ความปรารถนาของเขาที่อยากให้อีกฝ่ายมีความสุข ไม่ใช่เพียงแค่เห็นรอยยิ้มสดใสก็เพียงพอ แต่เขาต้องการให้ตัวเองเป็นที่มาของความสุขนั้นต่างหาก
ชาย-ชาย,ไทย,รัก,พารานอมอล,ฟีลกู๊ด,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริงความปรารถนาของเขาที่อยากให้อีกฝ่ายมีความสุข ไม่ใช่เพียงแค่เห็นรอยยิ้มสดใสก็เพียงพอ แต่เขาต้องการให้ตัวเองเป็นที่มาของความสุขนั้นต่างหาก
นิยายเรื่องนี้เล่าจากมุมมอง 'พระเอก' นะคะ ☺️
เหตุการณ์ ตัวละคร และสถานที่ที่บางแห่งเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาทั้งสิ้น โปรดใช้วิจารณาญานในการอ่าน
ปล. เรื่องเดียวที่จริงคือกฎความสมดุลค่ะ (อ้างอิงตามศาสตร์ปาจื่อ)
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา 'ฮุ่น' ไม่เคยอธิษฐานขอพรอะไรเป็นพิเศษ เขาไม่เคยปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั่งวันนี้ แม้จะเป็นอีกวันที่ไม่สดใส แม้ว่าฟ้าจะประเคนปัญหามาให้เขาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในชีวิตก็คือเขาค้นพบแล้วว่าบนโลกนี้ยังมีบางสิ่งที่ควรค่าให้ตั้งใจใช้ชีวิต และควรค่าให้ทุ่มเทด้วยชีวิตเพื่อปกป้องไว้ให้คงอยู่ตลอดกาล
“เอ่อ... เราไม่ได้จะไปวัดกันเหรอครับ?”
หลังจากที่เงียบมาตลอดทาง ในที่สุดคุณลูกค้าเจ้าปัญหาก็ยื่นหน้ามาถามเมื่อฮุ่นเลี้ยวเข้าลานจอดรถ
ด้วยความใกล้ชิดระยะนี้ทำให้ฮุ่นได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาแตะจมูก ชื่นชมความหอมได้เพียงเสี้ยววินาทีกลิ่นหอมนั้นก็ถูกกลิ่นควันธูปโชยมากลบจนหมดสิ้น
“ไหน ๆ ก็มาแล้วเลยจะพาแวะไหว้ที่นี่ก่อนน่ะครับ”
ฮุ่นก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ทรงคลาสสิค รีบหันมาเตรียมตัวให้ความช่วยเหลือเผื่อว่าคนซ้อนที่มีส่วนสูงไม่สมดุลกับความสูงของช่วงท้ายมอเตอร์ไซค์เท่าไหร่นักจะประสบปัญหาในการลงจากเบาะท้าย แต่พอเห็นอีกฝ่ายกระโดดลงพื้นได้โดยปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินนำไปที่จุดหมายปลายทาง
“ที่นี่คือศาลเจ้าอะไรเหรอครับ?”
คนตัวเล็กเอ่ยถามพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ
พอเห็นท่าทีเช่นนั้นของอีกฝ่าย ฮุ่นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาแอบเป็นกังวลเล็ก ๆ ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย
“ศาลเจ้าแม่กวนอิมครับ ที่บ้านผมเป็นผู้ดูแลที่นี่อยู่ เตี่ยมีความรู้เรื่องแก้ดวงอยู่บ้างก็เลยอยากให้คุณข้าวลองคุยกับเตี่ยดูก่อนน่ะครับ”
“ผมอาการหนักสินะครับ” ว่าแล้วก็หัวเราะแห้งออกมา “หรือว่าผมโดนของหรือเปล่า แบบในเรื่องผีที่เขาเล่า ๆ กัน ช่วงนี้ออกกองต่างจังหวัดบ่อยซะด้วย”
ฮุ่นเกือบหลุดขำกับความช่างจินตนาการนั้นแต่ยังระงับไว้ได้ทัน
“คุณข้าวเชื่อเรื่องพวกนี้เหรอครับ?”
