แฟนตาซี,ชาย-ชาย,ไทย,ข้ามเวลา,ตะวันตก,ความรัก,#BL,ความฝัน,แฟนตาซี,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
'ผม' ชื่อ ศรัน
เมื่อก่อน ผมเป็นเด็กมัธยมปลายที่ได้ทุ่มเทแรงกายอย่างสุดตัวให้กับการตั้งใจอ่านหนังสือติวข้อสอบเพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
ผมพยายามมาก มากจน จำไม่ได้ว่านอน และกินข้าวไปแล้วกี่ครั้งในหนึ่งวัน โชคยังดี ที่ผมค่อนข้างเรียนรู้เร็ว ทำให้ข้อสอบต่างๆ ที่อ่านได้เข้าไปยังส่วนสมองของตัวเองบ้าง
แต่สอบรอบนี้ ดันเป็นการสอบครั้งสำคัญของชีวิต ถ้าเกิดว่า ผมไม่สามารถสอบติดในรอบนี้ได้ ผม... ก็ไม่มีโอกาส ที่จะได้เรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้อีก
เนื่องด้วยจากคนที่มีความสามารถมากมาย ที่มีความรู้เพียบพร้อม และสมบูรณ์ส่วนใหญ่ในประเทศ ก็จะเลือกเข้ามาเรียนในมหาลัยวิทยาลัยแห่งนี้เป็นอันดับหนึ่ง
และความเป็นอยู่ที่นั่นก็ค่อนข้างจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง และความทันสมัยของเด็กในเมืองก็เทียบไม่ได้กับผมเลย เพราะซึ่งเด็กต่างจังหวัดอย่างผม ไม่สามารถที่จะหาเงินระดับนั้นมาได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน และก็เทียบฐานะความเป็นอยู่กับเด็กคนอื่นๆ ไม่ได้เลย ซึ่งรอบนี้ เป็นรอบที่เป็นความคาดหวังของผมมาก เพราะมันคือรอบทุนการศึกษา และผมก็มั่นใจมากว่ารอบนี้ ผมจะต้องทำได้
สุดท้ายแล้ว
ผมไม่ได้มีความมั่นใจที่สุดคนเดียวในโลกนี่นา ความหวังกับความสำเร็จ มันคนละเรื่องกันเลย
นั่นแหละครับ ชีวิตคร่าวๆ ของผม แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น
หลังจากที่ผมสอบรอบทุนไม่ผ่าน ผมก็ได้ตัดสินใจ เปลี่ยนมาเข้ามหาวิทยาลัยแถวบ้านแทน ถึงจะไม่ได้ดีเด่นอะไร แต่คนแถวนี้เขาก็เรียนกันเยอะแยะ จบมาก็กลับมาทำงานแถวบ้านนี่แหละ แถมค่าเทอมยังถูก และยังมีเงินเหลือกินเหลือใช้ไปยาวๆ ครอบครัวไม่ลำบากอย่างแน่นอน
และวันนี้...
เป็นวันที่ผม ต้องเป็นคนไปต้อนรับเพื่อนใหม่ ที่ย้ายหอพักมาอยู่ห้องเดียวกับพวกเพื่อน และผม
ได้ข่าวว่าเป็นคนที่ทั้งรวย ทั้งหล่อ และดูดีที่สุดในคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ หรือระดับมหาวิทยาลัยเลย ขนาดผมเรียนคณะเดียวกัน แต่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน เห็นเขาว่ากันว่า หาตัวยากมาก แถมยังเรียนดีตลอด ได้คะแนน A+ เป็นว่าเล่น อยากรู้จังเลย ว่าคนคนนั้นจะเป็นยังไง
แต่นี่ก็ไม่ใช่ประเด็น!
