เขาทำหน้าที่อยู่ในดงศัตรูด้วยความจำใจ โดยไม่ให้เธอล่วงรู้ว่าความลับในการมาของเขาเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ แต่หากเขาเผลอรู้สึกกับลูกสาวศัตรูเกินความจำเป็นควรทำยังไงกันนะ
รัก,ดราม่า,แอคชั่น,ชาย-หญิง,เกาหลี,พระเอกเทพ,พระเอกหล่อ,พระเอกลูกหมา,พระเอกคลั่งรัก,หมอ ,ทหาร,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลังจากการเสียชีวิตของจองซูอาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คิมจุนยองได้แจ้งข่าวการเสียชีวิตไปทางครอบครัวของเธอให้ได้ทราบเป็นที่เรียบร้อย เมื่อทางญาติผู้ใหญ่ทราบเรื่อง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิติเตียนเขา ว่าเป็นต้นเหตุที่ดูแลเธอได้ไม่ดีพอ
เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องใด ทางญาติผู้ใหญ่ก็นึกถึงเพียงซูอา ไม่เคยมองสถานการณ์ของเขาเอาเสียบ้างเลย แต่ทางด้านคิมจุนยองเองก็ไม่ปฏิเสธความผิดนี้ เดิมทีเขาโทษตัวเองมากพออยู่แล้ว และเมื่อโดนตำหนิจากคนอื่นด้วย จึงกลายเป็นผสมโรงให้เขายิ่งโทษตัวเองหนักเข้าไปอีกเป็นเท่าตัว
เขาและจองซูอาเป็นคู่หมั้นที่ครอบครัวตกลงหมั้นหมายกันเอาไว้ตั้งแต่สมัยเรียน ทั้งที่ตอนนั้น เขามีสาวที่ถูกใจและคิดว่าจะตามจีบเธอคนนั้นแล้วก็เถอะ แต่สิ่งใดที่ครอบครัวของเขาร้องขอ เขาก็มักจะทำตามโดยไม่ขัดอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่อยากทำก็ตาม และในเมื่อทางญาติผู้ใหญ่ร้องขอเอาไว้ เขาจึงจำเป็นต้องให้สถานะจองซูอาว่าคือแฟนสาวคนหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นสถานะที่ควรจะเป็น ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้แสดงความรักเหมือนคู่รักคนอื่นก็เถอะ
จองซูอาเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน เรียบร้อย หน้าตาค่อนข้างดีเลยทีเดียว เขาเคยเจอเธออยู่ครั้งหนึ่งสมัยยังเป็นเด็ก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายโตมาจะงดงามเช่นนี้ ประกอบกับการที่ผู้ใหญ่ทางบ้านร้องขอด้วย จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขายอมตอบรับการหมั้นหมายแต่โดยดี
แต่ก็ไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่เรียกว่าความรักหรือเปล่า เพราะการที่เขาตกลงยอมคบกับเธอและให้สถานะแฟนสาว เหตุผลหลักมาจากเรื่องการคลุมถุงชนทั้งสิ้น และนอกจากนี้ เขาก็ไม่เคยเอ่ยถามจองซูอาว่าเธอคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ในวันที่หมั้นหมาย หากดูจากสีหน้าเรียบเฉยของเธอ จุนยองก็พอจะทราบว่าเธอไม่ได้มีใจรักเขาแม้แต่น้อย
แต่จากนิสัยของจองซูอาที่เป็นคนเดินตามคำชี้แนะของพ่อแม่ทุกอย่าง เธอไม่ได้พูดจาคัดค้านแต่อย่างใด จนในที่สุด พวกเขาจึงได้ลงเอยกันแบบนี้
แต่การโดนจับคลุมถุงชนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งสองก็แทบไม่ค่อยได้เจอด้วยซ้ำ เรียกได้ว่านับครั้งที่เจอหน้ากันได้เลยทีเดียว และสาเหตุส่วนใหญ่อาจเป็นเพราะหน้าที่การงานที่เวลาไม่ค่อยตรงกันด้วย จึงไม่ค่อยได้มีความทรงจำพิเศษร่วมกันนัก
เขาไม่ค่อยเข้าใจความรักมากนักหรอก เพราะความรักมันซับซ้อนเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจได้ แต่การที่เขามีความเศร้าจับจิตเช่นนี้ อาจเพียงรู้สึกสงสารที่เธอต้องมาตายจากไป แต่ในขณะที่เธอมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยมอบความรักให้เธอเลยแม้แต่น้อย...
ความรู้สึกที่เขาเคยรักหรือชอบพอใครสักคนมันก็ช่างเนิ่นนานมาแล้ว นอกจากนี้ ไม่ได้เกิดจากจองซูอาด้วย
.
