เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

พวกมึงลบหลู่กู - ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พวกมึงลบหลู่กู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

ผู้แต่ง

อมายา

เรื่องย่อ

"น้องกูก็ตายแล้วนี่ไง พวกมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ หรือต้องให้กู้ตายอีกคน พวกมึงถึงจะพอใจ"


"ใช่ ถ้ามึงตาย แล้วได้สี่คนนั้นกลับมา มึงจะยอมตายมั้ย"


"..."


"เห็นมั้ย ตัวมึงเองยังไม่อยากตายเลย และสี่คนนั้นมันอยากตายเหรอ มึงคิดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเอง แบบนี้เขาเรียกเห็นแก่ตัวว่ะ"



เพียงเพราะความปากพล่อยและความโผงผางของคนคนหนึ่ง ทำให้ใครหลายคนเดือดร้อน และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนทุกคนต้องตามสืบเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้รอดจากน้ำมือของผีตนนี้

สารบัญ

พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓๐ พวกมึงลบหลู่กู

เนื้อหา

ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู

ตอนที่ ๑๖
เมื่อทั้งสิบคนขึ้นรถตู้ครบแล้ว รถตู้ก็เคลื่อนออกไปอย่างช้า ๆ ทว่าพนักงานของโรงแรมและลูกค้าวิ่งออกมามองรถตู้ด้วยสีหน้าตื่นกลัว ราวกับว่าเห็นอะไรบางอย่างที่รถตู้ เกลจึงได้เห็นหลังกลับไปมองที่หน้าโรงแรม ก็พบว่ามีพนักงานและลูกค้าหลายคนออกมายืนมองรถตู้ที่ตนนั่งอยู่ จึงได้เอ่ยพูดอย่างแปลกใจ
“เขาออกมามองอะไรกันวะ” น้ำเหนือที่ได้ยิน จึงหันไปมองตามที่เกลบอก ก็เห็นอย่างที่เกลว่าจริง ๆ น้ำเหนือจึงได้จ้องมองสายตาของพนักงานชายคนหนึ่ง ก็เห็นว่าสายตาของเขานั้นมองไปที่หลังคาของรถตู้ น้ำเหนือสามารถรู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ จึงได้หันกลับไปบอกคนขับรถว่า
“พี่ครับ พี่จำตรงที่ยางรถระเบิดได้มั้ยครับ” คนขับรถพยักหน้าตอบ น้ำเหนือจึงเอ่ยพูดต่อ
“พี่แวะไปที่นั่นก่อนนะครับ พอดีพวกผมมีธุระแถวนั้นนิดหน่อยน่ะครับ” ระหว่างที่น้ำเหนือกำลังคุยกับคนขับรถอยู่ อันดาก็สะกิดแขนน้ำเหนือเบา ทำให้น้ำเหนือต้องละสายตาจากคนขับรถ และหันมาคุยกับอันดา
“ฮะ มีไรเปล่า” อันดากลอกตามองหน้าน้ำเหนือครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบถาม
“เหนือจะกลับไปที่นั่นจริง ๆ เหรอ”
“อือจริงสิ เราไปทำเขาก่อน เราก็ต้องไปขอโทษสิ จริงมั้ย”
“แล้วของ...” อันดายังพูดไม่ทันจบประโยค น้ำเหนือก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เราเตรียมไว้แล้ว พอดีเราไปขอกับพี่พนักงานที่โรงแรมมาอะ” อันดาเพียงแค่พยักตอบ และจึงหันกลับไปมองที่หน้ารถเช่นเดิม
เวลาผ่านไปราว ๆ สามชั่วโมงกว่า รถตู้ก็แล่นเข้าสู่จังหวัดลำปาง ขับต่อไปอีกสิบนาทีก็ถึงจุดที่รถตู้ยางระเบิด เมื่อรถตู้จอดนิ่งสนิท น้ำเหนือเปิดประตูและเดินไปที่ท้ายรถ ทั้งเก้าคนได้แต่มองตามน้ำเหนืออย่างุนงง ก่อนจะเดินตามลงไปหาน้ำเหนือ ก็เห็นว่าน้ำเหนือกำลังหยิบธูปเทียนออกมาจากท้ายรถ จากนั้นก็เดินตรงไปหาคนขับรถ พร้อมกับขอยืมไฟแช็ก เมื่อได้ไฟแช็กแล้ว น้ำเหนือก็เดินกลับมาหาทั้งเก้าคน พร้อมกับเอ่ยพูด และเดินนำคนอื่น ๆ ไป
“ไป”
“ไปไหน?” สกายเอ่ยถามอย่าทันควัน เพราะตั้งแต่ลงจากรถตู้มา น้ำเหนือไม่พูดอะไรสักคำ แต่กลับเดินทำนั่นทำนี่อยู่คนเดียว