เพราะเรื่องวุ่นวายต่างๆ นานา กำลังจะเกิดขึ้น
" กูรอนานมากแล้วนะ! ไหนบอกว่าบ่ายสามจะมาไง นี่จะห้าโมงเย็นแล้วนะเว้ย?! "
" จะให้กูรออีกหน่อยหรอ?!! จะให้เวลาอีกห้านาทีเท่านั้น!! ไม่มาก็คือไม่มา!! "
ผมตัดสินใจตัดสายเพื่อนของผม ที่เป็นคนฝากผมมารับเพื่อนใหม่คนนี้ ที่จริงห้องผมเป็นห้องสี่คนนอน แต่มีเพื่อนคนหนึ่งได้ย้ายออกไปอยู่หอนอกแทน เลยทำให้มีที่ว่างหนึ่งที่ ทางมหาลัยเลยหาคนมาเพิ่มให้ เพื่อจะได้เต็มจำนวนคน
ผมเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องสมุด นัดกันไว้ดิบดี ไม่เห็นตรงเวลาเลย นิสัยต้องแย่มากๆ แน่คนคนนี้ แทนที่จะดีสมกับเป็นดีกรีนักศึกษาตัวท็อป ที่ใครๆ หลายคนตามหาตัวกันให้วุ่น ที่ไหนได้ เป็นคนไม่รู้จักคำว่าเวลามีค่าแล้วหนึ่งอย่าง
เพราะหลังจากผมมาเรียนที่นี่ ผมก็ตั้งใจที่จะเลือกเรียนในสิ่งที่ผมจะเรียนจริงๆ ผมไม่อยากหวังอะไรที่มันเกินตัวอีก ผมเลยเลือกเรียนสาขาที่ผมสนใจ และชอบมาตั้งแต่เด็กๆ นั่นก็คือสาขา ดนตรี และใช่ มันไม่ตรงกับสิ่งที่เรียนมา และต่างๆ นานา ที่ผมติวมาแม้แต่น้อย แต่ด้วยที่มีพื้นฐานดนตรีมา ตั้งแต่มัธยม ผมก็เลยเลือกเรียนทันที ดีไม่ดี ก็ค่อยตัดสินใจ อย่างน้อยๆ ผมก็ชอบมัน
แล้วแทนที่ผมจะเอาเวลาเกือบๆ สองชั่วโมงไปซ้อมดนตรี ไม่ก็ทบทวนบทเรียนที่อาจารย์สอนต่างๆ กลับต้องมารอคนคนเดียวที่นี่
และอยู่ๆ ในขณะที่ผมกำลังเดินวนกลับไปทางออกของห้องสมุดมหาลัย ทางเดินที่เป็นอุโมงค์หนังสือเก่าๆ นั่น
ก็มีหนังสือเล่มหนึ่ง หล่นลงมาจากชั้นบนสุดของตู้หนังสือ มันตกลงมากระแทกตรงหน้าผมเป๊ะๆ ใช่ กลางหน้าเป๊ะๆ ก็เพราะผมได้ยินเสียงเหมือนกระดาษเวลามีลมพัดมันก็จะเป็นเสียงปลิว พรึบๆ ด้วยความที่หูมันค่อนข้างดีนิดหน่อยก็เลยมองไปยังเสียงที่ได้ยิน สภาพมันเลยเป็นแบบนี้ หลังจากที่ตกใจได้ที่ และขยับจมูก ใช้มือสัมผัสอวัยวะบนหน้าพอแล้ว ผมก็ก้มมองหนังสือเจ้ากรรมที่หล่นลงมาไม่รู้เวล่ำเวลา และก็ก้มลงไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาดู
หนังสือเป็นปกหนังสีกรมที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองเล็กมากมาย จนต้องเอามือข้างที่ว่างปิดปากจามออกมาในทันที พลิกแผ่นกระดาษไปมาก็สำรวจได้ว่ามันมีสีเหลืองอ่อนๆ รู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเป็นหนังสือเก่าหลายปีแน่ๆ และที่หน้าปกก็เขียนด้วยตัวอักษรสีเทาๆ จางๆ ดูแล้วชวนหลงใหล
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า - มอบให้ 'ราเชนทร์' -
'ราเชนทร์' ใคร? ถ้าผมเดาก็คงจะเป็นชื่อของใครบางคน คนเขียน คงจะเขียนหนังสือเล่มนี้ให้คนคนนี้แน่ๆ
ผมเห็นว่ามันดูน่าสนใจดี เลยลองเปิดดูหน้าแรกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ถ้าคุณไม่ใช่ ราเชนทร์
แสดงว่าคุณ ก็ต้องเป็นผม
เพราะว่าหนังสือเล่มนี้
เขียนมาเพื่อผม
และความฝันของคุณ
