ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ดราม่า,ไซไฟ,ทะลุมิติ,ดราม่า,นิยายวาย,แฟนตาซี,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเรายิ่งรู้ข้อมูลของโลกทางฝั่งนี้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นผลดีมากเท่านั้น
.
.
.
“ฟังให้ดี ๆ นะลูกแม่ ลูกต้องเป็นเด็กดี อย่าทำให้ท่านดยุคไนเรลโกรธเชียว”
น็อคทิส ไนเรล
อายุห้าขวบ สายเลือดรองของตระกูลูไนเรล
“ฮะแม่” เด็กน้อยตอบผู้เป็นมารดา ดวงตากลมใสซื่อดูไร้พิษภัยของเขายิ่งทำให้ผู้เป็นมารดาอดไม่ได้ที่จะกอดลูกของตนด้วยความรู้สึกอยากที่จะปกป้องเยี่ยงชีวิต
“เก่งมาก” เธอพูดพลางจุ๊บไปที่หน้าผากของบุตรชายด้วยความรักที่เหลือล้น
“กินเวลาไปมากแล้วขอรับ” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ด้วยท่ายืนตามระเบียบของอัศวิน ใบหน้าที่นิ่งเฉยดวงตาคมสีม่วงสง่างาม
เจฟเฟรย์ ไนเรล
อายุสิบเอ็ดปี บุตรชายคนที่สามของดยุคไนเรล สายเลือดหลัก
“ขะ ขออภัยท่านเจฟเฟรย์” ผู้เป็นมารดาของเด็กชายรีบเอ่ยปากขอโทษเจฟเฟรย์ทันทีก่อนจะหันหน้ากลับมามองลูกชายของตนด้วยความหวาดกลัวอีกฝ่ายแต่ก็ยังมีความเป็นห่วงลูกชายอยู่มาก
มือเรียวที่สั่นเทาจับไปที่ไหล่ของลูกชายด้วยความเป็นห่วงก่อนจะส่งยิ้มอย่างฝืน ๆ ให้
แม่ขอโทษนะลูก
“แม่ฮะ ผมไม่เป็นไร”
.
.
.
ท่านเจฟเฟรย์เขาดูนิ่งมากเลย
เด็กน้อยอายุห้าขวบนึกในใจ ดวงตาพลางทอดมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความไร้เดียงสา
อยากเจอท่านพี่ไซฮาร์จังเลย
เมื่อไหร่พี่เขาจะได้กลับมานะ ตอนนี้พี่เขาสบายดีหรือเปล่า
อยากถามท่านเจฟเฟรย์จัง…แต่น่ากลัว
ดวงตากลมมองดูหน้านิ่ง ๆ ของอีกฝ่ายพลางตัวสั่นราวกับลูกกระต่ายที่กำลังสั่นกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าหมีตัวใหญ่
สั่นเหรอหรือว่าหนาว
เจฟเฟรย์มองดูเด็กน้อยที่กำลังนั่งตัวสั่นอยู่ฝั่งตรงข้าม
ไม่จำเป็นต้องพยายามเข้าใจ
เจฟเฟรย์คิดในใจว่าอย่างนั้น
“ข ข้าไม่สิ ผะ ผมต้องเข้าไปในสนามทดสอบจริง ๆ เหรอครับ” เด็กน้อยพูดถามขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัวต่ออีกฝ่าย
คงจะถามเรา?
“ก ก่อนหน้านี้ผมได้ยินพวกพี่สาวใช้ในคฤหาสน์เขาพูดกัน…”
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น”
“ข้าจะรอดกลับมาใช่ไหมขอรับ”
“คงงั้น”
ถึงจะดูเย็นชาไปบ้างแต่ก็ยังตอบเราทุกคำถาม
ความกลัวก่อนหน้านี้เองก็เริ่มจางหายไปแล้วด้วยแฮะ
“ข้าอยากฟังเรื่องของท่านไซฮาร์ครับ”
?
“อืม จะเอาเรื่องไหน”
ยังไงเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร
“อืมม ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับท่านไซฮาร์เลย เลยไม่รู้ว่าจะให้เล่าเรื่องไหน เอาเป็นว่าทุกเรื่องครับ”
“...”
“เอาเรื่องที่สุดยอดมาก ๆ …ที่สุดครับ”
เจฟเฟรย์นิ่งเงียบไปพักใหญ่จนเด็กน้อยนึกสงสัยว่าคงจะไม่อยากเล่าหรือเปล่า พลางเอียงศีรษะเล็กน้อยมองเจฟเฟรย์
“ตอนเขาอายุแปดขวบเข้ารับการฝึกในเกต แต่เกตดันเปลี่ยนสภาพระหว่างการฝึกเขาจึงจะต้องติดอยู่ในนั้นตัวคนเดียวเกือบหนึ่งปี”
“คนเดียว หนึ่งปี? แสดงว่าท่านไซฮาร์ก็จะต้องเป็นคนที่สุดยอดมากแน่ ๆ ”
“...”
