เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

พวกมึงลบหลู่กู - ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พวกมึงลบหลู่กู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

ผู้แต่ง

อมายา

เรื่องย่อ

"น้องกูก็ตายแล้วนี่ไง พวกมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ หรือต้องให้กู้ตายอีกคน พวกมึงถึงจะพอใจ"


"ใช่ ถ้ามึงตาย แล้วได้สี่คนนั้นกลับมา มึงจะยอมตายมั้ย"


"..."


"เห็นมั้ย ตัวมึงเองยังไม่อยากตายเลย และสี่คนนั้นมันอยากตายเหรอ มึงคิดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเอง แบบนี้เขาเรียกเห็นแก่ตัวว่ะ"



เพียงเพราะความปากพล่อยและความโผงผางของคนคนหนึ่ง ทำให้ใครหลายคนเดือดร้อน และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนทุกคนต้องตามสืบเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้รอดจากน้ำมือของผีตนนี้

สารบัญ

พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓๐ พวกมึงลบหลู่กู

เนื้อหา

ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู

ตอนที่ ๑๙
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็เข้าสู่ภาคเหนือ ต่อมาราว ๆ เก้าโมงเช้าก็มาถึงจังหวัดลำปาง ไม่นานก็ถึงสถานที่ที่ยางระเบิดในคราวที่แล้ว และจุดที่รถยางระเบิดก็คือหน้า หมู่บ้านกางจ้อง นั่นเอง จากนั้นทั้งสิบคนก็ขนข้าวของสัมภาระลงจากรถตู้ทันที และกะว่าจะที่พักแถวนี้อยู่ก่อน เนื่องจากถ้าเข้าไปพักในเมือง เกรงว่าจะไม่สะดวกในการเดินทางเสียเท่าไร เพราะชินหรือคนขับรถต้องกลับกรุงเทพฯ ไปทำงานของเขาต่อ หลังจากที่ทุกคนเอาของลงจากรถเรียบร้อย ชินก็ขับรถออกไปทันทีโดยไม่ล่ำลาสกายสักคำ ทำเอาสกายนั้นยืนเกาหัวด้วยความงุนงง
“อะไรของเขาวะน่ะ นึกจะไปก็ไปเลย” สกายส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะยกกระเป๋าเข้าไปหลบที่ศาลาริมทาง เนื่องจากเมฆสีดำก่อตัวเป็นรูปร่างน่ากลัว บ่งบอกว่าถึงพายุฝนที่กำลังจะมาในไม่ช้านี้ ถ้ายังยืนอยู่มีหวังฝนตกลงมา เก็บของหลบไม่ทันเป็นแน่
“ต้อนรับได้ดีเลยเนอะ” ปิ่นพูดประชดประชัน
เพราะทันทีที่สกายเดินเข้ามาหลบในศาลา สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา พร้อมกับลมพายุพัดแรงจนต้นไม้โอนเอนไปมา ทั้งสิบคนทำได้เพียงแค่นั่งหลบอยู่ในศาลาเพื่อรอให้ฝนหยุดตก และจึงจะออกไปที่บ้านหลังนั้นได้ เนื่องจากถนนทางเดินเข้าไปที่บ้านหลังนั้นเป็นถนนดินลูกรัง และเป็นทางเดินเล็ก แถมข้าง ๆ เป็นคลองน้ำใหญ่ ถ้าเดินเข้าไปตอนที่ฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาอยู่แบบนี้ คงจะมีใครสักคนลื่นและลงไปนอนอยู่ในคลองแน่ ๆ
ฝนตกหนักราว ๆ ชั่วโมง จากนั้นฝนก็ซาลง แต่ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มอยู่ และก็ได้หยุดตกไปเกือบ ๆ เที่ยง ทว่าท้องฟ้าก็ยังคงมืดครึ้มอยู่เช่นเดิม น้ำเหนือเห็นฝนหยุดตกแล้ว จึงได้ชวนเพื่อน ๆ เดินทางไปที่บ้านหลังนั้น เพราะถ้าจะรอให้ฟ้าสว่างก็จะช้าเกินไป
“ไปกันเถอะทุกคน เดี๋ยวฝนจะตกลงมาอีก เราจะไม่ได้อะไรกันนะวันนี้” พูดจบ ก็ยกกระเป๋าเป้ขึ้นใส่หลังตัวเอง ก่อนจะหันหน้าไปหาอันดา
“ไปกัน” อันดาพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มหวานกลับไป และเดินเคียงคู่กับน้ำเหนือนำไปก่อน คนอื่น ๆ ก็รีบแบกกระเป๋าใส่หลัง และเดินตามทั้งสองคนไป