“ไปขอโทษเขาไง อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง” พูดจบน้ำเหนือก็เดินนำทุกคนไปที่ถนนทันที ทุกคนทำได้เพียงแค่เดินตามไปอย่างว่าง่าย
ไม่นานก็เดินมาถึงหน้าบ้านไม้หลังที่ทุกคนเคยเข้ามานอน น้ำเหนือมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อมองหาลุงกับป้าเจ้าของบ้าน แต่ก็ไม่พบใครสักใคร น้ำเหนือได้มองไปที่ประตูรั้ว ก็เห็นว่าประตูรั้วไม่มีกุญแจล็อกอยู่ จึงได้เอ่ยพูดขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
“ขออนุญาตนะครับ”
ทันทีที่น้ำเหนือดันประตูเข้าไป ก็มีลมตีเข้าหน้าของน้ำเหนือวูบหนึ่งและหายไป น้ำเหนือหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะก้าวขาเดินนำทุกคนไปที่ศาลไม้หลังบ้าน และเมื่อมาถึงน้ำเหนือได้จุดธูปและส่งให้ทุกคน คนละหนึ่งดอก จากนั้นน้ำเหนือก็เป็นคนกล่าวนำ และให้ทุกคนว่าตาม
“ข้าพเจ้านายอนาวิน จันราสกุล” น้ำเหนือหยุดเว้นจังหวะให้เพื่อนทุกคนกล่าวชื่อตัวเอง และเริ่มกล่าวคำขอขมาต่อ
“ข้าพเจ้าและเพื่อนที่เพิ่งกล่าวชื่อไป ขอขมากรรมที่เคยล่วงเกินเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน วิญญาณทุกดวงที่สถิต ณ ที่แห่งนี้ หากข้าพเจ้าและเพื่อนได้เคยล่วงเกินทั้งทางกาย วาจา ใจ ทั้งเจตนาและไม่เจตนา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอทุกดวงวิญญาณโปรดละเว้นและให้อภัยแก่ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ” เมื่อทุกคนกล่าวคำสุดท้ายจบ ก็เดินเรียงกันเข้าไปปักธูป จนครบทุกคน และก่อนจะกลับทุกคนได้ยกมือไหว้พร้อมกันอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกมาจากบ้านหลังนั้นและปิดประตูไว้เช่นเดิม
ในเวลาเดียวกันที่น้ำเหนือก้าวขาผ่านประตูรั้วหน้าบ้านเป็นคนสุดท้าย ที่ศาลไม้หลังบ้านก็มีมือสีดำ แห้งกร้าน ยื่นออกมาจากศาลไม้ พร้อมกับจับรวบธูปทั้งสิบดอกเข้าด้วยกันและปักธูปกลับหัว ก่อนที่มือสีดำ แห้งกร้านจะหายเข้าในศาลเช่นเดิม
ทางด้านของทั้งสิบคนที่เพิ่งเดินมาถึงรถตู้ ทว่าเมื่อเดินมาถึง คนขับรถกลับมีสีหน้าแปลก ๆ ราวกับว่าเห็นอะไรบางอย่างในกลุ่มทั้งสิบคน ปิ่นที่สังเกตเห็นสีหน้าของคนขับรถจึงได้เอ่ยถามออกไป
“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” คนขับรถพยายามขยี้ตามองให้ชักอีกครั้ง ก็พบว่าไม่ได้มีอะไรแล้ว
“เปล่าครับ เรากลับกันเถอะ” พูดจบ คนขับรถก็รีบวิ่งไปขึ้นรถทันที ปล่อยให้ปิ่นยืนงงงันอยู่เช่นนั้น สกายที่เห็นว่าทุกคนขึ้นรถไปหมด เหลือเพียงแค่ปิ่นที่ยังยืนมองคนขับรถด้วยความสงสัยอยู่ จึงได้ตะโกนออกมาจากในรถ
“จะยืนอีกนานมั้ย ไปกลับบ้านกันเถอะ” ปิ่นที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของสกาย ก็ต้องรีบขึ้นรถไปตบปากสกายทันที
เพียะ!
“โอ๊ย ตบพี่ทำไม”
“พูดไปเรื่อย เดี๋ยวก็มีใครตามกลับไปด้วยหรอก จะชวนใครเอ่ยชื่อด้วย” สิ้นเสียงของปิ่น ทุกคนก็ระเบิดหัวเราะออกมา เนื่องจากเห็นสีหน้าของสกายตอนที่โดนปิ่นตบปาก ซึ่งนอกจากน้ำเหนือแล้วที่สกายไม่กล้าจะมีปัญหาด้วย ก็คงจะเป็นปิ่นเนี่ยแหละที่สามารถสยบสกายได้แบบราบคาบ
“ไปครับพี่ ออกรถได้เลย” น้ำเหนือละสายตาจากปิ่นกับสกาย และได้หันไปบอกคนขับรถ แต่กลับพบว่าคนขับรถนั้นมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไป
ผ่านไปหลายชั่วโมง สกายได้ขอให้คนขับรถแวะปั๊มให้ เนื่องจากว่าปวดท้องหนักจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำด่วนมาก ทว่าถนนที่รถตู้กำลังแล่นอยู่นั้นไม่ปั๊มเลย แต่สกายก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
“พี่ แถวนี้ไม่มีที่ไหน...ที่เข้าได้เลยเหรอ ผมไม่ไหวจริง ๆ ไม่งั้นผมปล่อยบนรถเลยนะ”
“ครับ ๆ ข้างหน้ามีปั๊มเล็ก ๆ อยู่ เดี๋ยวแวะให้นะครับคุณหนู” ปิ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจกับความเอาแต่ใจของคุณหนูสกาย
ไม่ถึงสามนาที รถตู้ก็เลี้ยวเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่าปั๊มก็ไม่เชิง เนื่องจากไม่ได้ตู้และหัวจ่ายน้ำมันเหมือนปั๊มใหญ่ มีเพียงถังน้ำมันสองถังตั้งอยู่ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าปั๊มหลอด และทันทีที่รถตู้จอดสนิท สกายรีบเปิดประตูและวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที
ส่วนคนอื่นก็ลงมาเดินพักผ่อน เนื่องจากเมื่อยจากการนั่งนาน ๆ แต่ทว่าบรรยากาศรอบ ๆ คล้ายกับฉากหนึ่งในหนังผีเลยก็ว่าได้ เพราะบริเวณรอบ ๆ นั้นเต็มไปด้วยป่าหญ้าขึ้นรกไปหมด ประกอบกับคนเฝ้าของที่นี่ ดูไม่ค่อยจะต้อนรับทั้งสิบคนเสียเท่าไร ทั้งยังจ้องมองทุกคนอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ละสายตา คนขับรถเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดี จึงได้บอกกับทุกคนที่เดินอยู่รอบ ๆ รถ
“เดี๋ยวผมไปตามคุณหนูก่อนนะครับ เราจะได้รีบไปจากที่นี่กัน”
“ได้ครับ เดี๋ยวพวกผมไปรอบนรถนะครับ”
แต่เมื่อทุกคนขึ้นไปนั่งรอในรถตู้แล้ว คนเฝ้าที่นี่กลับยังไม่เลิกจ้องเสียที แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่นานคนขับรถก็กลับมาพร้อมสกาย แต่ขณะที่กำลังจะออกรถ คนเฝ้าได้วิ่งเข้ามาเคาะกระจกรถอย่างแรง จนคนในรถตกอกตกใจไปตาม ๆ กัน น้ำเหนือกำลังจะเอื้อมมือไปประตูรถ แต่โดนคนขับรถเรียกเอาไว้ด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“เอ่อ...ผมว่าเปิดแค่กระจกก็พอครับคุณน้ำเหนือ” น้ำเหนือชักมือกลับมา และเอื้อมมือไปเปิดกระจกแทน ทันทีที่เปิดกระจกรถ ชายคนนั้นก็พูดอะไรไม่รู้วกไปวนมา
“มันตามมา มันไม่ยอม มันตามมา มันตามมา มันตามมา”
“อะไรนะครับ?” น้ำเหนือเอ่ยถาม แต่ชายคนนั้นก็ยังคงพูดประโยคเดิมใส่น้ำเหนือ ทำให้อันดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมา จึงบอกให้น้ำเหนือปิดกระจกไป
“เหนือปิดกระจกเถอะ ดูแล้วคงคุยไม่รู้เรื่องหรอก” น้ำเหนือหันมองอันอาครู่หนึ่งก่อน ก่อนจะใช้มือดันกระจกปิดไป ทันทีที่น้ำเหนือปิดกระจก คนขับรถตู้ก็ออกรถทันที แต่ทว่าชายคนนั้นยังคงตะโกนพูดตามหลังรถตู้อยู่ น้ำเหนือก็ยังหันไปมองด้วยความสงสัยเช่นกัน แต่จู่ ๆ ชายคนนั้นก็หยุดตะโกน แต่กลับมองมาที่หลังคารถตู้ ก่อนจะขยับปากพูดออกมา
“นางรำ” ถึงแม้ว่ารถจะออกมาไกลจากชายคนนั้นแล้ว แต่น้ำเหนือพอจะอ่านปากของชายคนนั้นออกว่าพูดอะไร จึงได้พึมพำขึ้นมาคนเดียว
“นางรำเหรอ” เมื่อรถขับออกมาไกลพอสมควร ทำให้มองไม่เห็นชายคนนั้นแล้ว น้ำเหนือจึงหันหน้ากลับมา พร้อมกับมีสีหน้าเป็นกังวล อันดาที่สังเกตเห็นสีหน้าของน้ำเหนือ จึงได้กระซิบถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“คือว่าเมื่อกี้...” น้ำเหนือนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ
“ไม่มีไร นอนเถอะ กว่าจะถึงอีกนาน”