เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

พวกมึงลบหลู่กู - ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พวกมึงลบหลู่กู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

ผู้แต่ง

อมายา

เรื่องย่อ

"น้องกูก็ตายแล้วนี่ไง พวกมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ หรือต้องให้กู้ตายอีกคน พวกมึงถึงจะพอใจ"


"ใช่ ถ้ามึงตาย แล้วได้สี่คนนั้นกลับมา มึงจะยอมตายมั้ย"


"..."


"เห็นมั้ย ตัวมึงเองยังไม่อยากตายเลย และสี่คนนั้นมันอยากตายเหรอ มึงคิดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเอง แบบนี้เขาเรียกเห็นแก่ตัวว่ะ"



เพียงเพราะความปากพล่อยและความโผงผางของคนคนหนึ่ง ทำให้ใครหลายคนเดือดร้อน และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนทุกคนต้องตามสืบเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้รอดจากน้ำมือของผีตนนี้

สารบัญ

พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓๐ พวกมึงลบหลู่กู

เนื้อหา

ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู

ตอนที่ ๑๔
หลังจากเดินออกมาจากห้องประชุม น้ำเหนือเดินได้กลับไปที่ห้องพัก แต่ไม่รู้ตัวว่าอันดาเดินตามหลังมาติด ๆ จึงได้ปิดประตูใส่หน้าอันดาเต็ม ๆ อันดาที่ไม่ทันระวังมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามน้ำเหนืออย่างเดียว ทำให้ประตูกระแทกหน้าผากอย่างเต็มแรง
ปัก!
“โอ๊ย” น้ำเหนือที่ได้ยินเสียงร้อง จึงได้รีบเปิดประตูออกมา และเห็นอันดาจับหน้าผากตัวเองอยู่
“เฮ้ย เป็นไรเปล่า ตามมาทำไมไม่บอกกันเนี่ย” น้ำเหนือเดินเข้าไปจับมืออันดาที่กุมหน้าผากออก และมองสำรวจที่หน้าผาก ก่อนจะพบว่าหน้าผากของอันดาแดงและบวมนิดหน่อย
“เจ็บมากมั้ยเนี่ย ขอโทษนะไม่ทันได้มองเลย” อันดาส่ายหน้าเบา ๆ เชิงบอกว่าไม่เป็นไร น้ำเหนือมองหน้าอันดาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้าแขนและดึงเข้ามาในห้อง
น้ำเหนือพาอันดามานั่งที่ปลายเตียงนอน และน้ำเหนือก็เดินออกไปข้างนอก ผ่านไปสักพักก็เปิดประตูกลับเข้ามาพร้อมกับกล่องยา
“ไหน เงยหน้าขึ้นหน่อย” มือหนาเรียวยาวค่อย ๆ ยกขึ้นมาปัดผมที่หน้าผากของหญิงสาวด้วยความเบามือ ก่อนจะโค้งตัวไปข้างหน้า และเป่าลมออกจากปากเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่หน้าผากของหญิงสาว
“แค่เป่ามันจะหายเจ็บเหรอเหนือ” อันดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อได้เห็นใบหน้าอันใสซื่อของอันดา น้ำเหนือก็เอนตัวไปข้างหน้าอีก จนทำให้ใบหน้าของทั้งสองคนตรงกัน
“ไม่หายหรอก ต้องทำมากกว่านี้ ถึงจะหาย” อันดาคิ้วขมวดกันเป็นปม ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อะไรเหรอ?” สิ้นเสียงคำพูดของอันดา น้ำเหนือก็เอนไปข้างหน้ามากกว่าเดิม จนปลายจมูกแทบจะชนกัน อันดาก็ตาเบิกโพลง ใบหน้าเริ่มเห่อแดง แต่น้ำเหนือยังคงเอาหน้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนอันดาต้องหลับตาปี๋ด้วยความเขินและตื่นเต้น ทว่าน้ำเหนือแค่จะยื่นมือไปหยิบกล่องยาที่วางอยู่ด้านหลังของอันดาเพียงเท่านั้น
