เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

พวกมึงลบหลู่กู - ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พวกมึงลบหลู่กู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

ผู้แต่ง

อมายา

เรื่องย่อ

"น้องกูก็ตายแล้วนี่ไง พวกมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ หรือต้องให้กู้ตายอีกคน พวกมึงถึงจะพอใจ"


"ใช่ ถ้ามึงตาย แล้วได้สี่คนนั้นกลับมา มึงจะยอมตายมั้ย"


"..."


"เห็นมั้ย ตัวมึงเองยังไม่อยากตายเลย และสี่คนนั้นมันอยากตายเหรอ มึงคิดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเอง แบบนี้เขาเรียกเห็นแก่ตัวว่ะ"



เพียงเพราะความปากพล่อยและความโผงผางของคนคนหนึ่ง ทำให้ใครหลายคนเดือดร้อน และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนทุกคนต้องตามสืบเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้รอดจากน้ำมือของผีตนนี้

สารบัญ

พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓๐ พวกมึงลบหลู่กู

เนื้อหา

ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู

ตอนที่ ๑๒
“ทำไม่พวกหนูถึงไม่วิ่งออกมาจากป่าล่ะ”
“คือ...” จันจ้าวเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้รุ่นพี่ฟัง
จันจ้าวเล่าว่า ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณราว ๆ สองทุ่มได้ จันจ้าวจึงได้เอ่ยชวนผืนป่ากลับออกมาจากป่า ในระหว่างที่กำลังเดินกลับออกมาก็ได้ยินเสียงของเรียกของใครบางคน แต่แล้วจู่ ๆ ก็เกิดหลงทางราวกับว่าเดินวนอยู่ที่เดิม เดินวนไปวนมาอยู่พักใหญ่ก็เจอกับนายและมีนาที่กำลังจะเดินออกอยู่เหมือนกัน จึงได้เดินตามกันออกมา แต่ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงดนตรีไทยดังขึ้น ทั้งสี่คนจึงได้หยุดเดิน และหันมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กก่อนจะส่งสัญญาณผ่านสายตาว่าให้วิ่งพร้อมกัน แต่แล้วก็วิ่งไปได้ไม่เท่าไรก็เหมือนวนกลับมาที่เดิมที่ได้ยินเสียงดนตรีไทย จึงหยุดพักกันเสียก่อน แต่แล้วขณะที่ทั้งสี่กำลังหยุดพักด้วยความเหนื่อยหอบ ผีนางรำก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทั้งสี่คน จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปบีบคอนายและมีนาทันที แต่นายกับมีนาได้พ่นคำด่าทอ สาปแช่งใส่ผีนางรำตนนั้น ทำให้ผีนางรำโกรธจนดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ไม่กี่วินาทีต่อมามีนาและนายก็หมดสติไป ผีนางรำจึงหันความสนใจมาที่จันจ้าวและผืนป่า ก่อนจะพุ่งมาทำเช่นเดียวกันกับสองคนที่หมดสติไป แต่ทว่าจันจ้าวกับผืนป่าได้แต่เอ่ยพูดขอโทษขอโพย ไม่ได้พ่นคำด่าทอสาปแช่งเหมือนกับมีนาและนาย ไม่นานจันจ้าวกับผืนป่าก็หมดสติไป แต่ก่อนที่จะหมดสติไป จันจ้าวได้ยินคำพูดสุดท้ายของผีนางรำที่บอกว่า... เล่ามาถึงตรงนี้จันจ้าวก็หยุดเงียบไป และเงยหน้ามองทุกคน พร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดฤทธิ์
