ความปรารถนาของเขาที่อยากให้อีกฝ่ายมีความสุข ไม่ใช่เพียงแค่เห็นรอยยิ้มสดใสก็เพียงพอ แต่เขาต้องการให้ตัวเองเป็นที่มาของความสุขนั้นต่างหาก

ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง - ตอนที่ 1 ดวงชะตาอาภัพ โดย ONLY FIREDAY @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ไทย,รัก,พารานอมอล,ฟีลกู๊ด,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ไทย,รัก,พารานอมอล

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ฟีลกู๊ด,#BL

รายละเอียด

ความปรารถนาของเขาที่อยากให้อีกฝ่ายมีความสุข ไม่ใช่เพียงแค่เห็นรอยยิ้มสดใสก็เพียงพอ แต่เขาต้องการให้ตัวเองเป็นที่มาของความสุขนั้นต่างหาก

ผู้แต่ง

ONLY FIREDAY

เรื่องย่อ

นิยายเรื่องนี้เล่าจากมุมมอง 'พระเอก' นะคะ ☺️


เหตุการณ์ ตัวละคร และสถานที่ที่บางแห่งเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาทั้งสิ้น โปรดใช้วิจารณาญานในการอ่าน

ปล. เรื่องเดียวที่จริงคือกฎความสมดุลค่ะ (อ้างอิงตามศาสตร์ปาจื่อ)


ตลอดชีวิตที่ผ่านมา 'ฮุ่น' ไม่เคยอธิษฐานขอพรอะไรเป็นพิเศษ เขาไม่เคยปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั่งวันนี้ แม้จะเป็นอีกวันที่ไม่สดใส แม้ว่าฟ้าจะประเคนปัญหามาให้เขาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในชีวิตก็คือเขาค้นพบแล้วว่าบนโลกนี้ยังมีบางสิ่งที่ควรค่าให้ตั้งใจใช้ชีวิต และควรค่าให้ทุ่มเทด้วยชีวิตเพื่อปกป้องไว้ให้คงอยู่ตลอดกาล

สารบัญ

ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง-บทนำ บทนำ,ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง-ตอนที่ 1 ดวงชะตาอาภัพ,ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง-ตอนที่ 2 ดวงชะตามีเกณฑ์สับสน (1/2)

เนื้อหา

ตอนที่ 1 ดวงชะตาอาภัพ

“... อยู่ดี ๆ ก็โดนลูกค้ายกเลิกโปรเจคไปเกือบหมด จนไม่มีเงินจะกินแล้ว ยังจะมาถูกทิ้งอีก คนที่นึกว่าจะได้ลงหลักปักฐานก็มาทิ้งกันแล้วไปควงเมียใหม่ที่คบซ้อนมาเป็นปีหน้าตาเฉย!!! ผมอุตส่าห์ประคับประคองความสัมพันธ์มาอย่างดีแล้วแท้ ๆ ... ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากผมได้ไอ้ยันต์เนี่ย! ถ้าไม่ใช่เพราะมัน จะเป็นเพราะอะไรได้ล่ะ! คุณตอบผมได้ไหมล่ะ!!?”


“เอ่อ... คือ...”


“ผมน่ะ... ผมพยายามแทบตาย... ผมทำทุกอย่างเพื่อเขา แต่เขาไม่สนใจเลย!! ทำไมผมทำอะไรก็ไม่ได้ดีเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง ทำไม!?”


คุณลูกค้าไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรทั้งสิ้น ยังคงโวยวายอย่างต่อเนื่อง ฮุ่นทำได้เพียงอ้าปากค้างและกะพริบตาปริบ ๆ


นับตั้งแต่ลืมตาดูโลก เขาก็มีส่วนร่วมกับภารกิจการค้าขายเครื่องรางของขลังของที่บ้านมาตลอด จนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเป็นปีที่ยี่สิบแปดแล้ว ยังไม่เคยเจอใครนำเครื่องรางกลับมาเคลมที่ร้านด้วยเหตุผลแบบนี้มาก่อน