เมื่อน้ำเหนือถอนตัวกลับมายืนตรงเช่นเดิม ก็เห็นว่าอันดานั้นหน้าแดง หลับตาปี๋อยู่ ก็ได้แค่ส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู อันดาที่หลับตาปี๋อยู่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของน้ำเหนือเบา ๆ จึงค่อยเปิดตาขึ้นทีละข้าง จนได้เห็นว่าน้ำเหนือยืนหัวเราะอยู่ อันดาจึงตีไปที่แขนน้ำเหนือเบา ๆ ก่อนจะถามด้วยความเขิน
“ขำไรเล่า จะหยิบกล่องก็ไม่บอก”
“แล้วคิดว่าจะทำอะไรล่ะ”
“ก็เปล๊า ทายาได้ยัง...ปวดนะเนี่ย ปิดประตูไม่ดูคนเลย” อันดารีบพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบความเขินอาย
“ขอโทษ มา เดี๋ยวทายาให้” น้ำเหนือโค้งไปเล็กน้อยเพื่อทายาที่หน้าผากให้อันดา เนื่องจากอันดานั้นนั่งอยู่ปลายเตียงและน้ำเหนือยืนอยู่ตรงหน้าอัน
ในเวลาเดียวกัน ขณะที่น้ำเหนือกำลังทายาให้อันดาอยู่ สกายและปิ่นก็เปิดประตูเข้ามา ตามมาด้วยเพื่อน ๆ ทั้งสามคน สกายที่ได้เห็นภาพของน้ำเหนือกำลังโค้งตัวไปหาอันดา ก็อดที่จะพูดแซวไม่ได้
“แหม ทำขนาดนี้ กูคงจีบอันดาไม่ติดแล้วแหละมั้ง” อันดาตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ามีคนเดินเข้ามา แต่น้ำเหนือยังคงยืนนิ่งทายาให้อันดาต่อ โดยไม่สนใจว่าใครจะเข้ามา เมื่อทายาเสร็จ จึงได้หันไปหาสกาย
“พี่จีบไม่ติดหรอก ผมจองไว้นานแล้ว” ทุกคนที่ยืนอยู่ก็ตกใจกับคำพูดของน้ำเหนือ รวมถึงอันดาที่นั่งอยู่ต่อหน้าน้ำเหนือด้วย อันดาจ้องมองไปยังน้ำเหนือที่ตอนนี้กำลังทำหน้าทำตาทะเล้นใส่สกายอยู่
“กว่าจะพูดได้เนอะพ่อคุณ กูช่วยเก็บมาตั้งนาน อึดอัดฉิบหาย” ปิ่นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“เออ ขอบใจมากครับ ที่ช่วย”
อันดาจากที่มองหน้าน้ำเหนืออยู่ ก็ได้เปลี่ยนไปจ้องเขม็งใส่ปิ่นอย่างคาดโทษ ปิ่นที่ได้เห็นสายตาของอันดา ก็รีบโบกมือปฏิเสธ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่รู้เรื่องนะเว้ย มันขอให้ช่วย พอดีเป็นคนมีน้ำใจด้วยไง”
ทางด้านสกายยืนมองทั้งสามเถียงกันไปมา ก่อนจะโฟกัสสายตาไปที่อันดาด้วยความยินดีและสบายใจที่อันดามีคนดี ๆ อย่างน้ำเหนือเข้ามาในชีวิต ถึงแม้ว่าสกายจะเคยชอบอันดามากแค่ไหน แต่ในตอนนี้เขากลับไม่ได้รู้แบบนั้นกับอันดาแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ หมุนตัวไปทางปิ่นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว น้ำเหนือที่กำลังมองปิ่นและอันดาเถียงกัน สายตาดันไปเห็นว่าสกายนั้นยืนมองปิ่นแล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว เลยพูดแซวออกไป
“พี่กาย ชอบไอปิ่นไง”
“ชอบ เฮ้ยเปล่า ไม่ได้ชอบ พอ ๆ เลิกเถียงกันก่อน มาคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ”
“แหม รีบเปลี่ยนเรื่องเลยนะ ก็ได้ ๆ”
ทุกคนเดินเข้าไม่นั่งที่เตียงและตามเก้าอี้ภายในห้อง จากนั้นสกายก็พูดเปิดประเด็นเรื่องของผีนางรำขึ้นมา ซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้ยินคำว่าผีนางรำต่างก็ขนลุกไปตาม ๆ กัน
