หนังสือเล่มนี้ มอบให้ ราเชนทร์

มอบให้ ราเชนทร์ - b. remember โดย callme_🎉 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,ไทย,ข้ามเวลา,ตะวันตก,ความรัก,#BL,ความฝัน,แฟนตาซี,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มอบให้ ราเชนทร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,ไทย,ข้ามเวลา,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ความรัก,#BL,ความฝัน,แฟนตาซี,นิยายวาย

รายละเอียด

หนังสือเล่มนี้ มอบให้ ราเชนทร์

ผู้แต่ง

callme_🎉

เรื่องย่อ

   

 ศรัน นักศึกษาหนุ่มปี 1

ผู้อยู่กับโลกความเป็นจริง มีมุมมองของปัจจุบัน และอนาคต รักในความตรงต่อเวลา เชื่อว่าสิ่งที่ตนเองทำมักเป็นสิ่งที่ถูกต้อง




แต่...

เขาต้องพบกับเหตุการณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้เป็นคำพูด แต่ดันมาอยู่ในห้วงเวลาแห่งความฝันนั้นแทน




เรื่องราววุ่นวาย และความจริงที่ต้องค้นหา

กับหนังสือที่ชื่อว่า


" มอบให้ ราเชนทร์ " 





โปรดติดตาม





สารบัญ

มอบให้ ราเชนทร์-a. good to see you again,มอบให้ ราเชนทร์-b. remember

เนื้อหา

b. remember




ผมสะดุ้งตื่นสุดตัว ลุกขึ้นจากเตียงมานั่งอย่างงุนงง ดวงตาตอนนี้โตเป็นไข่ห่านเลยทีเดียว เหงื่อไหลไปทั่วตัว... นั่งนึกอะไรไปได้สักพักใหญ่ ก็ทำให้สติสตางค์ของผมค่อยๆ กลับคืนมาแล้วบางส่วนหนึ่ง อ้อ!


ฝันนี่เอง คิดมากไปได้ ที่นี่หอพักไง ไม่ใช่สวนพีชแบบในหนังสือเล่มนั้น ผมก็ได้เอาแต่คิดไปเอง




" สงสัยจะหมกมุ่นกับหนังสือเล่มนั้นมากเกินไปแน่ๆ ถึงเก็บเอามาฝันได้แบบนี้ "

ผมลองมองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง เพื่อนที่เหลือก็นอนกันหมดแล้ว ผมเอื้อมไปหยิบนาฬิกาข้อมือเรือนเล็กสีกรมที่ใส่อยู่เป็นประจำที่ได้ถอดวางไว้ตรงข้างหัวเตียงก่อนที่จะหลับไปขึ้นมามองดูเวลาว่าตอนนี้กี่ทุ่มกี่ยามแล้ว

ตอนนี้ปาไปห้าทุ่มครึ่งแล้วล่ะ น้ำก็ยังไม่ได้อาบเลย ผมรีบตบหน้าตัวเองเบาๆ เรียกสติกึ่งง่วงกึ่งตื่น รีบดันตัวเองให้ลุกไปหยิบผ้าขนหนูที่อยู่บนราวตากผ้า หน้าระเบียง แล้วกลับเข้ามายังห้องน้ำด้านใน และทำการชำระร่างกายก่อนที่จะกลับไปนอนอีกครั้ง

ผมอาบน้ำไปด้วย ก็นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในความฝันเสมือนจริงนั้นไปพร้อมกับมือที่ถูตามร่างกาย พอเอาเข้าจริงๆ ในความฝันมันก็ดูสมจริงเกินไปหน่อยมั้ย ผมว่าเหมือนเล่นเกมสามมิติเลย แถมตอนตื่นขึ้นมาก็ยังคงจำความฝันนั้นได้อย่างชัดเจน ติดตรงที่มันเป็นสีจางๆ ทางความคิดเท่านั้นแหละ ภาพมันก็เลยไม่ได้คมชัด HD หรือ 4k ขนาดนั้น





หลังจากที่ผมได้อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ผมก็โยนเสื้อผ้าตัวเก่าลงตะกร้าตรงปลายเตียงของตัวเอง แล้วกลับมาหย่อนตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ สีกรมกับหมอนเข้าสี พอหัวถึงหมอนก็ดันไปนึกถึงเรื่องราวในความฝันใหม่อีกครั้ง มันเป็นความฝันที่มีเวลาแค่ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นเอง แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้น เหมือนจริงมากเลย มันดูคุ้นเคย พอได้เห็นหน้าเขาอยู่ๆ ก็อยากจะร้องไห้ออกมาเลยล่ะ

ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ แต่ว่าตอนนี้พอกลับมานึกภาพของคนคนนั้นดูอีกทีก็กลายเป็นภาพที่ค่อยๆ เลือนรางไปซะดื้อๆ




" ทำไมถึงนึกไม่ออกแล้วนะ... ตอนอาบน้ำก็ยังเห็นเป็นภาพขาวๆ ดำๆ อยู่เลยนี่... "

แต่ถึงจะจำรูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะจดจำไม่ได้ทั้งหมด ผมกลับยังจำโครงหน้าคร่าวๆ ได้อยู่บ้าง แล้วก็สิ่งที่มันยังลบเลือนไปได้ไม่หมด หรือแทบจะไม่ได้เลย นั่นก็คือถ้อยคำที่เขาได้พูดกับผมไว้

ผมเอาแต่คิดเพ้อเจ้ออีกแล้ว ผมจึงสะบัดหัวไปมา เพื่อจะสลัดความคิดเพ้อฝันของตัวเองออกไปโดยเร็ว




" คิดมากไปแล้วศรัน ลืมๆๆๆ "

ผมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดกับตัวเองอีกครั้ง เพื่อไม่ให้คิดอะไรเพ้อเจ้อ คิดอะไรที่มันมหัศจรรย์ไปมากกว่านี้อีก ก็แค่ความฝันทั่วไป เหมือนเวลาดูหนังผี หรือหนังที่มันติดตราตรึงใจมากๆ คนเราก็จะเก็บเอาไปฝัน เก็บเอาไปคิดมาก อย่าได้สนใจไป

ก่อนนอน ผมจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ ปลดล็อกหน้าจอ แล้วเข้าแอพสีแดง ทำการค้นหาแนวเพลงสบายๆ ที่ชอบฟังอยู่เป็นประจำก่อนนอน






♪ : remember : omar rudberg








You say, all you wanna be is remembered

คุณบอกว่า ทุกสิ่งที่คุณต้องการจะถูกจดจำ



I'll make you go down in history

ฉันก็จะทำให้คุณลงไปอยู่ในประวัติศาสตร์



So you say, all you wanna be is remembered

ดังนั้น คุณพูดว่า ทุกสิ่งที่คุณต้องการจะถูกจดจำ


Let me make you go down in history, baby

ฉันจะทำให้คุณลงไปอยู่ในประวัติศาสตร์เอง ที่รัก



Let me write you into history, darling

ให้ฉันเขียนถึงคุณลงในประวัติศาสตร์นะ ที่รัก


Let me sing you into eternity

ให้ฉันร้องเพลงถึงคุณไปชั่วนิรันดร์











เมื่อเพลงจบ ก่อนที่ผมจะนอนหลับลงอีกครั้ง ผมก็ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมทุกวัน คือการชาร์จแบตของเจ้าโทรศัพท์ ตั้งนาฬิกาปลุก และเปิดเสียงของโทรศัพท์ ก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวลงนอนอีกครั้งอย่างสบายใจ













ผมลืมตาอีกครั้งด้วยความตกใจ ใครตั้งนาฬิกาปลุกเป็นเสียงรถไฟ ห้ะ?!

แต่เดี๋ยวนะครับ อันนี้ไม่ตลก อยู่ๆ ผมก็มายืนถือกระเป๋าใบใหญ่อยู่หน้าประตูรถไฟได้ยังไงกัน เสื้อผ้าก็ไม่เหมือนเดิมด้วย เสื้อเชิ้ตพอดีตัวแขนสั้นสีขาวที่ใส่ทับกับกางเกงขายาวสีดำทรงเรียบ และยังมีสร้อยคอเส้นเล็กสีเงินประดับอยู่ที่คอ จี้กลางสร้อยเป็นรูปทรงกลมสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษไว้หนึ่งตัว นั่นก็คือตัว S

ผมได้แต่มองภาพตรงหน้าที่เห็นผู้คนเบียดเสียด ผ่านไป ผ่านมา ต่างคนต่างรีบร้อนกันขึ้นรถไฟเที่ยวนี้กันเหมือนโลกจะแตก ผมได้แต่ยืนนิ่ง คิ้วขมวดพันกันยุ่ง ถ้าเป็นสายหูฟังที่ผมใช้ มันคงจะพันกันจนน่ารำคาญ น่าโยนทิ้ง ไม่ก็ตัดให้ขาดเป็นเส้นเล็กๆ ในหัวตอนนี้มีแต่คำว่าอะไรวะเนี่ย? เกิดอะไรขึ้นอีก?