“ผีนางรำพูดว่า...อะไรเหรอจันจ้าว”
“มึงสองคนไม่รู้สำนึกก็จงตายไปซะ”
“เขาหมายถึง...” อันดากำลังจะเอ่ยพูดต่อ แต่ก็ต้องหยุดชะงักไปเสียก่อน เนื่องจากโนอาเดินเข้ามาพอดี และพูดแทรกขึ้น
“นายกับมีนาใช่มั้ย” จันจ้าวจึงค่อย ๆ พยักหน้าตอบรับ
“เอ่อ...งั้นจันจ้าวนอนพักเถอะ เดี๋ยวตอนเช้าพวกพี่มารับกลับนะ มีไรโทรหาพี่ได้ตลอดเลย” อันดาเอ่ยพูดพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้น พลางยื่นมองไปลูบหัวจันจ้าวเบา ๆ ก่อนจะหันไปหาเพื่อนที่นั่งมองอยู่
“ไป กลับกันเถอะ น้องจะได้นอนพัก”
จากนั้นทั้งสี่คนก็เรียกรถของโรงแรมให้มารับ แต่มีโนอาที่ยังขออยู่รอส่งร่างของน้องชายกลับกรุงเทพฯ เสียก่อน แล้วจึงจะตามกลับไปที่โรงแรม ทั้งสี่คนจึงเดินออกไปรอรถที่หน้าโรงพยาบาล
ไม่กี่นาที รถของโรงแรมก็เข้ามาจอดตรงหน้า ทันทีที่คนขับรถเปิดประตูลงมาก็ได้เอ่ยแสดงความเสียใจกับทั้งสี่คนอย่างจริงใจ ก่อนจะผายมือเชิญทั้งสี่คนขึ้นรถตู้ จากนั้นรถตู้ก็ค่อยเคลื่อนตัวช้า ๆ ออกจากโรงพยาบาล โดยระหว่างที่อยู่บนรถตู้ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากของใครเลยสักคน ทุกคนเอาแต่จ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
ผ่านไปสักพักทั้งสี่คนก็กลับมาถึงโรงแรม สกายได้ขอให้น้ำเหนือและอันดาช่วยไปบอกทุกคนให้มาเจอกันที่ห้องประชุมของโรงแรมในเวลาสองทุ่ม เพราะสกายมีเรื่องราวจะชี้แจงให้ทุกคนได้ฟัง ก่อนที่จะเข้าใจผิดกันไปมากกว่านี้
จากนั้นทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำและทานข้าว เนื่องจากตั้งแต่เช้ายังไม่มีใครได้ทานอะไรกันเลย เพราะคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่มีใครทานอะไรลงเลยเสียสักนิด
เวลาก็ได้ล่วงเลยไปจนถึงเวลาสองทุ่ม สกายได้มารออยู่ที่ห้องประชุมตั้งแต่หนึ่งทุ่มแล้ว ไม่นานทุกคนก็ทยอยเดินเข้ามา ทุกคนล้วนมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ ไม่มีแม้เสียงพูดคุยสนุกสนานเหมือนกับวันแรกที่มาถึง เมื่อทุกคนเข้ามานั่งจนครบ สกายจึงเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับไมโครโฟนหนึ่งตัว พร้อมกับเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ
“ทุกคนน่าจะรู้เรื่องกันแล้วแหละเนอะ ก็คือว่า...พี่จะให้ทุกคนกลับกรุงเทพฯ กันพรุ่งนี้นะ เตรียมตัวเก็บของกันได้เลย จะได้ไปร่วมงานของทั้งสี่คนด้วย” สิ้นเสียงพูดของสกาย บางคนก็ร้องไห้ออกมา บางคนก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่เหม่อลอย บางคนก็ซุบซิบนินทา แต่ทว่าสกายก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจอยู่แล้ว จึงได้พูดต่อ