.
.
- 9 ปีก่อน-
ท่ามกลางทิวเขาและหมู่แมกไม้อันเงียบสงบ เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้นเป็นจังหวะ ก่อนจะตามมาด้วยบทเพลงที่ใช้ร้องขับขานยามที่กำลังวิ่งไปพร้อมกับหมู่คณะ
พวกเขาคือนักเรียนนายร้อยที่ถูกครูฝึกออกคำสั่งให้มาวิ่งตั้งแต่เช้าตรู่
และหนึ่งนั้นก็รวมคิมจุนยองด้วย
ตั้งแต่เข้าเรียนมาได้สองปี และเลือกเหล่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลการเรียนของเขาค่อนข้างโดดเด่น เรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใครในรุ่นเลยทีเดียว จึงทำให้เขาได้คะแนนพิเศษจากบรรดาครูฝึกอยู่เสมอ ทุกเย็นวันศุกร์เขาจึงได้อภิสิทธิ์ในการกลับบ้านอยู่ตลอด
แต่ก็จะมีนักเรียนบางจำพวกที่โดนกักบริเวณอยู่เป็นประจำเช่นกัน
"จุนยอง วันศุกร์นี้ไปไหนหรือเปล่า" เพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น วันนี้เขาโดนกักบริเวณ สีหน้าจึงดูไม่ค่อยดีนัก ทั้งที่วางแผนเอาไว้ว่าจะได้กลับไปเที่ยวหาแฟนสาวของตน แต่ก็หมดสิทธิ์ทันทีที่ครูฝึกประกาศคำนี้ออกมา
"ไม่ได้มีแพลนไปไหนเป็นพิเศษนะ ทำไมเหรอ" ระหว่างที่เก็บของไปด้วย เขาก็หันถามเพื่อนของตนไปพลาง
"ฉันฝากนายเอาของไปให้เซวอนหน่อยได้ไหม"
"นายไม่ได้กลับอีกแล้วเหรอ"
"อืม ฉันก็เลยคิดว่า อยากฝากของไปให้เธอหน่อย เดี๋ยวเธอจะลืมฉัน อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้เจอกัน แล้วไม่มีอะไรไปทดแทนแหละนะ"
"ได้สิ ให้ไปที่ไหนล่ะ" คิมจุนยองดูจะไม่ปฏิเสธด้วย ไม่ว่าใครจะมาขอร้องอะไร เขาก็จะรับช่วยทุกครั้ง
"ย่านกังนัม โซนฮักวอนที่สอนพิเศษน่ะ เธอไปเรียนพิเศษแถวนั้นตลอดช่วงเลิกเรียน ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็จะอยู่แถวนั่นทั้งวัน"
"รับทราบ นายอยู่โรงเรียนก็ทำตัวให้ดีเข้าไว้ล่ะ บางมีอาทิตย์หน้าอาจได้หยุดกับเขาบ้าง"
"แกล้งกันมากกว่า..." สีหน้าของเขาหงอยมากกว่าเดิม เมื่อนึกถึงสิ่งที่ครูฝึกทำกับตน
"เอาเถอะ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับหนิ"
"อืม เดี๋ยวฉันจะบอกเซวอนล่วงหน้าแล้วกันนะ ว่าฝากนายเอาของไปส่งให้"
กล่าวจบก็ยื่นกล่องของขวัญชิ้นเล็กไปให้คิมจุนยองก่อนจะบอกลากันแล้วแยกย้าย
.
.
.
-ย่านกังนัม-
คิมจุนยองนั่งอยู่ในร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่เพื่อรอเวลาที่แฟนสาวของเพื่อนจะพักเบรคจากการเรียนและเดินมาเอาของ
ผ่านไปสักพักใหญ่ นักเรียนในฮักวอนก็ทยอยกรูออกมา บางคนกลับบ้าน แต่บางคนก็หาซื้ออะไรทานบริเวณแถวนั้นเพื่อที่จะกลับเข้าไปเรียนต่อ
"นาย...คิมจุนยองใช่ไหม?" เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังโต๊ะที่เขานั่งอยู่ ทำให้คิมจุนยองรีบหันกลับไปมองแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทันที
และด้วยสัดส่วนของเขาที่สูงโปร่งมาก จึงทำให้เธอต้องเงยหน้าเพื่อพูดคุยกับเขาเลยทีเดียว
"ครับ"
"ฉันเป็นเพื่อนของเซวอน วันนี้เซวอนไม่ได้มาเรียนเพราะป่วยน่ะ"
เด็กสาวตรงหน้าตัวเล็กดูบอบบางมาก ผมตรงยาวสลวย ผิวขาวนวลผ่อง หากมองดูก็จะรู้ได้ทันทีว่าเธอถูกเลี้ยงดูมาแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แต่นิสัยของเธอกลับมีบางอย่างที่ทำให้คิมจุนยองรู้สึกว่า เธอพร้อมจะพุ่งชนปัญหาที่เข้ามาอยู่เสมอ ไม่ว่าตัวจะเล็กบอบบางแค่ไหนแต่ก็สู้สุดใจอย่างไรอย่างนั้น
ดูอย่างตอนนี้ เขาเป็นผู้ขายที่ดูเหมือนจะอายุมากกว่าเธอประมาณหนึ่งถึงสองปี นอกจากนี้ยังตัวใหญ่กว่าและเป็นคนแปลกหน้า แต่เธอก็ยังพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีความกลัวเขาเลยสักนิด
"อ๋อ ถ้าอย่างนั้น..."
