เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด
ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๑๖
เมื่อทั้งสิบคนขึ้นรถตู้ครบแล้ว รถตู้ก็เคลื่อนออกไปอย่างช้า ๆ ทว่าพนักงานของโรงแรมและลูกค้าวิ่งออกมามองรถตู้ด้วยสีหน้าตื่นกลัว ราวกับว่าเห็นอะไรบางอย่างที่รถตู้ เกลจึงได้เห็นหลังกลับไปมองที่หน้าโรงแรม ก็พบว่ามีพนักงานและลูกค้าหลายคนออกมายืนมองรถตู้ที่ตนนั่งอยู่ จึงได้เอ่ยพูดอย่างแปลกใจ
“เขาออกมามองอะไรกันวะ” น้ำเหนือที่ได้ยิน จึงหันไปมองตามที่เกลบอก ก็เห็นอย่างที่เกลว่าจริง ๆ น้ำเหนือจึงได้จ้องมองสายตาของพนักงานชายคนหนึ่ง ก็เห็นว่าสายตาของเขานั้นมองไปที่หลังคาของรถตู้ น้ำเหนือสามารถรู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ จึงได้หันกลับไปบอกคนขับรถว่า
“พี่ครับ พี่จำตรงที่ยางรถระเบิดได้มั้ยครับ” คนขับรถพยักหน้าตอบ น้ำเหนือจึงเอ่ยพูดต่อ
“พี่แวะไปที่นั่นก่อนนะครับ พอดีพวกผมมีธุระแถวนั้นนิดหน่อยน่ะครับ” ระหว่างที่น้ำเหนือกำลังคุยกับคนขับรถอยู่ อันดาก็สะกิดแขนน้ำเหนือเบา ทำให้น้ำเหนือต้องละสายตาจากคนขับรถ และหันมาคุยกับอันดา
“ฮะ มีไรเปล่า” อันดากลอกตามองหน้าน้ำเหนือครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบถาม
“เหนือจะกลับไปที่นั่นจริง ๆ เหรอ”
“อือจริงสิ เราไปทำเขาก่อน เราก็ต้องไปขอโทษสิ จริงมั้ย”
“แล้วของ...” อันดายังพูดไม่ทันจบประโยค น้ำเหนือก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เราเตรียมไว้แล้ว พอดีเราไปขอกับพี่พนักงานที่โรงแรมมาอะ” อันดาเพียงแค่พยักตอบ และจึงหันกลับไปมองที่หน้ารถเช่นเดิม
เวลาผ่านไปราว ๆ สามชั่วโมงกว่า รถตู้ก็แล่นเข้าสู่จังหวัดลำปาง ขับต่อไปอีกสิบนาทีก็ถึงจุดที่รถตู้ยางระเบิด เมื่อรถตู้จอดนิ่งสนิท น้ำเหนือเปิดประตูและเดินไปที่ท้ายรถ ทั้งเก้าคนได้แต่มองตามน้ำเหนืออย่างุนงง ก่อนจะเดินตามลงไปหาน้ำเหนือ ก็เห็นว่าน้ำเหนือกำลังหยิบธูปเทียนออกมาจากท้ายรถ จากนั้นก็เดินตรงไปหาคนขับรถ พร้อมกับขอยืมไฟแช็ก เมื่อได้ไฟแช็กแล้ว น้ำเหนือก็เดินกลับมาหาทั้งเก้าคน พร้อมกับเอ่ยพูด และเดินนำคนอื่น ๆ ไป
“ไป”
“ไปไหน?” สกายเอ่ยถามอย่าทันควัน เพราะตั้งแต่ลงจากรถตู้มา น้ำเหนือไม่พูดอะไรสักคำ แต่กลับเดินทำนั่นทำนี่อยู่คนเดียว
“ไปขอโทษเขาไง อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง” พูดจบน้ำเหนือก็เดินนำทุกคนไปที่ถนนทันที ทุกคนทำได้เพียงแค่เดินตามไปอย่างว่าง่าย
