ข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ไซไฟ,สงคราม,เลือดสาด,แมว,นายเอกเก่ง,วายแฟนตาซี,#BL,พลังวิเศษ,เวทมนตร์,18+,สงคราม,อสูร,ภูต ,ปีศาจ,เทพ ,ยุคดวงดาว,โลกอนาคต,ต่างดาว,อมนุษย์,มังกร,ฮาเร็มชาย,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
AMARANTHINE เป็นมังกรไม่ใช่แมวข้าเป็นมังกร ข้าไม่ใช่แมว ข้าไม่เล่นของเล่นแมว ข้าไม่นอนในบ้านแมว พวกเจ้ามีสายตาเป็นญาติกับถั่วเรอะ? เลิกหยุมพุงข้าสักที ไม่งั้นข้าจะหนีออกจากบ้าน! "แต่วันนี้มีสเต็กให้เจ้านะ" เอาไว้ข้าหนีวันหลังก็ได้
“คุณพระช่วย นั่นมันกลุ่มต่อต้านรัฐบาลของพวกคลั่งลัทธินี่นา!!”
“จู่ๆ ก็โผล่มาข้างหน้าอาคารเราเป็นกองทัพได้แบบนี้ หรือว่าพวกมันได้เครื่องวาร์ปมวลสารของเราไปงั้นหรอ?!”
“เจริญสิทีนี้! เงินภาษีเราต้องมาโดนพวกผู้ก่อการร้ายเอาไปใช้เรอะ พวกทหารมัวไปทำอะไรอยู่?!”
“อย่าไปกลัวมัน พวกเรามีท่านนายพลอยู่ที่นี่ด้วยเว้ย! ใครก็ได้ลงไปตามท่านนายพลที!!”
“โอ๊ยไม่ต้องแย่งกันลงไปโว้ย! ท่านนายพลติดรอลิฟต์อยู่เนี่ย! เขาอยู่ลึกตั้งชั้นสองร้อยขนาดนั้นกว่าจะขึ้นมาได้ก็คงชาตินึงมั้ง!”
“แล้วดร. เธียรนันล่ะ! เขา--”
“ติดอยู่ชั้นบนสุดโน่น!!”
“ก็เพราะงี้แหละตูถึงได้บอกให้ซ่อมประตูวาร์ปซักทีเห็นมั้ยล่ะ!!”
“โว้ะ! ช่วงนี้ทุนเราเหลือเยอะมากมั้ง! พวกรัฐบาลโลกแม่*แย่งงบเอาไปสร้างเรือดำน้ำอยู่ได้เนี่ยไอ้ชิบห**!!”
“เรียกกำลังเสริม! เอาหุ่นยนต์ปราบปรามออกมาให้หมด!!”
“….”
เสียงดังอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์เหมือนนกกระจอกรังแตกที่ตามมาหลังจากเสียงตูมตาม ก็ยิ่งทำให้ข้าอยากพับหูหนีมากขึ้นไปอีก เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งข้าก็ลุกพรวดผละออกจากโซฟา รอบกายมีมนุษย์ในชุดขาวมากมายวิ่งกันให้จ้าละหวั่น ข้ารีบวิ่งสวนกับฝูงชนที่แตกตื่นจนกระทั่งสามารถทะลุออกไปจากเจ้าประตูหน้าตัวร้ายได้อีกครั้ง
เมื่อข้ากวาดสายตามองลงไปทั่วก็ต้องพบว่า บริเวณพื้นที่สำหรับลงจอดยานบินที่ข้าลงมากับอันซานและเส้นทางภาคพื้นดินที่เชื่อมต่อไปยังถนนหลักกำลังโดนปิดล้อมอยู่ โดยมีกลุ่มมนุษย์จำนวนมาก… สักกองพันหนึ่งเห็นจะได้ หรืออาจจะมากกว่านั้นถ้ายังมีบางส่วนซุ่มซ่อนอยู่อีก ในยามนี้พวกมันกำลังหันอาวุธหน้าตาประหลาดแต่ดูอันตรายสุดๆ มาทางสถาบันนี้อยู่ หรือถ้าให้เจาะจงกว่านั้นหน่อยก็คือหันมาตรงหน้าข้าเลยนี่แหละ
สิ่งเดียวที่ขวางกั้นเรากับผู้บุกรุกเอาไว้ ก็คือม่านพลังโปร่งแสงสีฟ้าขาวที่แผ่พุ่งมาครอบทั้งรอบบริเวณอาคารของสถาบันเอาไว้ราวกับโล่ปกป้องขนาดยักษ์ และเสียงตูมที่กระทบม่านพลังนั้นก็ดังมาจากอาวุธที่พวกนั้นยิงใส่นี่เอง
ข้าสังเกตเห็นแล้วว่าผู้บุกรุกทั้งหมดต่างก็สวมชุดรัดติ้วสีดำ มีหน้ากากปกปิดใบหน้ามิดชิด หลายคนถือธงประหลาดที่ทาสีแสบตามาก สัญลักษณ์บนธงนั่นเหมือน…!