"ถ้าอย่างนั้น นายฝากของเอาไว้ที่ฉันก็ได้ เดี๋ยวฉันเอาไปให้เซวอนที่โรงเรียนเอง"
เขายังไม่ทันเอ่ยจบประโยค เธอก็ต่อเติมมันได้เสร็จสมบูรณ์เสียแล้ว ราวกับกำลังเร่งรีบมาก
"ค...ครับ..." ด้วยความไม่ค่อยได้คุยกับผู้หญิงสักเท่าไหร่ เขาจึงวางตัวไม่ค่อยถูก จึงแสดงออกมาในท่าทางเก้ๆ กังๆ แทน
เขายื่นกล่องของขวัญอันเล็กไปให้คนตรงหน้า แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถามชื่อเธออีกครั้ง "คุณชื่ออะไรเหรอครับ"
"คิก ทำไมนายสุภาพจัง" เธอหัวเราะให้กับท่าทางแสนหน่อมแน้มของเขา
"แล้ว...มันไม่ดีเหรอครับ"
"ก็น่ารักดี..."
"-///-"
"ฉันชื่อฮันน่า เอ่อ...ไปก่อนนะ ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว" หลังจากนั้นเธอก็รับของแล้ววิ่งออกไปจากร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่
เขารีบวิ่งตามเธอออกไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้สติจึงครุ่นคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
เขามองตามเธอที่เดินไปต่อแถวตรงร้านชานมไข่มุก ท่าทางของเธอดูร้อนรน ดวงหน้าสวยเงยหน้ามองป้ายร้านพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองอยู่ไม่ขาด
และแล้วในที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้กับการต่อแถวนั้น แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในสถาบันกวดวิชา
เมื่อคิมจุนยองเห็นดังนั้น เขาก็พยายามหาข้อมูลทันทีว่าเธอจะเลิกเรียนและออกมาตอนไหน แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถทราบได้ เขาจึงต้องรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปถามเด็กมัธยมแถวนั้นแทน
"ขอโทษนะครับ สถาบันนั้นตอนนี้เขาเรียนวิชาอะไรกันเหรอครับ"
"อ๋อ คณิตศาสตร์ค่ะ"
"แล้วพอจะทราบไหมครับว่าเลิกกี่โมง"
"คณิตน่าจะใช้เวลาเรียนสามชั่วโมงค่ะ เริ่มไปนานหรือยังล่ะคะ"
"อ่อ...สักพักแล้วครับ ขอบคุณมากครับ"
หลังจากสอบถามเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปนั่งรอเธออยู่ตรงโซนอ่านหนังสือ ที่พวกนักเรียนชอบมานั่งติวกันระหว่างรอเข้าเรียน
คิมจุนยองก้มมองนาฬิกาแทบจะตลอดเวลา
1 ชั่วโมง 15 นาที
1ชั่วโมง 30 นาที
.
.