“ก็ต้องเชื่อสิครับ! ถึงผมจะไม่ใช่สายมู แต่ผมกลัวผีมากนะบอกเลย”
“คุณข้าวไม่ได้โดนของหรอกครับ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณดวงตก เจอพลังงานไม่ดีนิดหน่อยก็รับมาหมด เยอะ ๆ เข้าก็จะออกอาการประมาณนี้แหละครับ”
‘ความจริงก็ไม่หน่อยเท่าไหร่’
ภาพควันดำลอยฟุ้งกับความรู้สึกกระอักกระอ่วนเมื่อตอนนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในหัว
คนฟังนิ่วหน้าด้วยความวิตกกังวลทันที
“แล้วผมต้องทำยังไงล่ะเนี่ย…”
ก่อนที่ฮุ่นจะได้ตอบอะไรก็มีเสียงชายสูงวัยขัดขึ้นเสียก่อน
“อาฮุ่น มาทำอะไรแต่เช้า”
พอหันไปก็พบชายอาวุโสที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับฮุ่นประมาณเก้าในสิบส่วนกำลังเดินมาจากแผงขายวัตถุบูชา
“พาลูกค้าร้านมาให้เตี่ยช่วยดูให้หน่อย ตอนนี้เขาเดือดร้อนอยู่” ฮุ่นตอบชายสูงวัยแบบรวบรัดก่อนจะหันมาบอกคนที่ยืนตาแป๋วอยู่ข้าง ๆ
“นี่เตี่ยผมเองครับคุณข้าว”
ข้าวรีบหันไปยกมือขึ้นสวัสดีทันที
ผู้เป็นพ่อเหลือบมองมาที่ลูกชายสลับกับลูกค้า จากนั้นก็พยักหน้าทำเสียงอืมอืมในลำคอ สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ให้ความรู้สึกเพียงว่ากำลังถูกพิจารณา
ในฐานะลูกชาย ฮุ่นรู้ว่าผู้เป็นพ่อกำลังคันปากอยากแซวอะไรบางอย่างและพยายามเก็บเงียบไว้ แต่สำหรับคนอื่น ท่าทางแบบนั้นน่าจะสร้างความกังวลให้ไม่มากก็น้อย
ฮุ่นเห็นมือเรียวบางทั้งสองเริ่มบีบข้อนิ้วของตัวเองเล่นระหว่างรอฟังคำตอบด้วยความเป็นกังวล เขาพยายามส่งสายตาให้ผู้เป็นพ่อหยุดทำให้ลูกค้ากลัว แต่อีกฝ่ายมัวแต่สนใจคนตรงหน้าจนไม่มองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย
“หนักอยู่นะ ไปทำอะไรมาล่ะเนี่ย เตี่ยว่าให้กู๋เกี้ยช่วยจะดีกว่า กู๋จะกลับวันไหนนะ”
คำตอบนั้นทำให้ฮุ่นรู้สึกไม่สบายใจจนท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย
“กู๋บอกถ้าไม่มีคิวแทรกอะไรก็อีกสองวันกลับ แต่ฮุ่นว่าจะไลน์ถามอีกที”
“อืม วันนี้ก็ทำเท่าที่ทำได้ก่อน แล้วระวังเผลอใช้พลังเยอะไปล่ะ”
ประโยคสุดท้ายผู้เป็นพ่อกระซิบเตือนเขาก่อนจะหันไปบอกกับลูกค้าที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นคนละคน
“ไอ้หนุ่ม ลื๊อไปเอาธูปข้างหน้านะ ใช้สิบห้าดอก ไหว้ตี้กงก่อนห้าดอก ไหว้อาม่าสามดอก ตอนไหว้ก็ไปเล่าปัญหาชีวิตลื๊อคร่าว ๆ เจออะไรมาก็เล่าไปให้หมดเลยนะ แล้วก็ขอให้อาม่าช่วยปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้พ้นไปจากตัวนะ ตั้งจิตนิ่ง ๆ ขอให้อาม่าช่วย ธูปที่เหลือไปไหว้แป๊ะกงกับม่า แล้วก็เทพไฉ่ซิงเอี๊ยตรงนั้นเลย”
ในฐานะผู้ดูแลศาลเจ้าผู้ชำนาญการจึงอธิบายรวดเดียวจบตามความเคยชิน แต่คนที่เพิ่งมาครั้งแรกย่อมไม่มีทางจำได้ทั้งหมด ดวงตากลมโตคู่นั้นจึงได้แต่มองตามท่าทางประกอบของผู้อาวุโสด้วยความสับสนงุนงง
