เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

พวกมึงลบหลู่กู - ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พวกมึงลบหลู่กู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

ผู้แต่ง

อมายา

เรื่องย่อ

"น้องกูก็ตายแล้วนี่ไง พวกมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ หรือต้องให้กู้ตายอีกคน พวกมึงถึงจะพอใจ"


"ใช่ ถ้ามึงตาย แล้วได้สี่คนนั้นกลับมา มึงจะยอมตายมั้ย"


"..."


"เห็นมั้ย ตัวมึงเองยังไม่อยากตายเลย และสี่คนนั้นมันอยากตายเหรอ มึงคิดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเอง แบบนี้เขาเรียกเห็นแก่ตัวว่ะ"



เพียงเพราะความปากพล่อยและความโผงผางของคนคนหนึ่ง ทำให้ใครหลายคนเดือดร้อน และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนทุกคนต้องตามสืบเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้รอดจากน้ำมือของผีตนนี้

สารบัญ

พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓๐ พวกมึงลบหลู่กู

เนื้อหา

ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู

ตอนที่ ๖
รุ่งเช้าโนอาได้เรียกรวมทุกคนก่อนที่จะไปทานข้าว เพื่อที่จะสรุปกิจกรรมการตามหาธงสีเมื่อคืนนี้ที่ผ่าน เมื่อทุกกลุ่มมารวมตัวกัน ก็พบว่ามีเพียงกลุ่มของสกายที่ได้ธงกลับมาไม่ครบ จำเป็นจะต้องโดนทำโทษในตอนเย็นนี้ ซึ่งบทลงโทษก็คือกลุ่มของสกายจะต้องกลับไปเอาธงที่เหลืออยู่ออกมาให้ครบทั้งเจ็ดอันก่อนเวลาสองทุ่ม โนอาชี้แจงเรียบร้อยก็ได้ปล่อยให้ทุกคนไปทานข้าวและพักผ่อนตามอัธยาศัย
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปทานข้าว สกายก็เดินปรี่เข้าไปหาผืนป่ากับจันจ้าวพร้อมกับแสดงท่าทางที่ดูฉุนเฉียวไม่พอใจทั้งสองคนเอามาก ๆ ก่อนจะแสร้งพูดลอย ๆ ว่า
“เหม็นกลิ่นพวกตัวปัญหาว่ะ” พูดจบก็เดินจากไปหน้าตาเฉย
“ไม่ต้องไปสนใจคำพูดมัน มันกวนประสาทไปทั่วแบบนี้แหละ มีไรมาบอกพี่แล้วกันนะ” ปิ่นเอ่ยปลอบใจ และดันหลังทั้งสองคนให้เดินเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรม
เมื่อมาถึงห้องอาหาร ขณะที่จันจ้าวกำลังเดินตักอาหารอยู่ สกายก็มายืนอยู่ข้าง ๆ ทำท่าว่าจะตักอาหารต่อจันจ้าว ทว่ากลับพูดจาเหน็บแนมใสจันจ้าวเสียอย่างนั้น
 “ทำคนอื่นเดือดร้อน ยังจะมีหน้ามาตักของกินอย่างสบายใจอยู่เนอะ”
“อะไรของ...” จันจ้าวอ้าปากพูดได้เพียงเท่านี้ อีกฝ่ายก็เดินจากไปเสียก่อน จันจ้าวได้แต่หันกลับไปก้มหน้าก้มตาตักอาหารต่ออย่างไม่มีความสุข