และเมื่อเวลาผ่านไปได้ 2 ชั่วโมง 45 นาที เขาก็ออกไปยืนต่อแถวเพื่อซื้อชานมไข่มุกร้านนั้น
ครบสามชั่วโมง คนที่เขาเฝ้ารอก็เดินออกมาด้วยท่าทางอิดโรย เธอบิดขี้เกียจขจัดความเมื่อยล้า แล้วเดินไปหาม้านั่งเพื่อผ่อนคลาย
คิมจุนยองที่เฝ้ามองอยู่ก็ยกยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเดินตรงเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เธอ และวางแก้วชานมไข่มุกที่เธออยากจะทานหนักหนาในตอนแรกส่งไปให้ด้วย
แววตาเธอเปล่งประกายทันทีที่ได้รับมันไป พร้อมกับเอ่ยขอบคุณคิมจุนยองด้วยแววตาสดใส แต่แล้วก็เกิดคำถามขึ้นในใจ
"นายยังไม่กลับอีกเหรอ"
"อ...อ๋อ พอดี มีธุระต้องอยู่ต่อน่ะ" เขาพยายามหาข้ออ้างให้ฟังดูขึ้น ก็ถ้าบอกว่าอยู่เพื่อรอซื้อชานมไข่มุกให้เธอ มันก็ออกจะน่ากลัวไปเสียหน่อย
"ธุระเหรอ...แล้วนายทำธุระเสร็จหรือยังล่ะ ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม"
"ด...ดูเหมือนจะเสร็จแล้วล่ะ" เขาเอ่ยขณะที่มองเธอยกชานมไข่มุกขึ้นดื่ม
"บ้านนายอยู่แถวนี้เหรอ"
"เปล่าหรอก อยู่คังวอนโดน่ะ"
"นี่มันกี่โมงแล้วรู้ตัวไหม ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นนายจะพลาดรถเที่ยวสุดท้ายนะ" เธอจับแขนคิมจุนยองให้ลุกขึ้นยืนและลากเขาไปที่ยังสถานีรถไฟใต้ดินทันที
"นี่ เดี๋ยวสิ ผมควรไปส่งคุณมากกว่านะ" เขาหันกลับมาบอกลีฮันน่าขณะที่ยังเดินอยู่ จึงอยู่ในท่าทางเดินถอยหลังแทน
"แล้วนายจะนอนข้างถนนหรือไง" ลีฮันน่ากอดอก
"ผมหาทางกลับเองได้"
"ไม่ต้องเลย รีบไปซื้อตั๋ว" เธอลากเขาไปที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วทันที ถึงแม่ว่าคิมจุนยองจะอิดโรยในการเดินตามก็เถอะ
เขายังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้สักหน่อย
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกไม่กี่นาทีรถไฟก็จะเข้าเทียบชานชาลา ทั้งสองจึงจำเป็นต้องบอกลากันเพียงเท่านี้
"ขอบคุณสำหรับชาไข่มุกนะ" เธอยิ้มให้เขาแล้วโบกมือลา รู้แก่ใจอยู่แล้วล่ะ ว่าเขานั่งรอเพื่อจะซื้อชานมไข่มุกแก้วนี้ให้กับเธอ
ซึ่งก็ทำให้เธอใจเต้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
"ถ้างั้น ผม...ไปนะ" เขาโบกมือลาก่อนจะเดินหายเข้าไปในชานชาลารถไฟ
คิมจุนยองนั่งคิดถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองทำในวันนี้แล้วก็นึกขำขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาสุขใจอยู่เพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอข้อมูลการติดต่อของเธอเลย
ในเย็นวันอาทิตย์ เมื่อเขากลับเข้าโรงเรียนนายร้อย หลังจากช่างใจอยู่นาน สุดท้ายก็ต้องเดินไปบอกเพื่อนร่วมรุ่นที่มีแฟนสาวเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับฮันน่าว่า
"วันศุกร์นี้ ถ้านายได้หยุด ฉันขอไปด้วยนะ"
แต่เมื่อปักใจชอบใครอย่างจริงจังแล้ว โชคชะตาก็มักจะเล่นตลกอยู่เสมอ
.
.
.
'จุนยอง วันศุกร์ตอนเย็นรีบกลับบ้านนะ พ่อนัดดูตัวให้กับลูกสาวเพื่อนพ่อ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็หมั้นกันให้เรียบร้อย ก่อนที่ลูกจะกลับเข้าโรงเรียนอีกครั้งเลยแล้วกัน'
.
.
.
-คิมจุนยอง-
เรื่องการสูญเสียที่เกิดขึ้น ถ้าหากคิดว่าผมจะนั่งร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนบ้า ผมบอกได้เลยว่าไม่มีทางซะหรอก เพราะสิ่งเหล่านั้นมันไม่ใช่ผม แต่หากว่าด้วยความรู้สึกผิดนั้น มันจับจิตผมตลอดเวลา
ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ควรโทษตัวเองในด้านไหน ว่าผมเป็นคนรักที่ไม่ดี ไม่เคยใส่ใจเธอเลย จะเจอหน้ากันแต่ละทีก็นับครั้งได้ จนต้องมานึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านไป หรือจะโทษตัวเองที่ทำงานบกพร่อง ไม่สามารถนำภารกิจให้สำเร็จได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ถึงแม้ว่าผมจะไม่ร้องไห้ฟูมฟาย แต่ลูกทีมของผมกลับไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาเป็นห่วงผมกันยกใหญ่ สลับกันมาอยู่เป็นเพื่อนผมตลอดเวลา ซึ่งผมก็รู้สึกขอบคุณในเรื่องนี้ แต่หากให้พูดกันตามตรง มันบรรเทาส่วนที่ผมรู้สึกผิดได้ไม่ตรงจุดเท่าไหร่นัก
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจากหนึ่งสัปดาห์กลายเป็นหนึ่งเดือน แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคืนกลางดึกผมก็ยังฝันร้ายในภาพเดิม ๆ อยู่เสมอ
"ซูอา! ผมขอโทษ!"