ฮุ่นเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีจึงอาศัยจังหวะที่ผู้เป็นพ่อกำลังร่ายวิธีการไหว้ใส่ลูกค้าแบบไม่หายใจไปจัดการอุปกรณ์การไหว้ครบชุดมาส่งให้ถึงมือลูกค้า
“ข–ขอบคุณครับ”
คนตัวเล็กรับถาดไปโดยที่ใบหน้ายังคงบ่งบอกว่าในหัวยังประมวลผลลำดับขั้นตอนที่ได้รับมาเมื่อครู่ไม่เสร็จ
“เดี๋ยวเราไปไหว้พร้อมกันเลยก็ได้ครับ ผมนำเอง”
ฮุ่นชิงพูดออกไปก่อน เดาจากสีหน้าอีกฝ่ายแล้วคงกำลังหนักใจที่จะบอกว่า ‘ที่พ่อคุณพูดมาเมื่อกี้ ผมจำอะไรไม่ได้เลยอะ ทำไงดี?’ อยู่อย่างแน่นอน
พอได้ยินดังนั้นข้าวก็กล่าวขอบคุณอีกครั้งตบท้ายด้วยรอยยิ้ม สีหน้าท่าทางดูโล่งใจเป็นอย่างยิ่งที่มีคนนำทาง
หลังจากได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทาง ฮุ่นก็ชินกับการรับรองลูกค้าท่านนี้เรียบร้อยแล้ว
แท้จริงแล้วคนคนนี้เป็นคนอัธยาศัยน่ารักคนหนึ่ง แตกต่างจากความเข้าใจแรกที่เขาคิดไว้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นสายวีนขี้โมโหโดยสิ้นเชิง ที่แสดงท่าทีแบบนั้นออกมาในตอนแรกเป็นเพราะเจ้าตัวเจอแต่เรื่องร้าย ๆ ถาโถมจนเสียศูนย์ไปก็เท่านั้นเอง แถมยังเป็นคนที่แสดงออกทางความคิดผ่านสีหน้าและท่าทางได้ชัดเจน กระทั่งมองแววตาก็ยังสามารถบอกความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ จึงไม่ใช่คนที่รับมือยากอะไร
ยิ่งคุยด้วยยิ่งยิ่งอยากรู้จัก
อาจจะเป็นเพราะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตที่ดูสุกสกาวอยู่ตลอดเวลาแม้ในยามปกติ ทำให้เจ้าตัวมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด
“ผมควรขอพรยังไงดีนะ...”
ข้าวพึมพำขณะจ้องมองกระบอกเซียมซีสีแดงสดในมืออย่างเหม่อลอยราวกับพูดกับตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน
ก็อยากให้มีใครสักคนได้ยินเพื่อช่วยตอบคำถามนั้น
จะเป็นใครได้อีก นอกจากเขาคนนี้
“เรื่องไหนที่ทำให้คุณไม่สบายใจที่สุดก็ขอเรื่องนั้นแหละครับ ขอให้อาม่าช่วยแนะนำ หรือไม่ก็ถามว่าสิ่งที่คิดจะสำเร็จไหมอะไรประมาณนั้น เรื่องความรักก็ขอได้นะครับ”
ฮุ่นเพียงแค่เดาสิ่งที่อยู่ในใจอีกฝ่าย
ข้าวหันกลับมาส่งยิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นดูสิ้นหวังจนคนมองยังรู้สึกใจแห้งเหี่ยวตามไปด้วย
“จริง ๆ ไม่มีเรื่องไหนส่งผลต่อชีวิตผมมากเท่าการที่ผมถูกเขาทิ้งในเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตแล้วครับ ผมนึกว่างานไม่ดีก็ยังมีเขาคอยเป็นกำลังใจ แต่ที่ไหนได้…”
ข้าวหยุดพูดก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ถ้าผมขอให้เขากลับมาหา จะมากไปไหมนะ...”
