เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด
ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๔
ทั้งสามคนที่ยังนั่งอยู่บนฟูกที่นอน เห็นว่ารามยืนนิ่งอยู่หน้าประตูและสายตาจ้องมองออกไปที่โถงกลางบ้าน ทั้งสามรู้สึกแปลกใจและสังหรณ์ใจไม่ดี จึงลุกขึ้นเดินไปหารามที่หน้าประตู และสกายก็เอ่ยถามออกไป
“รามมึงยืนนิ่งทำไมวะ” สิ้นคำถามของสกาย ทั้งสามคนที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูห้อง ก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่เช่นเดียวกันกับราม ภาพที่ทั้งสี่คนเห็นก็คือ หญิงสาวสวมเครื่องชุดโขนตัวนาง กำลังร่ายรำท่วงท่าประกอบดนตรีไทย อย่างอ่อนช้อยราวกับว่ากำลังฝึกซ้อมรำอยู่
แต่แล้วหญิงสาวผู้นั้นก็หยุดนิ่งอยู่ในท่วงท่าที่หันหลังให้ทั้งสี่คน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่ายืนตรงแล้วเอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยานคาง ทั้งที่ยังหันหลังอยู่
“ฉันรำสวยมั้ยจ๊ะ”
ทั้งสี่คนที่ยืนมองราวกับโดนมนต์สะกด ก็ได้สติกลับมา ทว่าช้าเกินไป ที่กว่าจะได้สติกลับมา หญิงสาวคนนั้นก็หันหน้ากลับมามองทั้งสี่คน ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามา แต่รามมือไวปิดประตูได้ทันเวลา
“พวกมึงลบหลู่กู พวกมึงทุกคนต้องตาย”
ทั้งสี่คนกระโดดเข้าไปหมุดไปอยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วโผล่ออกมาแค่ดวงตาจ้องมองไปยังประตูห้องที่ตอนนี้เสียงได้เงียบสงบไปแล้ว แต่หากจะให้ออกไปดูอีกครั้งก็ไม่มีใครกล้าย่างกรายออกจากห้องเสียเลย
เวลาผ่านไปจนรุ่งเช้าราว ๆ เจ็ดโมง ทุกคนตื่นขึ้นมาเตรียมตัว เพื่อที่จะออกเดินทางไปยังสถานที่นัดหมายอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งก็คือจังหวัดเชียงใหม่ ทว่าในตอนที่ทุกคนเรียบร้อยพร้อมที่จะเดินออกไปขึ้นรถกันแล้ว แต่ยังมีชายหนุ่มอีกสี่คนที่ยังไม่แม้แต่จะเปิดประตูออกมาดูคนอื่น ๆ นั้นก็คือ สกาย โนอา ราม และจอม หลังจากที่ปิ่นเห็นว่าทุกคนเก็บเสร็จกันหมดแล้ว จึงได้กวาดสายมองพร้อมกับนับจำนวนคน ซึ่งหายไปสี่คน ปิ่นจึงเอ่ยพูดอย่างหงุดหงิด
“พวกแม่งอีกแล้วเหรอ”
“งั้นทุกคนลงไปรอข้างล่างก่อนนะ” ปิ่นหันไปเอ่ยบอกกับทุกคนที่ยืนรออยู่ตรงโถงกลางบ้าน ก่อนจะหันหาไปเกลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“มึงมากับกูหน่อยเกล”
ปิ่นและเกลก็เดินตรงดิ่งไปที่ห้องของทั้งสี่คน เมื่อมาถึงหน้าห้องปิ่นยืนเคาะประตูอยู่นานสองนาน แต่เมื่อปิ่นกำลังจะยกมือขึ้นเคาะไปที่ประตูอีกครั้ง คราวนี้กลับมีเสียงร้องโวยวายดังออกมาจากในห้อง ปิ่นจึงได้หันเอ่ยพูดกับเกลด้วยสีหน้าตกใจ
“มันเป็นไรกันเปล่าวะมึง” เกลส่ายหน้าเชิงบอกว่าไม่รู้
จู่ ๆ เสียงร้องโวยวายก็เงียบไป ปิ่นจึงยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถลกขากางเกง พร้อมกับขาขึ้นมาและถีบไปที่ประตู แต่ทว่าสกายดันเปิดประตูออกมาเสียก่อน จึงทำให้เท้าของปิ่นนั้นเกือบจะถีบไปที่หน้าสกาย สกายหลับตาปี๋ด้วยความตกใจ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อพยายามรวบรวมสติ ค่อย ๆ เปิดตาขึ้นทีละข้าง จึงพบเข้ากับเท้าของปิ่นอยู่ตรงหน้า สกายยกมือขึ้นมาปัดเท้าของปิ่นลง พร้อมกับพูดด้วยความโล่งใจ พลางยกมือทาบอก
“ตกใจหมด คิดว่าใครมาเคาะ”
“อ้าว แล้วคิดว่าเป็นใคร” ปิ่นได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เออ...ไปจากที่นี่ก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” พูดจบสกายก็คว้าแขนปิ่นและรีบเดินลงมาข้างล่างทันที เมื่อมาถึงข้างล่างสกายก็เห็นว่าทุกคนนั้นพร้อมกันหมดแล้ว
“อ่าว พร้อมกันหมดแล้วเหรอ แฮะ ๆ” สกายส่งยิ้มหวานพร้อมกับขำแห้งใส่ทุกคน
“ไปกันเลยมั้ย เดี๋ยวรถจะรอนานนะ ไป” พูดจบสกายก็แทรกตัวไปเดินนำคนอื่น เพื่อจะออกจากบ้านหลังนี้ไม่เร็วที่สุด เมื่อเดินมาถึงที่รถตู้จอดรออยู่ สกายก็เดินเอาของไปเก็บที่ท้ายรถ แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินอันดาคุยกันปิ่นว่า
“เมื่อคืนแกได้ยินเสียงอะไรมั้ยปิ่น” สกายจึงรีบวางของลงและเดินตรงไปหาอันดาทันทีพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เมื่อคืนอันดาก็ได้ยินเสียงนั่นเหรอ”
“ค่ะ เสียงคล้ายกับดนตรีอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ” สิ้นคำพูดของอันดา สกายก็ตาเบิกโพลง และหันมองซ้ายขวาเหมือนกำลังกลัวอะไรอยู่ ก่อนจะหันหน้ากลับมามองที่อันดาและปิ่นสลับกัน
“เมื่อคืนพี่เจอเต็ม ๆ เลย”
น้ำเหนือที่ยืนอยู่หน้ารถ ก็เหลือบเห็นว่าอันดาและปิ่นกำลังคุยกับสกายอยู่ ด้วยความสงสัยจึงเดินอ้อมไปทางด้านหลังของสกายก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและลากเสียงยาว
“เจออะไรเหรอ” สกายร้องตะโกนออกมาด้วยความกลัว น้ำเหนือที่เห็นเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจที่แกล้งคนอย่างสกายได้ สกายยกมือขึ้นมาทาบอกก่อนจะหันไปพ่นคำด่าทอใส่น้ำเหนือ “ไอเหนือ ไอห่า เดี๋ยวกูก็หัวใจวายตายก่อน” แต่นำเหนือกลับไม่ได้สนใจคำด่าทอของสกายเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับเอ่ยถามต่อพร้อมกับสีหน้าที่จริงจัง
“เมื่อคืนพี่เจอผีนางรำใช่มั้ย”
“มึงก็เจอเหรอไอเหนือ” สกายเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ พร้อมกับหน้าถอดสี แต่น้ำเหนือกลับส่ายหน้าตอบกลับ สกายจึงได้เอ่ยถามออกไปอีกครั้งด้วยความสงสัย
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูเจอ” น้ำเหนือจ้องมองหน้าสกายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสลับสายตามาที่อันดาและปิ่น
“ก็เห็นตอนที่พวกพี่ไปพูดท้าทายเขาไง” ทั้งสามคนที่นั่งฟังอย่างตั้งใจก็คิ้วขมวดกันเป็นปม
“เหนือมองเห็นเหรอ” อันดาเอ่ยถามพร้อมกับสายตาจดจ่อไปที่น้ำเหนือ น้ำเหนือที่กำลังอ้าปากเอ่ยตอบ แต่ทว่ากลับทนประกายสดใสในดวงตาของอันดาไม่ได้ น้ำเหนือจึงยกมือขึ้นมาจับหัวอันดาหมุนไปทางอื่นเสียก่อน แล้วจึงเอ่ยตอบ
“อือ ก็แค่บางครั้งน่ะ แต่ส่วนมากก็แค่รู้สึกเฉย ๆ แต่คราวนี้เห็นเป็นตัวเลย”
“ส่วนกูเจอจัดเต็มยิ่งกว่า...” จากนั้นสกายก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เริ่มได้ยินเสียงจนถึงตอนที่นางรำพุ่งตัวเข้ามาใส่ หลังจากที่สกายเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ทันสามคนได้ฟัง ก็ต้องอ้าปากค้างไปตาม ๆ และตกใจยิ่งกว่าก็คือคำพูดของผีนางรำคนนั้นที่ว่า “พวกมึงลบหลู่กู พวกมึงทุกคนต้องตาย”
ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังคุยกันอยู่ คนขับรถตู้ก็มาพอดี จึงต้องหยุดไว้เพียงเท่านั้น เนื่องจากต้องรีบขึ้นรถและออกเดินกันต่อ แต่ระหว่างที่รถตู้กำลังแล่นไปบนถนน อันดาก็ผล็อยหลับไป จนได้ฝันเห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมเครื่องชุดโขนตัวนาง ผ้าห่มนางสีเขียวสวยสด งดงามราวกับตัวละครในวรรณคดี แต่แล้วจู่ ๆ จากความสวยงามกลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเหี่ยวย่นราวกับคนแก่ร้อยปี ร่างกายผอมโซจนเห็นกระดูกชัดเจน ผิวหนังแห้งกรัง ดวงตาจมลึกในเบ้าตา อันดาก็สะดุ้งเพราะถูกใครบางเรียก
“อันดา อันดา ถึงแล้ว”
“อื้อ ถึงแล้วเหรอเกล” อันดางัวเงียถามเกล เกลจึงพยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปหยิบของที่ท้ายรถ
หลังจากมาถึงที่หมาย ซึ่งก็คือโรงแรมแห่งหนึ่งที่พื้นที่ด้านหลังถูกปกคลุมไปด้วยป่าดงพงไพร ก็ได้แยกย้ายกันไปเก็บตามห้องที่สกายได้จองเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อเก็บของสัมภาระแล้วจึงได้ลงมาร่วมทำกิจกรรมกับคนอื่น ๆ
ซึ่งกิจกรรมแรกคือการตามหาธงสีของกลุ่มตัวเอง โดยที่การแบ่งกลุ่มจะแบ่งตามรถตู้ที่นั่งมาเลย เนื่องจากรุ่นน้องมากันไม่เยอะ จึงต้องให้รุ่นพี่ร่วมทำกิจกรรมด้วย และกิจกรรมเริ่มขึ้นในช่วงเย็น