เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

พวกมึงลบหลู่กู - ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู โดย อมายา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก,ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พวกมึงลบหลู่กู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,ตลก,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,ดราม่า,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

เพราะความปากพล่อยของคนคนหนึ่ง ใครหลายคนจึงต้องประสบปัญหาใหญ่ นั่นก็คือการตามหาความจริงเพื่อเอาชีวิตรอด

ผู้แต่ง

อมายา

เรื่องย่อ

"น้องกูก็ตายแล้วนี่ไง พวกมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ หรือต้องให้กู้ตายอีกคน พวกมึงถึงจะพอใจ"


"ใช่ ถ้ามึงตาย แล้วได้สี่คนนั้นกลับมา มึงจะยอมตายมั้ย"


"..."


"เห็นมั้ย ตัวมึงเองยังไม่อยากตายเลย และสี่คนนั้นมันอยากตายเหรอ มึงคิดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเอง แบบนี้เขาเรียกเห็นแก่ตัวว่ะ"



เพียงเพราะความปากพล่อยและความโผงผางของคนคนหนึ่ง ทำให้ใครหลายคนเดือดร้อน และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนทุกคนต้องตามสืบเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้รอดจากน้ำมือของผีตนนี้

สารบัญ

พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๑๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๐ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๒ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๓ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๔ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๕ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๖ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๗ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๘ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๒๙ พวกมึงลบหลู่กู,พวกมึงลบหลู่กู-ตอนที่ ๓๐ พวกมึงลบหลู่กู

