เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

พวกมึงลบหลู่กู - ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พวกมึงลบหลู่กู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

ผู้แต่ง

อมายา

เรื่องย่อ

"น้องกูก็ตายแล้วนี่ไง พวกมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ หรือต้องให้กู้ตายอีกคน พวกมึงถึงจะพอใจ"


"ใช่ ถ้ามึงตาย แล้วได้สี่คนนั้นกลับมา มึงจะยอมตายมั้ย"


"..."


"เห็นมั้ย ตัวมึงเองยังไม่อยากตายเลย และสี่คนนั้นมันอยากตายเหรอ มึงคิดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเอง แบบนี้เขาเรียกเห็นแก่ตัวว่ะ"



เพียงเพราะความปากพล่อยและความโผงผางของคนคนหนึ่ง ทำให้ใครหลายคนเดือดร้อน และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนทุกคนต้องตามสืบเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้รอดจากน้ำมือของผีตนนี้

สารบัญ

พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓๐ พวกมึงลบหลู่กู

เนื้อหา

ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู

ตอนที่ ๑๗
เวลาล่วงเลยไปอีกราว ๆ สี่ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาประมาณสองทุ่มรถตู้ที่ทั้งสิบคนนั่งมา ก็มุ่งเข้าสู่กรุงเทพฯ ไม่นานรถตู้ก็มาจอดส่งทุกคนที่หน้ามหาวิทยาลัย และก็ได้แยกย้ายกันกลับบ้านและหอพักของตัวเอง
ทางด้านของสกาย หลังจากที่เพื่อนคนอื่น ๆ ลงจากรถหมดแล้ว ก็ได้ตรงกลับบ้านทันที ทว่าขณะที่รถกำลังแล่นอยู่บนถนน จู่ ๆคนขับรถก็เหยียบเบรกรถกะทันหัน ทำให้สกายที่นั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่ หน้ากระแทกกับเบาะคนขับด้านหน้า คนขับรถที่ได้สติกลับมารีบหันไปถามไถ่อาการสกายทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณหนู”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่พี่เบรกทำไมครับเนี่ย”
“พอดีเมื่อกี้เหมือนผมจะเห็นคนวิ่งตัดหน้ารถน่ะครับ”
“งั้นพี่รีบลงไปดูก่อนก็ได้ครับ ผมไม่เป็นไร” คนขับรถพยักหน้า ก่อนจะเปิดประตูลงไปดูที่หน้ารถตามที่สกายบอก แต่กลับไม่พบคนแม้แต่คนเดียว มีเพียงความว่างเปล่า คนขับรถจึงก้มลงดูใต้ท้องรถ แต่แล้วก็พบเท้าของใครบางคนอยู่ที่ท้ายรถ เท้าคู่นั้นทั้งดำ แห้งกร้าน แถมยังเต็มไปด้วยดินโคลน และข้อเท้าข้างขวามีกำไลอยู่ด้วย
“เฮ้ย” คนขับรถสะดุ้งตัวแรงจนล้มลงไปนั่งที่พื้น สกายที่นั่งมองอยู่ในรถ ก็เห็นสีหน้าของคนขับรถเหมือนจะตกใจอะไรบางอย่าง สกายจึงเปิดประตูเดินลงไปถามทันที
“ชนคนเหรอครับพี่ชิน” ชินส่ายหน้าเบา ๆ แต่สายตามยังคงจ้องไปที่ใต้ท้องรถอยู่ สกายเลยเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อเขย่าตัวชินให้ได้สติกลับมา
“ปะ เปล่าครับ ไม่ได้ชนใครเลยครับ แต่เมื่อกี้ผมเห็น...” สกายจดจ้องใบหน้าของชินด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าชินจะพูดอะไรต่อ ทว่าชินกลับไม่พูดออกมา
