เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

พวกมึงลบหลู่กู - ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พวกมึงลบหลู่กู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

ผู้แต่ง

อมายา

เรื่องย่อ

"น้องกูก็ตายแล้วนี่ไง พวกมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ หรือต้องให้กู้ตายอีกคน พวกมึงถึงจะพอใจ"


"ใช่ ถ้ามึงตาย แล้วได้สี่คนนั้นกลับมา มึงจะยอมตายมั้ย"


"..."


"เห็นมั้ย ตัวมึงเองยังไม่อยากตายเลย และสี่คนนั้นมันอยากตายเหรอ มึงคิดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเอง แบบนี้เขาเรียกเห็นแก่ตัวว่ะ"



เพียงเพราะความปากพล่อยและความโผงผางของคนคนหนึ่ง ทำให้ใครหลายคนเดือดร้อน และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนทุกคนต้องตามสืบเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้รอดจากน้ำมือของผีตนนี้

สารบัญ

พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓๐ พวกมึงลบหลู่กู

เนื้อหา

ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู

ตอนที่ ๑
ณ โต๊ะใต้ตึกคณะนิเทศศาสตร์มหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีสองหนุ่มหล่อ กับสาวสวยหนึ่งคน นั่งรอเพื่อน ๆ อยู่ ทั้งสามคนได้นั่งคุยสัพเพเหระกันทั่วไป แต่ทว่าจู่ ๆ ชายหนุ่มหนึ่งคนบนโต๊ะได้พูดเปิดประเด็นขึ้นมา
“เอาไงไปเปล่าพวกมึงอะ ได้ไปเที่ยวด้วยนะเว้ย” สกายเอ่ยถามไปพลาง หยิบขนมใส่ปากไปพลาง
สกายเป็นหนุ่มหล่ออายุราว ๆ ยี่สิบสี่ ผมสีเทาหม่น ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ดวงตาสีน้ำตาล ผิวขาวสุภาพ จัดได้ว่าเป็นคนที่หน้าตาดีพอสมควร แต่ทว่าปากนั้นไม่ได้เข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาเสียเลย
“เออไปเปล่า สนุกนะ กูกับไอสกายไปมาหลายรอบแล้วด้วย” โนอาพูดเสริม เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือ
โนอา ชายหนุ่มผมสีดำสนิทตัดสั้นเท่ ใบหน้าเรียวยาวสง่างาม คิ้วเข้มพาดเฉียง ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยว เรียกได้ว่าหน้าตาดีไม่แพ้สกายเลยทีเดียว
“ไปไหนอีกล่ะไอ้คุณพี่ทั้งสอง อาจารย์เขารู้มั้ยเถอะ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก” ปิ่นเอ่ยถามนิ่ง ๆ หากแต่เป็นการนิ่งที่ชวนหาเรื่องยิ่งนัก
ปิ่นเป็นนักศึกษาสาวสวยรูปร่างสูงระหงบางเฉียบ ใบหน้าหวานละไมดั่งเทพธิดา ผิวขาวผ่องดุจหยกขัดเงา ดวงตากลมโตที่ดูดุตลอดเวลา มาพร้อมกับปากสีแดงแปร๊ด และด้วยลุคสาวเปรี้ยวของปิ่น ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนหรือทำอะไรก็จะถูกจับจ้องอยู่ตลอด
“รับน้องนอกสถานที่ไงจ๊ะอีหนู” สกายเอ่ยทีเล่นทีจริง
“ถามจริงนะพี่ มึงสองคนจะรอรับน้องไปจนแก่ตายเลยเหรอ” ปิ่นเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้
