออกเสียงได้ถูกต้องแล้วครับ เก่งมาก’
“อย่ามาทำเป็นชมนะเฟ้ย” มือเรียวสะบัดใส่ร่างจำลองของเจ้าแมงกะพรุนตัวจ้อย แน่ล่ะว่ามือของข้าทะลุผ่านไปได้อย่างกับผีหลอกก็ไม่ปาน
‘ท่านช่างเอาใจยากจริงๆ ครับ เอมารันไธน์ นอกจากรูปร่างจะเปลี่ยนเป็นแมวได้แล้ว นิสัยก็ยังเหมือนแมวไปด้วยหรอครับ?’
“อยากโดนโละทิ้งใช่ไหมเจ้าน่ะ? ข้าบอกอันซานให้ได้นะ”
‘ได้โปรดเมตตาด้วยครับ กระผมเป็นแค่เอไอผู้อ่อนไหวที่ใช้ความฮากลบเกลื่อนความเศร้าเท่านั้นเองครับ’
“…เจ้านี่ก็ประหลาดพอๆ กับนายของเจ้าเลยนะ เอไอเป็นแบบนี้ทุกตัวหรอ?”
‘ไม่ใช่หรอกครับ กระผมน่ะถูกสร้างมาอย่างพิเศษกว่าเอไอไหนๆ ในโลกนี้ เพื่อท่านนายพลอันซานเพียงคนเดียวเท่านั้นครับ เพราะข้อมูลสำคัญของเขาจะต้องได้รับการดูแลที่ดีที่สุด’
“ฮืม… ขนาดนั้นเลย” ข้าทำเสียงในลำคอ พลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบน้ำสีสวยภายในที่รสชาติเหมือนผลไม้อย่างน่าประหลาด “อย่างกับปลอกคอเลยนะ”
‘ก็ปลอกคอน่ะสิครับ ท่านก็มีเหมือนกันนี่นา’
ข้าหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งเพราะเถียงไม่ออก ในเมื่อยังสวมจี้ที่ห้อยคอไว้เพื่อแปลภาษาคนอื่นเขาอยู่เลยนี่นา พูดง่ายๆ คือตอนนี้ข้าน่ะกำลังพูดภาษามนุษย์โลกเก่าอยู่ ส่วนคนอื่นก็พูดภาษาของโลกใหม่ตอบกลับ เทคโนโลยีนี่ดีจริงๆ เพราะข้าไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาแบะหัวมนุษย์ที่ไหนเพื่อดึงความทรงจำออกจากสมองมาเรียนรู้ภาษาใหม่เลยแม้แต่น้อย
“ฮึ! สรุปแล้วเรื่อง ด็อกเตอร์ เธียรนัน อะไรนั่นล่ะว่าไง?”
‘อ๋อ ที่ท่านพูดถึงหัวทองๆ สินะครับ ดร. เธียรนัน วูดส์ เป็นหนึ่งในสามนักวิจัยระดับสูงสุดที่เป็นผู้ดูแลสถาบันวิจัยแห่งนี้ ที่เป็นศูนย์วิจัยที่ใหญ่ที่สุดบนดาวโลกใหม่เลยล่ะครับ ด็อกเตอร์เขาเก่งอย่างเหลือเชื่อ วิทยาการล้ำสมัยของเราเองก็ได้เขานี่แหละช่วยพัฒนาเยอะเลยครับ จนตอนนี้ก็มีขยายศูนย์วิจัยไปทุกเขตได้แล้ว แต่ที่นี่ก็ยังเป็นศูนย์วิจัยแม่อยู่ครับ’
“หืม… แล้วเขามาอยู่ที่โลกใหม่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?”
‘เขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อร้อยปีก่อนหลังจบการปะทะครั้งล่าสุดระหว่างเรากับชาวเซเลสเทียลครับ ในช่วงเวลานั้นชาวมนุษย์ต้องปิดดาวฟื้นฟูกำลังอยู่นานกว่ากว่าเจ็ดสิบปีเราถึงค่อยสามารถกลับมาส่งยานออกนอกดาวได้อีกครั้ง ซึ่งถ้าเราไม่ได้เขามาอยู่ช่วยฟื้นฟูดาวร่วมกับท่านอันซานแล้วล่ะก็ ชาวมนุษย์คงสิ้นหมดทั้งดาวแน่ครับ อีกอย่างนึง… รูปร่างที่สง่างามไม่ต่างจากท่านนายพลก็ทำให้เขามีแฟนคลับอยู่มากมายด้วยเหมือนกันครับ’
“แฟนคลับ?”