เด็กน้อยยิ้มให้เจฟเฟรย์สักพักก่อนจะเหลือบดวงตาไปเห็นดาบสีเงินที่อยู่ข้างตัวของเจฟเฟรย์
!!!
“ดาบของท่านงดงามมากเลยขอรับ แล้วก็ดูเก่งมาก ๆ เลยด้วย รู้เลยครับว่าคนที่ตีดาบเล่มนี้ขึ้นมาจะต้องเป็นคนที่สุดยอดมากแน่ ๆ ”
น็อคทิสพูดชมด้วยแววตาไร้เดียงสาดั่งเด็กอายุห้าขวบทั่ว ๆ
เจฟเฟรย์เหลือบมองน็อคทิสด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก และสุดท้ายเขาก็ไม่ตอบอะไรกลับไป
ตัดภาพมา ณ เวลาปัจจุบัน
“ว่าแต่…นายชื่อะไรนะ”
ฮิมเมลเอ่ยปากถามอีกฝ่ายระหว่างที่กำลังทำการเทเลพอร์ต
“...อืม”
“อิลเลย์”
“...”
“อิลเลย์ เนริส”
“โอเค ฉันฮิมเมล แอสเธอร์”
เขาหลับตาทั้งสองข้างพลางยิ้มให้กับฮิมเมล
โบราณว่าไว้อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า แต่นี่รู้ชื่อกันแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า(ได้แหละ)
ฮิมเมลนึกในใจพลางยิ้มเจื่อนออกมา
ช่างแม่x นี่ก็เอือมตัวเองแล้วเหมือนกัน
สุดยอดไปเลยแฮะ เพียงไม่กี่วินาทีก็มาโผล่อีกที่นึงแล้ว
อิลเลย์ย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้เท้าของฮิมเมลสามารถแตะถึงกับพื้นได้
“ขอบใจ ๆ ”
ฮิมเมลพูดขอบคุณอย่างลวก ๆ สายตาทอดมองไปรอบ ๆ ตัว
ตรงนั้น คนเยอะจัง
“นายไม่เคยมาสินะ” อิลเลย์พูดขึ้นกับฮิมเมล
“อืม” เขาตอบกลับอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะมัวแต่ไปสนใจ ฝูงชนตรงหน้าที่เหมือนกำลังมุงดูอะไรกันสักอย่างอยู่
ตรงนั้นคนเยอะจัง
“ปกติคนก็ไม่เยอะขนาดนี้หรอก แต่เพราะจะมีขบวนของทหารที่ไปออกรบและนำชัยชนะกลับมา เดินผ่านทางนี้น่ะ”
“อืม ชนะสงคราม”
“ใช่”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมฉันไม่รู้อะไรเลยล่ะเนี่ย”
“มันกระทันหันน่ะ อย่างม้าเร็วของราชวงศ์ก็คงพึ่งจะคาบข่าวมาถึงแค่หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้”
“งี้นี่เอง แล้วนายรู้ได้ไง” ฮิมเมลถามขึ้น พอเป็นพิธีเพราะในใจเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
“อ๊ะ คือว่า…เรื่องนั้น”
“เฮ้!” เสียงปริศนาพูดขึ้นแทรกตัดบทสนทนาของทั้งสองคน
“ไง” เจ้าของเส้นผมสีส้มดวงตาสีเหลืองสวย มุมปากทั้งสองข้างหยกยิ้มอย่างเริงร่า
ใครอีกล่ะเนี่ย
“พวกนายเองก็แอบหนีมาเที่ยวเหมือนกันเหรอ”
“...”