ผ่านไปสักพักก็มาถึงหน้าบ้านไม้หลังเดินที่ทุกคนเคยเข้าไปลบหลู่ ทุกคนกำลังยืนมองเข้าไปในตัวบ้านอยู่ เผื่อว่าจะเจอลุงกับป้าเจ้าของบ้าน จะได้ถามให้รู้แล้วรู้รอด และจะได้รีบแก้ไขเรื่องราวนี้ให้จบสิ้นเสียที ทว่ากลับไม่พบใครในบ้านเลยสักคน มีเพียงแต่ความว่างเปล่า
ขณะที่ทุกคนจ้องมองเข้าไปในตัวบ้าน ก็ชายหญิงสองคนเดินเข้ามาจากด้านหลัง ทำเอาทั้งสิบคนตกใจจนสะดุ้งตัวโยนกันเลยทีเดียว ก่อนจะตั้งสติและมองดูคนสองคนที่เดินเข้ามาให้ดี ก็พบว่าเป็นลุงกับป้าเจ้าของบ้านนั่นเอง ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก สกายที่ยืนอยู่คนสุดท้าย ก็ได้หันไปหาลุงกับป้า
“โห่ ป้ากับลุงเองเหรอครับ พวกผมตกใจหมด”
“ป้าขอโทษจ้ะ แล้วพวกหนูมาทำอะไรกันเหรอ”
“พวกผมมาหาลุงกับป้าแหละครับ” ลุงกับป้าหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองทุกคนคน แต่จู่ ๆ น้ำเหนือก็เดินแทรกตัวไปยืนต่อหน้าป้ากับลุง
“ที่บ้านหลังนี้มีอะไรกันแน่ครับ ทำให้ป้าถึงให้พวกผมเข้ามานอนที่นี่ครับ” ป้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะทำตัวปกติเช่นเดิม พร้อมกับตอบกลับน้ำเหนือด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ไม่มีอะไรนะจ๊ะ ป้าแค่สงสารพวกหนูเฉย ๆ”
“จะไม่มีได้ไงครับ พวกผมเจอกันทุกคน เพื่อนผมก็ตายไปตั้งสี่คนแล้วนะครับป้า ป้าบอกพวกเราเถอะนะครับ”
“ใช่ค่ะ ป้าบอกพวกเรามาเถอะนะคะ” อันดาแทรกตัวมายืนเคียงข้างน้ำเหนือ และได้เสริมคำพูดของน้ำเหนือ ทั้งสองยังคงจ้องมองหน้าลุงและป้าเจ้าของอย่างไม่ลดละ จนกว่าจะได้คำตอบจากปากของลุงกับป้า ทว่าป้ากลับยืนนิ่งเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดแม้แต่คำเดียว แต่เหมือนว่าลุงจะทนไม่ไหวที่ป้าไม่ยอมพูดเสียที จึงตัดสินใจเอ่ยพูดออกมาเอง
“ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันที่บ้านลุงเถอะ เดี๋ยวลุงจะเล่าให้ฟังเอง”
จากนั้นลุงก็เดินนำทั้งสิบคนกลับไปทางหมู่กางจ้อง ที่ทั้งสิบคนเพิ่งเดินมาเมื่อสักครู่ ลุงกับป้าเดินเข้าไปในหมู่บ้านจนเกือบจะท้ายหมู่บ้าน ก็ได้มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านไม้หลังใหญ่หลังหนึ่ง ลุงกับป้าเดินเข้าในในบ้าน ทั้งสิบคนเดินตามเข้าไปก็เจอเข้าภาพถ่ายของนางรำคนหนึ่ง
น้ำเหนือกับจันจ้าวที่เคยเห็นใบหน้าของผีนางรำ ก็ต้องตกใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็นภาพถ่ายที่ติดอยู่กับผนังบ้านของลุงกับป้า ทั้งสองคนจึงหันมองหน้าแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปที่ภาพถ่ายใบนั้น ทั้งสองคนจดจ่อสายตาไปที่ภาพถ่ายอย่างไม่ละสายตา เพื่อนคนอื่น ๆ เอ่ยเรียกทั้งสองคนอยู่นาน กว่าจะได้สติกลับมา
“หนูรู้จักเหรอจ๊ะ” ป้าเอ่ยถามพร้อมกับขอบตาเริ่มแดงคล้ายคนจะร้องไห้
“ถ้าผมบอก...ป้าจะเชื่อมั้ยครับ”
“จ้ะ”
“ผีนางรำที่พวกผมเจอ...หน้าเขาเหมือนคนในรูปนี้เลยครับ” ป้าตาเบิกโพลง ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นทันทีที่ได้ยินคำตอบของน้ำเหนือ พร้อมกับปล่อยโฮออกมา จนลุงต้องเข้าไปกอดปลอบ และพาป้าขึ้นไปนอนพักที่ชั้นสอง ก่อนจะเดินกลับลงมาหาทุกคนที่ชั้นล่าง
“มานั่งก่อน เดี๋ยวลุงจะเล่าให้ฟัง ว่าคนในรูปเป็นใคร” ทั้งสิบคนเดินไปนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ ลุง และสกายก็ได้เอ่ยถามเป็นคนแรก
“เขาเป็นใครเหรอครับ”