หลังจากที่ได้อ่านประโยคข้อความหน้าแรกของหนังสือ ก็ทำให้รู้เลยว่า ผมกำลังเสือกเรื่องของคนอื่นอยู่แน่ๆ ก็เขาบอกอยู่ว่าไม่คุณก็ผมที่น่าจะได้อ่านมัน แต่ยังไง นี่มันเป็นหนังสือของห้องสมุดมหาลัยไม่ใช่หรอ ผมไม่ผิดหรอกนะที่ไปอ่านมันอ่ะ มันเป็นของสาธารณะนี่นา อ่านได้อยู่แล้ว
ผมตัดสินใจ เดินวนกลับมาพร้อมกับหนังสือเล่มเดิม สอดส่ายสายตามองซ้ายมองขวา และค่อยๆ นั่งลงโต๊ะบาร์ที่ตรงข้ามเป็นหน้าต่าง มองลงไปก็เป็นวิวทิวทัศน์ของมหาลัย ที่ข้างหน้าสายตาเมื่อมองออกไปข้างนอกกระจกก็จะเห็นกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งมุมตรงนี้ก็เอาไว้นั่งอ่านหนังสือสำหรับคนที่ชอบนั่งคนเดียว หรือไม่ชอบนั่งเห็นหน้าใครอย่างผมเอามากๆ
" ถึงผมจะไม่ใช่ ราเชนทร์ หรือคุณก็ตาม แต่ตอนนี้ขออ่านหน่อยนะครับ "
รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขอโทษคนเขียนอยู่เลยอ่ะ ยังไงตอนนี้ก็ต้องรอเพื่อนคนนั้นอยู่แล้ว เอาเวลาอันมีค่านี้มาอ่านอะไรให้คลายเครียดน่าจะดีกว่า
ผมวางหนังสือลงกับโต๊ะ และไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คเสียงแจ้งเตือนอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันยังคงเปิดเป็นระบบสั่นไว้ ก็คว่ำหน้าโทรศัพท์แล้ววางไว้ข้างหน้า ก่อนจะค่อยๆ ตั้งใจเปิดหน้าถัดไปของหนังสืออย่างใจจดใจจ่อ
ถึง
ราเชนทร์
จาก
..........
หน้านี้ทำผมเพลีย อุตส่าห์ใจจดใจจ่อเพราะอยากรู้ชื่อของคนเขียน แต่เพราะหนังสือมันเก่าเกินไป เลยทำให้หมึกดำที่เขียนบนกระดาษได้จางไป ตัวอักษรกระจายเป็นลายน้ำ อ่านไม่เป็นภาษา แล้วดันมาเป็นตรงชื่ออย่างเดียวนี่นะ จุดสำคัญเลย ไม่ว่าจะพลิกหามุมแสงเผื่อมันจะช่วยในการอ่านได้บ้าง แต่ก็ไม่เป็นผล
ผมเลยตัดใจพลิกหน้าถัดไปอย่างค้างคา งั้นก็เข้าเนื้อเรื่องเลยแล้วกัน ปล่อยผ่านไปก่อน
1.
คุณกับผม เจอกันครั้งแรกที่สวนพีชหลังคฤหาสน์ของคุณน้า ที่จริง ผมแค่มาเดินเล่นสูดอากาศดีๆ แถวนี้เฉยๆ ไม่คิดเลย ว่าจะหลงเข้าไปลึกขนาดนั้นได้ แต่ต้องขอบคุณมากเลยนะครับ ที่คุณเดินตามผมเข้าไปด้วย ไม่งั้น คงต้องวุ่นวายทั้งคฤหาสน์เพราะผมแล้ว
แล้วก็ขอบคุณมากเลยนะครับ ที่คุณยังเดินมาส่งถึงหลังคฤหาสน์อีก ส่วนตอนเดินมา คุณคงพูดไม่ค่อยเก่งสินะครับ เพราะตอนนั้นมันเงียบมาก เงียบจนได้ยินเสียงลมพัดผ่านเลยล่ะครับ
แต่ถึงยังไง ก็ยังไม่ได้รู้จักชื่อคุณเลย ถ้าครั้งหน้าเราสองคนได้มีโอกาสพบเจอกันอีกครั้ง ผมจะเป็นคนถามชื่อของคุณก่อนแน่นอนครับ
อ่านไป อ่านมา ทำให้ผมรู้สึกว่านี่ไม่เหมือนหนังสือทั่วไป แต่คงจะเป็นสมุดไดอารี่ หรือสมุดบันทึกมากกว่า ทุกอย่างมันน่าสนใจ ตรงที่พวกเขาสองคนจะได้มีโอกาสเจอกันเมื่อไหร่นะ ผมต้องอ่านไปถึงหน้าไหน
ตอนนี้ผมค่อนข้างสนใจมากเลยกับบันทึกเล่มนี้ มันมีทั้งการใช้คำบางอย่างที่ดูจะย้อนยุคหน่อยๆ เช่น คฤหาสน์ หรือว่าสมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่นะ ผมก็ไม่ค่อยได้เจอคำนี้ในชีวิตจริงเท่าไหร่ แล้วแถมเนื้อหาก็ค่อนข้างจะชวนติดตามเอามากๆ ผมจึงรีบเปิดไปหน้าต่อไปอย่างไม่รอช้า
2.