ผลจากเครื่องรางมันไม่ใช่สิ่งที่จะเคลมกันได้เหมือนอุปกรณ์ทั่วไปหรือพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะมันเป็นเรื่องของนามธรรม ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนล้วน ๆ


ถ้าเป็นความผิดพลาดในการจัดส่งหรือเป็นเรื่องสภาพสินค้าที่ไม่สมบูรณ์ เขาจะไม่รู้สึกสับสนเท่าในตอนนี้ เพราะปัญหาที่ว่ามานั้นมันสามารถประมาณการเป็นเงินได้


มาแบบนี้ก็ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน


‘จะชดใช้ให้ยังไงได้ล่ะเนี่ย...’


เขาไม่ถือสาที่ถูกตะคอกใส่ กลับกันเขารู้สึกเป็นห่วงเสียมากกว่า


ทั้งที่ในตอนนี้หยดน้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นไม่หยุดแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง


อันที่จริงเขาอยากจะบอกอีกฝ่ายใจจะขาดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะดวงของเจ้าตัวเองนั่นแหละ


ยันต์ที่มาจากร้านเขา ไม่ว่าจะเป็นยันต์แบบใด ไม่มีทางสร้างปัญหาให้ใครได้อย่างแน่นอน ยกเว้นสิ่งนั้นจะไม่ใช่มนุษย์ เสียหายมากสุดก็เพียงแค่อาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ลูกค้าคาดหวังไว้ก็เท่านั้น


สำหรับเคสนี้เขากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกค้าท่านนี้ เป็นปัจจัยอื่นที่อยู่นอกเหนือการควบคุม


เป็นเรื่องของดวงส่วนตัวล้วน ๆ จากที่ฟังดูแล้วได้ยันต์กันผีไปก็คู่ควรดีอยู่หรอก แต่ขืนพูดไปก็มีแต่ทำให้อีกฝ่ายโมโหยิ่งขึ้นไปอีก สู้ปล่อยให้พูดจนกว่าจะพอใจไปเลยจะดีกว่า


‘หรือเปล่านะ...’


ฮุ่นเพิ่งสังเกตเห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายบอบช้ำบ่งชัดว่าน่าจะเพิ่งผ่านศึกนองน้ำตามาหลายครั้งภายในเวลาอันสั้น จนแอบกลัวอยู่ลึก ๆ ว่าถ้าคนคนนี้ยังร้องไห้ต่อไปอีก ลูกตากลมโตคู่นั้นอาจจะละลายออกมาก็เป็นได้


ยิ่งมองยิ่งรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก


ในหัวตะโกนบอกให้เขาทำอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ที่เป็นการปลอบใจคน


แต่อย่างเขาจะไปทำอะไรได้


อย่าว่าแต่เรื่องรับมือกับคนที่ตกอยู่ในภาวะจิตใจที่แตกสลายแบบนี้ เอาแค่ว่าคนร้องไห้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดมาอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่เคยได้ปลอบมาก่อน


ครอบครัวเขาประกอบกิจการอยู่ในแวดวงดวงชะตาคนก็จริง แต่ฮุ่นไม่เคยมีประสบพบเจอคนที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจนชีวิตติดลบแบบที่ฟังเฉย ๆ โดยไม่ต้องดูดวงหรือเปิดกราฟชีวิตดูก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เส้นกราฟน่าจะดิ่งลงจนจมหายไปใต้แกนจนหาจุดงัดไม่ขึ้นแบบนี้มาก่อน


เขาไม่มีประสบการณ์แนะนำดวงชะตาใครและตอนนี้ผู้ใหญ่ในบ้านที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ได้ก็ติดธุระการงานอยู่กันคนละทิศคนละทาง ไม่มีใครที่สามารถให้คำตอบได้ในทันที ดังนั้น เมื่อครู่เขาจึงเลือกที่จะใช้มุกคลาสสิคของทางบ้านไปก่อน ถึงจะไม่รู้ว่าจะชดใช้อย่างไรดี เข้าใจว่ายอมโดนด่าแล้วค่อยตะล่อมขอแปะโป้งไว้ก่อนจากนั้นค่อยให้ใครสักคนตามไปจัดการแทน