แต่สมองของผมอยู่ๆ ก็ดันทำงานขึ้นมาทันทีเหมือนโทรศัพท์ที่พึ่งชาร์จแบตได้เต็มสำเร็จ เครื่องทำงานอัตโนมัติ และมีประสิทธิภาพ





" อ้อ นี่คือฝันไง! "

ใช่! ความฝันไง เมื่อกี้ผมพึ่งตื่นมาอาบน้ำแล้วนอนหลับไปยังไงล่ะ





แต่ฝันเนี่ย...

มันต้องเหมือนจริงขนาดนี้เลยหรอ? เมื่อกี้คนพวกนี้ ยังเดินชนไหล่ผมเต็มๆ เลยนะ เสียงปู้นๆๆ ของรถไฟยังจริงเลยอ่ะ นี่คงเป็นความฝันที่คมชัด HD หรือไม่ก็ 4k มาก





เอ๊ะ?!

แต่ฝันมันคุ้นๆ นะ

ผมรีบเอาตัวเองถอยออกมาจากหน้าประตูทางเข้ารถไฟ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ไม้สำหรับนั่งรอรถไฟข้างๆ กำแพง สถานการณ์นี้มันคุ้นมาก เหมือนพึ่งได้อ่านไปจากหนังสือเมื่อไม่นานมานี้เลย

ชัวร์! ฝันเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นอีกแล้วหรอ? เกินไปๆ ฝันติดๆ กันแบบนี้ เป็นไปไม่ได้

ผมว่าผู้ชายคนนั้นดูคุ้นตาจัง แผ่นหลังที่กำลังค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นรถไฟไปนั้น มันต้องใช่คนที่ผมกำลังคิดไว้แน่ๆ มันต้องใช่แน่ๆ





" คุณราเชนทร์!!! "



ผมเผลอตะโกนเรียกชื่อเขาซะดังลั่น จนต้องรีบเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเอง แต่เขาก็ยังไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย เหมือนจะไม่ได้ยิน

แต่ผมลืมอะไรไปรึเปล่า...

นี่มันความฝันของผมยังไงล่ะ ผมจะทำอะไรก็ได้กับความฝันของผมเองนี่นา

ผมลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งตามเขาคนนั้น ที่ชื่อ ราเชนทร์ อยากจะเห็นหน้าค่าตาให้ชัดๆ อีกที ว่าใช่คนเดียวกับที่ฝันรึเปล่า

แต่คนเยอะเกินไปจริงๆ ผมไม่สามารถจะฝ่าวงล้อมนั้นไปได้เลย





" ไม่ตามก็ได้ถ้าจะลำบากขนาดนี้ "



ผมเดินออกมาห่างจากรถไฟประมาณสองช่วงแขน แล้วพยายามหันกลับไปมองคน คนนั้นอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้กลับไม่เจอเขาแล้ว ผมพยายามจะทำให้ตัวเองตื่นขึ้นมาอีกครั้งจากความฝัน โดยการหยิกแขน การกระโดด แต่มันก็ยังไม่สำเร็จ ผมเริ่มสงสัยแล้วสิว่า ทำไมผมถึงฝันได้ยาวนานกว่าทุกๆ ครั้งที่เคยฝันมา แถมยังมีความรู้สึกที่สามารถบังคับตัวเองได้มากกว่าทุกครั้งที่เคยฝัน แถมจะทำอะไรก็ได้อีกด้วย

ผมค่อยๆ ย่อลง เพื่อนั่งยองๆ อย่างมึนงงสภาพตอนนี้คือหัวหมุนเป็นวงกลม

อยู่ๆ ก็มีเท้าของใครคนหนึ่ง มายืนอยู่ตรงหน้าผม ผมค่อยๆ มองขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เท้าจนเงยไปถึงตรงหน้าของเขาคนนั้น ถ้าจำไม่ผิด เขาคือคนที่กำลังตามหาใช่ไหม?