“ผีนางรำจะเอาชีวิตพวกเราด้วยมั้ยวะ เพราะครั้งแรก พวกเราลงไปกันหมด” สกายพูดจบ ปิ่นก็เอ่ยพูดต่อทันที
“นั่นสิ แม่งไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วนะเว้ย มีคนตายสี่คนเลยนะ”
“ใช่ แล้วพวกเราจะเอาไงต่อ ถ้ารอต่อไปแบบนี้ มีหวังตายห่ากันหมดแน่” น้ำเหนือยืนพิงกำแพงครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้น
“งั้นพวกเราต้องไปถามไอโนอา และให้มันเล่าเรื่องทั้งหมดที่มันทำให้ฟัง”
“จะช่วยไรได้วะ” สกายเอ่ยอย่างแปลกใจ
“ช่วยได้ดิ เราจะได้รู้ไง ว่ามันไปพูดอะไรไว้ ทำไมเขาถึงโกรธขนาดนี้”
เมื่อน้ำเหนือพูดจบ ทุกคนก็พยักหน้าตอบรับอย่างเห็นด้วยความคิดของน้ำเหนือ จากนั้นทุกคนก็เดินกลับไปที่ห้องประชุม เพื่อจะคุยกันโนอาให้รู้เรื่อง ทว่าเมื่อเดินเข้ามาในห้องประชุมกลับไม่เจอโนอาแล้ว ทุกคนกำลังจะเดินกลับออกไปเพื่อตามหาโนอา แต่แล้วเกลก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ดังอยู่ภายในห้องประชุม จึงได้บอกกับทุกคน เพราะคิดว่าโนอาอาจจะยังอยู่ในห้องประชุม
เกลค่อยๆ ก้าวเดินตามเสียงร้องไห้ไปอย่างช้า จนไปถึงที่มุมมุมหนึ่งข้างเวที ซึ่งเป็นจุดอับสายตา เกลเจอโนอานั่งกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
“พี่โนอา” เกลเอ่ยเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา โนอาจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเกล ก่อนจะโผล่เข้ากอดเกลพร้อมกับร้องไห้เป็นสายน้ำอีกครั้ง เกลจึงทำได้เพียงแค่ลูบหลังเบา ๆ เชิงปลอบประโลมเพื่อให้โนอาใจเย็นลง
ทุกคนเดินตามเกลมา ก็ได้เห็นภาพตรงหน้าทั้งหมด และทำได้แค่ยืนมองอย่างเวทนา ไม่นานโนอาก็สงบลง และปล่อยกอดออกจากเกล ก่อนจะเงยหน้ามองทุกคนสลับกันไปมา อย่างรู้สึกผิด และแววตาขอโนอานั้นเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
“กูขอโทษพวกมึงทุกคนเลยนะเว้ย กูขอโทษจริง ๆ” สกายเดินเข้าไปหาโนอา ยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มตัวลงไปประคองโนอาให้ยืนขึ้น
“พวกกูแค่ไม่โอเคกับสิ่งที่มึงทำ เพราะความทำอะไรไม่คิดของมึง ตอนนี้มึงรู้แล้วใช่มั้ยว่าผลที่ตามมามันเป็นยังไง” โนอาเพียงแค่พยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย ส่วนน้ำเหนือที่ยืนสังเกตการณ์อยู่นานแล้ว เมื่อเห็นว่าโนอาเริ่มได้สติกลับมา จึงเดินแทรกตัวเข้าไปยืนต่อหน้าโนอา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เล่าเรื่องวันนั้นให้ฟังหน่อยได้มั้ย”
“วันนั้น?”
“อือ วันนั้นที่ทำศาลพัง เอาตั้งแต่เริ่ม เล่าให้ครบ ทุกคำพูดที่พูดออกไป”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“หรืออยากตายตามสี่คนนั้นไป ก็เลือกเอาแล้วกัน ให้เวลาถึงแค่เย็นนี้ เพราะพรุ่งนี้จะเราจะกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว” โนอาพยักหน้าตอบรับ
จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บสิ่งของสัมภาระของตัวเอง เพื่อเตรียมจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้ามืด เพราะจะได้ไม่ถึงกรุงเทพฯ ดึกเกินไป