แต่แผนการพังทลายสิ้นแล้ว


เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ปัญหาที่แท้จริงเพียงลำพัง


ฮุ่นยืนงงอยู่ครึ่งนาทีก่อนจะตัดสินใจหยิบยื่นกล่องทิชชูให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นการบอกกล่าวทางอ้อมว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น


“คือออ... คุณลูกค้าครับ เอางี้ เรามาพักยกกันก่อนดีกว่าครับ ส่วนเรื่องให้ชดใช้อะไรยังไงเดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะครับ ตอนนี้นั่งพักก่อนดีกว่านะครับ”


กว่าคำพูดแต่ละคำจะหลุดออกมาจากปากได้นั้นช่างยากลำบาก ทำให้มันฟังดูตะกุกตะกักขัดหูดูไม่ใช่การปลอบใจคนที่ดีเลยสักนิด แต่ทำยังไงได้ เขามักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ประหม่าหรือกังวล ยังดีที่ครั้งนี้ไม่ถึงกับพูดติดอ่างต่อหน้าลูกค้า


“ผมไม่...”


อีกฝ่ายตั้งท่าจะเถียงแต่ก็ชะงักไปเมื่อเห็นกล่องทิชชูในมือเขา นิ่งงันไปเหมือนตระหนักรู้อะไรขึ้นมาได้ จากนั้นมือเรียวบางก็ค่อย ๆ ยกขึ้นเช็ดน้ำตาด้วยสีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าตกใจกับสภาพตัวเองเหมือนกัน


“อีกแล้วเหรอ...” ชายหนุ่มพึมพำออกมากับตัวเองก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดหน้า แล้วก็ทรุดลงนั่งยอง ๆ ไปทั้งอย่างนั้น “ผมขอเวลาเดี๋ยว...”


‘ยินดีอย่างยิ่งครับ’


ฮุ่นตอบในใจพลางใช้จังหวะนั้นสไลด์ตัวไปหาป้าสุณีย์ที่ยืนแอบฟังอยู่ที่ด้านหลังประตูกั้นห้องมานานแล้ว


“ป้า ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับเนี่ย!? ก่อนผมลงมาเขาพูดอะไรมั่ง ขออีกที”


“คือเขาบอกว่าเขาสั่งยันต์ผูกรักแต่ที่เขาได้ไปเป็นยันต์กันผีค่ะคุณฮุ่น”


ถึงจะไม่ใช่คำตอบของคำถามที่ต้องการโดยตรงแต่ก็ทำให้เขาได้สติขึ้นมาและระลึกขึ้นมาได้ว่าควรทำอะไรต่อไป


ฮุ่นเดินตรงไปหาน้องชายร่วมสายเลือดที่มีอายุน้อยกว่าเขาสองปี ซึ่งกำลังนั่งแพ็คสินค้าอยู่ในมุมมืดของร้านเงียบ ๆ


“ไอ้ฮั้ว” เมื่อไปถึงตัว ฮุ่นก็เรียกชื่ออีกฝ่ายพลางใช้ปลายเท้าเขี่ยด้วยความรัก


อันที่จริงน้องชายที่รักของเขานั่งอยู่ตรงนั้นมาแต่แรกแล้ว นับแต่ลูกค้าก้าวเข้ามาในร้าน เอ่ยปากด่าประโยคแรกยันสุดท้าย จนถึงสถานการณ์งุนงงในตอนนี้ ก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมแต่เหมือนไม่อยู่


การทำตัวเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งของหรือสภาพแวดล้อมอย่างแนบเนียนเป็นความสามารถพิเศษของเจ้าน้องชายคนนี้ กระทั่งพี่ชายอย่างเขายังลืมไปว่าที่ตรงนั้นยังมีคนอีกคนหายใจร่วมอยู่ด้วย