ฮุ่นรับรู้ถึงความรักที่อีกฝ่ายมีให้กับใครคนนั้น
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเทใจให้ขนาดนั้น แต่เรื่องความรักไม่เข้าใครออกใคร แม้ภายในใจจะรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย แต่ฮุ่นก็พยายามที่จะไม่ตัดสินอะไรจากข้อมูลที่ได้รับรู้เพียงน้อยนิดนี้
“ถ้าเป็นผม ผมจะขอให้ได้พบกับความรักที่ดี ขอให้ได้พบเจอคนที่ดีและจริงใจกับเรา ซึ่งถ้าคนนั้นของคุณเป็นคนดีที่คู่ควรกับคุณ เขาก็จะกลับมาเอง แต่ถ้าไม่ใช่ ก็คิดซะว่าคุณได้รับการปกป้องเพื่อให้มีแต่สิ่งดี ๆ ในชีวิตครับ”
นั่นเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดเท่าที่เขาคิดได้ในตอนนี้และดูเหมือนจะถูกใจคนฟังอยู่ไม่น้อย
ความสดใสที่เริ่มปรากฏขึ้นให้เห็นผ่านแววตาทำให้ฮุ่นสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงกล่าวเสริมไปอีกว่า
“ผมได้ยินมาว่าถ้ามีบุคคลอ้างอิงด้วยจะดีมาก อาม่าจะได้จัดสรรมาให้ถูกสเปค”
“ไอเดียดีครับ ผมซื้อ!” ว่าแล้วก็ยิ้มกว้างส่งมาให้เขาก่อนจะหันไปตั้งใจอธิษฐาน
ฮุ่นมองกระบอกเซียมซีในมือตัวเองสักพักก่อนจะเงยขึ้นมองพระพักตร์ขององค์เจ้าแม่กวนอิมปางประทานพรที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า
ตระกูลของเขานับถือเจ้าแม่กวนอิมประหนึ่งญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ไม่ว่าครอบครัวของเขาจะดำเนินการอะไร เล็กหรือใหญ่ก็จะมาบอกกล่าวและขอพรให้ประสบความสำเร็จเสมอ
แต่สำหรับฮุ่น ชีวิตเขาไม่มีอะไรมากมายไปกว่าการตื่นนอนมานั่งเฝ้าร้าน ดูแลกิจการงานต่าง ๆ ของที่บ้าน เช็คสต๊อกสินค้า แล้วก็แพ็คของส่งของไปวัน ๆ เพราะยังไงเรื่องค้าขายให้ได้กำไรเป็นหน้าที่ของอากู๋ทั้งหลายอยู่แล้ว และเขาก็ไม่มีความสามารถที่มีประโยชน์พิเศษอะไรเหมือนคนอื่นเขาจึงใช้ชีวิตไปวัน ๆ แบบไร้เป้าหมาย
ดังนั้น เขาจึงไม่เคยขอพรอะไรแปลกใหม่ไปกว่าการขอให้ตัวเองและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงกับขอให้ค้าขายดีไม่มีปัญหารุงรัง
อันที่จริงแล้ว วันนี้ฮุ่นตั้งใจแค่จะไหว้เป็นเพื่อนลูกค้าให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่พอได้เห็นสีหน้าและแววตาที่วิงวอนขอความช่วยเหลืออย่างสุดใจของคนตัวเล็กข้าง ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากใช้แต้มบุญที่มีอยู่มาแลกกับพรสักข้อสองข้อเพื่อช่วยให้คนคนนี้พ้นจากอะไรก็ตามที่กัดกร่อนจิตใจอยู่
‘อะไรก็ได้ที่ทำให้รอยยิ้มสดใสคงอยู่บนใบหน้านั้นได้นานกว่านี้’
“คุณฮุ่นได้ใบที่ยี่สิบสองเหมือนผมเลย!”
คนข้าง ๆ เอ่ยด้วยความตื่นเต้นพร้อมยื่นไม้เซียมซีสีแดงที่หล่นจากกระบอกในมือเขามาคืนให้พร้อมรอยยิ้มสดใส
ฮุ่นรับไม้เซียมซีนั้นมาพร้อมกับอธิษฐานเพิ่มอีกข้อในใจ
‘ฝากช่วยดูแลความสุขของเขาด้วยนะครับอาม่า…’
“ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่…” ข้าวอ่านใบเซียมซีด้วยความตื่นเต้นดีใจก่อนจะหันมาบอกกับเขา “เจ้าแม่ต้องเอ็นดูพวกเราแน่ ๆ”
ฮุ่นยิ้มให้กับท่าทางลิงโลดของคนตรงหน้า อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าคนที่เอ็นดูอาจจะไม่ใช่เจ้าแม่กวนอิมแต่เป็นคนคนนี้ที่ยืนมองอยู่ตรงนี้ต่างหาก
“คุณข้าวเก็บใบเซียมซีเอาไว้เป็นเครื่องรางสิครับ แล้วถ้าเรื่องที่ขอสำเร็จแล้วอย่าลืมกลับมาไหว้บอกท่านด้วยนะครับ”