“พรุ่งนี้รถตู้จะมารอที่หน้าโรงแรมสองคัน ขอให้ทุกคนกลับไปก่อนและอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ออกไป แล้วเดี๋ยวพวกพี่จะตามกลับไปที่หลัง แยกย้ายกันไปเก็บของได้ ขอบคุณมาก ๆ ครับ” ทุกคนขยับตัวลุกขึ้นและเดินเรียงรายกันออกไปจากห้องประชุม เหลือเพียงแค่เจ็ดคนซึ่งก็คือสกาย กลุ่มของน้ำเหนือ และกลุ่มอันดา จู่ ๆ เกลก็พูดโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“กูว่าพวกนั้นตายเพราะผีนางรำแน่เลยว่ะ” ทุกคนหันขวับไปมองหน้าเกลทันที เกลที่กำลังยืนเท้าเอวทำท่าครุ่นคิดอยู่ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็งมาที่ตัวเอง จึงได้เลื่อนมือลงจากเอวตัวเองและยืนตัวตรง ก่อนจะพูดอย่างรู้สึกผิด
“อย่ามองแบบนั้นสิ กูแค่คิดเฉย ๆ ว่าอาจจะเป็นผีที่อยู่ในโรงแรมก็ได้ อีกอย่างพวกเราชอบเสียงดังแถมยังปากหมากันอีก ก็ไม่แปลกเปล่าวะที่เขาจะโกรธอ่า” ทุกคนยังคงจ้องมองเกลอย่างไม่ลดละ
แต่แล้วขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองเกล สกายก็เหมือนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงได้กระโดดลงมาจากเวทีและเดินตรงไปหาน้ำเหนือทันที
“เฮ้ยเหนือ กูคิดไรออกแล้ว”
“อะไรวะพี่”
“กูว่าเราไปถามพนักงานโรงแรมดีกว่า ว่าที่นี่เคยมีใครเจอผีนางรำมั้ย” สกายพูดด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับทำท่าจะก้าวขาเดินออกไปหาพนักงาน แต่ปิ่นก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวพี่กาย มึงจะบ้าเหรอ ใครเขาจะบอกกันตรง ๆ วะ”
“เอางี้ งั้นทุกคนไปรอที่ห้องพักก่อน เดี๋ยวพี่ไปกับไอเหนือสองคน” สกายคว้าแขนน้ำเหนือและกำลังจะเดินออก แต่ก็หยุดชะงักราวกับลืมอะไรบางอย่าง
“เออแล้วก็ไปอยู่รวมกันที่ห้องพี่นะ เผื่อได้เรื่องอะไร จะได้คุยกันเลยทีเดียว”
จากนั้นสกายและน้ำเหนือก็เดินออกจากห้องประชุมไป ส่วนทุกคนที่ยืนอยู่ ถึงแม้จะงุนงงมากแต่ก็ทำตามที่สกายบอก
ทางด้านของสกายและน้ำเหนือที่กำลังเดินไปยังแผนกต้อนรับของโรงแรม ก็เจอเข้ากับป้าแม่บ้านระหว่างทาง สกายจึงได้เดินตรงเข้าไปถามป้าแม่บ้านทันที
“เอ่อ..ป้าครับ ผมของสอบถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ”
“ว่าไงจ๊ะพ่อหนุ่ม”
“คือ...ว่า...ที่นี่...” สกายอ้าปากพูดได้เพียงเท่านี้ น้ำเหนือก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดที่สกายอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่พูดออกไปเสียที
“ป้าเคยเจอผีนางรำที่นี่มั้ยครับ” ป้าแม่บ้านส่ายหน้าเบา ๆ เชิงปฏิเสธ ก่อนตอบกลับเด็กหนุ่มร่างสูงตรงหน้า
“ไม่มีนะจ๊ะ ป้าทำงานที่นี่ตั้งแต่โรงแรมเปิดวันแรกก็ไม่เคยเจอเลยนะ”
“ขอบคุณนะครับป้า ผมสองคนขอตัวก่อนนะครับ”
หลังจากที่น้ำเหนือกล่าวขอบคุณป้าแม่บ้านเสร็จ ก็คว้าแขนสกายเดินต่อไปยังแผนกต้อนรับของโรงแรม เมื่อมาถึงก็เจอพนักงานสาวคนหนึ่งยืนอยู่พอดี
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
“คะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” สกายและน้ำเหนือหันมองหน้ากัน ก่อนจะถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ผมจะถามว่าพี่เคยได้ยินเรื่องผีนางรำบ้างมั้ยครับ” พนักงานสาวส่ายหน้าปฏิเสธอีกเช่นเคย