แม้ว่าฮั้วกับเขาจะมีหน้าตาคล้ายกันมากจนเหมือนแฝด แต่นอกจากใบหน้าแล้วก็ไม่มีอะไรที่คล้ายกันให้คนอื่นต้องสับสนเลย ไม่ว่าจะเป็นนิสัย บุคลิก และโครงสร้างร่างกาย แถมตอนนี้ฮั้วก็ไปย้อมผมเทามาอีก


เรื่องแรกสุดที่แตกต่างกันสุดขั้วเลยก็คงจะเป็นความละเอียดรอบคอบ


หลายครั้งที่ระหว่างที่นับสต๊อก ฮุ่นพบความไม่สอดคล้องกันระหว่างยอดสั่งซื้อกับจำนวนสินค้าในสต๊อก และพอค้นหาคำตอบทีไรก็มักจะเป็นช่วงเวลาที่น้องชายคนนี้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลร้านอยู่เสมอ ทำให้การนับสต๊อกในแต่ละทีสร้างความหัวจะปวดให้กับเขาเป็นอย่างมากจนคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) เต็มขั้นไปแล้ว


“ออเดอร์เขาอยู่ในรอบตอนที่เป็นเวรมึง เฮียมั่นใจ”


“อืม คิดว่าใช่ มีคนเดียวที่สั่งยันต์ผูกรักเดือนก่อน”


น้องชายตัวดีเงยหน้าขึ้นมาสบตาแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย


“แค่ออเดอร์เดียวมึงก็ยังจะส่งผิดอะนะ มึงไปตัดแว่นดีไหมฮั้ว เฮียจะได้เลิกเป็น OCD สักที”


ถึงแม้ว่ายันต์ผูกรักกับยันต์กันผีมีลักษณะการเขียนกรอบที่คล้ายกัน หากมองผ่าน ๆ โดยไม่อ่านข้อความก็จะสับสนได้ แต่แหม เป็นถึงหลานซินแสที่เขียนยันต์เองกับมือ และไม่ใช่เขาไม่สอนวิธีแยกแยะ แบบนี้มันควรผิดไหมล่ะ


“เฮียไม่คิดเหรอว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว”


และอีกเรื่องที่ทำให้สองพี่น้องแตกต่างกันก็น่าจะเป็นความกวนประสาทแบบนิ่ง ๆ คูล ๆ


บางทีฮุ่นก็คิดว่าการคุยกับน้องชายให้ความรู้สึกเหมือนคุยกับหมาดื้อตัวหนึ่งที่รู้ว่าต่อให้มันไม่เชื่อฟังเจ้าของก็ไม่มีวันทำอะไรมันไปมากกว่าการดุด่า แต่เพราะฮั้วเองก็มีใบหน้านิ่งเฉยไม่ต่างอะไรกับเขา ทำให้บางทีเขาก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวคิดแบบนั้นจริงหรือตั้งใจจะกวนกันแน่


แต่ที่เขาสงสัยคือเจ้านี่มันดำรงอาชีพหมอดูได้ยังไงมาตั้งหลายปี


“ใครกำหนด มึงเรอะ?”


“เนี่ย ถ้ารอบนี้ฮั้วไม่ส่งยันต์ผิดไปลูกค้าไม่รอดแล้วนะเฮีย เข้มข้นขนาดนั้น อย่าว่าแต่เดินเลย นั่งเฉย ๆ ก็อาจจะวูบนอนโรงพยาบาลได้แล้วมั้ง แต่ฮั้วว่านะ ตอนนี้อย่าเพิ่งมาตีกันเลยน่า เฮียไปโฟกัสปัญหาตรงหน้าก่อนมะ?”