ให้ตายเถอะ กลางดึกกลางดื่นก็นอนไม่ค่อยจะหลับ ช่วงนี้ผมหลับไม่ค่อยเต็มอิ่มนัก เพราะภาพฝันตอนที่ซูอาถูกยิงฉายวนซ้ำไปมาราวกับตามหลอกหลอนไม่ให้ผมได้มูฟออนไปไหน
แต่ในภาพฝันนั้น เพิ่มเติมจากความเป็นจริงตรงที่ เธอเดินมาหาผมภายใต้ชุดสีขาวที่สวมใส่ในวันที่จากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเด่นชัด หลังจากเดินเข้ามาใกล้เธอก็คว้ามือของผมไปกอบกุมก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างที่เป็นเธอว่า "นายอย่าโทษตัวเองไปเลยนะจุนยอง เรื่องนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของนาย" หลังจากพูดจบ เธอก็หันหลังแล้วเดินจากผมไป
ไม่รู้สิ มันอาจเป็นภาพที่จิตใต้สำนึกของผมปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเองให้รู้สึกดีขึ้นก็ได้ ในความเป็นจริงแล้วเธออาจไม่ได้คิดแบบนั้น
แต่การที่ภาพฝันนี้ฉายวนซ้ำอยู่ทุกค่ำคืน ถ้าหากคิดว่ามันเป็นการหลอกหลอน ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองก็สมควรโดนแล้ว เพราะอย่างน้อยก็ถือเป็นการทดแทนช่วงเวลาที่ผมไม่ค่อยมีให้เธอ
ยิ่งย้อนภาพฝันไปเรื่อย ๆ วันดีคืนดี ผมก็รู้สึกสงสัยเข้าว่าสิ่งที่ซูอากล่าวขอโทษในตอนนั้นคือเรื่องใด แล้วคนอย่างกลุ่มนักการเมืองพวกนั้นไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ค้าอาวุธได้อย่างไร
และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำแปลก ๆ ผมจึงเริ่มยกเอกสารของภารกิจในครั้งนั้นมาพิจารณาอีกครั้ง ก่อนจะจับจุดแปลก ๆ ได้
"ลีมูฮยอกคนนี้ คงไม่ใช่แค่เหยื่อธรรมดาสินะ"
ผมจับปากกาไฮไลต์ก่อนจะขีดลงบนรายการข้อมูลการติดต่อที่น่าสงสัย โดยพบว่ามีเบอร์แปลกที่ลักษณะตัวเลขลงท้ายคล้ายกันโทรติดต่อกับลีมูฮยอกทุก ๆ สองครั้งต่อสัปดาห์ คือทุกวันวันอังคารและพฤหัส
หลังจากแน่ใจแล้วผมก็เดินถือข้อมูลนั้นตรงไปที่ห้องฝ่ายไอที ตอนแรกผมว่าจะลองค้นด้วยตัวเอง แต่หลังจากเปิดประตูห้องไอทีออก ก็เจอบุคคลที่ดูเหมือนจะไว้ใจได้นั่งอยู่ในนั้น
ผมเห็นเธอกำลังจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ชนิดที่ตาไม่กระพริบ จึงลองแกล้งทักเพื่อให้เธอรู้ตัว
“ดึกดื่นยังไม่นอนอีกเหรอ”
“บอกตัวเองก่อนเถอะ ว่าแต่มาห้องนี้ทำไม มีอะไรให้ช่วยเหรอ”
ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวเหลือเกิน เธอพูดราวกับอ่านความคิดของผมได้อย่างเฉียบขาด แต่โดยปกติแล้วผมก็ไม่ได้มาป้วนเปี้ยนแถวนี้บ่อยอยู่แล้ว การที่ผมมาปรากฎตัวอย่างนี้ก็คงไม่แปลกที่เธอจะถามว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือเปล่า
"ตรวจสอบข้อมูลการติดต่อนี้ให้หน่อย" ไหน ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอให้ช่วยตรง ๆ เลยแล้วกัน
"สักครู่นะกัปตัน" ผู้หมวดยุนเซยอนรับข้อมูลจากมือของผมไปถือไว้ ก่อนจะรีบค้นหาผ่านโปรแกรมแกะรอยซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในหน่วยพิเศษ ซึ่งผู้พัฒนาก็คือตัวเธอเองนั่นแหละ
เรียกได้ว่าเธอทั้งเก่งกาจและฉลาดเฉลียวเพราะเหตุนี้หรือเปล่าเจ้าฮอคอายจึงหลงเสน่ห์ของเธอเข้าอย่างจัง