“ไม่มีนะคะ ตั้งแต่ทำงานมาก็ไม่เคยได้ยินเลย ปกติพี่ก็นอนอยู่ที่ห้องพักพนักงานตลอด”
“ขอบคุณมากครับ ขอโทษที่รบกวนเวลาทำงานด้วยนะครับ”
สกายยกมือขึ้นมาดูเวลาก็เห็นว่าเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว จึงได้ชวนน้ำเหนือกลับไปที่ห้องพักเสียก่อน เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก สกายกลายเป็นคนระแวดระวังไปเลย เพราะกลัวจะสูญเสียใครไปอีก
ไม่นานก็เดินมาถึงห้องพักที่ทุกคนนั้นอยู่รวมกัน เมื่อเปิดประตูเข้าไปเห็นว่าสถานการณ์ยังคงปกติ สกายได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ ปิ่น ปิ่นที่กำลังหยิบขนมเข้าปากอยู่ ก็วางลงและหันไปหมุนตัวหันไปหาสกายทันที พร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าที่นี่ไม่มีผีนางรำอย่างที่สกายคิด
“เป็นไงบ้าง ได้เรื่องอะไรมั้ยล่ะ” สกายส่ายหน้าปฏิเสธอย่างสิ้นหวัง
“ที่นี่ไม่มีหรอก ผีนางรำอ่ะ” ทุกคนหันขวับไปมองที่น้ำเหนือทันที เว้นแต่เพียงอันดากับปิ่น
“มึงรู้ได้ไง แล้วผีจะมาจากไหน ถ้าไม่ใช่ที่นี่น่ะ” สกายเอ่ยถาม น้ำเหนือจึงจ้องมองหน้าสกายอย่างคาดโทษก่อนจะตอบคำถามของสกาย
“ก็ตามพวกเรามาไง”
“ตามมา? ตามมาจากไหนวะ” ปิ่นวางฝ่ามือลงที่หัวสกายไปหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างเหนื่อยหน่าย
“ก็มึงไงพี่ มึงไปพูดท้าทายเขา เขาเลยตามเอาชีวิตพวกเราทุกคนนี่ไง เออแต่พูดถึง เราแค่พูดเฉย ๆ เองนะ ไม่น่าจะถึงขั้นเอาชีวิตหรอกมั้ง” น้ำเหนือพยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดขึ้น
“นั่นสิ กูว่านะ...มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ ๆ” น้ำเหนือยกมือเท้าคางราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอยู่ และก็เหมือนว่าน้ำเหนือจะฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงได้หันไปหาสกายที่ยังคงนั่งหน้าหงอยรู้สึกผิดอยู่
“พี่กาย พี่ได้ไปทำไรมากกว่าที่พูดท้าทายมั้ย” สกายเงยหน้ามองน้ำเหนือและครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าตอบกลับน้ำเหนือ เมื่อทุกคนเห็นว่าสกายส่ายหน้าปฏิเสธ ต่างก็นิ่งเงียบมองหน้ากันไปมา ไม่พูดไม่จาอะไรกันเสียสักคำเดียว แต่แล้วจู่ ๆ ไฟก็ดับลงอย่างกะทันหัน
 พึ่บ!!
เมื่อไฟดับลง ทั้งเจ็ดคนจับมือกันโดยอัตโนมัติ และแล้วก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น ซึ่งเป็นเสียงที่ทุกคนไม่อยากจะได้ยินเสียเท่าไร นั่นก็คือเสียงดนตรีไทย เสียงของดนตรีไทยดังอยู่พักใหญ่จากนั้นก็มีเสียงคล้ายกับกระดิ่งข้อเท้าดังตามมา ทุกคนยังคงนั่งนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากปากราวกับว่าไม่มีคนอยู่ในห้อง