เมื่อสักครู่นี้ ผมรู้สึกเหมือนเห็นคุณอยู่แถวๆ ชานชาลาเลยนะครับ ตอนแรกผมมองเห็นคุณไม่ค่อยชัดเจนเลย เพราะผู้คนที่ผ่านไปผ่านมานั้น ช่างเยอะเกินที่สายตาของผมจะมองเห็นได้ในทันทีเลยครับ
แต่ผมก็โชคดี คนที่กำลังเดินขึ้นรถไฟไปนั้นคือคุณแน่นอน ผมจำได้ครับ แผ่นหลังนั้น
แต่ผมก็ได้คลาดกับคุณไปอีกแล้วนี่สิครับ แย่จังเลยที่ผมวิ่งไม่ค่อยว่องไว ไม่สามารถวิ่งผ่านคนหมู่มากที่กำลังรีบขึ้นรถไฟไปได้อย่างง่ายดาย
วันนี้คุณใส่สูทสีกรมด้วย ผมว่ามันเหมาะสม และเข้ากับคุณมากๆ เลยล่ะครับ
ในตอนนี้ ผมก็กำลังคิดว่าผมมีสีโปรดเป็นของตัวเองได้แล้วด้วย นั่นก็คือสีเดียวกับสูทของคุณไงครับ
ครั้งนี้ผมคงจะต้องตัดใจไปก่อนแล้วล่ะครับ ถ้าครั้งหน้าเราเจอกันอีก ผมจะไม่ปล่อยไปอีกแน่นอน
" โธ่ ไม่เจอ ก็ลุ้นอยู่ ทำไมไม่หันมาเจอกันสักหน่อยนะคุณคนนั้นน่ะ "
ผมตบเข่าฉาด ด้วยความเสียดาย แหม่ อีกนิดเดียวก็จะเจอกันอีกครั้งแล้วเชียว และสุดท้ายมือผมก็เปิดหน้าถัดไปโดยอัตโนมัติ เหมือนมือมันสั่งการแบบไม่ทันคิด
3.
วันนี้ ผมได้รับคำเชิญ ให้มาที่คฤหาสน์คุณน้าอีกครั้งด้วยครับ แต่สิ่งแรกที่ผมกระทำหลังจากกลับมาที่นี่ ดันไม่ใช่การมาหาคุณน้า แต่ผมกลับรีบเร่งเพื่อจะมาพบคุณอีกครั้ง
หลังจากที่ผมมั่นใจได้ว่าครั้งก่อน ต้องเป็นคุณแน่นอนที่ชานชาลาสถานีรถไฟนั้น แต่ผมก็ไม่อาจจะมั่นใจได้เต็มที่ แต่ใดๆ ผมก็มายังที่ ที่คิดว่าคุณกับผมจะโคจรมาพบกันอีกครั้ง ก็คงไม่ใช่ดั่งในวันนี้เป็นแน่
เพราะสวนพีชหลังคฤหาสน์ ณ ตอนนั้นกลับไม่พบผู้ใดเลย แม้แต่คนสวน หรือเพราะผมมาในเวลาที่ตกเย็นเกือบภพค่ำเกินไปกันนะ
สุดท้ายวันนี้ผมก็ได้มารับประทานอาหารเย็นที่นี่ และได้พูดคุยต่อบทสนทนากับญาติผู้ใหญ่ที่ผมรู้จัก และเดินทางกลับ
ผมหวังว่าครั้งหน้า เราจะได้พบกันอีกนะครับ
ผมรู้สึกว่าอารมณ์ผมค่อนข้างดิ่งลงต่ำเป็นครั้งแรกหลังจากอ่านหน้าที่สามไป กว่าจะได้พบกันมันคงยากน่าดู เมื่อท้อใจกับตัวเอง และเนื้อเรื่องเสร็จก็ทำการเปิดไปที่หน้าต่อไปของหนังสือ
4.