“อืม” อิลเลย์ตอบกลับสั้น ๆ โดยที่ไม่ได้หันหน้าไปมองอีกฝ่ายเลยด้วยซํ้าไป
“อย่างนี้นี่เอง ก็…หวัดดีทั้งคู่นะ ฉันชื่อเอโนวา เลียม ทั้งคู่อาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ได้ คือท่านพ่อของฉันพึ่งจะได้รับยศขุนนางเมื่อไม่นานมานี้น่ะ บ้านของพวกเราเปิดร้านขายเครื่องเพชรให้กับขุนนางน่ะ”
ลืมไปเลยแฮะ ยศของท่านพ่อก็ไม่ได้สูงมากพวกเขาคงจะไม่อยากคุยกับเรา
“ขะ ขอโทษที่พูดมากนะ”
“ไม่ ๆ ไม่เลย ฉันฮิมเมล แอสเธอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“คะ ครับ”
หมอนี่น่ารักแฮะ สมกับวัยจริง ๆ
ฮิมเมลคิดในใจพลางยิ้มให้กับอีกฝ่ายเพื่อลดความระแวงที่อีกฝ่ายมีต่อตนไปในตัว
“ถึงวันนี้คนจะเยอะไปหน่อย แต่พวกเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกันเถอะนะครับ”
เอ่ยปากชวนไปแล้ว ชวนไปแล้ว โดนปฎิเสธแหง แน่ล่ะ พึ่งเจอกันเองนี่
“ฉันโอเคนะ เอ่อ…หมายถึงได้น่ะ” ฮิมเมลตอบสายตาพลางเหลือบมองไปที่อิมเลย์
“ครับ” เอโนวายิ้มดีใจ
“แต่พวกเราพึ่งรู้จักหมอนั้นเองนะ”
เขาไม่โอเคเหรอ? “ไม่ได้เหรอ” ฮิมเมลถามอิมเลย์ด้วยสีหน้าและแววตาที่ประหาดใจ ก่อนจะพูดต่อ
“พวกเราเองก็พึ่งจะรู้จักกันน่ะ”
อิลเลย์ช็อกกับคำพูดของฮิมเมล เขายืนตัวแข็งไปสักพักก่อนจะกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง
“น่ะ…นั่นสินะ”
“อืม”
.
.
.
“อ๊ากกก มีคนมายืนนัวเนียกันอยู่ตรงนี้ด้วย”
อ๊ะ!!!
รู้ว่าตกใจแต่จะตะโกนทำไม นั้นไงเขาหันมามองแล้ว ชิบxายล่ะ พวกเราน่าจะโดนพี่ผู้ชายคนนั้นต่อยสักหมัด
หนีโว้ยยย
ไม่ทันล่ะ
ฮิมเมลวิ่งหนีพลางยื่นมือไปคว้าแขนของอิลเลย์ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดหนีโดยสัญชาตญาณพร้อมกับพูดขอโทษ สองคนที่กำลังยืนคร่อมกำแพงในตรอกซอยเล็ก ๆ นั่น
“แฮ่ก…แฮ่ก แฮ่ก” ฮิมเมลหอบหายใจถี่ระรัวด้วยความเหนื่อยจากการวิ่ง หลังมือบางยกขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไหลตรงแก้ม
หมอนั่นจะรอดไหมนะ ช่วยไม่ได้ก็เป็นคนทิ้งระยะห่างเองเราเลยไม่ได้พาวิ่งหนีมาด้วย
“นายโอเค๊” ฮิมเมลถามพลางเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่า
อิลเลย์ไม่ตอบอะไร เขาเอาแต่เหม่อมองแขนของตัวเองตรงที่ฮิมเมลจับเมื่อกี้
“ขอโทษล่ะกัน ว่าแต่พอจะมีร้านหนังสือมือสองบ้างหรือเปล่าฉันอยากไปน่ะ ขอรบกวนหน่อยน้า”
ตอนนี้เองก็เย็นมากแล้วต้องรีบ
“พะ พอจะรู้จักอยู่บ้าง เดี๋ยวฉันนำทางเอง”
“ขอบคุณ”
ใหญ่ชะมัดเลย ฮิมเมลคิดในใจพลางเงยหน้าขึ้นมอง กองทัพหนังสือหนาตรงหน้าที่ถูกรายเรียงอย่างเป็นระเบียบตรงผนังทางเดินยาวทั้งสองด้านถูกเรียงไปด้วยหนังสือเล่มหนาตามผนังไปจรดเพดาน
“เชิญเลยครับ”
ชายวัยชราเจ้าของเสียงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะขนาดเล็กหรือจุดคิดเงินพูดขึ้น ผมหงอกขาวใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรยิ่งทำให้ฮิมเมลรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยกับชายชราที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านคนนี้
ฮิมเมลยิ้มตอบให้เป็นมารยาทก่อนจะเดินเข้าไปดูรอบ ๆ ภายในร้าน
ข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเรายิ่งรู้ข้อมูลของโลกทางฝั่งนี้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นผลดีมากเท่านั้น
หลายเดือนตอนอยู่คฤหาสน์แอสเธอร์ เราก็อ่านและท่องจำกฎหมายของที่นี่ได้หมดแล้ว บวกกับอ่านประวัติศาสตร์ของประเทศนี้มาได้นิดหน่อย
ดีนะ ทะลุมิติเข้ามาในนิยายไทย ถ้าเข้ามาในนิยายอินเตอร์นี่วุ่นเลยสื่อสารกับโลกทางฝั่งนี้ไม่ได้
ฮิมเมลคิดใจในพลางยิ้มเจื่อนออกมา