ผมนั่งมองหน้าเขาอยู่แบบนั้นสักพัก ส่วนเขาก็ยังก้มลงมามองผมเหมือนกัน ส่งยิ้มเล็กๆ ที่พยายามจะไม่หลุดขำออกมา เราสบตากันสักระยะ ไม่มีใครละสายตานั้นเลย





" เราเคยเจอกันมาก่อนมั้ยครับ? "

ผมเอ่ยถามเขาเพื่อให้แน่ใจ เพราะความฝันครั้งที่แล้วมันไม่ชัดเจนเลย

" เคยสิครับ "



เป็นคำตอบที่เรียบง่าย และมีเสียงค่อนข้างเย็นชารอดออกมาจากคำพูดอันแสนเรียบเฉยนั้น แต่สายตาของเขามันกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย เขาดูคาดหวังอะไรบางอย่าง





" แล้วคุณมาอยู่ในฝันของผมทำไม? "



ผมพูดออกมาโดยไม่ได้คิดเลยจริงๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อยู่ๆ ก็นึกถึงหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาเฉยๆ เขาคือคนคนนั้นจริงๆ ผมเพ้อไปเอง หรือนี่ผมกำลังไปอยู่ในหนังสือเล่มนั้นกันแน่





" ...ฝันของคุณ? "



เขาทำหน้าขมวดคิ้วอย่างเห็นได้ชัดเลย คิ้วของเขาม้วนจนพันกันได้ ก็ผมจำได้ว่าผมกลับมานอน แล้วตื่นมาก็อยู่นี่ แสดงว่ากำลังฝันแน่นอน





" คุณมาอยู่ในฝันของผม เพราะหนังสือเล่มนั้นใช่มั้ย? "

เขาคุกเข่าลงมาอย่างรวดเร็ว ทำหน้าตื่นตกใจ

" เพราะหนังสือที่ผมอ่าน มันมีคุณด้วย "



เขาค่อยๆ เอามือมาจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของผม ด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง มันทำให้ผมเผลอสบตาคู่สวยที่ดูมั่นคงนั้นเข้าอย่างเลี่ยงไม่ได้...





" คุณชายกระต่าย? จำผมไม่ได้หรือครับ? "







ห๊ะ?! เดี๋ยวนะ







นี่ความฝันมันสามารถฝันต่อกันได้ด้วยหรอ?

ฝันซ้อนฝันหรือไง!!!?? พึ่งเคยเห็น พึ่งเคยเจอ จริงดิ

ก่อนที่ผมจะตอบกลับเขาไปอยู่ๆ ก็เหมือนมีอะไรดึงกลับมายังเตียงที่ผมนอนอยู่ตอนนี้










ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ยังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรสักอย่างเลย ทำไมต้องมาตื่นตอนนี้ ใครอ่ะ? ทำไมครั้งนี้ถึงจำหน้าเขาได้ แต่มันแค่คุ้นๆ หน้า เหมือนเคยเจอที่ไหนสักที่ ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ไม่รู้จัก หรือว่าผมจะเพ้อเจ้อไปเอง

นี่หกโมงแล้ว ตั้งแต่ผมสะดุ้งตื่นมาตอนตีห้าสิบห้าพอดี ผมก็ยังไม่ได้นอนอีกเลย ผมเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลองออกไปวิ่งที่สนามกีฬามา มันทำให้ผมได้คิดอะไรหลายๆ อย่างได้ เช่นเรื่องการฝันทั้งสองครั้ง สถานที่เหมือนในหนังสือนั่น คนคนนั้น ที่รู้จักชื่อผม คุณราเชนทร์ ฝันของเขา และฝันของผม มันซับซ้อนมากเหมือนกันนะนั่น



ตอนนี้เที่ยงแล้ว กินข้าวอะไรเสร็จผมก็ไม่รู้จะทำอะไรเลย เพื่อนๆ คนอื่นก็เอาแต่ไปเล่นบอล เล่นบาส ผมเกลียดการเล่นกีฬาเป็นที่สุดในชีวิต มันเหนื่อย และทำให้ผมเหงื่อท่วมตัว แต่เมื่อเช้าที่บอกไปวิ่ง คือแค่เดินเล่นไปเรื่อยเฉยๆ ไม่มีการกระทำอะไรที่ใช้การวิ่งเลยสักนิด