แถมยังเปลี่ยนประเด็นเก่งอีกด้วย


“เฮียก็โฟกัสอยู่นี่ไง”


ฮุ่นจ้องมอง ‘ปัญหา’ ที่กำลังพูดเป็นตุเป็นตะกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง


น้องรักของเขากลอกตามองบน คงรู้ตัวว่าพลาดที่พูดประโยคเมื่อกี้ออกไป แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกผิดอะไรเท่าไหร่นัก เพราะเห็นอยู่ว่าผลลัพธ์มันไม่มีอะไรเสียหาย


ตรรกะความคิดบนพื้นฐานของความใจเย็นแปลก ๆ แบบไม่ดูสถานการณ์อะไรทั้งสิ้นนี่ก็นับเป็นอีกหนึ่งความสามารถพิเศษของฮั้วเช่นกัน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียดี


“ฮั้วหมายถึงลูกค้าดิ ฟังเรื่องเขาแล้วเฮียคิดว่าไงล่ะ”


“ก็ไม่ว่าไง”


ฮุ่นเห็นด้วยกับน้องก็จริงแต่เขาไม่อยากจะตอบรับให้เด็กมันได้ใจ


“แต่เรื่องส่งผิดก็คือผิดนะ เฮียจะฟ้องกู๋ให้หักเงินมึง” เขากล่าวทิ้งท้ายกับน้องชายก่อนกลับไปหาปัญหาที่แท้จริงซึ่งกำลังนั่งขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่กลางร้าน


มองจากตรงนี้ คนตรงหน้าดูตัวเล็กนิดเดียวเท่านั้น


ราวกับเห็นภาพเจ้าม้ง แมวขาวมณีขี้ตื่นของอาม่าที่ชอบขึ้นไปติดบนต้นไม้สูงแถวบ้านที่ต่างจังหวัดซ้อนทับอยู่ลาง ๆ


ทุกครั้งที่มันหาทางลงไม่ได้ก็มักจะเป็นหน้าที่เขาในฐานคนที่สูงที่สุดในบ้านในการปีนขึ้นไปอุ้มมันลงมาและเป็นต้องได้แผลเป็นของแถมมาด้วยสองสามแผล


พอคิดแบบนั้น ฮุ่นก็รู้สึกเบาใจทันทีเมื่อคิดจะวิธีการรับมือกับแมวขี้ตื่นมาปรับใช้


“ลูกค้าครับ...” เริ่มจากการเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกับที่ใช้เรียกเจ้าม้งแล้วทำให้มันสงบลงพร้อมกับนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ ลูกค้า


“ผมเสียใจด้วยกับเรื่องที่คุณเจอมา ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ก็บอกมาได้เลยนะครับ”


อีกฝ่ายนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาด้วยดวงตาแดงก่ำที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตา


“คุณเอาชีวิตที่ผ่านมาของผมคืนมาได้ไหมล่ะ?”


เสียงแหบแห้งตอบกลับมา ไม่ได้มีอารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนก่อนหน้าแล้ว เป็นคำถามที่มาจากความสิ้นหวังโดยแท้


ฮุ่นนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นตรงนั้นเพราะคิดว่าเรื่องนี้คงต้องคุยกันยาว


เขาลืมไปเสียสนิทว่าสิ่งที่เขาทำได้นั้นมีมากกว่าการชดใช้เป็นตัวเงิน


ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เขาเคยคิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมประจำตัวแล้ว


“เรื่องนั้นผมคงทำไม่ได้ ผมชดใช้สิ่งที่เสียไปให้คุณไม่ได้ แต่ถ้าชีวิตของคุณต่อจากนี้ ผมก็พอช่วยได้อยู่”


“โกหก...”


“ผมไม่ขอให้คุณเชื่อแต่อยากให้คุณลองดูก่อนครับ”


“คุณจะทำอะไร?”


