ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ดราม่า,ไซไฟ,ทะลุมิติ,ดราม่า,นิยายวาย,แฟนตาซี,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
7ปีก่อน
วังหลวง คืนวันเฉลิมฉลองอายุครบ7พระพรรษาขององค์รัชทยาท เฮฟเนอร์ อีเธอร์
ฝ่ามือทั้งสองข้างของเฮฟเนอร์จับไปที่ขอบระเบียง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีดาวนับล้านดวงประดับอยู่บนนั้น
“สวยมาก ฉันชอบท้องฟ้ายามคํ่าคืนมากเลย…นายล่ะ”
เฮฟเนอร์เอ่ยปากถาม ไซฮาร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองเลยแม้แต่น้อย
“ครับ”
เฮฟเนอร์ยิ้มให้กับคำตอบของไซฮาร์ก่อนจะหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“นายเนี่ย ชอบตอบแบบนี้จัง”
ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจะค่อย ๆ เลือนไป
“ไม่มีอะไรมากหรอกแค่…อืม ผมรู้เรื่องนั้นแล้วนะ”
?
“เรื่องที่ว่านายจะถูกส่งตัวไปเข้าร่วมสงคราม นั่นนาย…”
เขาพูดไม่จบประโยคก่อนจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่
“งั้นเหรอครับ”
ไซฮาร์เอ่ยด้วยท่าทางเฉยชาดั่งที่เคยเป็น
“นายคง…จะเคยได้ยินสินะ ข่าวลือที่ว่าองค์รัชทายาทไม่ได้เรื่องน่ะ”
“ตอนนี้ฉันเข้าใจมันอย่างแท้จริงแล้วล่ะ ถึงที่ผ่านมาจะหงุดหงิดไปบ้างก็ตาม แต่มันก็เป็นความจริง…ฉันหงุดหงิดมากเลยล่ะ หงุดหงิดยิ่งกว่าตอนไหน ๆ หงุดหงิดที่ตัวเองไม่สามารถที่จะช่วยไม่ให้นายไปเข้าร่วมสงครามได้เลย”
“ขอโทษนะที่ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้เลย”
ฉันมันไร้ความสามารถเอง
นํ้าอุ่น ๆ สีใสคลอหน่วงในดวงตาของเฮฟเนอร์ แสดงให้เห็นว่าเขาเจ็บใจมากแค่ไหนที่ตัวเองไม่มีอำนาจมากพอจะช่วยไซฮาร์
“ไม่ต้องขอโทษขอรับ ต่อให้เป็นกษัตริย์ก็คงยากที่จะห้ามผมไม่ให้ไปร่วมสงครามได้เพราะตระกลูของผมเป็นผู้ตัดสินใจเองขอรับ”
“ฉัน…”
เฮฟเนอร์หันมามองไซฮาร์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเกินจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
“แล้วก็เรื่องคำนินทา พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจทุกคนบนโลกหรอกขอรับ เพราะยังมีคนที่รักพระองค์อยู่”
“รัก…หึ" เขาแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
"ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เคยยินดีกับการเกิดมาของฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันเกิดมาจากความผิดพลาดของพวกเขาทั้งคู่ เรื่องนั้นฉันรู้ดีพวกท่านไม่เคยอยากที่จะแต่งงานกันเลยแต่เป็นเพราะฉัน เพราะฉันที่เป็นสายเลือดแท้ ๆ ของท่านพ่ออยู่ในท้องของแม่แล้ว ทั้งคู่จึงถูกบังคับให้ต้องทำแบบนั้น”
ความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามา นํ้าตาที่ไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างของเฮฟเนอร์
“ครับ ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ เพราะผมรักพระองค์ขอรับ”
ไซฮาร์พูดขึ้นแบบนั้นอย่างหน้าตาเฉย ใบหน้านิ่ง ๆ ที่ไม่ขยับแม้แต่ปลายคิ้ว
แต่ดูเหมือนเฮฟเนอร์จะหวั่นไหวมากซะจนแดงฉ่าไปทั้งตัวเพราะความเขิน
วินาทีนั้น ต่อให้คำพูดของอีกฝ่ายจะเป็นเพียงคำโกหก เขาก็ไม่สน
.
.
.
ถ้าวันนั้น นายไม่พูดแบบนั้นฉันก็คงจะไม่หลงนายหัวปักหัวปําขนาดนี้
ตอนนั้น เช้าของอีกวันนายก็ถูกส่งตัวไปร่วมสงครามทันทีเลย
ตอนนั้นถึงจะเป็นห่วงนายมากแต่ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ จึงได้แต่เชื่อมั่นในตัวของนายว่านายจะสามารถรอดปลอดภัยกลับมาได้ จากนั้นผมก็ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือและแอบฝึกเวทย์มนต์ด้วยตนเอง เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าแข็งแกร่งมากแค่ไหน ใช่ครับเป้าหมายของผมคือเอาหน้าเพราะถ้าทำแบบนั้นพวกขุนนางก็จะได้มาสนับสนุนผมแทนที่จะเป็นพี่น้องคนอื่น ๆ ของผม โอกาสที่ผมจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
และความพยายามของผมก็ไม่ศูนย์เปล่าเพราะตอนผมอายุสิบขวบผมสามารถเข้าเรียนที่อคาเดมี่ได้ด้วยคะแนนสอบอันดับหนึ่งของรุ่นจากนั้นการสอบวัดระดับของทุกครึ่งปีผมก็ได้ที่หนึ่งของรุ่นตลอดมา
อย่างที่บอกเป้าหมายของผมคือการได้ครอบครองบัลลังก์
ไซฮาร์ต่อให้นายจะมองผมเป็นเพียงแค่หมากในมือ แต่ผมก็จะขอเป็นหมากที่มีประโยชน์มากที่สุดสำหรับนาย
นกอีกาตัวสีดำสนิทบินมาเกาะที่ระเบียงห้องของเฮฟเนอร์
?