หัวใจข้ากระตุกผิดจังหวะไปครั้งหนึ่ง เมื่อมองเห็นว่าพื้นธงสีดำสนิทนั้น มีลวดลายของดาบเล่มใหญ่ปักลงกลางหัวใจมังกรสีแดงฉานแสบตา และมีประภามณฑลสีทองลอยอยู่เหนือดาบเล่มนั้นราวกับกำลังอำนวยพรผู้ที่สังหารมังกรได้สำเร็จ
‘กรุณากลับเข้าไปด้านในด้วยครับ ข้างนอกอันตราย’
ข้าสะดุ้งนิดๆ พอหันไปด้านข้างก็เห็นหุ่นเหล็กรูปร่างคล้ายมนุษย์ตัวหนึ่ง (เจ้าอันซานเรียกว่าหุ่นยนต์ใช่ไหมนะ?) กำลังจับไหล่ข้าไว้แล้วกล่าวเตือนด้วยเสียงที่ไร้อารมณ์ ข้าเลยเดินเลี่ยงไปหลบมุมอยู่ใกล้กับขอบประตูแทน
เมื่อถอยห่างออกไปแล้ว ข้าก็เห็นหุ่นเหล็กมากมายที่ประจำการอยู่ที่นี่เดินลงไปตรงลานหน้าอาคารทีละตัวสองตัว พวกมันตั้งแถวตอนเรียงหนึ่งมุ่งตรงไปยังผู้บุกรุกพวกนั้น ทว่าจำนวนกลับน้อยกว่าผู้บุกรุกอย่างเห็นได้ชัด เหล่าหุ่นยนต์ปราบปรามหาได้หวั่นไหวในจำนวนที่ต่างชั้น เมื่อทั้งหมดออกไปยืนหยัดนิ่งอยู่นอกนอกเขตบาเรียแล้ว หนึ่งในหุ่นเหล่านั้นก็ประกาศก้องด้วยเสียงเรียบไร้โทนสูงต่ำ
‘กรุณาหยุดการกระทำของพวกคุณเดี๋ยวนี้ พวกคุณกำลังละเมิดกฎหมายและต้องถูกจับกุม ขอย้ำ กรุณาหยุด--’
ปัง!!
เจ้าหุ่นตัวที่กำลังประกาศอยู่พลันหงายหลังล้มลง แล้วจากนั้นก็ตามมาด้วยระเบิดตูมตามและการพุ่งเข้าปราบปรามของหุ่นที่เหลือ ข้าเบิกตากว้างเมื่อกำลังมองเห็นการปะทะกันระหว่างผู้บุกรุกกับหุ่นยนต์ปราบปรามชัดเต็มสองตาแบบชิดติดขอบสนามอย่างที่สุดเช่นนี้
จะผิดไหมถ้าข้าอยากได้ขนมมากินระหว่างดูความมันส์ตรงหน้ามากเหลือเกิน
ทว่าจำนวนของผู้บุกรุกที่มากันเกือบพันคนและอาวุธของพวกนั้น กลับเหนือล้ำกว่าหุ่นปราบปรามที่มีจำนวนน้อยกว่าเป็นเท่าตัว ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกหุ่นปราบปรามก็ถูกกำจัดไปจนได้
ข้าเห็นผู้บุกรุกกลุ่มหนึ่งใช้เครื่องจักรประหลาดก่อป้อมกำแพงปิดล้อมอีกฝั่งของพวกมันเอาไว้ กลายเป็นว่าตอนนี้กองกำลังเสริมภาคพื้นดินอาจไม่สามารถเข้ามาจับกุมพวกมันได้โดยง่ายแล้ว ส่วนบนฟ้า… มีเครื่องจักรคล้ายอาวุธขนาดยักษ์ที่พวกมันหมุนให้แหงนขึ้นด้านบน ข้าสังหรณ์ใจว่าอะไรก็ตามที่บินมาแถวนี้ก็คงจะถูกสอยร่วงลงมาเช่นกัน
หนึ่งในผู้บุกรุกนั่นพลันยกมือที่มีกำไลหนาเตอะขึ้นไปใกล้กับปาก แล้วเสียงที่มันพูดออกมาก็ดังก้องราวกับใช้เวทขยายเสียง ซึ่งในกรณีนี้ก็คงจะเป็นเทคโนโลยีสินะ
“ยอมจำนนเสียเถอะ สถาบันเนดริ! พวกเราผู้ศรัทธาแห่งสวรรค์ได้ทำการยกกำลังพลล้อมสถาบันนี้เอาไว้แล้ว ถึงพวกแกแม้จะมีบาเรียป้องกันกางคลุมเอาไว้อยู่ตอนนี้แต่ปกป้องได้ไม่นานหรอก! งานวิจัยลวงโลกของพวกแกจบลงแล้ววันนี้! รัฐบาลโลกต้องชดใช้ที่ทรยศสรวงสวรรค์ และถ้าไม่ยอมส่งคนมาเจรจาล่ะก็ สถาบันนี้จะเป็นแห่งแรกที่ต้องพินาศ!!”