"อืม...นี่เป็นซิมเถื่อน ไม่ระบุตัวตน"
ชัดเจนแล้วล่ะ ถ้าหากไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี จะต้องใช้ซิมที่ปกปิดตัวตนไปเพื่ออะไร แต่จะกล่าวหาว่าผมอคติก็ย่อมได้ ผมไม่เถียง เพราะจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันทำให้ผมปักใจแก้ต่างให้ลีมูฮยอกไม่ได้จริง ๆ
การติดต่อนี้ ต้องเป็นการติดต่อกับกลุ่มผู้ค้าอาวุธอย่างแน่นอน
“กัปตัน...กำลังตามสืบเรื่องอะไรอยู่เหรอ” เธอเอ่ยถาม ทำเอาผมอึกอักที่จะตอบ และต้องพยายามเลี่ยงประเด็นนี้
"ไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร"
“นายกำลังตามสืบเรื่องลีมูฮยอกอยู่ใชไหม...”
"ไม่ใช่ เข้าใจผิดแล้ว"
พูดจบผมก็พยายามเลี่ยงออกมาจากห้องไอที แต่ผู้หมวดยุนก็ยังเดินเข้ามาขวางทางผมเอาไว้
“ฉันอยากช่วย”
สิ้นประโยคคำพูดของเธอ ผมก็รีบหันกลับไปสวนทันที
“เซยอน เรื่องนี้เธอไม่เกี่ยว อย่ายุ่งดีกว่า”
“เห็นไหมล่ะ คิดเอาไว้แล้วไม่มีผิด นายตามสืบเรื่องลีมูอยอกจริงด้วย”
โอ๊ย หลุดออกมาจนได้สินะคิมจุนยอง ไม่เคยเก็บความลับจากเธอคนนี้ได้เลยสักครั้ง ให้ตายเถอะ
“ขอเถอะเซยอน ถ้าเธอเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ทุกคนก็จะแห่กันเข้ามามีส่วนร่วมหมด...”
“แต่พวกเราทีมเดียวกัน ว่าที่พี่สะใภ้ต้องมาตาย ถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง พวกเราก็อยากจะช่วยเหมือนกัน”
“เรื่องนั้นฉันจะจัดการเอง เธอไม่ต้องยุ่งหรอก”
อาจฟังดูเหมือนผลักไสน้ำใจ แต่ผมจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเพื่อไม่ให้พวกลูกทีมต้องเข้ามาเสี่ยง
“เมื่อไหร่นายจะเรียนรู้ได้สักที ว่านายคนเดียวเปลี่ยนอะไรไม่ได้”
“มีเธอก็ไม่ต่างกันหรอก สู้ให้ฉันเสี่ยงคนเดียวดีกว่าต้องดึงพวกเธอเข้ามาลงเหวด้วย”
“ใช่ แต่อย่างน้อย นายก็ไม่ต้องจมเหวคนเดียวนะ”
“....” ผมไม่อาจยอมตกลงกับเธอได้ เพราะหากอ้างอิงตามหลักของกฎหมายแล้ว สิ่งที่ผมกำลังจะลงมือทำ มันไม่ค่อยถูกกฎเกณฑ์สักเท่าไหร่
“ให้พวกเราช่วยเถอะจุนยอง ทุกคนในทีมเป็นห่วงนายกันหมดเลยนะ”
สิ้นประโยคคำพูดของเธอ ลูกทีมแต่ละคนก็ทยอยเดินเข้ามาเรียงแถว
“ใช่ครับหัวหน้า ให้พวกเราได้ช่วยเถอะ”
ถึงแม้ว่าทุกคนจะทราบดีว่าเรื่องนี้มีความเสี่ยงมากแค่ไหน แต่ก็ยังยืนกรานหนักแน่นว่าจะช่วย แต่ผมในฐานะหัวหน้าทีมจะเห็นแก่ตัวยอมรับความช่วยเหลือที่อาจมีผลต่อหน้าที่การงานของพวกเขาได้อย่างไร
“เอาเป็นว่า พวกนายอยู่ในกองทัพต่อไป ถือว่าเป็นการช่วยฉันแล้วกันนะ”
ผมตบบ่าพวกเขาแต่ละคนแล้วเดินจากไป ปล่อยให้พวกเขายืนเซ้าซี้อยู่อย่างนั้น
หลังจากได้อ่านข้อมูลคำให้การของกลุ่มสมาชิกพรรคการเมืองที่โดนจับไปเป็นตัวประกันแล้ว ผมได้แบ่งข้อสันนิษฐานออกเป็นสองกรณี อย่างแรกคือความไม่ลงรอยกันในเรื่องธุรกิจระหว่างลีมูฮยอกและกลุ่มผู้ค้าอาวุธ ซึ่งกรณีนี้อาจมีความเป็นไปได้สูง ส่วนกรณีที่สอง กลุ่มผู้ค้าอาวุธนี้อาจถูกว่าจ้างมาจากพรรคคู่แข่งของลีมูฮยอกให้ทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ และในส่วนจองซูอานั้น เธอถูกจ้างไปทำหน้าที่เป็นพยาบาลส่วนตัวของลีมูฮยอก และอาจอยู่ผิดที่ผิดเวลาระหว่างที่อาจเกิดเหตุทั้งสองกรณีข้างต้น