ไม่นานนักจันจ้าวก็กลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร ซึ่งมีอันดา น้ำเหนือ เกล ปิ่น ต้นกล้า คิม และผืนป่านั่งอยู่ก่อนแล้ว จันจ้าวกลับมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก และดูเหมือนว่าจะมีน้ำตาคลอเบ้าเสียด้วย อันดาที่เป็นคนช่างสังเกต ก็ได้สังเกตเห็นว่าจันจ้าวคล้ายจะร้องไห้ จึงได้เอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าจันจ้าว” จันจ้าวจากที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ ก็ค่อย ๆ เงยหน้ามองอันดา ก่อนจะกวาดสายตามองคนอื่นที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน ไม่กี่วินาทีต่อมา น้ำตาก็ไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้างของจันจ้าว ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่นั้นต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน อันดาจึงขยับเก้าอี้ไปใกล้กับจันจ้าว
“เป็นไร ใครทำอะไร ไม่ร้อง ๆ” อันดาดึงจันจ้าวเข้ากอดเอาไว้ พลางลูบหัวปลอบจันจ้าวเบา ๆ
ผ่านไปสักพักสถานการณ์เริ่มสงบลง จันจ้าวหยุดร้องไห้ อันดาจึงปล่อยกอดออกพร้อมกับยกมือขึ้นมาปาดตาให้ จันจ้าวกวาดสายตามองหน้าทุกคน ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“หนูขอโทษนะที่ทำพวกพี่เดือดร้อน” อันดาส่ายหน้าด้วยเอ็นดู
“ไม่ใช่ความผิดของจันจ้าวกับผืนป่าเลยนะรู้มั้ย แล้วพวกพี่ไม่มีใครเดือดร้อนอะไรเลย อย่าคิดมากนะ”
“หนูขอโทษจริง ๆ นะคะ แต่หนูสองคนเข้าไปเอาธงไม่ได้จริง ๆ”
“ทำไมเราสองคนถึงเข้าไปเอาไม่ได้ล่ะ”
“คือหนูกับผืนป่าเจอ...” จากนั้นจันจ้าวและผืนป่าก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในป่าเมื่อคืนให้อันดาและคนอื่นที่นั่งอยู่ได้ฟัง เมื่อได้ฟังเรื่องราวของจันจ้าวกับผืนป่า ทุกคนก็อ้าปากค้างไปเลย เว้นแต่เพียง น้ำเหนือ อันดา และปิ่นที่หันมองหน้ากันอย่างงุนงงพร้อมกับคำถามมากมายในหัว
จากที่ได้ฟังเรื่องราวของรุ่นน้องทั้งสองแล้ว น้ำเหนือได้เรียกอันดาปิ่นออกไปคุยข้างนอก
“ทำไมถึงต้องเป็นผีนางรำ ไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ” ปิ่นยืนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะจับต้นชนปลายได้ จึงเอ่ยออกไปอย่างไม่มั่นใจ
“หรือเขาจะตามมาวะ”
“แต่พวกเราไม่ได้ทำอะไรนี่หน่า แค่ยืนอยู่เฉยเอง ๆ น้องสองคนนั้นก็ด้วย” อันอาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ น้ำเหนือที่ยืนเท้าเอวอย่างครุ่นคิดอยู่ ก็พูดโพล่งออกมา
“ก็พวกเราไม่ได้ห้ามกันไง แค่นี้ก็เท่ากับว่าเราลบหลู่เขาเหมือนกัน”
“แล้ว...แบบนี้เราทำไงกันดี” หลังจากที่คำของปิ่นถูกส่งออกไป อันดาและน้ำเหนือกลอกตามองกัน ก่อนจะส่ายหน้าด้วยความไม่รู้เช่นกัน
จากนั้นทั้งสามตัดสินใจว่าจะยังไม่บอกเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ เพราะตัวของทั้งสามก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผีนางรำคนเดียวกันกับที่บ้านไม้หลังนั้นหรือไม่