เฮ!!
พวกมนุษย์ที่รายล้อมราวกับลูกน้องของคนพูดต่างก็พากันส่งเสียงเฮตอบรับคำของผู้นำพวกมัน ข้ามองความบ้าบอเบื้องหน้าแล้วอดใจไม่ไหว หันไปถามเจ้าเอไอที่ยังคงลอยอยู่ข้างๆ ไหล่ข้าในร่างของปลาปักเป้าที่ตาเหลือกโตตัวกลมเพราะความตกใจ “ทำไมเจ้าไม่เห็นบอกข้าเลยว่ามีเรื่องสนุกแบบนี้รออยู่ด้วย?”
‘เซอร์ไพรส์ไงล่ะครับ ไม่ช่าย!’ บัทเลอร์สกระเด้งร่างเสมือนของตนขึ้นจากไหล่ข้า สีหน้าของมันดูตกใจมากจนข้าเกือบหลุดขำผิดเวล่ำเวลา ‘พวกเราโดนผู้ก่อการร้ายบุกครับ! ได้ยังไงกระผมก็ยังไม่ทราบ แต่กำลังประมวลผลอยู่ครับ!’
“แล้วนี่ทำไมอยู่ดีๆ ก็มีกลุ่มมนุษย์มาโจมตีเราได้ล่ะ?”
‘นั่นคือกลุ่มต่อต้านรัฐบาลครับ’ บัทเลอร์สตอบข้าเสียงอ่อย ‘พวกเขาเป็นสาวกของลัทธิคลั่งที่ประกาศว่ามนุษย์ควรสวามิภักดิ์ต่อพวกเซเลสเทียลแต่โดยดี เพราะเชื่อว่าเมื่อพวกเขาตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ที่แท้จริงน่ะครับ’
“…นั่นเป็นเรื่องตลกที่บ้าบอที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลย”
‘กระผมก็ว่าอย่างนั้น’
ตูม!!!
นี่ก็ยิงจังเลยนะไอ้…
เสียงตูมตามดังไม่ขาดสายในระหว่างที่พวกเรามัวแต่คุยเจ๊าะแจ๊ะกันอยู่ เพราะพวกกลุ่มมนุษย์-- ไม่สิ พวกกลุ่มต่อต้านที่ว่าเริ่มระดมยิงใส่บาเรียป้องกันของสถาบันอีกครั้ง ทว่าไม่มีสิ่งใดเป็นอันตราย เมื่อม่านพลังโปร่งแสงที่วางล้อมครอบอาคารเอาไว้อยู่ยังคงแน่นหนาไม่มีบุบสลายสักนิด
โอ้ เกราะป้องกันแข็งแรงใช้ได้เลยนี่นา
‘จริงๆ แล้วกลุ่มกบฏพวกนี้เพิ่งจะโดนท่านนายพลบุกไปถล่มเละ-- เอ้ย ปราบปรามไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้วนี่เองครับ สงสัยว่าพวกกบฏที่เหลือรอดไปได้ในคราวนั้น คงจะฉวยโอกาสที่ได้ข่าวลือเรื่องท่านนายพลไม่อยู่บนดาวยกพวกมาแก้แค้น เพราะยังไม่รู้ว่าท่านนายพลกลับมาดาวโลกใหม่แล้วแน่ๆ เลยครับ! หุๆ ถึงอาวุธจะร้ายกาจแค่ไหนก็เจาะบาเรียของสถาบันนี้ไม่เข้าหรอก อีกเดี๋ยวท่านนายพลกับดร. เธียรนันก็มาแล้ว พอดีพวกเขาติดรอลิฟต์อยู่น่ะครับ เจ้าพวกนี้เตรียมเละได้เลย!’