วันนี้ ผมได้รับคำเชิญไปงานเลี้ยงเต้นรำของขุนนางใหญ่โตผู้หนึ่ง เธอเป็นหญิงสาวที่กำลังมีชายหนุ่มมากหน้าหลายตาในเมืองหมายมั่นจับจองเป็นจำนวนมาก
ซึ่งเธอเขียนมาในจดหมายว่า จะมีผู้คนมากมายโดยเฉพาะชายหนุ่ม และหญิงสาวรุ่นเดียวกันจำนวนหนึ่งในสังคมชนชั้นกลาง ถึงสูงมายังที่จัดงาน
แต่ผมกลับรู้สึกไม่อยากที่จะไปงานเลี้ยงนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะการที่ผมเข้าสังคมไม่ค่อยเก่งเหมือนคนอื่นๆ ที่รุ่นราวคราวเดียวกัน มันคงทำให้ผมประหม่าน่าดูเลย
และผมก็หวังว่าจะพบกับคุณในงานเลี้ยงเต้นรำนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นความหวังที่ค่อนข้างจะไม่มีวี่แววของความหวังอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็ยังจะวาดความหวังนั้นอยู่ และหวังว่าเมื่อเราพบกัน คุณจะยังคงจดจำผมได้นะครับ
ผมว่าหน้านี้ดูมีความแปลกใหม่ดี เป็นการเล่าเรื่องราวของตนเองให้ใครคนหนึ่งฟัง แบบหวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะได้พบกันกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
ผมพลิกหน้ากระดาษไปยังหน้าถัดไปอย่างอยากรู้เรื่องราวต่อ
5.
เจอกันสักทีนะครับ
คุณ ราเชนทร์
" เย่!!! "
ผมร้องยินดีออกมาอย่างไม่คิด เสียงนี้ดังจนคนที่อยู่ห่างออกไปห้าโต๊ะบาร์หันมาทำหน้าตกใจใส่ สงสัยจะดังจริง
" ขอโทษครับๆๆ "
พอผมยกมือขอโทษเสร็จ ก็ละสายตากลับมาอ่านหน้าเดิมต่อ
แต่ยังไม่ทันได้อ่านเลย อยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมาขัดจังหวะการเพลิดเพลินของผม ผมรีบรับสายแล้วเดินออกห่างจากกลุ่มคนแถวนั้น เพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิของพวกเขา
" ฮัลโหล ว่าไง "
" มึงงงงง อย่าโกรธนะ เขาขอเลื่อนวัน เป็นอีกอาทิตย์ว่ะ "
เพื่อนอีกคนที่อยู่ห้องพักเดียวกันโทรมาบอกข่าว
" ก็คือไอ้คนนั้นมันจะไม่มาแล้วว่างั้น?!? คือเลื่อน?!!? แล้วที่กูนั่งรอ ยืนรอ เดินรอเนี่ยล่ะ???!!!! มันเสียเวลารู้มั้ย??!! "
" มึงใจเย็นๆๆๆๆ พวกกูก็พึ่งรู้เมื่อกี้อ่ะ "
ทีนี้เริ่มมีพวกเพื่อนๆ หลายคนคอยกระวนกระวายอยู่ภายในสาย ต่างพากันพูดคำว่าใจเย็นมาทีละสองสามคำ
" เออ!! ครั้งหน้าพวกมึงมารับมันเองแล้วกันนะ?!?! แค่นี้! "
" โอเคๆๆ มึงใจเย็นๆ ค่อยๆ เดินนะเพื่อน ใจร่มๆ "
" เออ แย่มาก แย่มากๆ!! "
ผมรีบเดินออกจากห้องสมุดไปในทันที เพราะอารมณ์โมโหที่กำลังถาโถมเข้ามา เลยทำให้ลืมอะไรไปชั่วขณะ