สามคนเดินกลับมานั่งที่โต๊ะและก้มหน้ารับประทานอาหารต่อ โดยที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด ๆ ออกมา ทำให้คนอื่นที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะ ต่างก็แปลกใจและสงสัยว่าทั้งสามคนไปคุยอะไรกันมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามอะไรออกไป
ผ่านไปสักพักหลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยกันแล้ว ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ของโรงแรม เนื่องจากมีการเรียกรวมอีกทีในตอนเย็น จึงทำให้ว่างตลอดทั้งวัน ทุกคนเลยแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามสไตล์ของตัวเอง
กลุ่มของน้ำเหนือและอันดารวมถึงรุ่นน้องทั้งสองคนอย่างจันจ้าวกับผืนป่า ได้มานั่งเล่นอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่บริเวณสวนหย่อมข้างโรงแรม ก็เพื่ออยากจะหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับสกาย ทว่าสกายก็เดินหาเจอจนได้
“มานั่งอยู่นี่ไม่บอกกูเลย” ปิ่นที่ได้ยินแค่เสียงก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของสกาย จึงหันหน้าไปมองสกายด้วยสายตาที่เอาเรื่อง พร้อมกับถามอย่างไม่สบอารมณ์
“หาจนเจอเนอะ” ปิ่นส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด
“ก็ดีกว่าคนแถวนี้ป่ะวะ ที่หาไม่อะไรไม่เคยเจอ จนคนอื่นต้องเดือดร้อน” พูดจบ สกายก็เหลือบมองไปที่ผืนป่าและจันจ้าว
“ผมกับจันจ้าวไปทำอะไรให้หนักหนาวะ” ผืนป่าวเอ่ยถามออกไปอย่างเสียงดัง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหน้าสกายที่ยืนอยู่ หลังจากที่คำถามของผืนป่าถูกส่งออกไป ทุกสายตาที่นั่งอยู่ภายในสวนหย่อมของโรงแรมต่างก็จับจ้องมาที่สกายด้วยความสงสัย สกายกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความประหม่า ก่อนจะหันไปพูดกับผืนป่า
“เดี๋ยวมึงเจอกูแน่” สิ้นเสียงคำพูด สกายก็เร่งฝีเท้ารีบเดินออกจากสวนทันที
ทุกคนได้พักผ่อนตามอัธยาศัยจนเวลาล่วงเลยไปราว ๆ หกโมงเย็น ก็มีเสียงประกาศเรียกจากโทรโข่งของโนอา
“เจอกันที่ห้องประชุมของโรงแรมในตอนนี้ด้วยครับ”
ไม่กี่นาทีต่อมา ทุกคนก็มาถึงหอประชุม และเห็นว่าสกายนั้นยืนถือไมค์อยู่บนเวทีด้านหน้าห้อง
 “นั่งเลยครับ พี่มีเรื่องจะพูดนิดหน่อยก่อนที่กลุ่มหนึ่งจะทำโทษ” สิ้นคำ ทุกต่างก็เดินเข้าไปนั่งเรียงกันที่พื้นตามที่สกายบอก
“เอาล่ะ กลุ่มที่ได้ธงมาครบ ก็ดีใจและยินดีด้วยนะครับ แต่กลุ่มไหนที่ได้มาไม่ครบ ต้องโดนทำโทษตามที่บอกไว้เมื่อวานนะครับ” สกายเอ่ยพูดผ่านไมค์ แต่ทว่าสายตากลับมองไปที่ผืนป่าอย่างหาเรื่อง
“พอดีกลุ่มของพี่มันมีตัวปัญหาอยู่ เลยต้องโดนทำโทษเลยว่ะ” สกายพูดติดตลกพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