เจ้าบัทเลอร์สทำเสียง ฮุ่ยเล่ ฮุ่ย จนข้าเผลอหัวเราะออกมา และนั่นทำให้มีผู้บุกรุกบางคนเริ่มเห็นข้าเข้า แล้วก็พากันสะกิดเจ้าคนข้างๆ ให้หันมาดูตัวข้าผู้ซึ่งยืนเยื้องกับประตูกระจกบานยักษ์ สุดท้ายเจ้าคนที่ดูเหมือนผู้นำกองกำลังต่อต้านก็รับรู้ถึงการยืนชมความวุ่นวายอย่างหล่อๆ ของข้าจนได้
“เฮ้ย! แกน่ะ ไอ้หนุ่มหัวหงอกๆ นั่น เดินมานี่ซิ!”
มันตะคอกเสียงสั่งข้าผ่านเครื่องขยายเสียงที่ยิ่งทำให้ข้าระคายหูมากกว่าเดิมอีก ข้าขมวดคิ้วทันที ขนาดเจ้านายพลยังสั่งข้าไม่ได้ อะไรทำให้มันคิดว่าข้าจะทำตามที่มันสั่งมิทราบฟะ
“เอ๊ะ-- นั่นแขกของท่านนายพลรึเปล่า!”
“ตายแล้ว! เขาออกไปทำอะไรข้างนอกล่ะ!! โอ๊ย ถ้าท่านนายพลขึ้นมาได้เมื่อไหร่ต้องอาละวาดแน่…”
“เฮ้ย! คุณหนู! กลับเข้ามาในอาคารเร็วเข้า!”
มีนักวิจัยหลายคนวิ่งมารวมตัวกันอยู่ตรงประตูกระจกบานยักษ์เตรียมลากข้ากลับเข้าไปข้างในทันควัน ทว่าข้ากลับสังเกตเห็นว่าประตูมันไม่ยอมเปิดปิดเมื่อคนเข้าใกล้แล้ว…
อ้าว มันกั้นข้าออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะนั่น???
“เฮ้ย! ใครมันล็อกประตูวะ!”
“ไม่มีใครทำ! ระบบมันล็อกตัวเองอัตโนมัติ!”
“เอ้า! งี้พวกเราก็ติดแหง็กกันหมดทั้งสถาบันน่ะสิ บ้าเอ้ย กว่ากำลังเสริมจะมาพวกเราคงเละไปแล้ว ไอ้พวกผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มันไปสร้างเครื่องวาร์ปใหม่กันเรอะถึงยังไม่โผล่หัวมาช่วยพวกเราซักทีน่ะ!!”
“สถาบันพวกเรายิ่งอยู่ในหลืบของช่องเขาอยู่ด้วย ก็บอกแล้วว่าทำเลที่ตั้งตรงนี้มันไม่ถูกหลักฮวงจุ้ยก็ไม่มีใครเชื่อ!”
“เอ็งก็ไปจุดธูปด่าผู้ก่อตั้งสถาบันที่เลือกทำเลห่วยๆ นี่เองสิฟะ!”
ข้าเมินความชุลมุนวุ่นวายข้างหลัง เพราะดันเห็นว่าพวกกลุ่มต่อต้านลากเอาบางอย่างออกมาจากภายในกลุ่มของพวกมัน ร่างนั่น… ร่างของมนุษย์เพศหญิงที่ดูสะบักสะบอมอย่างน่าสงสาร หล่อนสวมใส่เสื้อยาวๆ ที่ไม่ขาวสะอาดอีกต่อไปแล้ว หัวของหล่อนตกลู่และเส้นผมยาวๆ ที่ยุ่งเหยิงก็ไม่อาจปกปิดรอยฟกช้ำมากมายจากสายตามังกรของข้าได้
ฉับพลันนั้น มือของข้าก็กระตุกกึก
“เฮ้ย! ไม่ได้ยินรึไงวะ ถ้าแกไม่รีบเดินมาล่ะก็ นังนี่ตาย!”
เจ้าผู้นำตะคอกใส่ข้าอีกครั้ง ที่เลวร้ายกว่าคือลูกน้องมันคว้าแขนของมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ทั้งสองข้าง แล้วคนนึงก็กระชากหัวของหล่อนขึ้นอย่างแรง จนสามารถเห็นใบหน้าที่ยับเยินได้ชัดเจนกันไปทั่วแล้ว
“กรี๊ดด!! นั่นดร. ลูน่า คอบบ์ ที่หายตัวไป!”
“คุณพระช่วย! พวกมันทำอะไรเธอ!”
“ท่านนายพลกำลังขึ้นมาได้ถึงชั้นที่ร้อยแล้ว กำลังเสริมก็กำลังมา!”
“มันจะทันหรอ! พวกมันเอาปืนจ่อหน้าดร. อยู่นะ!”