“ถ้ามันสำเร็จก็คงจะดีนะครับ”
ข้าวหลุบตามองลงพื้นทั้งที่ยังคงยิ้มค้างไว้อยู่
ฮุ่นไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ น้ำเสียงนั้นไม่ได้ฟังดูเศร้าและก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าสิ้นหวัง ราวกับไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเสียมากกว่า
เป็นความว่างเปล่าแบบเดียวกับที่ฮุ่นเคยผ่านมันมาก่อน
“มันอาจจะนานหน่อย แต่ผมอยากให้คุณเชื่อนะ”
ได้ยินดังนั้น ข้าวก็นิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะออกมา เปลี่ยนบรรยากาศมืดหม่นให้สดใสขึ้นทันตา
“คุณฮุ่นเป็นไลฟ์โค้ชได้เลยนะครับเนี่ย”
ฮุ่นยิ้มรับ “ก็ฟัง ๆ เขามาอีกทีแหละครับ”
เขาค่อนข้างแน่ใจว่าความรู้สึกฟูฟ่องในอกนี้ไม่ได้เป็นเพราะคำชมแต่เป็นเพราะพอเห็นรอยยิ้มนั้น
เห็นทีไรเป็นต้องเผลอยิ้มตามทุกที
จากนั้นพวกเขาก็เดินกลับมาที่รถมอเตอร์ไซค์เพื่อไปต่อยังจุดมุ่งหมายหลักของทัวร์มูเตลูในครั้งนี้ แต่ก่อนที่ฮุ่นจะก้าวขาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ก็มีเสียงหงอย ๆ เรียกเขาจากด้านหลังให้ต้องหยุดชะงัก
“คุณฮุ่น…”
พอหันไปก็เห็นคุณลูกค้าทำท่าคล้ายกำลังสำนึกผิดอะไรบางอย่าง มือเรียวบางหมุนหมวกกันน็อคสีดำที่ดูจะใหญ่เกินตัวไปหน่อยราวกับมันเป็นลูกบอลลูกหนึ่ง
“คือว่า... เรื่องเมื่อเช้า… ผมขอโทษด้วยนะครับ
ขอโทษจริง ๆ ครับ คือช่วงนี้ผมควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ผมทำตัวงี่เง่าไปขนาดนั้นแล้วคุณยังดีกับผมขนาดนี้ ผม… โคตรรู้สึกผิดเลย ขอโทษนะครับ”
“ผมไม่ถือหรอก ผมเข้าใจ”
ฮุ่นรีบพูดก่อนที่คำขอโทษจะออกมาอีกครั้ง
“มันเป็นเพราะตอนนี้คุณไม่เป็นตัวของตัวเองน่ะครับ”
“เป็นเพราะ…อะไรสักอย่างนั่นที่คุณฮุ่นบอกเหรอครับ?”
ฮุ่นพยักหน้า “เรื่องนั้นคงต้องอธิบายกันยาว ถ้าเอาคำตอบสั้น ๆ ตอนนี้ก็คือมีส่วนเกี่ยวข้องกันครับ”
คนฟังหน้าสลดลงไปทันที
“คุณข้าว ผมอยากให้คุณได้ลองคุยกับกู๋ของผมสักหน่อย กู๋เป็นซินแสแล้วก็เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ คงจะช่วยอะไรคุณได้มากกว่าผม เดี๋ยวผมจะบอกกู๋ว่าคุณเป็นเพื่อนผมเอง รับรองไม่เสียค่าใช้จ่ายแน่นอนครับ” ฮุ่นยิ้มให้หวังจะคลายความกังวลในใจอีกฝ่ายลงไปบ้าง
“ได้ครับ!” ข้าวตอบโดยไม่ลังเลจากนั้นก็ส่งยิ้มกว้างคืนมาให้ “ต่อให้เสียค่าใช้จ่ายก็ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค ผมเชื่อใจคุณฮุ่น”
ประโยคหลังทำให้หัวใจของฮุ่นเต้นผิดจังหวะทันที แต่โชคดีที่เขาเกิดมาหน้านิ่ง เรื่องเสียอาการจึงเกิดขึ้นได้ยากสำหรับเขา
ฮุ่นกระแอมเล็กน้อยเรียกสติ
“พอดีกู๋ติดงานที่ต่างจังหวัด แต่ผมถามกู๋ให้แล้วว่าเสาร์อาทิตย์นี้แกว่าง ถ้าคุณข้าวสะดวกจะได้จองตัวกู๋ไว้ให้เลย”
ข้าวรีบหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูปฏิทินอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าตอบ “เสาร์นี้ได้ครับ ว่างทั้งวันเลย”
“โอเค งั้นเดี๋ยวผมบอกกู๋ให้” พูดจบฮุ่นก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทเครื่อง
“มาเถอะครับ เราไปทำสิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้กัน”
คอมิคนุ้บนิ้บแถมท้ายค่าาา