ไม่นานก็เดินมาถึงหน้าบ้านไม้หลังที่ทุกคนเคยเข้ามานอน น้ำเหนือมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อมองหาลุงกับป้าเจ้าของบ้าน แต่ก็ไม่พบใครสักใคร น้ำเหนือได้มองไปที่ประตูรั้ว ก็เห็นว่าประตูรั้วไม่มีกุญแจล็อกอยู่ จึงได้เอ่ยพูดขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
“ขออนุญาตนะครับ”
ทันทีที่น้ำเหนือดันประตูเข้าไป ก็มีลมตีเข้าหน้าของน้ำเหนือวูบหนึ่งและหายไป น้ำเหนือหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะก้าวขาเดินนำทุกคนไปที่ศาลไม้หลังบ้าน และเมื่อมาถึงน้ำเหนือได้จุดธูปและส่งให้ทุกคน คนละหนึ่งดอก จากนั้นน้ำเหนือก็เป็นคนกล่าวนำ และให้ทุกคนว่าตาม
“ข้าพเจ้านายอนาวิน จันราสกุล” น้ำเหนือหยุดเว้นจังหวะให้เพื่อนทุกคนกล่าวชื่อตัวเอง และเริ่มกล่าวคำขอขมาต่อ
“ข้าพเจ้าและเพื่อนที่เพิ่งกล่าวชื่อไป ขอขมากรรมที่เคยล่วงเกินเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน วิญญาณทุกดวงที่สถิต ณ ที่แห่งนี้ หากข้าพเจ้าและเพื่อนได้เคยล่วงเกินทั้งทางกาย วาจา ใจ ทั้งเจตนาและไม่เจตนา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอทุกดวงวิญญาณโปรดละเว้นและให้อภัยแก่ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ” เมื่อทุกคนกล่าวคำสุดท้ายจบ ก็เดินเรียงกันเข้าไปปักธูป จนครบทุกคน และก่อนจะกลับทุกคนได้ยกมือไหว้พร้อมกันอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกมาจากบ้านหลังนั้นและปิดประตูไว้เช่นเดิม
ในเวลาเดียวกันที่น้ำเหนือก้าวขาผ่านประตูรั้วหน้าบ้านเป็นคนสุดท้าย ที่ศาลไม้หลังบ้านก็มีมือสีดำ แห้งกร้าน ยื่นออกมาจากศาลไม้ พร้อมกับจับรวบธูปทั้งสิบดอกเข้าด้วยกันและปักธูปกลับหัว ก่อนที่มือสีดำ แห้งกร้านจะหายเข้าในศาลเช่นเดิม
ทางด้านของทั้งสิบคนที่เพิ่งเดินมาถึงรถตู้ ทว่าเมื่อเดินมาถึง คนขับรถกลับมีสีหน้าแปลก ๆ ราวกับว่าเห็นอะไรบางอย่างในกลุ่มทั้งสิบคน ปิ่นที่สังเกตเห็นสีหน้าของคนขับรถจึงได้เอ่ยถามออกไป
“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” คนขับรถพยายามขยี้ตามองให้ชักอีกครั้ง ก็พบว่าไม่ได้มีอะไรแล้ว
“เปล่าครับ เรากลับกันเถอะ” พูดจบ คนขับรถก็รีบวิ่งไปขึ้นรถทันที ปล่อยให้ปิ่นยืนงงงันอยู่เช่นนั้น สกายที่เห็นว่าทุกคนขึ้นรถไปหมด เหลือเพียงแค่ปิ่นที่ยังยืนมองคนขับรถด้วยความสงสัยอยู่ จึงได้ตะโกนออกมาจากในรถ
“จะยืนอีกนานมั้ย ไปกลับบ้านกันเถอะ” ปิ่นที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของสกาย ก็ต้องรีบขึ้นรถไปตบปากสกายทันที
เพียะ!