“แล้วลูกคนเล็กของเธอล่ะ!? เดี๋ยวก่อน-- ลูกคนโตของเธออยู่ที่นี่ๆ หว่า!!”
“ชิบแล้วไง เฮ้ย-- นั่น เฮ้ยไอ้หนูอย่ามอง--!!”
“แม่หรอ?”
ร่างของข้าแข็งทื่อฉับพลัน เมื่อค่อยๆ หันกลับไปมองข้างหลังตนเอง ด้านหลังประตูกระจกบานยักษ์ที่ปิดสนิท มี-- เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผมตัดสั้นและดวงตาต่างก็มีสีดำ เสื้อตัวยาวสีขาวสะอาดเหมือนคนอื่นๆ แต่สีหน้าของเขายามมองไปยังหญิงสาวที่ถูกจับไว้กลับแตกต่างออกไป สายตาจากเขาเป็นของผู้ที่เป็นทุกข์และใจสลาย
สายตาของลูกชาย
“แม่!!”
แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็เริ่มพุ่งเข้าหากระจกท่ามกลางการห้ามปรามของผู้อื่น มือคู่นั้นทุบตีทั้งกระจกและนักวิจัยคนอื่นที่พยายามหยุดเขา สีหน้าของเขารวดร้าวจนข้าสะท้อนใจ เขาตะโกนเรียกหญิงสาวออกมาหลายครั้ง ทว่าข้ากลับไม่ได้ยินสักนิด สิ่งเดียวที่ทำได้คือจ้องมองภาพสะท้อนของลูกชายและมารดาคู่หนึ่งที่ข้าไม่รู้จักด้วยซ้ำ
ข้าเบือนหน้าหนีเด็กคนนั้น แล้วเริ่มก้าวเดินในทันใด
พวกข้างหลังประตูจะพูดอะไรอีกข้าไม่อาจรู้แล้ว ในยามที่ก้าวลงไปยังลานกว้างข้าไม่รู้ว่าตนกำลังมีสีหน้าใดอยู่ แต่ก็ทำให้เจ้าบัทเลอร์สเงียบเสียงลงแล้วกลับเข้าไปอยู่ในแหวนตามเดิม แสงสีฟ้าเรืองวูบฉับพลันในแบบที่ข้าไม่รู้ความหมาย ซึ่งข้าก็ไม่ได้สนใจจะถามเองด้วย เพราะตอนนี้ข้าได้ก้าวออกไปจากบาเรียป้องกัน และหยุดยืนประจันหน้ากับเจ้าผู้บุกรุกนี่เรียบร้อยแล้ว
“…เฮ้ย ไอ้ลูกคุณหนูนี่ใคร ทำไมเราไม่คุ้นหน้าแกเลยวะ”
“ไม่ใช่นักวิจัยในสถาบันนี้ครับลูกพี่”
“ลูกหลานของพวกรัฐบาลเปล่าวะพี่?”
“ไม่น่าใช่ว่ะ ฉันไม่เห็นจะจำได้ว่ามีเด็กคนนี้อยู่ในเครือญาติของไอ้แก่พวกนั้นด้วย เชื่อเหอะ หน้าสวยแบบนี้ ถ้าเคยเจอต้องจำได้แม่นแน่”
“เราก็ลองถามมันดูสิวะ-- แล้ว เออ พ่อหนุ่มน้อยอย่างเธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่กันจ๊ะ?”
“นั่นควรเป็นคำถามของข้ามากกว่า” ข้าเอ่ยเสียงเรียบนิ่งยามมองไปยังหญิงสาวชาวมนุษย์ที่ดูอ่อนล้ามากนัก ยิ่งข้าเดินมาอยู่ใกล้ๆ เช่นนี้ก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่านางต้องเจอเรื่องโหดร้ายมาหนักแน่นอน “พวกเจ้ากระทำการอุกอาจมากเลยนะ ไม่กลัวนายพลทามัลจะตามมากระทืบยกฝูงหรือไง?”
พอสิ้นคำ ไม่รู้ว่าคำถามของข้าตลกตรงไหน พวกมันถึงได้พร้อมใจกันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา ระคายหูชิบ
“ไอ้ตัวประหลาดนั่นน่ะเรอะ! แกคิดว่าเราโง่หรือไง ตอนนี้มันไม่อยู่บนดาวโลกใหม่แล้วใช่มั้ยล่ะ! ฮ่าๆๆ!! เพราะไม่มีใครคุ้มกะลาหัวพวกนักวิจัยลวงโลกเพื่อนแกแล้วก็ไอ้พวกรัฐบาลโลกแก่ๆ นั่นอีกแล้ว พวกเราถึงสบโอกาสโจมตียังไงล่ะ! จะบอกให้เอาบุญนะว่ากว่าเราจะซ่องสุมกำลังพลได้ขนาดนี้ก็กินเวลาไปตั้งสองทศวรรษเลยทีเดียว โชคดีของเราที่ได้ตัวนังนี่มาไว้ในกำมือตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน พวกเราถึงสามารถสร้างเครื่องวาร์ปมาบุกที่นี่ได้แบบพวกแกไม่ทันตั้งตัวยังไงล่ะ!”