‘ผู้ชื่นชมน่ะครับ’
“โอ้โฮ ถึงขั้นนั้นเชียวรึ” ข้าเบิกตาโตมองเจ้าลูกกลมที่ลอยมาอยู่ข้างๆ “แล้วนี่ไม่สงสัยหรือว่าเขาเป็นมนุษย์จริงหรือเปล่า?”
‘ท่านเอมี่ถามแปลกจัง เขาก็ต้องเป็นมนุษย์อยู่แล้วสิ ฝ่ายนั้นมีใบรับรองแพทย์ด้วยนะครับ อีกอย่างท่านนายพลอันซานต้องรู้แน่ว่าเขาเป็นเซเลสเทียลแฝงตัวมารึเปล่า แต่ดูจากการที่เขาคอยช่วยเหลือเรามาตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ทำให้ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นเผ่าต่างดาวที่ไหนปลอมตัวมาได้หรอกครับ ท่านเอมี่คิดว่าเขาเป็นอะไรหรือครับ?’
ก็เป็นเชนจ์ลิงน่ะสิ
แผนสูงใช้ได้เลยนี่นาเจ้าหมอนั่น อาศัยจังหวะชุลมุนโผล่มาช่วยชาวโลกใหม่จนได้รับความนิยมงั้นหรือ? แต่เอ… จะว่าไปแล้วเจ้าอันซานก็โผล่มาที่โลกในเวลาใกล้เคียงกันเลยนี่หว่า พวกมนุษย์คงเอาแต่สนใจเจ้าลูกครึ่งเทพนั่นมากกว่าเชนจ์ลิงที่สวมหนังมนุษย์อย่างเจ้านั่นเกินว่าจะตรวจสอบให้ละเอียดสินะ ข้าคิดๆ แล้วก็จริงอย่างที่เจ้าเอไอพูด ถ้าหากมันเป็นเซเลสเทียลแฝงตัวมาเจ้าอันซานก็ต้องจับได้ตั้งนานแล้ว
บอกตามตรง เรื่องของเจ้าเชนจ์ลิงนี่ทำข้าทึ่งมากเลยล่ะ แต่ก็ทำให้ข้าคลายข้อสงสัยบางส่วนในใจลงได้แล้ว เพราะตั้งแต่ที่คุยกับเจ้าอันซานเมื่อวันก่อนโน่นข้าก็มีข้อสงสัยผุดขึ้นมาหลายเรื่องเลยทีเดียว
หนึ่งในนั้นคือคำถามที่ว่า ทำไมเผ่าพันธุ์ที่เอาแต่ใจสุดขั้วอย่างเซเลสเทียล ถึงได้ยอมเลิกราในการยึดครองดาวโลกใหม่ดวงนี้ไปง่ายๆ พวกมันอดทนรอให้พวกมนุษย์ขยายเผ่าพันธุ์มากขึ้น อดทนยอมให้นักรบครึ่งเทพของมันได้ลอยหน้าลอยตาอยู่บนโลก ทั้งที่ด้วยพลังและวิทยาการของพวกมันแล้วการยึดดาวดวงนี้หรือแม้แต่ทำลายทิ้งก็ง่ายดายเสียยิ่งกว่าการถอนหายใจ แต่พวกมันกลับ… ยอมให้พวกมนุษย์ได้ใช้ดาวดวงนี้ต่อไปจนกระทั่งรวมตัวกันต่อต้านและแข็งข้อกับพวกมันได้?