“ดูลายมือครับ”


คนฟังขมวดคิ้วจนหน้ายุ่ง สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ไว้ใจและไม่เชื่อใจสุด ๆ ฮุ่นชินแล้วกับปฏิกิริยาตอบสนองแบบนั้น แต่เขาไม่สนใจ หากเขามีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จแล้ว ไม่ว่าอุปสรรคจะเป็นอะไร เขาจะไม่สนใจมันทั้งสิ้น


และตอนนี้เป้าหมายคือการ ‘ตรวจสอบ’ คนตรงหน้า


มีบางอย่างที่เขาต้องการจะยืนยันความคิดตัวเอง


การตรวจสอบนั้นมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวก็คือเขาต้องสัมผัสตัวคนตรงหน้าให้ได้เสียก่อน และที่สำคัญต้องเป็นการสัมผัส ‘ร่างกาย’ ของอีกฝ่ายโดยตรง


ในฐานะคนไม่รู้จักกัน แถมยังความสัมพันธ์ติดลบตั้งแต่แรกเจอแบบนี้ ถ้าอยู่ดี ๆ โพล่งออกไปว่า ‘ขอแตะตัวหน่อยได้ไหมครับ’ คงจะดูเป็นคนโรคจิตไปในทันที หรือจะอยู่ดี ๆ ไปจับตัวเขา ก็คงจะโดนเกลียดหนักกว่าเดิมแน่นอน และอีกอย่างมันจะทำให้สิ่งที่เขาต้องการตรวจสอบก็จะไม่ได้สะท้อนความจริงออกมา ดังนั้น เขาจึงต้องทำมันโดยผ่านความยินยอมของอีกฝ่าย


ความจริงแล้ว ถ้าเป็นตอนที่สติของเขามั่นคงไม่ตื่นตระหนก ทักษะการปั้นน้ำเป็นตัวของเขาก็อยู่ในระดับดีไม่ห่างจากน้องชายมากนัก และตอนนี้เขาก็ได้แทนค่าคนตรงหน้าเป็นแมวขี้ตื่นของอาม่าไปเรียบร้อย ดังนั้นไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีก


“เส้นลายมือบ่งบอกถึงดวงชะตาได้ครับ บางเส้นเปลี่ยนแปลงได้ นั่นหมายความว่าดวงชะตาของคนเราที่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เช่นกัน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตามการกระทำของเจ้าชะตาครับ”


หลังจากอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนฟังรื่นหู ฮุ่นก็ยกยิ้มเล็กน้อย องศามุมปากทำมุมพอประมาณให้ดูเป็นมิตรตามที่ฝึกฝนมา


เขาเรียกมันว่ารอยยิ้มธุรกิจ และมักใช้มันเป็นไม้ตายในการล่อลวงลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการซินแสเพื่อให้เสียทรัพย์เพิ่มเติมและส่วนมากลูกค้ามักจะติดกับดักนี้


“เปลี่ยนได้จริงเหรอ?”


“อย่างที่บอกไป เปลี่ยนได้หรือไม่อยู่ที่ตัวคุณครับ” ฮุ่นตอบตามจริง “ถ้ารอบข้างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ควรจะเริ่มเปลี่ยนที่ตัวคุณเป็นอันดับแรกครับ แต่ก่อนที่จะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าให้เสียเวลา สู้มีคนบอกปัญหาให้แก้ไขตรงจุดเลยไม่ดีกว่าเหรอครับ?”


ท่าทางคนฟังดูค่อนไปในทางว่ากำลังคล้อยตาม

คำบอก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองสองมือบอบบางของตนด้วยสีหน้าบ่งบอกว่ามีความสงสัยมากมายในใจ แต่ท้ายที่สุดก็เงยหน้าสบตากับฮุ่น


“ผมต้องทำไง?”


ฮุ่นแบมือทั้งสองไปตรงหน้า


“ขอมือหน่อยครับ สองข้างเลย”


เมื่ออีกฝ่ายยื่นมือออกมาให้ตามคำบอก ฮุ่นก็จดบันทึกสถิติความสำเร็จของรอยยิ้มธุรกิจลงในใจเงียบ ๆ


ชั่วพริบตาหลังจากปลายนิ้วของพวกเขาสัมผัสกัน กลุ่มควันสีดำมากมายก็ปรากฏขึ้นมา


กลุ่มควันเหล่านั้นไม่เพียงแค่ห้อมล้อมพัวพันอยู่รอบตัวคนตรงหน้าไว้อย่างหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็น