มันประกาศก้องราวกับพยายามข่มขวัญให้รู้กันทั่วทุกคน ข้าเงยหน้ามองฟ้า และเห็นโดรนรูปร่างคล้ายนกลอยบินวนอยู่เหนือขึ้นไปสูงลิบลิ่ว ไม่รู้ว่าพวกมันมีไว้ทำอะไรแต่เห็นแล้วอุ่นใจพิกล
“วันนี้ล่ะ ศูนย์วิจัยนี่จะเป็นฐานทัพใหม่ของกองกำลังเรา และพวกแกก็จะเป็นตัวประกันของเรา!”
หนึ่งในพวกมันกระชากหัวของหญิงสาวอย่างแรงจนหล่อนต้องส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มีเสียงตะโกนกร้าวดังแว่วมาจากทางประตูข้างหลังมากขึ้น และมือของข้าก็กระตุกอีกครั้ง
“ถามจริง? แค่นายพลไม่อยู่บนดาว เจ้าก็เลยไม่กลัวผู้คุ้มครองผู้อื่นไปด้วยงั้นสิ? อย่างผู้บัญชาการดันสตัน--”
“โอ้ย! ไม่ใช่ว่าไอ้แก่นั่นกำลังติดแหง็กอยู่อีกซีกโลกนึงอยู่ตอนนี้หรอกเรอะ อย่าหวังจะให้มันนำกองทหารมาที่เขตนี้ง่ายๆ เลยไอ้หนู สิงโตถ้าแก่แล้วก็ไร้ประโยชน์ แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงไอ้ด็อกเตอร์ผมทองนั่นด้วยเหมือนกัน พวกเรารู้นะว่าไอ้ตัวอันตรายนั่นยังติดอยู่ที่ศูนย์วิจัยในเขตห่างไกลสุดขอบชายพรมแดนตอนนี้ ช่วยไม่ได้นะ พวกแกไม่ยอมเอาหุ่นปราบปรามมาปกป้องศูนย์วิจัยให้เยอะกว่านี้เองนี่หว่า สมน้ำหน้าพวกแกแล้ว!”
อาวุธอันตรายถูกชูขึ้นสูงเหนือหัวของหญิงสาว หล่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้น และข้าก็มองเห็นความเจ็บปวดภายในแก้วตาสีดำที่สั่นไหวคู่นั้น มีเสียงกระท่อนกระแท่นเล็ดรอดออกมาจากปากที่แตกระแหง
“…ได้โปรด ลูก-- ลูกชายฉัน” หล่อนพยายามเอื้อมมือสั่นๆ ไปจับผู้ที่กระชากผมของตนไว้ “ฉัน-- พาแกมาที่นี่ได้แล้ว สร้างเครื่อ-- วาร์ป ให้แล้ว อาวุธ-- ให้แล้ว… ปล่อยลูกฉันเถอะ เขายังเด็ก แค่-- สิบขวบ ได้โปรด-- โอ้ย!!”
“หุบปาก!! พล่ามอะไรอยู่ได้น่ารำคาญ! เดี๋ยวปั๊ดเชือดไก่ให้ลิงดูซะเลยนี่ ฉันเห็นแล้วว่าไอ้เด็กผมดำที่ประตูหน้านั่นลูกชายคนโตของแกเองใช่ไหม อยากให้มันเห็นแม่ตัวเองถูกเชือดคอหรือไงวะ!”
หญิงสาวพลันกรีดร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง มือของผู้บุกรุกคนหนึ่งเงื้อขึ้นสูงเหนือใบหน้าของเธอ ข้าตัวแข็งทื่อ รู้แก่ใจดีว่าไม่ใช่เพราะความกลัว
“พวกแกต้องชดใช้ที่พวกเราถูกถล่มเละเมื่อยี่สิบปีก่อน! เฮ้ย ไอ้เด็กหัวหงอก! ตะโกนบอกให้ไอ้พวกนักวิจัยเพื่อนแกตรงนั้นยอมจำนนซะ ไม่งั้น--!!”