เมื่อเห็นอย่างนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินไปที่หน้าระเบียงทันที
เฮฟเนอร์ค่อย ๆ ยื่นมือไปแกะกระดาษขนาดเล็กที่ถูกม้วนติดกับขาของอีกามากางดู
คงจะเป็นข่าวจาก…
เฮฟเนอร์ตาโตทันทีเมื่อเปิดดูข้อความสั้น ๆ ที่ถูกเขียนไว้ในนั้น
[ชนะสงคราม ไซฮาร์กลับมา]
“...”
เขายิ้มออกมาอย่างกับคนโรคจิตจนต้องเอามือขึ้นมาปิดบัง
“คิก คิก คิก”
“ต่อจากนี้ ไม่ให้ไปไหนแล้วนะเด็กดี”
เสียงฮือฮาอย่างล้นหลามจากชาวเมือง ทุกคนต่างออกมาต้อนรับร่วมแสดงความยินดีที่ชนะสงครามมาได้
ระหว่างทางเดินมีผู้คนมารุมรอมมากมายชุลมุนวุ่นวายไปหมด เพราะงั้นต่อให้มีใครหายไปคนหนึ่งก็คงจะไม่ถูกสังเกตเห็น
ไซฮาร์ถูกดึงเข้าไปในฝูงชนอย่างกระทันหัน และไม่ต้องสืบเลยว่าใครเป็นคนดึงเขา
คนตัวเล็กถูกดันให้ยืนชิดกำแพงในตรอกซอยเล็ก ๆ ส่วนคนตัวสูงกว่าก็ยืนคร่อมเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ ก้มหน้าลงสูดดมไปตามซอกคอ ดวงตาพลางเหลือกขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่าย
ไซฮาร์ยืนนิ่งไม่ขัดขืนอะไร ก่อนเฮฟเนอร์จะเอ่ยปากทักทายขึ้นก่อน
“ยินดีต้อนรับกลับนะ ตกใจหรือเปล่า”
“...”
“คิดว่าไม่นะขอรับ” อีกฝ่ายตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“งั้นเหรอ เก่งจัง”
มือหนาที่กอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้ค่อย ๆ ลูบไล้ลงไป ก่อนจะเอ่ยปากบ่น
“ชุดนาย…จะเอามือเข้าไปไงล่ะเนี่ย”
“แล้วจะเอามือเข้าไปทำไมล่ะขอรับ”
เขามองคนตัวเล็กกว่า อมยิ้มด้วยความเอ็นดู
“ลองเดาดูสิ”
เฮฟเนอร์กระซิบที่ข้างหูของคนตัวเล็กกว่าอย่างแผ่วเบา
“กระหม่อมพูดได้ไหมขอรับ” ไซฮาร์ถามขึ้น
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” คนตัวสูงตอบพลางหอมไปมาที่หน้าผากของอีกฝ่าย
“ท่านแพรวพราวมากขอรับ”
“แพรวพราว?” คนตัวสูงหลุดขำอย่างเอ็นดูสักพักก่อนจะตอบกลับไป
“เรื่องบนนั้นฉันแพรวพราวกว่าอีกนะ”
ไซฮาร์ทำหน้านิ่งดั่งเช่นเคยก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาหวังจะดันอีกฝ่ายออก
“น่าจะหายคิดถึงได้แล้วนะขอรับ”
“รู้ได้ไงว่าฉันคิดถึงนายมาก”
“จดหมาย”
จดหมายทุกฉบับที่เฮฟเนอร์เขียนส่งให้ไซฮาร์ จะมีความว่า ‘คิดถึงมาก’ ทุกฉบับ
“อ่านด้วยเหรอ ทั้งหมดเลยหรือเปล่า แค่นายอ่านสักฉบับฉันก็ดีใจแทบตายล่ะ” เขาหอมไปทั่วแก้มของอีกฝ่าย
“พอได้แล้ว…”
เด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบขวบสามคนในชุดอคาเดมี่ที่บังเอิญเดินผ่านหน้าซอยมาและหันเข้ามาเห็น
“มีคนมานัวเนียกันตรงนี้ด้วย” ก่อนหนึ่งในนั้นเด็กชายเจ้าของเส้นผมสีส้มจะพูดขึ้น
เด็กอีกสองคนหันหน้าไปทางอื่นและวิ่งหนีไป
เฮฟเนอร์และไซฮาร์หันไปมองเด็กคนนั้นพร้อมกันโดยที่ไม่มีท่าที่ตกใจเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เฮฟเนอร์จะหรี่ตามองตํ่าไปที่เด็กคนนั้นพร้อมกับปล่อยออร่าออกมาเพื่อข่มขู่
“ขะ ขอโทษครับ” เด็กชายคนนั้นพูดขอโทษอย่างหวาดกลัวก่อนจะรีบวิ่งหนีไป
“ไม่เป็นไรนะ” คนตัวสูงพูดปลอมริมฝีปากพลางสัมผัสไปที่เส้นผมของอีกฝ่าย
“พอครับ” คนตัวบางยืนกรานคำเดิม
“เข้าใจแล้ว ๆ ” เขารีบรับทราบทันทีเพราะกลัวอีกฝ่ายจะโกรธเอา