พอเดินดุ่มๆ มาเรื่อยๆ ก็ถึงหอพักเสียแล้ว ผมเปิดประตูเข้าห้องมาทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะอยู่ในห้องบ้าง ผมถอดรองเท้าด้วยความเร็วแสง แล้วกระโดดเข้าที่นอนอย่างไม่ไยดี เพื่อนๆ ที่เห็นสถานการณ์ และรับรู้ได้ถึงแรงแค้นของผมในตอนนี้ ก็ต่างพากันค่อยๆ คลานเข่ากันมาคุกเข่าขอโทษ ขอโพยแทนเพื่อนใหม่ที่ไร้ความรับผิดชอบนั่น
" รันนนน ขอโทษนะมึงอย่าไปสนใจมันนะ ไอ้หล่อนั่นมันไม่ตั้งใจ " โอบ หนุ่มตี๋ ขี้เล่น เพื่อนร่วมห้องคนที่ 1
" ศรันเพื่อน ใจร่มๆ นะ กูขอโทษที่ให้มึงไป อยากกินอะไรมั้ยเดี๋ยวกูไปหามาให้ " เชฟ หนุ่มผิวเข้ม สายกิน เพื่อนร่วมห้องคนที่ 2
" กูขอโทษเพื่อน ตีป้อมกันมั้ย คลายเครียดนะ " เมธ หนุ่มติสท์แตก เล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ เพื่อนข้างห้องคนที่ 1
" ...... " นพคุณ หนุ่มหน้ามนต์ คนสันโดษ เพื่อนข้างห้อง เพื่อนข้างห้องคนที่ 2
" กูจะไม่เสียงดังนะ รู้สึกดวงไม่ดี " น้ำมนต์ หนุ่มเหนือ สายมู เพื่อนข้างห้องคนที่ 3
" สุดหล่ออย่าไปเครียด " ธาม หนุ่มสายกวน อารมณ์ดี เพื่อนข้างห้องคนที่ 4
" ออกไปเลย! กูจะนอน! เหนื่อย! จะทำอะไรก็ไปทำ! "
พวกเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคน และเพื่อนสี่คนจากห้องข้างๆ ที่พากันมาปาร์ตี้เกมต่างรีบพากันกลับไปทำโน่นนี่ตามเดิม และลดระดับเสียงลงอย่างกับป่าช้า คุยกันแบบพายกระซิบส่วนผมก็เหนื่อยจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นคนชอบเล่นเกมอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา หยิบสายหูฟังของตัวเองที่วางไว้ข้างหัวเตียง แล้วทำการเชื่อมต่อกันระหว่างทั้งสองอุปกรณ์ เปิดเพลงที่เซฟไว้ในเพลิสในแอพสีแดงแล้วกดฟังเพลงเพื่อพักผ่อนสมองตัวเองลงหน่อย
♪ : good to see you again - alexander 23
good to see you again
ฉันดีใจนะที่ได้เจอเธออีกครั้ง
The very same mouth on the very same head
ริมฝีปากเดิมๆ ที่อยู่บนใบหน้าเดิมๆ
That told me in a hundred years
when we're both dead
ที่เคยบอกกับฉันว่า ต่อให้อีกกี่ร้อยปี
เมื่อเราตายจากกันไป
You would still never wanna see me again
เธอก็ยังคงไม่อยากที่จะเห็นฉันอีกครั้ง
แต่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ ว่าหนังสือเล่มนั้นยังไม่ได้เก็บเข้าที่เลย ครั้งหน้าถ้าไปอีกคงโดนครูบรรณารักษ์ดุแน่ๆ แล้วถ้าเขาเอากลับไปจัดเข้าที่ใหม่ ผมจะหาเจอมั้ยเนี่ย พรุ่งนี้ต้องไปเอามาอ่านให้จบให้ได้ ความอยากรู้ อยากเห็นผมก็เยอะไปจริงๆ
ผมลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าตัวเองหนาวๆ เย็นๆ เหมือนมีลมเข้ามาในห้องนอนเป็นจำนวนมาก แต่พอลืมตาขึ้น กลับไม่ได้นอนอยู่ที่หอพัก ที่นี่ที่ไหนก่อน ทำไมผมถึงมาอยู่กลางป่าที่มีต้นไม้ที่มีดอกสีชมพูๆ นี่ล้อมรอบตัวเองได้ เมื่อมองดูชัดๆ ตอนนี้ผมอยู่ใต้ต้นไม้ชนิดหนึ่งที่แตกต่างจากต้นไม้ต้นอื่นๆ ต้นนี้มีกิ่งก้านที่ขยายใหญ่ มีร่มเงาบดบังพระอาทิตย์ที่สว่างได้อย่างดี
ผมหมุนตัวไปมา มองว่าที่ที่ยืนอยู่นี่คือที่ไหนกันแน่ หรือเขาโดนเพื่อนๆ สามคนนั้นอุ้มมาปล่อยไว้กลางป่าแบบนี้ แต่คงไม่ใช่ พวกนั้นไม่กล้าแกล้งกันแรงขนาดนี้ได้แน่นอน เพราะถ้าผมรู้ ผมเอาพวกมันตายแน่ๆ
เมื่อรู้สึกได้สติ ผมก็พยายามสังเกตตัวเองมากขึ้น และเห็นว่าตอนนี้ ตัวเองแต่งตัวได้ดูผู้ดีมากๆ ผิดกับตอนเรียน ตอนอยู่บ้านเป็นไหนๆ เชิ้ตขาว คอปก ใส่ในกางเกงพร้อมกางเกงขายาวสีดำสนิทที่รัดแน่นด้วยเข็มขัดเข้าสี และรองเท้าหนังสีดำ
" ทำไมถึงได้เดินเข้ามาในสวนตามลำพังแบบนี้ล่ะครับ? รู้มั้ยครับว่าถ้าหลงแล้วจะทำเช่นไร? "
อยู่ๆ เสียงทุ้มต่ำ โทนเสียงน่าจะเป็นของผู้ชายรุ่นเดียวกันกับผม ได้เอ่ยคำพูดแปลกๆ ออกมา เสียงนั้นทำให้ผมหันหลังกลับไปทันควัน
เราสองคนได้สบตากันสักระยะ ผมรู้สึกว่าดวงตาคู่คมของเขา มันชวนทำให้ผมลุ่มหลงเข้าไปในวังวนอะไรสักอย่าง เหมือนกับว่าผมจะไม่สามารถหลุดออกมาจากความหลงใหลนั้นได้
รูปร่างของเขาดูสูงสมส่วน โครงหน้าที่ดูโดดเด่น ชัดเจน แฝงไปด้วยความคมเข้ม แต่ก็ยังดูอบอุ่นในคราเดียว เป็นใบหน้าของลูกรักพระเจ้าหรือยังไงกันแน่นะ ผมล่ะรู้สึกอิจฉาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลย
" หรือคุณชายเป็นกระต่ายน้อยในสวนนี้ครับ ถึงได้เดินดุ่มๆ เข้ามาโดยไม่คุ้นชินเส้นทางได้ "
เขายิ้มให้ผมด้วยท่าทางที่เป็นมิตร ส่วนคำพูดที่พูดมาว่า หรือผมจะเป็นกระต่ายน้อยนั่น มันเป็นเหมือนคำหยอกล้อหรือยังไงกันแน่ ถ้าใครมาพูดแบบนี้กับผม ผมคงสวนกลับเป็นคำพูดรุนแรงที่แสดงอาการไม่พอใจแน่ๆ แต่เมื่อมันออกมาจากคำพูดของเขาแล้ว ผมดันไม่รู้สึกที่จะโกรธ หรือโมโหแม้แต่น้อย
ผมไม่ตอบเขา แต่ใช้เวลาในการสังเกตตัวของเขา ผมที่ทำการเซตมาอย่างดี แต่ยังมีไรผมบางส่วนที่ตกลงมา แต่กลับไม่ทำให้ขัดหูขัดตาเลยแม้แต่น้อย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว คอปกหนา กับริบบิ้นที่ผูกไว้เป็นโบสีน้ำเงินออกดำ แทนการผูกเนกไทแบบทางการ ทำให้เขาดูเข้าถึงง่ายแบบบอกไม่ถูก ตามด้วยกางเกงเข้าชุดสีดำ และรองเท้าหนังสีดำสนิท
" ....ผมไม่รู้ ว่าที่นี่ที่ไหน "