ฉับ
แล้วในวันนี้ข้าก็ได้รู้ ว่าเลือดของมนุษย์ในโลกใหม่มีสีแดง
น่าประหลาดใจนัก พิจารณาจากกลิ่นเหล็กที่โชยมาแล้วข้าคิดว่ามันจะเป็นสีอื่นเสียอีก เจ้าอันซานอุตส่าห์โม้ไว้ซะดิบดีเรื่องยีนกลายพันธุ์อะไรนั่น เอ จะว่าไปแล้ว เลือดของเจ้าลูกครึ่งนั่น… เป็นสีอะไรกันนะ?
มีเสียงกรีดร้อง แต่ไม่ได้มาจากตัวประกัน ตามมาด้วยคำโอดครวญว่า ‘มือฉัน! แขนฉัน!’ ทำเอาข้าถอนหายใจฉับพลัน
“อย่าทำเป็นสำออยหน่อยเลยน่า ก็แค่แขนขาดเอง ไม่ได้จะตายทันทีสักหน่อยทำมาเป็นร้อง ขนาดหญิงผู้นั้นร่ำไห้เจ้ายังบอกให้นางหุบปากอยู่เลย เจ้าก็ลองหุบบ้างสิ”
เจ้าคนที่เพิ่งเสียแขนข้างหนึ่งไปหยกๆ ทรุดลงพื้น ท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนฝูงมันที่มองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อมีใครสักคนพยายามร้องตะโกน ข้าก็ตัดเส้นเสียงมันเป็นรายต่อไป
มือของมนุษย์เลือนหาย ปรากฏอุ้งกรงเล็บคมกริบของมังกรแทน ข้าสะบัดอุ้งมือทั้งสองข้าง แล้วแขนของผู้บุกรุกที่กระชากรั้งร่างของหญิงสาวเอาไว้ก็พลันขาดสะบั้นอย่างง่ายดาย
อะ-อ้ากกกก!!
ข้าไม่สนใจเสียงกรีดร้องระคายหู แล้วพุ่งไปรับร่างอ่อนแรงของหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้กระแทกพื้นได้ทันท่วงที เมื่อยกร่างของนางขึ้นอุ้มได้ถนัดแล้วข้าก็กระโจนพรวดกลับไปยังประตูกระจกหน้าอาคารได้ภายในพริบตา
นักวิจัยที่มาออกันอยู่ตรงประตูพากันผงะเฮือก เมื่อข้าทิ้งดิ่งลงมาเบื้องหน้าพวกเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ยังไม่มีใครรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ แต่ข้าไม่สนคนอื่น สิ่งเดียวที่สนคือเด็กหนุ่มที่ยังคงลงมือทุบกระจกหนาอย่างรุนแรงและไม่ละสายตาไปจากมารดาของตนแม้นเพียงนาทีเดียว เด็กคนนั้นยิ่งกระแทกตัวแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อข้าเดินเข้าไปใกล้
“ประตูล็อก!!” เด็กหนุ่มพยายามตะโกนบอกข้า ในสิ่งที่แทบจะเรียกว่าปัญหาของข้าไม่ได้เลยสักนิด เพราะเพียงแค่ข้าดึงอุ้งมืออกมาทางด้านหน้าข้างหนึ่ง แล้วสะบัดกรงเล็บออกไป กระจกกันกระสุนระดับสูงสุดและหนาที่สุดก็พลันถูกกรีดกระชากไปในพริบตาเดียว
กลายเป็นว่าประตูทั้งบานหายวับ เหลือเพียงรอยกรงเล็บคมห้ารอยที่กรีดลึกไปถึงผนัง และแสงสีแดงก็มาพร้อมเสียงไซเรนดังก้องไปทั่วอาคารในทันที
“แม่!!”
เด็กผมดำในชุดนักวิจัยวิ่งพรวดมาหาร่างในอ้อมแขนของข้า ซึ่งก็ยอมวางนางลงพื้นอย่างนุ่มนวลให้ทันที ข้าเดินออกห่างไปแค่เพียงไม่กี่เก้าเท่านั้น และเห็นว่ามีคนอื่นๆ วิ่งมาช่วยดูหญิงสาวมากขึ้น ชายคนหนึ่งกล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดกับข้า “นะ นี่เธอ--”
“ไอ้เด็กเ**!! แกต้องชดใช้!!”