แต่ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็แล้วแต่ มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ซูอาต้องมาข้องเกี่ยวกับอันตราย หากไม่ใช่เพราะลีมูฮยอกมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย จองซูอาก็คงไม่ต้องมาเสี่ยงอันตรายและถูกฆ่าตายไปในที่สุด
ยิ่งพิจารณาผมก็ยิ่งคิดไม่ตกว่านี่หรือ...คือคนที่จะมาดูแลประชาชนและบริหารประเทศชาติ
ไม่ว่าอย่างไรก็ยอมไม่ได้เด็ดขาด...
.
.
.
อีกด้านหนึ่งในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยยุลเซ
หญิงสาวเดินเข้าออกห้องตรวจของคนไข้พร้อมรอยยิ้มแสนหวาน หากใครมองดูก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าวันนี้ดูเหมือนจะเป็นวันที่ดีของเธออย่างแน่นอน
ใช่แล้ว ต้องเป็นวันที่ดีสิ เพราะคนไข้ที่เธอให้การรักษามีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คนเป็นหมออย่างเธอมีหรือจะไม่ยินดี และท่ามกลางกลุ่มอาจารย์หมอและนักศึกษาคนอื่น ดวงหน้าสวยของเธอดูโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดต่อผู้พบเห็นมากยิ่งนัก
“ฮันน่า เดี๋ยวเธอตามเคสนี้ต่อนะ”
“ได้ค่ะอาจารย์”
เธอทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเข้าปีที่สามได้แล้ว หลังจากจบจากการเป็นแพทย์ฝึกหัด ก็เริ่มศึกษาต่อเฉพาะทางทันที และในตอนนี้เธอก็เป็นแพทย์เฉพาะทางปีหนึ่งแล้ว
แต่ละวันค่อนข้างยุ่งวุ่นวาย หนักไปทางเก็บเคสวิทยานิพนธ์บ้าง แต่เรื่องนั้นเธอก็ตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่โดยไม่เกี่ยงเลยสักนิด ถึงแม้ว่าจะมีพ่อเป็นถึงนักการเมืองผู้ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งปรานาธิบดี แต่เธอไม่เคยวางอำนาจใส่คนอื่นเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งทางครอบครัวของเธอก็ไม่ได้เปิดเผยกับสื่อภายนอกด้วยว่า เธอคือลูกสาวของลีมูฮยอก
การเข้าศึกษาต่อในคณะแพทย์ของเธอค่อนข้างขัดกับอุดมการณ์ของผู้เป็นพ่ออย่างมาก เพราะเขาอยากให้เธอเรีนคณะอื่นที่จะมาช่วยบริหารงานของที่บ้านได้เสียมากกว่า แต่ทว่าในภาพจำของลีฮันน่านั้น เธอรู้สึกว่าครอบครัวของตัวเองค่อนข้างโหดร้ายและเอาเปรียบคนอื่นมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่ของเธอแล้ว เธอจึงอยากแตกต่าง จึงตัดสินใจเลือกสายอาชีพที่แหวกแนวไปจากรุ่นคุณปู่และคุณพ่อที่มักจะคอยกล่าวย้ำเตือนเสมอกับเธอเสมอว่าต้องเป็นนักการเมืองรุ่นที่สามต่อจากพวกเขาให้ได้นะ
แต่ดูผลลัพธ์ที่พวกเขาได้เป็นการตอบแทนสิ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ และดูเหมือนว่าประเด็นนี้จะทำให้ลีมูอยอกแทบคลั่งอยู่ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ลีฮันน่ากลับรู้สึกสนุกเป็นอย่างมากที่สามารถต่อต้านครอบครัวของตัวเองได้สำเร็จ
หลังจากลีฮันน่าเข้าศึกษาต่อในคณะแพทย์ ลีมูฮยอกก็เฉดหัวไล่เธอออกจากคฤหาสน์ตระกูลลี เนื่องจากเขามีความคิดว่า หากไล่ต้อนเธอจนไม่มีทางไปแล้ว เธอจะกลับมาเข้าลู่เข้าทางที่ตัวเองขีดเส้นปูพรมเอาไว้ให้
แต่เปล่าเลย...