เนื้อหา

ตอนที่ ๒๑ พวกมึงลบหลู่กู

ตอนที่ ๒๑
รุ่งเช้า ณ ห้องนอนของชายหนุ่มหกคน
“เอาไงกันครับวันนี้” สกายเอ่ยพูดขึ้นขณะที่กำลังสวมกางเกงขายาวไปด้วย น้ำเหนือที่เดินเข้ามาพอดี จึงได้เอ่ยตอบ
“เราไปตามหาเจ้าของที่เป็นคณะนางรำกันมั้ย ผมว่าเขาน่าจะรู้อะไรบ้างแหละ”
“เออว่ะ ทำไมกูคิดไม่ได้วะ มึงนี่ฉลาดนะไอเหนือ”
“ธรรมดาว่ะพี่ แฟนสวยนะ”
“มึงนี่เอาใหญ่ ตั้งแต่มีแฟนนี่เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน”
ในเวลาเดียวกันขณะที่น้ำเหนือและสกายกำลังคุยกันอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามาด้วยเสียงเรียกใส ๆ ของหญิงสาวอยู่ที่หน้าห้อง น้ำเหนือที่คิดว่าเป็นอันดา เลยรีบคว้าเสื้อยืดสีขาวพาดบ่าและเปิดประตูออกไปหาอันดาทันที แต่ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ใช่อันดา แต่เป็นจันจ้าวนั่นเอง
“อ่าว พี่น้ำเหนือ พอดีเลย พี่อันดาให้มาเรียกพวกพี่ไปกินข้าวค่ะ”
“ได้...เดี๋ยวพวกพี่ตามไปนะ” น้ำเหนือตอบกลับด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ก่อนจะสวมเสื้อและเดินตามจันจ้าวไปที่โต๊ะอาหาร ก็เห็นอันดากำลังยกจานกับข้าวมาวางที่โต๊ะอยู่ น้ำเหนือได้แต่มองอันดาด้วยสายตาแห่งความน้อยใจ
ทางด้านอันดาที่ไม่ทันสังเกตว่าน้ำเหนือนั้นผิดปกติไป จึงไม่ได้สนใจน้ำเหนือ และเดินไปยกจานกับข้าวต่อ น้ำเหนือก็ได้แต่นั่งหน้างอคอหักอยู่คนเดียว จนสกายนั้นเดินมาเห็นพอดีเลยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไรวะ หน้างอเป็นปลาทูแม่กลองเลยมึง”
“แฟนไม่สนใจอะพี่”
เพียะ! เสียงฝ่ามือของสกายที่ยกขึ้นมาตบหัวน้ำเหนือ ทันทีที่ได้ฟังคำตอบของน้ำเหนือ
“ไอ้เหนือ ไอควาย มึงเห็นมั้ยเขาทำอะไรอยู่ ไอ้เวร ไร้สาระสิ้นดี”
“พี่ไม่มีแฟน พี่ไม่เข้าใจหรอก”
“ผีเข้ามึงเปล่าไอ้เหนือ กูไม่เคยเห็นมึงเป็นแบบนี้ เชี่ย...ขนลุก”
“เปล่า ไม่ได้ผีเข้า แค่เป็นคนที่มีแฟน” น้ำเหนือลอยหน้าลอยตาใส่สกาย ทำให้สกายโมโหมาก
“กำลังจะมีแล้วเว้ย” สกายตบไปที่ไหล่ของน้ำเหนืออย่างเต็มแรง น้ำเหนือก็ตบไหล่กลับ ไป ๆ มา ๆ ทั้งสองง้างมือกำลังจะต่อยกัน แต่ทว่าคนที่นั่งอยู่ไม่ได้ลุกขึ้นห้ามปรามทั้งสองคนเลย แต่ยังคงนั่งหัวเราะชอบใจอยู่กับที่ตัวเอง
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเถียงกันอยู่ อันดาและปิ่นก็เดินออกมาจากห้องครัว พร้อมกับจากข้าวพอดี ก็ได้เห็นภาพที่ทั้งสองคนกำลังง้างมือจะต่อยกัน อันดาและปิ่นจึงรีบวางจานข้าวลง และเดินไปยืนอยู่ที่หลังเก้าอี้ของทั้งสองคน แต่ทั้งสองคนไม่ได้สนใจอะไรเลย เอาแต่เถียงกันไปมาอยู่เช่นนั้น จึงไม่สังเกตว่าอันดาและปิ่นยืนอยู่ข้างหลัง จนปิ่นเริ่มทนไม่ไหว เลยพูดปรามออกไป
“อีกนานมั้ย”
“ใครมายุ่งวะ อยากโดนอีกเหรอ” สกายพูดจบ ก็หันขวับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง น้ำเหนือก็เช่นเดียวกัน จึงได้เห็นว่าอันดาและปิ่นนั้นยืนมองอย่างคาดโทษอยู่ ทั้งสองคนค่อย ๆ ยกมือไหว้โดยพร้อมเพรียงกัน ปิ่นจึงได้เอ่ยพูดด้วยเสียงแข็ง แต่อันดากลับยืนมองหน้านิ่ง ๆ แต่ทว่าความโกรธในแพร่ไปทั่วทั้งใบหน้า
“จะกินกันมั้ยข้าว ไม่กินก็ออกไปรอข้างนอก” สกายรีบหันหน้ากลับเข้าโต๊ะอาหารทันที พร้อมกับตอบด้วยเสียงแผ่วเบาราวกระซิบพูด
“กินครับ” สิ้นเสียง อันดาและปิ่นก็เดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามทั้งสองคน จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งกินข้าวด้วยความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งโดนแม่ดุ
ระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่ ป้าสายใจกับลุงสมคิดก็เดินลงมาจากชั้นสองพอดี อันดาจึงหันหน้าไปชวนท่านทั้งสองคนมากินข้าวด้วยกัน ลุงสมคิดกับป้าสายใจเลยเดินมาร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน
ทว่าลุงสมคิดกลับสังเกตเห็นว่าสถานการณ์ดูจะเงียบผิดปกติ และเหมือนจะตึงเครียดมาก ๆ เสียด้วย ลุงสมคิดได้สะกิดแขนป้าสายใจให้มองดูกลุ่มเด็กนักศึกษาตรงหน้า ป้าสายใจได้สังเกตมองตามที่ลุงสมคิดบอก ก็พบว่าเงียบผิดปกติจริง ๆ ลุงสมคิดจึงตัดสินใจเอ่ยถามออกไป
“เป็นอะไรกันหรือเปล่า ทำไมดูเงียบ ๆ เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงคุยกันอยู่ หรือเกรงใจข้าสองคน” ไม่มีใครเอ่ยปากตอบคำถามของลุงสมคิด อันดาจึงได้เป็นตัวแทนตอบคำถามของลุงสมคิด
“ก็ส่วนหนึ่งค่ะคุณลุง แต่อีกส่วน...” อันดานิ่งเงียบ ไม่ได้พูดต่อ แต่สายตาจ้องมองไปที่น้ำเหนือและสกาย
“ลุงเข้าใจแล้วล่ะ กินกันต่อเถอะ”
หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเสร็จแล้ว อันดากับปิ่นรับหน้าที่เก็บกวาดและล้างจาน ส่วนคนอื่นได้ไปนั่งคุยกับลุงสมคิดและป้าสายใจที่สวนหลังบ้านหมดแล้ว เว้นแต่เพียงสองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งมองหญิงสาวสองคนที่กำลังล้างจานอยู่
อันดากำลังจะหันไปเช็ดโต๊ะอาหาร ก็เจอเข้ากับสองหนุ่มที่ยังอยู่ พร้อมกับสีหน้าสำนึกผิด แต่เธอก็ไม่ได้สนใจที่พูดอะไรด้วย จนเช็ดโต๊ะเสร็จก็หันไปช่วยปิ่นล้างจานต่อ อันดาจึงได้เอ่ยพูดขึ้นขณะที่มือกำลังล้างจานอยู่ด้วย
“มานั่งรออะไร ทำไมไม่ไปนั่งคุยกับคนอื่นที่สวน”
“ไม่เป็นไรครับ รอไปพร้อมกัน”
“ไม่ต้อง!” เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอันดา น้ำเหนือรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ครับ” และได้หันไปกระซิบกระซาบกับสกาย
“ไปดิ รอไร เดี๋ยวก็โดนอีกหรอก” ทั้งสองรีบลุกพรวดพราดและเดินออกไปนั่งรวมกับคนอื่น ๆ ที่สวนหลังบ้าน
ผ่านไปไม่นาน อันดาและปิ่นก็เดินไปนั่งร่วมวงด้วย ก่อนจะมองดูเวลา เห็นว่าสิบโมงกว่าแล้ว จึงได้เอ่ยชวนทุกคนออกไปหาข้อมูลเรื่องราวของดาหลาอีกครั้ง ทั้งหมดจึงได้ขอตัวและเดินออกมารวมกันที่หน้าประตูรั้วบ้าน เมื่อมายืนรวมกันแล้ว ปิ่นจึงได้พูดขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“จะเอายังไง คิดกันมาหรือยัง” สกายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบยกมือขึ้นมาพร้อมพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“คิดมาแล้วครับ” คนอื่นยกเว้นปิ่นและอันดา ได้หลุดขำออกมา เพราะตลกกับการกระทำของสกายที่ดูจะกลัวปิ่นเอามาก ๆ
“ยังไง”
“พี่คุยกับไอเหนือ ว่าจะตามหาเจ้าของที่เป็นคณะนางรำครับ”
“อือ เอาตามนั้นแหละ ไปแยกย้าย”
อันดาเห็นว่ามีบ้านหลังหนึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจากบ้านของลุงสมคิดและป้าสายใจ อันดาเดินนำน้ำเหนือไปทางท้ายหมู่ ก็เจอบ้านหลังหนึ่ง และมีหญิงวัยกลางคนกำลังกวาดหน้าบ้านอยู่ อันดาจึงได้เอ่ยเรียกหญิงวัยกลางคน
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ พอดีเรามีเรื่องจะสอบถามนิดหน่อย พอจะมีเวลามั้ยคะ” หญิงวัยกลางคนวางไม้กวาดลง และเดินมาเปิดประตูรั้ว เพื่อคุยกับทั้งสองคน
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะหนู”