ไม่กี่วินาทีต่อมาไฟก็สว่างขึ้น ทว่าไฟสว่างพร้อมกับผีนางรำ กำลังร่ายรำอยู่กลางห้องพัก ทั้งเจ็ดคนยังคงช็อกกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้าและทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีหรือจะทำเช่นไรต่อดี แต่แล้วน้ำเหนือก็ได้สติกลับมาก่อนเพื่อน ๆ จึงได้ตะโกนเรียกชื่อเพื่อนทั้งหกคนที่ยังไม่ได้สติ
หลังจากที่ทั้งหกได้สติ น้ำเหนือก็บอกให้ทุกคนนั้นวิ่งไปที่แผนกต้อนรับของโรงแรม เนื่องจากตอนที่น้ำเหนือเข้าไปถามเกี่ยวกับผีนางรำ น้ำเหนือเห็นว่ามีหิ้งพระตั้งอยู่ จึงคิดว่าที่นั่นน่าจะปลอดภัยที่สุดสำหรับตอนนี้
เมื่อทั้งหกคนวิ่งออกไปแล้ว เหลือเพียงน้ำเหนือที่วิ่งออกเป็นคนสุดท้าย ทำให้น้ำเหนือได้ยินคำพูดของผีนางรำ
“คิดว่าจะรอดกันเหรอ พวกมึงทุกคนต้องตาย”
ก่อนที่น้ำเหนือจะวิ่งพ้นประตูห้อง น้ำเหนือได้หันหลังกลับมองหน้าของผีนางรำและได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจน ทำให้น้ำเหนือรู้ได้ทันทีว่าเป็นผีนางรำที่ตามมาจากศาลไม้นั่นจริง ๆ น้ำเหนือได้แต่เก็บความตกใจไว้ภายในใจ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นผีนางรำที่ตามมาอย่างที่เคยคิดเอาไว้ และได้วิ่งตามเพื่อนทั้งหกไปจนถึงแผนกต้อนรับของโรงแรม เมื่อวิ่งมาถึง ก็ยืนพักด้วยความเหนื่อยหอบอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีพนักงานสาวเดินเข้ามา ทำให้ทั้งเจ็ดคนและพนักงานสาวคนนั้น ต่างก็ตกใจกันเอง จนพนักงานตั้งสติได้ ทำให้จำน้ำเหนือกับสกายได้ เลยได้ถามไถ่ทั้งสองคน
“เป็นไรกันหรือเปล่าน้อง พี่ตกใจหมดเลย แล้วทำไมมารวมกันอยู่นี่” น้ำเหนือที่ยืนอยู่ด้านหลังทั้งหกคน ได้เดินแทรกขึ้นมาเพื่อพูดคุยกับพนักงาน
“พวกผมขออยู่ที่นี่สักคืนนะครับพี่ ตอนเช้าพวกผมจะรีบไป” พนักงานยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลงให้ทั้งเจ็ดคนนอนที่นี่ในคืนนี้
เวลาล่วงเลยไปจนเกือบจะตีหนึ่ง ทั้งเจ็ดก็ผล็อยหลับไปจนถึงรุ่งเช้า พนักงานสาวคนเดิมได้เดินเข้ามาปลุกให้ทั้งเจ็ดคนนั้นตื่นก่อนที่ผู้จัดการโรงแรมจะเข้ามาตรวจแผนก ทั้งเจ็ดคนจึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมาและรีบเดินกลับไปที่ห้องพักเพื่อเปลี่ยนชุด เพราะจะต้องออกไปรับจันจ้าวและผืนป่าที่จะออกจากโรงพยาบาลในวันนี้
หลังจากเปลี่ยนชุดกันเรียบร้อย สกายได้ขอร้องคนขับรถของโรงแรมให้ขับรถให้ เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก สกายเลยคิดว่าทำแบบนี้คงจะปลอดภัยที่สุด ไม่นานทั้งเจ็ดคนก็มาถึงโรงพยาบาล น้ำเหนือและอันดาอาสาเป็นคนไปรับน้องออกมา โดยที่ให้อีกห้าคนรออยู่ที่หน้าโรงพยาบาลกับรถตู้
เมื่อน้ำเหนือและอันดาพาน้องทั้งสองคนมาถึงรถตู้ที่จอดรออยู่หน้าโรงพยาบาล ขณะที่กำลังจะก้าวขาขึ้นรถตู้ ก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังจะเดินข้ามถนน แต่ทว่าชายคนนั้นกลับไม่มองรถที่กำลังแล่นอยู่บนถนนราวกับว่ากำลังจะฆ่าตัวตายเสียอย่างนั้น น้ำเหนือที่เดินรั้งท้ายอยู่ก็ทิ้งของในมือและวิ่งไปดึงชายคนคนกลับเข้ามาที่ข้างถนนทันที แต่เมื่อเห็นหน้าชายคนนั้นก็ตกใจอย่างสุดขีด