ในขณะที่สกายและปิ่นกำลังพูดประชดประชันกันไปมา ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสง่างาม กล้ามเนื้อกระชับได้สัดส่วน ใบหน้าหล่อเหลาดั่งเทพบุตร แถมท่วงท่าการเคลื่อนไหวดูสุขุมนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยพลัง แสดงถึงความมั่นใจและบุคลิกภาพที่น่าดึงดูด มาพร้อมแว่นกันแดดสีดำ ก่อนจะหย่อนก้มนั่งลงข้าง ๆ โนอา โนอาเลยเอ่ยแซวทันทีที่ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ
“มึงมาถ่ายแบบหรือไง หล่ออะไรขนาดนั้นวะน้ำเหนือ”
“ชินแล้วอะพี่ คนพูดแบบนี้เยอะ” น้ำเหนือเอ่ยตอบโนอาด้วยท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ ก่อนจะหันไปหน้าไปถามหาอันดากับปิ่นต่อ
“อันดายังไม่มาเหรอปิ่น”
“นั่นไง เดินมาแล้ว” ปิ่นเอ่ยตอบน้ำเหนือพร้อมกับโบกมือให้อันดาที่กำลังเดินเข้ามา
ตอนนี้ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่หญิงสาวใบหน้าได้รูปอ่อนหวาน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลทอง ผมสีน้ำตาลเป็นลอนสวย ผิวขาวเนียนดุจไข่มุก กำลังเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะ
“น่ารักเนอะไอกาย” โนอาเอ่ยพูดทั้งที่สายตายังจ้องมองไปที่อันดาอยู่
น้ำเหนือที่ได้ยินคำพูดของโนอา แถมยังหันไปเห็นว่าสกายกำลังน้ำลายไหลอยู่ จึงได้ยกมือขึ้นมาปิดตาทั้งคู่เอาไว้ โนอาและสกายที่โดนน้ำเหนือปิดตาเอาไว้ ก็ได้แต่ร้องโวยวายออกมา
“อะไรของมึงเนี่ยไอเหนือ”
“ทะเลาะอะไรกันเนี่ย” อันดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใสทันทีที่ทิ้งตัวนั่งลงข้างปิ่น
“น้องอันดาอยากไปรับน้องนอกสถานที่กับพี่มั้ยครับ” สกายเอ่ยถามทันทีที่อีกฝ่ายนั่งลงตรงหน้า พร้อมกับจ้องมองไปที่อันดาด้วยสายตาที่ดูเจ้าเล่ห์ ปิ่นที่เห็นการกระทำของสกายก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดคำพูด ก่อนจะที่เอ่ยปรามออกไป
“พี่สกาย มึงหยุดเลยนะ” สกายที่ได้ยินน้ำเสียงอันดุดันของปิ่นก็รีบถอยตัวลงมานั่งที่เดิมทันที อันดาได้แต่นั่งอมยิ้มที่เห็นปิ่นสกายทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง ก่อนจะกวาดสายมองสำรวจรอบโต๊ะ
“แล้วอีกสามคนยังไม่มาเหรอ จะถึงเวลาแล้วนะ” อันดาเอ่ยถามออกไป
“นู่นไง วิ่งมาแล้วน่ะ” ปิ่นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งพร้อมกับส่งสายไปที่สามกำลังวิ่งเข้ามา
อันดามองตามสายตาของปิ่นไปก็พบกับทั้งสามคนกำลังวิ่งหน้าตั้งเข้ามา จึงเอ่ยพูดติดตลกออกมา
“จะไม่ล้มใช่มั้ย” สิ้นคำของอันดา ทุกคนที่นั่งอยู่ก็หันสายตาไปมองทั้งสามคนที่กำลังวิ่งแข่งกันเข้ามาจนถึงโต๊ะ
“ไปยัง ไปเลยมั้ย ไปตอนไหน รอใครอีกมั้ย” หญิงสาวร่างเล็กรัวคำพูดใส่ทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ
เกลและปิ่นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา การใช้ชีวิต รวมถึงนิสัยของทั้งคู่ด้วย ทำให้ใครหลายคนต่างก็คิดว่าเกลและปิ่นนั้นเป็นฝาแฝดกัน
“นั่งพักก่อน ค่อย ๆ พูดก็ได้เกล” อันดาพูดพร้อมกับเขยิบตัวไปนั่งติดกับปิ่น เพื่อเว้นที่ให้เกลได้นั่งลงข้าง ๆ
“แล้วมึงสองคน วิ่งแค่นี้ยังแพ้ผู้หญิง ฮ่า ๆ” สกายเอ่ยแชวต้นกล้าและคิมที่เพิ่งวิ่งมาถึง
“โห่ พี่ดูขามัน แล้วดูขาผม ใครจะไปวิ่งตามทันเนอะคิม” ต้นกล้าเอ่ยตอบสกาย พร้อมกับวางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ น้ำเหนือ
ต้นกล้าหนุ่มลูกครึ่งจีน ขี้เล่น ใบหน้าเกลี้ยงเกลา คิ้วหนา ตาตี่ ผิวขาวเนียนรับกับผมสีเทาที่ดูขลับผิวสุด ๆ
ขณะที่กำลังคุยกัน โนอาละสายตาจากต้นกล้า และเหลือบมองคิมที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางห่อเหี่ยวหน้าละห้อย จึงเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย
 “แล้วคุณคิม มึงไม่นั่งเหรอครับ ยืนเป็นเสาไฟฟ้าเพื่อ”
คิม หนุ่มแว่น ลุคเด็กเนิร์ดที่ซ่อนความหล่อเหลาและฮอตปรอทแตกเอาไว้ภายใต้กรอบแว่นอันหนาเตอะ ทว่าคิมนั้นเป็นคนนิ่งเงียบ ยิ้มยาก แถมยังเป็นคนขี้อาย และขี้น้อยใจเสียยิ่งกว่าอะไรดี
“ที่นั่งเต็มแล้วครับ ผมนั่งไม่ได้” คิมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างน้อยใจ
“อ่า ๆ งั้นมึงนั่งเลยครับ เดี๋ยวกูยืนเอง ไอกายเขยิบมา” โนอาบอกกับคิมพร้อมขยับตัวลุกขึ้น ยืน และกวักมือเรียกให้สกายขยับมานั่งแทนที่ตัวเอง
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรครับผม เชิญมึงนั่งตามสบายเลยครับผม”
ผ่านไปสักพักก็ได้เวลาเข้ากิจกรรมรับน้อง ทั้งห้าคนเก็บข้าวของและเดินตรงไปที่หอประชุมของมหาวิทยาลัยทันที เมื่อมาถึงหอประชุม สกายและโนอาก็ได้จัดแจงให้รุ่นพี่ทุกคนยืนล้อมรอบรุ่นน้องเอาไว้ เพราะนี่เป็นการเข้ากิจกรรมรับน้องครั้งสุดท้ายแล้ว จากนั้นก็มีอาจารย์ขึ้นกล่าวคำอวยพร
ขณะที่อาจารย์กำลังกล่าวคำอวยพรอยู่นั้น สกายได้หันไปกระซิบกระซาบกับปิ่น
“เอาไง ไปกันเปล่าพวกมึงอะ พารุ่นน้องไปด้วย”
ปิ่นเคลื่อนสายตาไปมองหน้าสกาย ก่อนจะเอ่ยตอบเบา ๆ
“ไม่ ไป!” ปิ่นเน้นย้ำคำตอบที่ละคำ และหันหน้ากลับไปมองที่เวทีเช่นเดิม
สกายเห็นว่าการเอ่ยชวนปิ่นไม่เป็นผลดีเสียเท่าไหร่ จึงได้หันไปชวนน้ำเหนือและอันดา
“เฮ้ย สองคนไปมั้ย กูจองที่ไว้แล้วนะเว้ย” สกายจ้องมองทั้งสองคนอย่างไม่ละสายตาราวกับว่ากำลังคาดหวังในคำตอบของทั้งคู่อยู่
“เออ ๆ จะไปก็ไป” น้ำเหนือตอบรับอย่างรำคาญ ส่วนสกายที่ได้คำตอบตามหวังแล้ว ก็ดูจะมีท่าทีดี๊ด๊าจนออกหน้า ก่อนจะเอ่ยตอบกลับน้ำเหนือด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน
 “เดี๋ยวพี่สกายคนนี้จะจัดการทุกอย่างให้เองนะครับผม”
สกายได้หันไปเห็นว่าอาจารย์ใกล้จะพูดอวยพรจบแล้ว จึงรีบเดินตรงดิ่งไปที่หน้าเวทีทันที เพื่อดำเนินกิจกรรมต่อ