“หนูมีเรื่องจะสอบถามคุณป้าหน่อยได้มั้ยคะ แต่ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไรนะคะ”
“ได้จ้ะ ๆ เข้ามาก่อน” หญิงวัยกลางคนเปิดประตูให้กว้างขึ้น เพื่อให้ทั้งสองเดินผ่านเข้าไปในบ้านได้
“เชิญนั่งก่อนจ้ะ...ว่าแต่มีเรื่องอะไรกันเหรอจ๊ะ”
“คุณป้า...พอจะทราบเรื่องเกี่ยวกับคนที่ชื่อดาหลามั้ยคะ” หญิงวัยกลางคนมีอาการตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาทำตัวปกติเช่นเดิม
“พวกหนูอยากรู้เรื่องดาหลาไปทำไมเหรอจ้ะ”
“พวกหนูกำลังตามหาเขาอยู่น่ะค่ะ”
“ป้าก็พอรู้อยู่บ้างน่ะ พอดีป้าเคยทำงานที่คณะนั้น...ที่ดาหลาเคยเป็นนางรำอยู่น่ะ”
“คุณป้าพอจะเล่าให้ฟังได้มั้ยคะ ว่าทำไมพี่ดาหลาถึงหายตัวไป”
“ได้จ้ะ...”
หญิงวัยกลางคนได้เล่าว่า ในตอนที่เธอเข้ามาทำงานเป็นแม่บ้านคอยดูเรื่องชุด และเครื่องรำต่าง ๆ ของดาหลา หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นคนดูแลดาหลานั่นเอง ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของดาหลามาอยู่บ้าง หญิงวัยกลางคนหรือที่คนในคณะนางรำเรียกกันป้าส้ม ป้าส้มได้รู้มาว่าดาหลามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกเจ้าของคณะ ซึ่งทางป้าส้มเองก็ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาของชายคนนั้นเลยสักครั้ง มีแต่ดาหลาคอยมาเล่าปรับทุกข์ให้ฟังว่า แฟนหนุ่มไม่ค่อยใจเธอเท่าไร แถมยังแอบไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเลยกับเพื่อนสนิทของเธออีกด้วย จนครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหน้าดาหลา ดาหลาได้มาเล่าให้ป้าส้มฟังว่า พี่สาวของแฟนหนุ่มของเธอได้มาบอกให้เธอเลิกยุ่งกับแฟนหนุ่ม เพราะแฟนหนุ่มของเธอกำลังจะแต่งงานกับเพื่อนสนิทของเธอ ซึ่งวันนั้นดาหลาร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจตาย แต่ป้าส้มก็ทำได้แค่นั่งปลอบใจดาหลาอยู่ข้าง ๆ ดาหลาได้พูดจาเป็นลางไม่ค่อยดีเสียเท่าไร เธอบอกกับป้าส้มว่า “จะไปแล้วนะ” แต่ในตอนนั้นป้าส้มไม่ได้สนใจคำพูดของดาหลา จนวันรุ่งขึ้นดาหลาไม่ได้มาซ้อมรำเหมือนทุก ๆ วัน ซึ่งมันผิดปกติมาก เพราะดาหลาเป็นคนที่ไม่เคยขาดซ้อมเลยแม้แต่วันเดียว เพราะรักในการร่ายรำเป็นอย่างมาก จนมาถึงทุกวันนี้ตัวป้าส้มเองก็ยังไม่รู้ดาหลาหายตัวไปไหน ในตอนแรกป้าส้มก็คิดว่าดาหลาคงจะเสียใจเลยหนีไปพักใจอยู่ต่างจังหวัด แต่ดาหลาก็ไม่กลับมาเสียที ป้าส้มเลยไปถามหากับพ่อแม่ของดาหลา ก็พบว่าดาหลายังไม่เคยกลับมาที่บ้านแล้วแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่วันที่ไม่ได้มาซ้อมรำ เล่ามาถึงตรงนี้ป้าส้มขอบตาเริ่มแดง น้ำตาคลอเบ้า อันดาขยับตัวเข้าไปใกล้ป้าส้มพร้อมกับกุมมือของป้าส้มเอาไว้
“ไม่เป็นไรนะคะป้า พวกหนูจะช่วยตามหาพี่ดาหลาให้เองนะคะ ป้าพักผ่อนเถอะค่ะ พวกหนูขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่เล่าให้ฟังด้วยนะคะ” ป้าส้มยิ้มให้อันดา ก่อนจะเดินนำไปส่งอันและน้ำเหนือที่หน้าประตู
เมื่อออกมาจากบ้านของป้าส้มแล้ว อันดาได้ยืนรอให้ป้าส้มกลับเข้าบ้านไปเสียก่อน จึงค่อยเดินกลับบ้าน ไม่นานก็เดินมาถึงบ้าน เนื่องจากว่าบ้านป้าส้มและบ้านลุงสมคิดกับป้าสายใจอยู่ไม่ห่างกันมากนัก จึงเดินไม่กี่นาทีก็ถึงกันแล้ว แต่เพื่อนคนอื่น ๆ ยังไม่ได้กลับมา ทั้งสองคนเลยมานั่งคุยเล่นกับลุงสมคิดและป้าสายใจที่สวนหลังบ้านรอคนอื่น ๆ กลับมา