หลังจากที่ผมตั้งสติได้ ก็พยายามตอบตามความจริงกับเขาไป เพื่อต้องการขอความช่วยเหลือเป็นกลายๆ
เขาขยับก้าวเท้าเข้ามาหาผมประมาณสอง สามก้าว แต่ก็ยังมีระยะห่างซึ่งกันและกันอยู่ในระยะที่พอดี ผมเงยหน้ามองเขาด้วยความเรียบนิ่ง ส่วนเขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นมา แล้วหงายมัน
" ต้องการผู้นำทางหรือไม่ครับคุณชายกระต่ายน้อย? "
เขาส่งยิ้มอ่อนๆ ที่เปร่งประกายนั้นมายังผม แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับมองไปที่มือข้างขวาของตนเองที่หงายรออยู่มาสักพักแล้ว
" คุณแค่บอกทางผมก็พอครับ ผมจะเดินไปเอง "
เขาค่อยๆ ยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกผมปฏิเสธการช่วยเหลือที่มากเกินไปของเขา
" งั้นคุณชายกระต่ายน้อยเดินตามผมมาเถอะครับ "
เขาเดินหันหลังให้ผมทันทีหลังพูดจบ ผมก็ได้แต่เดินตามเขาต้อยๆ แต่ในหัวผมกลับคิดโน่นนี่นั่น เหตุการณ์เหนือธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ผมเดินไป คิดไปจนรู้สึกแปลกๆ และดันไปนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งในหนังสือที่เขาอ่านไป.... เอ๊ะ!
" ที่นี่ใช่.... สวนหลังคฤหาสน์รึเปล่า? "
ผมหยุดก้าวเท้า และมองผู้ชายที่ผมเดินตามมาอย่างสงสัย ไม่ใช่มั้ง ผมจะเพ้อเจ้อไปรึเปล่า เขาหยุดนิ่งและค่อยๆ หันมามองที่ผมอีกครั้ง
" ใช่ครับ ที่นี่คือสวนพีชหลังคฤหาสน์ "
ผมนิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนที่เนื้อหาในหนังสือจะค่อยๆ เข้ามาในหัว และทำให้นึกถึงหน้าหนังสือล่าสุดที่ได้อ่านไป ก่อนที่ขาของผมจะก้าวออกมาโดยอัตโนมัติอีกครั้ง
" แล้วคุณ... ใช่คุณราเชนทร์ รึป่าวครับ "
เขายิ้มกรุ้มกริ่ม แบบคนจะขำก็ไม่ขำ ยิ้มก็ไม่ยิ้มออกอย่างจริงจัง เขามองหน้าผมสักพักแล้วก็ค่อยๆ ก้มมองเข้ามาในดวงตาของผม ซึ่งตอนนี้ผมก็คาดหวังกับคำตอบของเขามากๆ หวังว่าตัวเองจะไม่อินกับหนังสือเล่มนั้นจนเก็บมาฝันหรอกนะ..... ฝัน? ฝัน! ฝันไง??!?!!! หรือว่าตอนนี้ ผมกำลังฝันอยู่!!!
" ครั้งหน้า เมื่อเราพบกันอีกครั้ง ไว้ผมจะบอกกับคุณชายกระต่ายน้อยนะครับ :) "
#ราเชนทร์
talk
ใครชอบหรือไม่ชอบยังไง มีความคิดเห็นอย่างไร กรุณาดิชมด้วยคำสุภาพนะครับ :)
ฝากอ่านชวนกันมาอ่านกับนักเขียนตัวน้อยๆ คนนี้ด้วยครับ เปิดเรื่องนี้ ขอให้ปัง จะได้มีกำลังใจต่อไปครับ เราตั้งใจมาก รายละเอียดอะไรขาดไป โปรดชี้แนะด้วยครับ
ไม่ว่าเนื้อเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร อยากให้ทุกคนมาช่วยกันแสดงความคิดเห็นเยอะๆ นะครับ ขอบคุณจากใจครับ :D