หลังจากสิ้นเสียงคำพูดของสกาย ทุกคนเริ่มซุบซิบนินทากัน ว่าใครเป็นตัวปัญหา สกายที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนจะพูดออกไมค์อีกครั้ง
“อยากรู้กันมั้ยครับว่าใครเป็นตัวปัญหา เผื่อทุกคนจะได้เลี่ยงไม่เข้าใกล้คนแบบนั้นน่ะครับ” ปิ่นที่ยืนนั่งฟังอยู่ไม่ห่างมากนัก เห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว จึงลุกพรวดพราดเดินตรงไปที่สกายและแย่งไมค์ออกมาจากมือสกาย
“มึงเล่นอะไรวะ ถ้าน้องมันโดนเพื่อน ๆ ล้อ มึงจะทำยังไง คิดบ้าง โตแล้วนะเว้ย” สกายไม่ได้สนใจคำเตือนของปิ่น แต่กลับแย่งไมค์กลับมาและพูดต่อ
“มีอยู่สองคนนะครับ ตัวปัญหาที่ว่าน่ะ เป็นรุ่นน้องด้วยนะ” สิ้นเสียงพูดของสกาย ผืนป่าและจันจ้าวก้มหน้าก้มตาไม่มองใคร เพราะรู้อยู่ว่าสกายกำลังพูดถึงใคร
น้ำเหนือที่เห็นอาการของรุ่นน้องทั้งสองคนที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ ไม่ค่อยจะดีนัก จึงตัดสินใจเดินตรงไปหาสกายทันที และได้แย่งไมค์กลับมาอีกครั้ง ก่อนจะส่งหมัดไปที่หน้าของสกายหนึ่งที ทำให้สกายจึงร่วงลงไปกองที่อยู่ที่พื้นเวที
หลังจากที่ต่อยหน้าสกายไปแล้ว น้ำเหนือได้หันกลับไปบอกทุกคนที่นั่งมองอยู่อย่างตกใจว่าด้วยโทนเสียงปกติธรรมดา ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“วันนี้พอแค่นี้แหละ แยกย้ายกันไปพัก เจอกันพรุ่งนี้ครับ”
หลังจากทุกเดินออกไปหมดเหลือเพียงแค่กลุ่มเพื่อนและรุ่นน้องอีกสองคน น้ำเหนือจึงหันหน้ากลับมาหาสกายที่นอนกองอยู่กับพื้น และบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า
“ผมบอกพี่แล้วใช่มั้ย ว่าอย่างทำให้เป็นเรื่องใหญ่” พูดจบน้ำเหนือยกมือขึ้นมาเสยผมที่บังหน้า แต่ทว่าสกายกลับตกใจหลับตาปี๋ราวกับว่าจะโดนน้ำเหนือต่อยอีกครั้ง
สกายหรี่ตามองเลยได้รู้ว่าน้ำเหนือแค่เสยผมไม่ได้จะต่อยตัวเองแต่อย่างใด จึงได้เปิดตากว้างและพูดกับน้ำเหนืออย่างไม่รู้สำนึก
 “แล้วมึงมายุ่งอะไรด้วยวะ” น้ำเหนือส่ายหน้า พร้อมกับเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ
“หรือจะเอาอีกรอบ พี่รู้ใช่มั้ยว่าผมทำได้มากกว่าต่อยหน้าพี่”
แต่แล้วในขณะที่น้ำเหนือและสกายกำลังพูดคุยกัน จู่ ๆ ก็มีเสียงดนตรีไทยดังออกมาจากลำโพงห้องประชุม น้ำเหนือกับสกาย และคนอื่นที่ยืนมองอยู่ต่างก็หยุดการกระทำทุกสิ่ง เพื่อตั้งใจฟังเสียงเสียงนั้น จันจ้าวที่ได้ยินเสียงดนตรีไทยอย่างชัดเจนก็ได้กระโดดไปหลบหลังผืนป่า และได้เอ่ยถามผืนป่าเบา ๆ ราวกับกระซิบถาม
“เสียงนี้เหมือนที่ได้ยินในป่าเลย...ว่ามั้ย” ผืนป่าชำเลืองมองหน้าจันจ้าวที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อือใช่ เสียงเดียวกันเลย”สิ้นเสียงการพูดคุยของผืนป่ากับจันจ้าว ไฟก็ดับลง พึ่บ! ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโวยวายของทุกคน เพียงแค่เสี้ยววินาที เสียงกรีดร้องของทุกคนเงียบไป