“โอ๊ย ตบพี่ทำไม”
“พูดไปเรื่อย เดี๋ยวก็มีใครตามกลับไปด้วยหรอก จะชวนใครเอ่ยชื่อด้วย” สิ้นเสียงของปิ่น ทุกคนก็ระเบิดหัวเราะออกมา เนื่องจากเห็นสีหน้าของสกายตอนที่โดนปิ่นตบปาก ซึ่งนอกจากน้ำเหนือแล้วที่สกายไม่กล้าจะมีปัญหาด้วย ก็คงจะเป็นปิ่นเนี่ยแหละที่สามารถสยบสกายได้แบบราบคาบ
“ไปครับพี่ ออกรถได้เลย” น้ำเหนือละสายตาจากปิ่นกับสกาย และได้หันไปบอกคนขับรถ แต่กลับพบว่าคนขับรถนั้นมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไป
ผ่านไปหลายชั่วโมง สกายได้ขอให้คนขับรถแวะปั๊มให้ เนื่องจากว่าปวดท้องหนักจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำด่วนมาก ทว่าถนนที่รถตู้กำลังแล่นอยู่นั้นไม่ปั๊มเลย แต่สกายก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
“พี่ แถวนี้ไม่มีที่ไหน...ที่เข้าได้เลยเหรอ ผมไม่ไหวจริง ๆ ไม่งั้นผมปล่อยบนรถเลยนะ”
“ครับ ๆ ข้างหน้ามีปั๊มเล็ก ๆ อยู่ เดี๋ยวแวะให้นะครับคุณหนู” ปิ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจกับความเอาแต่ใจของคุณหนูสกาย
ไม่ถึงสามนาที รถตู้ก็เลี้ยวเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่าปั๊มก็ไม่เชิง เนื่องจากไม่ได้ตู้และหัวจ่ายน้ำมันเหมือนปั๊มใหญ่ มีเพียงถังน้ำมันสองถังตั้งอยู่ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าปั๊มหลอด และทันทีที่รถตู้จอดสนิท สกายรีบเปิดประตูและวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที
ส่วนคนอื่นก็ลงมาเดินพักผ่อน เนื่องจากเมื่อยจากการนั่งนาน ๆ แต่ทว่าบรรยากาศรอบ ๆ คล้ายกับฉากหนึ่งในหนังผีเลยก็ว่าได้ เพราะบริเวณรอบ ๆ นั้นเต็มไปด้วยป่าหญ้าขึ้นรกไปหมด ประกอบกับคนเฝ้าของที่นี่ ดูไม่ค่อยจะต้อนรับทั้งสิบคนเสียเท่าไร ทั้งยังจ้องมองทุกคนอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ละสายตา คนขับรถเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดี จึงได้บอกกับทุกคนที่เดินอยู่รอบ ๆ รถ
“เดี๋ยวผมไปตามคุณหนูก่อนนะครับ เราจะได้รีบไปจากที่นี่กัน”
“ได้ครับ เดี๋ยวพวกผมไปรอบนรถนะครับ”
แต่เมื่อทุกคนขึ้นไปนั่งรอในรถตู้แล้ว คนเฝ้าที่นี่กลับยังไม่เลิกจ้องเสียที แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่นานคนขับรถก็กลับมาพร้อมสกาย แต่ขณะที่กำลังจะออกรถ คนเฝ้าได้วิ่งเข้ามาเคาะกระจกรถอย่างแรง จนคนในรถตกอกตกใจไปตาม ๆ กัน น้ำเหนือกำลังจะเอื้อมมือไปประตูรถ แต่โดนคนขับรถเรียกเอาไว้ด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“เอ่อ...ผมว่าเปิดแค่กระจกก็พอครับคุณน้ำเหนือ” น้ำเหนือชักมือกลับมา และเอื้อมมือไปเปิดกระจกแทน ทันทีที่เปิดกระจกรถ ชายคนนั้นก็พูดอะไรไม่รู้วกไปวนมา
“มันตามมา มันไม่ยอม มันตามมา มันตามมา มันตามมา”
“อะไรนะครับ?” น้ำเหนือเอ่ยถาม แต่ชายคนนั้นก็ยังคงพูดประโยคเดิมใส่น้ำเหนือ ทำให้อันดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมา จึงบอกให้น้ำเหนือปิดกระจกไป
“เหนือปิดกระจกเถอะ ดูแล้วคงคุยไม่รู้เรื่องหรอก” น้ำเหนือหันมองอันอาครู่หนึ่งก่อน ก่อนจะใช้มือดันกระจกปิดไป ทันทีที่น้ำเหนือปิดกระจก คนขับรถตู้ก็ออกรถทันที แต่ทว่าชายคนนั้นยังคงตะโกนพูดตามหลังรถตู้อยู่ น้ำเหนือก็ยังหันไปมองด้วยความสงสัยเช่นกัน แต่จู่ ๆ ชายคนนั้นก็หยุดตะโกน แต่กลับมองมาที่หลังคารถตู้ ก่อนจะขยับปากพูดออกมา
“นางรำ” ถึงแม้ว่ารถจะออกมาไกลจากชายคนนั้นแล้ว แต่น้ำเหนือพอจะอ่านปากของชายคนนั้นออกว่าพูดอะไร จึงได้พึมพำขึ้นมาคนเดียว
“นางรำเหรอ” เมื่อรถขับออกมาไกลพอสมควร ทำให้มองไม่เห็นชายคนนั้นแล้ว น้ำเหนือจึงหันหน้ากลับมา พร้อมกับมีสีหน้าเป็นกังวล อันดาที่สังเกตเห็นสีหน้าของน้ำเหนือ จึงได้กระซิบถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“คือว่าเมื่อกี้...” น้ำเหนือนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ
“ไม่มีไร นอนเถอะ กว่าจะถึงอีกนาน”