ผมตัดสินใจที่จะไปอ่านหนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง

แต่ก็... ไม่ดีกว่า ลองไม่ต้องนึกถึง ที่ฝันทั้งหมดคงเป็นแค่จินตนาการอันล้ำเลิศของผมเอง ที่สามารถตัดแต่งเรื่องราวในหนังสือมาใส่ในสมองจนคิดไปต่างๆ นานา ได้เก่งขนาดนี้



พอเลิกเรียนแล้ว ก็ตรงกลับมายังหอ อาบน้ำ กินข้าวเย็น นอนเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ ก็ถึงเวลาพักผ่อนได้แล้ว

ผมชาร์จโทรศัพท์ข้างหัวเตียงแล้วค่อยๆ นอนลงบนเตียงอย่างสบายใจ ชิลๆ แล้ววันนี้ นอนกันเถอะ





" ขอให้ไม่ฝันแล้วนะ "














เฮ้อ ฝันจนได้...

แน่นอน ครั้งนี้ดูไม่ค่อยตกอกตกใจเหมือนฝันที่ผ่านมาเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะฝันได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้ จากที่วันคืนผ่านมา ไม่ค่อยได้ฝันอะไรกับชาวบ้านชาวช่องเขานัก แต่วันนี้กลับฝันบ่อยได้แบบนี้

ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ที่ความฝันเหมือนครั้งแรกอีกครั้ง ผมจำได้ ต้นไม้ใหญ่ที่มีดอกพู่ๆ สีชมพู และสวนพีชที่ดอกเล็กๆ สีขาวชมพูเต็มต้น เวลาที่สายลมพัดผ่าน ใบไม้ที่อ่อนแรงก็ค่อยๆ พัดพลิ้ว ปลิวออกจากกิ่งก้าน สีของท้องฟ้าในฝันครั้งแรก กลับเปลี่ยนไปเป็นสีส้ม และสีคราม แสดงถึงเวลาภพค่ำกำลังมาถึง

ผมรู้อยู่แล้วว่าในหนังสือ คนเขียนกับคุณราเชนทร์ไม่ได้พบกัน ทำให้ผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอคอยอะไรอีก และเดินหาทางออกจากสวนทันที





" คุณชายครับ คุณนายท่านให้เชิญไปรับประทานอาหารค่ำร่วมกันครับ "

" .... ได้ ดะ ได้สิ ไปกัน "



ถึงแม้ว่าจะเป็นความฝันที่เราสามารถจะกำหนดทิศทางเองได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าความคิดฟุ้งซ่านของผมที่เกิดขึ้นมันจะบานปลายไปขนาดไหนได้ ผมจึงเลือกที่จะทำตามเนื้อเรื่องในหนังสือที่อ่านมา ถึงแม้ว่าข้อมูลที่อ่านมาจะรู้พอคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าทางข้างหน้าจะเป็นยังไงได้อีกนอกจากพึ่งการแสดงของตัวเอง

คฤหาสน์หลังงามมีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็ไม่สามารถคาดเดาเอาเองได้ เพราะนี่มันก็แค่ความฝัน เราสามารถนึกคิดประดิษฐ์สร้างรูปร่างต่างๆ จากความทรงจำของเรา มารวมอยู่ในความคิดนี้ จึงไม่แปลกที่อาจจะคุ้นหู คุ้นตา เพราะเราเองอาจจะเคยเห็นมาแล้ว

ห้องโถงกว้างที่ประดับประดาด้วยแสงไฟสว่างไสวที่รายล้อมไปด้วยโคมประดับเพชรขนาดใหญ่ลอยเด่นเหนือศีรษะของผู้มาเยือน ภายใต้โคมก็ยังมีโต๊ะอาหารที่ทั้งยาว และหรูหราสมฐานะทางสังคมชนชั้นสูง กระจกแก้วใสทอดยาวตั้งให้เป็นโต๊ะอาหารในค่ำคืนนี้ มีเชิงเทียนมากมายเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ดอกไม้นานา เรียงรายใส่แจกันเคลือบขาว พร้อมจานช้อนซ้อมมีดแก้วใส อยู่หน้าเก้าอี้นุ่มสีเด่น พ่อบ้านต่างเชื้อเชิญญาติผู้มาเยือนนั่งตามลำดับ และศรันก็คือหนึ่งในนั้น