“ผมว่าเรากลับกันเถอะครับ ถึงบ้านเดี๋ยวผมเล่าให้ฟังครับ” ชินพูดด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว สกายที่ได้เช่นนั้นก็คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ จึงไม่ได้เอ่ยถามเซ้าซี้อะไรต่อ และเลือกที่จะเดินไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย
หลังจากเดินขึ้นรถมา ชินได้นั่งตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกรถ และไม่นานรถก็แล่นมาถึงบ้านของสกาย ด้วยความที่ในใจยังคงสงสัยกับคำพูดของชิน ว่าจะพูดอะไรต่อ เมื่อลงรถได้สกายพุ่งตรงไปหาชินทันที
“พี่เห็นอะไรกันแน่ พี่บอกผมมาเลยนะ” ชินยืนนิ่ง มองหน้าสกายครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ผมเห็นเท้าใครไม่ได้รู้ยืนอยู่ท้ายรถ ทั้งดำ และยังดูแห้ง ๆ มีแต่ดินโคลนเต็มเท้าทั้งสองข้างเลยนะครับ และข้างขวายังมีกำไลข้อเท้าด้วยนะครับ เหมือนพวกนางรำเลยครับ” สกายที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของชิน ก็ต้องขนหัวลุก และเดินเข้าไปทันที ปล่อยให้ชินยืนงุนงงอยู่คนเดียว
| โนอา
ทางด้านโนอา หลังจากที่ลงจากรถตู้ของสกายเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินกลับหอพักที่อยู่ข้างมหาวิทยาลัยเพียงคนเดียว เพราะปกติแล้วโนอาและนายจะเดินกลับหอพักด้วยกันตลอด แต่ตอนนั้นไม่มีนายแล้ว โนอาจึงต้องเดินกลับเพียงคนเดียวด้วยความเศร้าหมอง
แต่ระหว่างที่เดินกลับหอพัก โนอาจะต้องเดินผ่านร้านขายข้าวแกงข้างหอพัก ทว่าเมื่อกำลังเดินผ่านร้านข้าวแกง สายตาของคนแถวนั้นก็เริ่มจับจ้องมาที่โนอา และสายตาของคนเหล่านั้นไม่ได้มองแบบปกติธรรมดา แต่จ้องมองราวกับว่าเห็นผี แถมบางคนก็รีบหลุบตาลง บางคนก็ตัวสั่นเทา บางคนก็กรีดร้องโวยวายออกมา โนอาที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่หันมองรอบ ๆ ตัว แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ จึงเร่งฝีเท้าให้ถึงห้องพักไว ๆ
แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าหอพัก ก็ต้องเจอกับสายตาของคนที่เดินเข้าออกหอพัก ซึ่งสายตาเหล่านั้นที่มองมาก็ไม่ต่างจากที่เจอตรงร้านข้าวเมื่อสักครู่ โนอาจึงต้องก้มหน้าก้มตาเดิน เพื่อที่จะไม่ได้ต้องเห็นสายตาเหล่านั้น
ไม่นานก็เดินมาถึงห้องของตัวเอง ขณะที่กำลังจะไขลูกบิดเพื่อเปิดประตู จู่ ๆ โนอาก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง คล้ายกับเสียงกระดิ่งข้อเท้า โนอาหยุดชะงักทั้งที่มือยังจับลูกบิดอยู่ และค่อย ๆ หันมองซ้ายขวาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ไม่พบอะไร และไม่พบที่มาของเสียงเสียงนั้น จึงรีบเปิดประตูเข้าห้องไป และล็อกประตูทันที
| น้ำเหนือ
ส่วนน้ำเหนือ ต้นกล้า และคิม หลังจากที่ลงรถตู้มา ก็ได้แวะไปร้านสะดวกซื้อ เพื่อหาอะไรกิน แต่ทว่าก็ต้องเผชิญกับสายตาของพนักงานในร้าน ที่มองทั้งสามคนด้วยสายตาแปลก ๆ ราวกับเห็นอะไรบางอย่าง แต่น้ำเหนือและคิมก็ไม่สนใจอะไร คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติที่พนักงานต้องมองลูกค้าอยู่แล้ว เว้นแต่เพียงต้นกล้าที่ดูจะคิดมากกับสายตาที่มองมา จึงเอ่ยถามกับเพื่อนทั้งสองคน
“พวกมึงว่าเขามองเราแปลกมั้ย ๆ วะ” น้ำเหนือและคิมได้หันไปมองพนักงานอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าต้นกล้า