“ลูกสาวลุงเองชื่อ...” ลุงได้เล่าต่อว่าลูกสาวชื่อ ดาหลา เป็นนางรำอยู่คณะนางรำใกล้ ๆ หมู่บ้าน หรือก็คือที่บ้านไม้หลังนั้นที่ทุกคนได้เข้าไปนอนเมื่อหลายวันก่อน ดาหลาเป็นคนที่รำสวยมาก และยังมีใบหน้าสวยหวานละไมดั่งนางในวรรณคดี ผิวขาวผ่องนวลเนียนไร้ที่ติ ดาหลาไม่ค่อยได้กลับบ้านเสียเท่าไร เพราะต้องอยู่ซ้อมรำที่คณะตลอด แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งคณะนางรำก็ประกาศเลิกกิจการและขายบ้านหลังไม้หลังนั้น แต่ว่าดาหลาไม่ได้กลับมาที่บ้าน และจากวันนั้นก็ไม่มีใครเจอดาหลาอีกเลย จนถึงทุกวันนี้ แต่ตลอดที่ตามหาดาหลา ก็มักจะมีคนบอกว่าเจอดาหลาอยู่ที่บ้านหลังนั้นบ่อยครั้ง แต่ไม่ได้เจอแบบเป็นคนปกติ ป้าไม่เชื่อว่าลูกสาวจะเสียชีวิตไปแล้วมาหลอกคนแถวนั้น จนได้มาเจอกลุ่มของน้ำเหนือที่รถยางระเบิดอยู่หน้าหมู่บ้าน ประกอบกับกำลังหาที่พักอยู่ด้วย ป้าจึงอยากลองดูว่าจะเจอดาหลาเหมือนที่คนอื่นพูดกันหรือไม่ แต่ก็ไม่กล้ากลับมาถามทุกคน เพราะกลัวคำตอบที่จะได้ยิน ลุงเล่ามาถึงตรงนี้ก็หยุดเงียบ และนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องที่ลุงรู้ก็มีแค่นี้ แต่ลุงทำใจได้นานแล้วแหละ ว่าดาหลาคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ว่าลุงก็ไม่เคยเจอหรอกนะ ได้ยินแต่คนอื่นเขาพูดกัน” ทุกคนจ้องมองหน้าลุงด้วยความสงสารที่ต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จู่ ๆ ลุงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เออแล้วนี่พักที่ไหนกันล่ะ”
“ยังไม่มีเลยครับลุง กะว่าจะหาแถวนี้แหละครับ” น้ำเหนือตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่แฝงไปด้วยความกังวล เนื่องจากอีกไปกี่ชั่วโมงก็จะมืดแล้ว ไม่รู้จะหาที่นอนได้หรือไม่ แต่เหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างน้ำเหนือและเพื่อน ๆ อยู่ไม่น้อยเมื่อลุงได้เอ่ยปากชวน
“งั้นนอนกันที่นี่แล้วกัน แถวนี้ไม่มีหรอก จะมีก็แต่บ้านหลังนั้นนั่นแหละ” สกายรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันทีทันใด จากนั้นลุงก็ได้หันไปถามน้ำเหนืออีกว่า
“เออแล้วที่มานี่ มาทำอะไรกันอีกล่ะ หรือเพราะ...ดาหลา” น้ำเหนือได้แต่พยักหน้าตอบรับเบา ๆ
“งั้นก็ตามสบายนะ ห้องนอนอยู่ซ้ายมือนะ มีสองห้อง” พูดจบ ลุงก็เดินขึ้นบ้านไปทันที ทุกคนก็ได้เดินเอากระเป๋าไปเก็บในห้อง และเนื่องจากว่าฟ้ายังไม่มืด เลยตกลงกันว่าจะออกไปถามกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ด้วยเผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมาบ้าง
หลังจากที่เก็บของเสร็จ น้ำเหนือก็ได้บอกให้ทุกคนแยกกันไปเป็นคู่เช่นเดิม และขอให้กลับมาเจอกันก่อนห้าโมงเย็นเท่านั้น เพราะกลัวว่าถ้ามืดไปมากกว่านี้อาจจะเกิดอันตรายอะไรขึ้นอีก
“ใครจะไปกับใครก็แบ่งกันไปนะ ส่วนกูจะไปกับอันดา” สกายที่เดินออกมาจากห้อง ก็ได้ยินคำพูดของน้ำเหนือ จึงได้พูดแซวออกไป
“แหม ข้าวใหม่ปลามันก็แบบนี้แหละเนอะทุกคน” ทุกคนได้แต่ยืนหัวเราะกับคำพูดของสกาย ปิ่นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ได้พูดแซวคำพูดของสกายต่อ
“แหม เราก็คำพูดโบราณเชียวนะ เออแต่ลืมไป พี่แก่แล้วนี่เนอะ” ปิ่นแลบลิ้นใส่สกาย และวิ่งหนีไปใส่รองเท้ารอที่หน้าบ้าน ส่วนคนอื่น ๆ ก็เดินตามหลังมา และก็ได้แยกกันไปคนละทาง
ทั้งสิบคนได้แยกกันเป็นคู่ ซึ่งก็คือ น้ำเหนืออันดา สกายปิ่น เกลโนอา ต้นกล้าคิม และจันจ้าวกับผืนป่า คู่ของน้ำเหนือและสกายนั้นเดินไปทางเดียวกัน แต่ได้แยกกันไปถามคนละบ้าน ส่วนคู่อื่นก็เดินแยกกันไปอีกทางหนึ่ง