" คุณหนูรินดา อายุเท่าไหร่แล้วลูก ใกล้จะหาคู่ครองได้แล้วหรือยังจ๊ะ "



ผมยังไม่ทันได้นั่งลงเก้าอี้ คุณนายที่เหมือนจะเป็นเจ้าของคฤหาสน์ก็ได้เอ่ยถามถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะในหนังสือที่อ่านก็ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรในวงสนทนานี้เลย ผมเลยไม่จำเป็นที่จะต้องพูดคุย คบหากับใครทั้งนั้น





" อายุ 17 ปีค่ะ แต่ตอนนี้หนูยังไม่คิดที่จะคบหากับชายใดเลยค่ะคุณน้า ยังอยากจะมองหาคนที่ทำให้หนูมีความสุขเหมือนได้อยู่กับคุณพ่อ คุณแม่ค่ะ "



เด็กคนนี้ช่างพูด ช่างจาจริงๆ คนในยุคสมัยนี้แต่งงานกันเร็วมากแน่ๆ ถึงได้จับเด็กๆ มาคบหากันเร็วเหลือเกิน ถ้าเป็นรุ่นผมน่ะ ต้องเลือกแล้วเลือกอีก หาคนที่ใช่ให้เจอ ถ้าไม่ใช่ก็หาคนใหม่ เปลี่ยนไปจนจะเจอคนคนนั้นได้





" ช่างเป็นเด็กที่กตัญญูเสียจริง แล้ว..... "



คุณนายของบ้านเริ่มกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อหาเหยื่อที่จะถามไถ่เป็นรายต่อไป





" ศรัน "

" ครับ?! "



จู่ๆ ก็ถูกถามขึ้นอย่างกะทันหัน ผมที่กำลังสำรวจโต๊ะอาหารก็ได้เบิกตากว้างมองไปหาต้นเสียง





" แล้วหนูล่ะ มีคนในใจแล้วหรือยังจ้ะ "

" ไม่มีครับ ผมคิดเหมือนน้องรินเลยครับ "



ก็ไม่ทันตั้งตัว ก็เลยไม่รู้จะตอบแบบไหน ผมเลยลอกคำตอบคนก่อนหน้าไปเลยแล้วกัน





" อ้อๆ จ้ะๆ แหม่ เด็กหนุ่มเด็กสาวสมัยนี้ ช่างกตัญญูกันเสียจริง แต่อย่าลืมล่ะ คู่ครองก็สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ควรอยู่เป็นโสด ขึ้นคานไปตลอดชีวิต ครอบครัวจะเป็นห่วงเอาได้นะเด็กๆ "

" ค่ะ / ครับ "



คุณนายของที่นี่พูดกล่าวทั้งชื่นชม และแนะนำไปในตัว เด็กๆ ที่ร่วมโต๊ะก็ต่างพากันตอบรับคำตอบเป็นมารยาท ส่วนผู้ใหญ่ก็ต่างยิ้มแย้มเอ็นดูเด็กๆ ในโต๊ะอาหาร หลังจากนั้นก็เริ่มมีเมนูหลากหลายมาวางอยู่กลางโต๊ะอาหาร เรียงรายยาวไม่สุดโต๊ะ แต่ผมกลับมานึกถึงคำพูดบางอย่างเข้าให้ นั่นก็คือ

ทำไมคุณนาย หรือคุณน้าในหนังสือ ถึงเรียกชื่อของเราตรงๆ ไม่ใช่ชื่อของผู้เขียน

แต่เอ๊ะ! หรือว่าชื่อนี้ ชื่อจริงของผม ก็คือชื่อของคนเขียนด้วย

'ศรัน' ชื่อของผม ก็คือชื่อเดียวกันกับคนเขียนหนังสือเล่มนี้

เห้ย! เป็นไปได้ไง!?














และแล้ว ผมก็ตื่นขึ้นมา พร้อมกับภาพเหตุการณ์ความทรงจำเมื่อตอนฝันได้อย่างชัดเจน

















#ราเชนทร์

talk

เราเป็นเพียงนักเขียนธรรมดา ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ

ฝากติดตาม กดใจ และคอมเม้นเป็นกำลังใจให้ตัวละคร หรือนักเขียนคนนี้ด้วยครับ

ขอบคุณ



ฝากติดตาม คอมเม้น เป็นกำลังใจ ให้ผู้เขียน รวมถึงศรันด้วยนะครับบบ