“ไม่มีไรหรอกมั้ง คิดมากน่ะ ไป รีบเลือกจะได้รีบกลับหอ” น้ำเหนือตอบต้นกล้า และเดินไปเลือกของที่จะซื้อต่อ ปล่อยให้ต้นกล้ายืนจ้องตากับพนักงานต่อไป
เมื่อเลือกซื้อของเสร็จแล้ว ทั้งสามคนได้ออกมายืนที่หน้าร้านสะดวกซื้อครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเลี้ยวซ้ายเข้าซอยเพื่อกลับหอพัก และระหว่างทางเดินกลับหอพัก ทั้งสามคนก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งคล้ายกับกระดิ่งข้อเท้าดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวทั้งสามคนมากนัก และทันทีที่น้ำเหนือได้ยินเสียงนั้นก็หยุดชะงักอยู่กับที่ ก่อนจะหันมองหน้าต้นกล้าและคิมสลับกับ ต้นกล้าจึงขยับปากพูดโดยที่ไม่ออกเสียง
“วิ่งมั้ย” น้ำเหนือและคิมจึงพยักหน้าตอบรับอย่างเห็นด้วย จากนั้นทั้งสามออกตัววิ่งกลับหอพักอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็วิ่งมาถึงหน้าหอพัก ทั้งสามคนหยุดยืนพักหายใจอยู่ที่หน้าหอพัก ทว่าเจ้าของหอก็เดินเข้ามาหาทั้งสาม
“อย่าลืมนะจ๊ะหนุ่ม ๆ ว่าห้ามพาผู้หญิงขึ้นห้องน่ะจ้ะ” ทั้งสามมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก ต้นกล้าเลยไปถามเจ้าของหอพักเพื่อความแน่ใจ
“อะไรนะครับ
“ก็เมื่อกี้เห็นผู้หญิงเดินตาม กลัวจะลืมกฎของที่นี่น่ะจ้ะ”
“พวกผมมากัน...แค่สามคนนะครับ”
“แหม อยากมาหยอกเจ๊นะ ว่าแต่ไปงานที่ไหนกันมาล่ะ เห็นใส่ชุดนางรำด้วยนิ สวยเชียว แฟนใครล่ะคราวนี้” ทันทีที่ได้ยินคำว่านางรำ ทั้งสามก็ต้องขนหัวลุก ก่อนจะหันมองรอบตัว แต่ไม่พบอะไร จึงได้รีบลาเจ้าของหอพัก และรีบขึ้นห้องล็อกประตูทันที
| อันดา
ทางฝั่งของสามสาวอย่างอันดา ปิ่น และเกล ก็พักอยู่หอที่หน้ามหาวิทยาลัย ที่เพียงแค่เดินข้ามถนนไปก็ถึงหอพักของทั้งสามเลย แต่น้องทั้งสองอย่างจันจ้าวและผืนป่า พักอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยพอสมควร ด้วยความที่อันดามีรถยนต์ จึงอาสาจะไปส่งน้องทั้งสองคน แต่ปิ่นและเกลก็ขอไปเป็นเพื่อน เนื่องจากขากลับอันดาต้องขับกลับคนเดียว กลัวจะเกิดอันตรายขึ้นได้
“ทั้งสองคนรออยู่นี่นะ เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บและเดี๋ยวเอารถออกมารับ” อันดา ปิ่น และเกลก็เดินข้ามถนนเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องพัก จากนั้นก็เอารถออกมารับน้องทั้งสองคน
อันดาลดกระจกลง พร้อมกับบอกน้องสองคนให้เอากระเป๋าไปเก็บหลังรถ ไม่นานทั้งสองก็เดินมาขึ้นรถ โดยที่อันดาเป็นคนขับ เกลนั่งข้างคนขับ ส่วนเบาะด้านหลังก็จะเป็นปิ่น จันจ้าว และผืนป่า เมื่อขึ้นเรียบร้อยแล้ว อันดาก็ขับออกไปทันที แต่หลังจากที่ออกมาได้ไม่ไกลมากนัก อันดาก็เหยียบเบรกกะทันหัน เพราะอันดาเห็นว่ามีคนวิ่งมาตัดหน้ารถ ทำให้ทุกคนในรถนั้นใจหายใจคว่ำ ก่อนจะตั้งสติได้ อันดาจึงหันไปถามคนอื่น
“เป็นไรกันมั้ย โทษทีนะ” ปิ่นที่หัวกระแทกเบาะข้างหน้า ก็ยกมือขึ้นมาจับหัว พร้อมกับเอ่ยตอบอันดา
“ไม่เป็นไร แล้วทำไมเบรกแบบนี้ล่ะ อันตรายนะเนี่ยอันดา”