ข้าหันหลังกลับไป ทันเห็นว่าพวกมันกำลังเปิดการใช้งานอาวุธขนาดยักษ์นั่นแล้วเล็งมาทางพวกเรา ข้ามองอย่างสะใจที่เห็นพวกมนุษย์บางส่วนนอนจมกองเลือดและทำได้แค่ร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น จนพวกคนอื่นๆ ที่เหลือที่เพิ่งจะตามสถานการณ์ทันต้องมาคุมแทน
ข้ายังไม่ทันได้พุ่งออกไปเด็ดหัวพวกมันอีกครั้ง ก็มีมือใหญ่เอื้อมมาคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของข้าฉับพลัน เกือบสะบัดกรงเล็บออกไปไล่แล้วถ้าไม่ติดดวงตาสีทองคำร้อนระอุของเจ้านายพลเข้า แล้วข้าก็เพิ่งระลึกได้ว่ามันก็อยู่ที่นี่ด้วยนี่หว่า…
“เป็นอะไรหรือไม่ เอมารันไธน์?”
เอ่อ... ข้าจะเป็นก็ตอนเห็นสีหน้าของเจ้านี่แหละ
อันซาน-- ไม่สิ ท่านนายพลตอนนี้กำลังมีสีหน้าครึ้มมืดทะมึนเป็นอย่างมาก มองห่างเป็นโยชน์ยังรู้ว่าอารมณ์เสียสุดๆ แต่เขาก็ยังถามไถ่ข้าอย่างเอาใจใส่ ทั้งๆ ที่ดวงตาสีทองคำของเขาบอกอารมณ์ที่ร้อนทะลุปรอทไปไกลเกินยั้งแล้วตอนนี้
“เอาล่ะอันซาน ข้าก็จำได้แหละนะว่าเจ้าบอกไม่ให้ข้ามีเรื่อง แต่--”
“เจ้าไม่ผิดหรอก ไม่เป็นไร”
มือหนายกขึ้นมาลูบแก้มข้า เขาขมวดคิ้วมากกว่าเดิมอย่างไม่ชอบใจจนข้าต้องมองตามนิ้วของเขา แล้วก็เห็น-- เลือดสีแดงสดที่คงจะสาดกระเซ็นมาโดนใบหน้าของข้าอย่างไม่ทันรู้ตัว มิน่าล่ะพวกมนุษย์ในอาคารถึงผงะออกห่างไปเมื่อเห็นข้าพุ่งเข้าไปหา…
“พวกมันต่างหากที่ผิด”
หือ?
ร่างสูงใหญ่พลันยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ร่างกายกำยำภายใต้ชุดเครื่องแบบสีเข้มยิ่งแผ่พลังอำนาจ และข้าก็เห็นมัน… สายพลังสีทองคำที่กำลังเดือดพล่าน ดวงตาที่สาดแสงแรงกล้าดั่งดวงตะวันจับจ้องไปยังพวกกบฏที่กำลังเตรียมยิงอาวุธร้ายแรงมาทางนี้เช่นกัน
ศพไม่สวยแน่เจ้าพวกนั้น
ข้าไม่ไว้อาลัยให้หรอกนะ รู้ดีแก่ใจว่าข้าไม่ใช่มังกรที่มีจิตใจดีงามขนาดนั้น ไม่เหมือนท่านพ่อผู้อ่อนโยนต่อทุกสรรพสิ่งของข้า จะว่าไปแล้ว เรื่องอารมณ์รุนแรงแบบนี้ข้ามักจะได้ท่านแม่มามากกว่าเห็นๆ โดยเฉพาะความแปรปรวนดั่งพายุร้าย ขอยอมรับข้อเสียนี้อย่างเต็มใจเลย
แสงสีฟ้าดวงน้อยดีดตัวออกมาจากแหวนตรงนิ้วชี้ของข้า ร่างเหยียดยาวของปลาไหลมอเรย์โอบล้อมรอบกายข้าเอาไว้ราวกับผ้าผืนใหญ่
“ยอมออกมาแล้วหรือ บัทเลอร์ส?”
‘กำลังเสริมมาแล้วครับ’
ข้าหลุดขำน้ำเสียงของเจ้าเอไอโปร่งแสงอีกรอบ อะไรมันจะภูมิใจขนาดนั้น
“ฮุ่ยเล่ ฮุ่ย”
ข้ายกมือตบหลังเจ้านายพลเบาๆ แล้วส่งเสียงเชียร์ตามเจ้าเอไอ อันซานหันมาเหลือบมองข้าเพียงนิด แล้วขยับยิ้มเยียบเย็นที่ช่างดูดีอะไรแบบนี้นะ
“อยากได้อะไรหรือ เอมี่?”
“แลกกับของอย่างหนึ่งจากข้า ไปถล่มมันให้เละเลยนะ อันซาน”
ร่างสูงพลันหัวเราะในลำคอ ดวงตาแวววาวดุจสัตว์ร้าย ซึ่งสัตว์ร้ายตัวจริงก็มองอย่างชอบใจ
“ตกลง”
แล้วท่านนายพลก็พุ่งออกไป สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น คือความพินาศวอดวายของศัตรู