ยิ่งเขาทำอย่างนั้น ลีฮันน่าก็ยิ่งดิ้นรนหนักขึ้น เธอสอบชิงทุนการศึกษาที่ให้เปล่าโดยไม่ต้องชดใช้ทุนคืนเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังใช้เงินเก็บสะสมบางส่วนซื้อคอนโดที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เรียกได้ว่าพึ่งพาตัวเองได้สำเร็จ และในเมื่อเรื่องราวกลายเป็นอย่างนี้ ลีมูฮยอกก็รู้สึกหัวเสียเข้าไปใหญ่
“ฮันน่า” หลังจากเดินออกมาจากวอร์ดไอซียูศัลย์ ร่างสูงที่ยืนพิงกระจกรออยู่ตรงข้างประตูห้องก็เอ่ยเรียกเธอ
“พี่ซูโฮ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธอยิ้มแย้มให้เขา
“สักพักได้แล้วล่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้มีหมูทอดด้วยนะ” เขาพยายามทำตัวให้สดใสร่าเริงเข้าไว้ เมื่อเห็นว่าลีฮันน่าเองก็สดใสไม่แพ้กัน เขาจึงคิดว่าเธอรู้เรื่องนั้นแล้วแต่ทำเป็นกลบเกลื่อนเอาไว้
“จริงเหรอคะ งั้นรีบไปกันเถอะค่ะ” ดวงตาเธอเป็นประกายหลังจากได้ยินแบบนั้น ก่อนจะรีบสับขาก้าวเดินตรงไปยังโรงอาหารอย่างรวดเร็ว สำหรับเธอแล้ว เรื่องกินก็ถือเป็นเรื่องใหญ่พอตัว
“ค่อย ๆ กินก็ได้ ไม่ต้องรีบขาดนั้นหรอก”
“ต้องรีบกินก่อนโดนตามตัวสิคะ ของอร่อยขนาดนี้ ถ้าอดกินคงเสียดายแย่” หลังจากนั้นเธอก็คีบหมูทอดชิ้นโตขึ้นมาแล้วตักเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“....” ควอนซูโฮก้มหน้าก้มตา ช่วงนี้เขาไม่รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะอาการโศกเศร้าด้วย
“จริงสิ พี่ติดต่อพี่ซูอาได้ไหมคะ หนูส่งข้อความไปหาก็ไม่เห็นตอบกลับมาเลย เข้าไปที่บริษัทของคุณพ่อก็ไม่เจอพี่เลยค่ะ ว่าจะเอาหนังสือเล่มที่พี่เขาขอยืมไปให้อ่านสักหน่อย”
“....” ควอนซูโฮเงียบกริบ เขาก้มหน้าไปสักพักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้ายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ก็ไม่รู้ว่าเขาควรเอ่ยเรื่องนี้ให้คนตรงหน้าทราบหรือเปล่า แต่หลังจากเงียบอยู่นานก็ตัดสินใจบอกกล่าวจนได้
“เธอยังไม่รู้สินะ...” เขาเอ่ยถามเพื่อเช็คอีกรอบว่าเธอทราบเรื่องนี้หรือเปล่า
“รู้เรื่องอะไรเหรอคะ?” แต่ดูเหมือนจะไม่
“ซูอาเสียแล้ว”
“อ...อะไรนะ...” สิ้นประโยคคำพูดของควอนซูโฮ ลีฮันน่าก็เหมือนหูดับไปชั่วขณะ
“หลังจากบอกว่าต้องออกไปทำงานนอกพื้นที่วันนั้น พี่ก็เพิ่งรู้ข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง เพราะติดต่อเธอไม่ได้ก็เลยไปหาที่บ้านน่ะ”
สิ้นประโยคคำพูดของควอนซูโฮ เธอก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วรีบวิ่งออกจากโรงพยาบาลไปทันที
เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นความผิดของเธอ...