ตัวคนแต่ยังทำให้อากาศรอบตัวก็หนักอึ้งจนหายใจลำบากราวกับถูกใครบางคนนั่งทับอยู่บนหน้าอก


และนี่คือความสามารถพิเศษโดยกำเนิดของฮุ่น


ลูกหลานตระกูลซินแสผู้ก่อตั้งร้าน ‘เจี๊ยะปาบ่อสื่อ’ แห่งนี้ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถเหนือธรรมชาติเล็ก ๆ น้อย ๆ แตกต่างกันไปในแต่ละคน แม้จะเป็นไม่ได้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่จนเข้าข่ายนิยามของคำว่าเวทมนตร์แต่เป็นพลังที่ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้


สองพี่น้องตัว ฮ. ก็เช่นเดียวกัน


สำหรับฮุ่นก็คือความสามารถในรับรู้ถึงพลังงานลบที่อยู่ภายในจิตใจของคนที่เขาสัมผัสในรูปแบบของควันดำ ยิ่งกลุ่มควันหนาแน่นมากก็ยิ่งหมายความว่าภายในใจของคน ๆ นั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถชำระล้างพลังงานลบของคนอื่นได้ด้วย


แต่ความสามารถพิเศษนี้ไม่ใช่ว่าจะใช้พร่ำเพรื่อเมื่อไหร่ก็ได้


การชำระล้างที่ว่าคือการดูดซับเอาพลังงานลบออกจากคนอื่นเข้าสู่ตัวเอง สิ่งที่ต้องแลกก็คือพลังงานในตัวเขา ยิ่งดูดซับมากเท่าไหร่ ร่างกายของเขาก็จะยิ่งทำงานหนักมากเท่านั้นเพื่อสลายมันออกจากร่างกาย


ที่น่าเศร้าก็คือความสามารถพิเศษที่ไม่พิเศษนี้ไม่สามารถเปิดปิดการใช้งานความสามารถนี้ได้ และไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ฮุ่นต้องพยายามสุดความสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสัมผัสกับใคร


ร้ายแรงที่สุดที่เคยเจอก็คือเขาต้องเป็นไข้นอนซมอยู่บนเตียงไปทั้งอาทิตย์หลังจากไปดูคอนเสิร์ตบนภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งต้องเบียดเสียดกับคนจำนวนมาก หลังจากนั้น เขาก็ตั้งปณิธานไว้เลยว่าจะไปที่ชุมชนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นเจ้าที่ในร่างมนุษย์ที่รักในการเฝ้าบ้านเป็นที่สุด


เดิมทีฮุ่นไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าใช้พลังเป็นเครื่องมือทำมาหากินเหมือนคนอื่นในครอบครัวเพราะเขาเกลียดมัน แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจคุณค่าของมันแล้ว


เป็นครั้งแรกที่ความผิดพลาดของฮั้วกลับกลายเป็นช่วยชีวิตคนเอาไว้ และก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ดวงอาภัพ’ ที่แท้จริง ยังดีที่ยังไม่ถึงขั้นชะตาขาด ไม่งั้นเขาคงจนปัญญา


มันไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับพลังงานลบที่พุ่งเข้ามาพร้อมกันในปริมาณมหาศาลแบบนี้ แต่ฮุ่นยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้อย่างไร้ที่ติขณะที่แสร้งทำเป็นดูเส้นลายมือบนฝ่ามือนุ่มนิ่มแต่เย็นชื้นคู่นั้น แต่แสดงละครได้ไม่นานเขาก็เหนื่อยล้าจนต้องปล่อยมือ


“คุณลูกค้าครับ วันนี้คุณมีธุระสำคัญอะไรต้องไปทำต่อหรือเปล่าครับ?”


“เอ่อ... ไม่ครับ” อีกฝ่ายตอบทั้งที่สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าในใจยังคงมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม


“ทำไมครับ?”


“ถ้างั้นผมขออนุญาตคุณพาไปที่ที่หนึ่งนะครับ”


“ไปไหนครับ?”


“วัดครับ”