ข้อสันนิษฐานข้อแรกของข้าก็คือ พวกมันต้องการให้มนุษย์ขยายเผ่าพันธุ์ให้มากขึ้น และการที่มีนักรบครึ่งเทพอยู่บนโลกจะเพิ่มโอกาสที่พวกมนุษย์จะวิวัฒนาการตนเองมากขึ้นไปอีก …แต่มันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันล่ะ? ในเมื่อถ้าหากมันโปรดปรานพวกมนุษย์จริงๆ มันจะสั่งลงโทษมารดาบุญธรรมของเจ้าอันซานทำไม ในข้อหาที่แสนจะธรรมดาอย่างการ… หลงรักกับมนุษย์น่ะ
คือข้าก็เข้าใจแหละว่ารักต่างสปีชีส์มันประหลาดนิดหน่อยก็จริง แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้วทั้งสองเผ่าเนี้ยก็มีภูมิปัญญาและอารยะกันทั้งคู่นะ หนึ่งหัว สองมือ สองเท้า มีกระดูกสันหลังและเลี้ยงลูกด้วยนมไม่ต่างกันอีก …ถึงแม้ว่าถ้าหากทั้งสองเกิดมีลูกกันจริง บุตรของพวกเขาจะออกมาเป็นหมันก็ตามเถอะ
เพราะคิดข้อนี้ไม่ตก ข้าเลยเก็บข้อสันนิษฐานข้อนี้โยนเข้ากรุไปไกลๆ ก่อน แล้วสร้างข้อสันนิษฐานใหม่ขึ้นมาอีกอัน
ข้อสันนิษฐานข้อที่สองก็คือ พวกมันแตะต้องดาวดวงนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่การจะเป็นแบบนั้นได้ชาวมนุษย์จะต้องได้รับการช่วยเหลือจากชาวต่างภพที่ทรงอำนาจพอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกเซเลสเทียลได้เท่านั้น ซึ่งต่อให้นั่งหา นอนหา ตะแคงตัวหายังไงก็มีแค่อีกสามเผ่าเท่านั้นจากทั้งกาแล็กซีที่สามารถคานอำนาจปกครองในทางช้างเผือกกับพวกมันได้
นั่นก็คือเผ่าเฟย์ เผ่าบีสต์ และเผ่าเดมอนส์
แต่ข้าก็ยังเห็นข้อหักล้างเหตุผลนี้อยู่ดี เพราะจากที่อันซานเล่าให้ฟังน่ะคือ… เจ้าพวกนี้ไม่คุยกับพวกมนุษย์เลยเว้ย!
ทำไมกันล่ะ ทั้งๆ ที่เมื่อร้อยปีก่อนก็มาช่วยพวกมนุษย์สู้แท้ๆ แต่ไหงถึงได้เกิดขี้อายกันทั้งหมดแบบนี้?
เผ่าเดมอนส์ข้ายังไม่ติดใจเท่าไหร่ เพราะพวกเขาเป็นเผ่าที่หยิ่งทะนงเกินจะติดต่อใครมากอยู่แล้ว ขนาดชาวมังกรยังรู้จักพวกเขาน้อยมากเมื่อเทียบกับเผ่าอื่นที่เหลือ ซ้ำร้ายพวกมนุษย์ยังเสือกไปตั้งทับชื่อเรียกเผ่าพวกเขาว่า ‘ปีศาจ’ อีก ยิ่งกว่าน้ำมันราดลงบนกองไฟ ฟางมิตรภาพดีๆ เส้นสุดท้ายขาดก็เพราะชื่อเรียกนี่แหละ พวกเดมอนส์เลยเหม็นขี้หน้าพวกมนุษย์มาก อารมณ์เดียวกับพี่ชายที่จู่ๆ ก็ต้องรับรู้ว่ามีน้องประหลาดงอกขึ้นมาเพิ่มทั้งที่ไม่ต้องการเด๊ะ
สายพันธุ์มนุษย์แรกสุดเพิ่งจะมีตัวตนอยู่ยังไม่ถึงแปดล้านปีด้วยซ้ำ และพันธุ์โฮโมเซเปียนส์ก็ยิ่งน้อยกว่านั้นอีก ระยะเวลาแค่สองแสนปีสั้นแทบจะพอๆ กับการกระพริบตาสำหรับเผ่าอายุยืน ตัวตนเล็กน้อยแบบนี้ไม่ได้เตะตาพวกเผ่าหัวสูงนั่นข้าก็พอเข้าใจได้ แต่…
อีกสองเผ่าที่เหลือนี่ยังไงก่อน!?
ทั้งๆ ที่เคยแอบดอดมาเดินเล่นบนโลกเก่าตั้งหลายครั้ง ทำไมทำตัวปากอย่างใจอย่างการกระทำอีกอย่าง ประหนึ่งนางดรุณีน้อยวัยแรกแย้มที่เพิ่งมีรักแรกก็ไม่ปานแบบนั้น?
…หรือว่าพวกนั้นเองก็ยังเคืองที่พวกมนุษย์เรียกทับชื่อเผ่าพวกเขาไปว่า ‘ภูต’ จาก ‘ภูตผี’ แล้วก็ ‘อสูร’ จาก ‘อสูรกาย’ อยู่เหมือนกัน?
เออ… ถ้ามันเป็นเพราะเหตุผลนี้จริงๆ ล่ะก็ ไว้เจอหน้าท่านผู้นำของพวกนั้นตัวต่อตัวเมื่อไหร่ข้าจะหัวเราะใส่หน้าซะ เอาให้ปอดโยกกันไปข้างเลยคอยดูสิ
อืมม… แต่เชนจ์ลิงที่ว่าคงจะพอถามอะไรได้บ้างกระมัง? และคำถามแรกสุดที่ผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่ข้าเห็นหน้ามันชัดๆ เลยก็คือ เอ็งลงมาทำซากอะไรอยู่บนดาวนี่ในช่วงเวลาแบบนี้กันมิทราบฟะ?
ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นด้วย หรือไม่ดีใจที่พวกมนุษย์มีเจ้าเด็กเชนจ์ลิงนี่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังหรอกนะ! ข้าเคารพงานอดิเรกของผู้อื่นมากพอจะไม่ไปวิจารณ์ความชอบแปลกๆ หรอกน่า แต่การที่ เอ่อ… เฟย์เด็ก อย่างเจ้าเชนจ์ลิงนี่มาเดินลอยหน้าลอยตาในดงของโฮโมเซเปียนส์ได้แบบนี้ ข้าก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ
เอาล่ะ เชนจ์ลิง พวกเขาคืออะไร? ถ้าจะให้อธิบายอย่างง่ายๆ พวกเขาคือชาวเฟย์วัยเยาว์นั่นเอง ซึ่งเด็กๆ พวกนี้จะมีความสามารถพิเศษตั้งแต่กำเนิด นั่นคือการเสกหนังของเผ่าพันธุ์อื่นมาสวมใส่เพื่อซ่อนร่างจริงของพวกเขาเอาไว้ได้ มันเป็นกลไกการป้องกันตัวตามธรรมชาติของชาวเฟย์ที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่วิวัฒนาการมาจากพืชวิเศษกินเนื้อบินได้
อ่าฮะ ใช่ อ่านถูกแล้ว ชาวเฟย์เป็นพืชวิเศษกินเนื้อที่มีปีกบินได้
ซึ่งกลไกการป้องกันตัวนี่ ไม่ได้ต่างอะไรจากการเลียนแบบ [Mimicry] หรือการพรางตัว [Camouflage] ที่สามารถพบได้ในสัตว์ (หรือในกรณีนี้ พืช) ตามธรรมชาติทั่วไปนั่นแหละ
แล้วทำไมชาวเฟย์-- ซึ่งข้าขอย้ำ-- ที่หวงลูกหวงผลของตัวเองมากพอๆ กับที่ชาวมังกรหวงทารกมังกร ในระดับที่พวกเราสามารถทำลายอารยธรรมหนึ่งทิ้งได้โดยไม่กระพริบตาถ้าหากมีสิ่งใดกล้าทำร้ายลูกเล็กเด็กแดงของเราขึ้นมา ถึงได้กล้าปล่อยให้ไอ้หนุ่มนี่ลงมาเดินเล่นที่โลกใหม่ของมนุษย์โดยไม่มีใครดูแลได้แบบนี้กัน?
เอ… หรือพวกเขาไม่ได้ปล่อย หรือนี่อาจเป็นเหตุผลที่จะสนับสนุนข้อสันนิษฐานข้อที่สองของข้า!
ตูม!!!
…อะไรมันขัดขวางการครุ่นคิดอันลึกล้ำของข้าตอนนี้กันฟะ?
“กรี๊ดด!! มีกลุ่มติดอาวุธบุกสถาบันของเรา!!
“เวรแล้วธงนั่น! เราโดนกลุ่มต่อต้านโจมตี!!”
“รีบเปิดระบบป้องกันภัยเร็วเข้า! เอาหุ่นปราบปรามออกมา!”
….ฮะ? อะไรนะ??
เอ่อ ประเดี๋ยวก่อนนะ จู่ๆ ฉากแอ็คชั่นบู้ล้างผลาญมาเกยถึงที่อย่างนี้ก็ได้หรอ? ช่วงนี้ชีวิตข้าสงบสุขมากเกินไปหรือยังไง? มารดาแห่งพสุธาโลกใหม่ขอรับ ท่านกำลังทำอะไรกับโชคชะตาของข้ามิทราบ
“ด-เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งล็อกประตู! ยังมีคนอยู่ข้างนอกนะ!!”
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่านั่น-- พวกมันมีเทคโนโลยีของเรา!!”
“แจ้งท่านนายพลแล้ว! ท่านกำลังขึ้นมา!”
“แล้วตอนนี้ท่านอยู่ไหน?!”
“อยู่ใต้ดินชั้นลึกสุด ชั้นที่สองร้อยสามสิบห้า!”
“เจริญ!!!”
“….”
เฮ้อม
เซ็งโว้ย ขนาดนั่งกินขนมอยู่เฉยๆ เรื่องก็ยังพุ่งเข้ามาหาข้าจนได้นะ… ถุยชีวิต