“เมื่อกี้เหมือนมีคนวิ่งตัดหน้ารถ เดี๋ยวลงไปดูก่อนนะ” อันดาและเกลได้ลงไปเดินดูรอบ ๆ รถ แต่ก็ไม่พบอะไร มีเพียงความว่างเปล่า ทั้งสองจะเดินกลับมาขึ้นรถด้วยท่าทีงุนงง ปิ่นเห็นทั้งสองคนเดินขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงได้ถามอย่างแปลกใจ
“เป็นไง มีใครมั้ย” อันดานิ่งเงียบมองหน้าเกล ก่อนจะตอบคำถามปิ่น
“ไม่...ไม่มีอะไรเลย”
“คงตาฝาดแหละ ไปกันต่อเถอะ เดี๋ยวน้องจะถึงบ้านดึกเอา”
“อือ ๆ”
เวลาผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงหน้าบ้านของผืนป่า และเมื่อส่งผืนป่าเรียบร้อยแล้ว ก็ตรงไปที่บ้านของจันจ้าวต่อ เนื่องจากบ้านของจันจ้าวไม่ไกลจากบ้านผืนป่าเท่าไร จึงใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีก็มาถึงบ้านของจันจ้าว จันจ้าวจึงลงไปยกกระเป๋าออกจากหลังรถ และเดินกลับมาที่ฝั่งคนขับ ก่อนจะเอ่ยชวนทั้งสามเข้าไปพักในบ้านก่อน เนื่องจากเห็นว่าเกรงใจที่รุ่นพี่ทั้งสามคนนั้นขับรถมาส่งตั้งไกล
“พวกพี่เข้ามานั่งพักก่อนมั้ย ขับมาตั้งไกล กลัวจะเมื่อยค่ะ” ทั้งสามหันมองหน้ากัน จากนั้นก็หันไปพยักหน้าตอบรับน้ำใจของจันจ้าว
“งั้นเอารถเข้าบ้านก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูเปิดประตูให้” พูดจบ จันจ้าวก็เดินลากกระเป๋าไปเปิดประตูรั้วบ้าน อันดาจึงค่อย ๆ ขับเข้าไม่จอดในโรงรถ และเดินตามจันจ้าวเข้าบ้านไป ก็เจอพ่อแม่ของจันจ้าวนั่งรออยู่ที่โซฟาหน้าทีวี
“พ่อแม่คะ หนูกลับมาแล้ว” จันจ้าววิ่งเข้าไปกอดพ่อและแม่ เมื่อท่านทั้งสองหันมาเห็นสามคนยืนอยู่ก็มีสีหน้าสงสัยว่าทั้งสามคนเป็นใคร จึงได้หันไปถามลูกสาวตัวเอง
“อ๋อ พี่สามคนเขาขับรถมาส่งหนูน่ะค่ะ หนูชวนพี่เขามานั่งพักก่อนค่ะ”
“แล้วหนูไม่บอกพ่อล่ะ พ่อจะได้ไปรับ เดือดร้อนพี่ ๆ เขาเลย”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณพ่อ พวกหนูเต็มใจมาส่งจันจ้าวอยู่แล้วค่ะ” อันดารีบเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“งั้นตามสบายเลยนะลูก พ่อแม่ไปนอนก่อน” จากนั้นท่านทั้งสองคนก็เดินขึ้นบ้าน เหลือเพียงแค่สี่คนที่ยืนอยู่ จันจ้าวจึงเรียกให้ทั้งสามคนมานั่งที่โซฟา ทว่าทั้งสามคนกำลังจะเดินไปนั่ง พี่ชายจันจ้าวก็เดินออกมาจากห้องครัวพอดี จันจ้าวจึงได้เอ่ยทักทายพี่ชาย
“อ่าว ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“อือ แล้วนี่เพื่อนเหรอ”
“เปล่า รุ่น...” จันจ้าวอ้าปากพูดยังไม่ทันจบประโยค พี่ชายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“แล้วอีกคนไม่เข้ามาเหรอ ไปงานที่ไหนกันมาล่ะ ทำไมใส่ชุดนางรำอยู่คนเดียว”
“นางรำ!” ทั้งสี่คนเอ่ยพูดขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน พี่ชายจันจ้าวได้เพียงแต่ยืนมองทั้งสี่คนอย่างงุนงง จากนั้นก็เดินกลับขึ้นห้องไป หลังจากที่พี่ชายจันจ้าวเดินขึ้นห้องไป ปิ่นก็พูดโพล่งขึ้นมา
“วันนี้ขอนอนนี่ได้มั้ยจันจ้าว”
“ได้พี่ นอนด้วยกันเยอะ ๆ ดีกว่าเนอะ” จันจ้าวเอ่ยตอบ พร้อมกับยิ้มแห้งใส่รุ่นพี่ทั้งสามคน แต่เมื่อกำลังจะเดินบ้าน ทั้งสี่ได้หันไปมองที่นอกบ้านอีกครั้ง ก็เห็นว่ามีกลุ่มควันดำลอยอยู่กลางอากาศ ก็ร้องโวยวายกัน ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบ้านไป