ความปรารถนาของเขาที่อยากให้อีกฝ่ายมีความสุข ไม่ใช่เพียงแค่เห็นรอยยิ้มสดใสก็เพียงพอ แต่เขาต้องการให้ตัวเองเป็นที่มาของความสุขนั้นต่างหาก

ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง - ตอนที่ 2 ดวงชะตามีเกณฑ์สับสน (1/2) โดย ONLY FIREDAY @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ไทย,รัก,พารานอมอล,ฟีลกู๊ด,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ไทย,รัก,พารานอมอล

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ฟีลกู๊ด,#BL

รายละเอียด

ความปรารถนาของเขาที่อยากให้อีกฝ่ายมีความสุข ไม่ใช่เพียงแค่เห็นรอยยิ้มสดใสก็เพียงพอ แต่เขาต้องการให้ตัวเองเป็นที่มาของความสุขนั้นต่างหาก

ผู้แต่ง

ONLY FIREDAY

เรื่องย่อ

นิยายเรื่องนี้เล่าจากมุมมอง 'พระเอก' นะคะ ☺️


เหตุการณ์ ตัวละคร และสถานที่ที่บางแห่งเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาทั้งสิ้น โปรดใช้วิจารณาญานในการอ่าน

ปล. เรื่องเดียวที่จริงคือกฎความสมดุลค่ะ (อ้างอิงตามศาสตร์ปาจื่อ)


ตลอดชีวิตที่ผ่านมา 'ฮุ่น' ไม่เคยอธิษฐานขอพรอะไรเป็นพิเศษ เขาไม่เคยปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั่งวันนี้ แม้จะเป็นอีกวันที่ไม่สดใส แม้ว่าฟ้าจะประเคนปัญหามาให้เขาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในชีวิตก็คือเขาค้นพบแล้วว่าบนโลกนี้ยังมีบางสิ่งที่ควรค่าให้ตั้งใจใช้ชีวิต และควรค่าให้ทุ่มเทด้วยชีวิตเพื่อปกป้องไว้ให้คงอยู่ตลอดกาล

สารบัญ

ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง-บทนำ บทนำ,ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง-ตอนที่ 1 ดวงชะตาอาภัพ,ยามเมื่อคำอธิษฐานเป็นจริง-ตอนที่ 2 ดวงชะตามีเกณฑ์สับสน (1/2)

เนื้อหา

ตอนที่ 2 ดวงชะตามีเกณฑ์สับสน (1/2)

“เอ่อ... เราไม่ได้จะไปวัดกันเหรอครับ?”


หลังจากที่เงียบมาตลอดทาง ในที่สุดคุณลูกค้าเจ้าปัญหาก็ยื่นหน้ามาถามเมื่อฮุ่นเลี้ยวเข้าลานจอดรถ


ด้วยความใกล้ชิดระยะนี้ทำให้ฮุ่นได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาแตะจมูก ชื่นชมความหอมได้เพียงเสี้ยววินาทีกลิ่นหอมนั้นก็ถูกกลิ่นควันธูปโชยมากลบจนหมดสิ้น


“ไหน ๆ ก็มาแล้วเลยจะพาแวะไหว้ที่นี่ก่อนน่ะครับ”


ฮุ่นก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ทรงคลาสสิค รีบหันมาเตรียมตัวให้ความช่วยเหลือเผื่อว่าคนซ้อนที่มีส่วนสูงไม่สมดุลกับความสูงของช่วงท้ายมอเตอร์ไซค์เท่าไหร่นักจะประสบปัญหาในการลงจากเบาะท้าย แต่พอเห็นอีกฝ่ายกระโดดลงพื้นได้โดยปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินนำไปที่จุดหมายปลายทาง


“ที่นี่คือศาลเจ้าอะไรเหรอครับ?”


คนตัวเล็กเอ่ยถามพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ


พอเห็นท่าทีเช่นนั้นของอีกฝ่าย ฮุ่นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาแอบเป็นกังวลเล็ก ๆ ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย


“ศาลเจ้าแม่กวนอิมครับ ที่บ้านผมเป็นผู้ดูแลที่นี่อยู่ เตี่ยมีความรู้เรื่องแก้ดวงอยู่บ้างก็เลยอยากให้คุณข้าวลองคุยกับเตี่ยดูก่อนน่ะครับ”


“ผมอาการหนักสินะครับ” ว่าแล้วก็หัวเราะแห้งออกมา “หรือว่าผมโดนของหรือเปล่า แบบในเรื่องผีที่เขาเล่า ๆ กัน ช่วงนี้ออกกองต่างจังหวัดบ่อยซะด้วย”


ฮุ่นเกือบหลุดขำกับความช่างจินตนาการนั้นแต่ยังระงับไว้ได้ทัน


“คุณข้าวเชื่อเรื่องพวกนี้เหรอครับ?”


“ก็ต้องเชื่อสิครับ! ถึงผมจะไม่ใช่สายมู แต่ผมกลัวผีมากนะบอกเลย”


“คุณข้าวไม่ได้โดนของหรอกครับ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณดวงตก เจอพลังงานไม่ดีนิดหน่อยก็รับมาหมด เยอะ ๆ เข้าก็จะออกอาการประมาณนี้แหละครับ”


‘ความจริงก็ไม่หน่อยเท่าไหร่’


ภาพควันดำลอยฟุ้งกับความรู้สึกกระอักกระอ่วนเมื่อตอนนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในหัว


คนฟังนิ่วหน้าด้วยความวิตกกังวลทันที


“แล้วผมต้องทำยังไงล่ะเนี่ย…”


ก่อนที่ฮุ่นจะได้ตอบอะไรก็มีเสียงชายสูงวัยขัดขึ้นเสียก่อน


“อาฮุ่น มาทำอะไรแต่เช้า”


พอหันไปก็พบชายอาวุโสที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับฮุ่นประมาณเก้าในสิบส่วนกำลังเดินมาจากแผงขายวัตถุบูชา


“พาลูกค้าร้านมาให้เตี่ยช่วยดูให้หน่อย ตอนนี้เขาเดือดร้อนอยู่” ฮุ่นตอบชายสูงวัยแบบรวบรัดก่อนจะหันมาบอกคนที่ยืนตาแป๋วอยู่ข้าง ๆ


“นี่เตี่ยผมเองครับคุณข้าว”


ข้าวรีบหันไปยกมือขึ้นสวัสดีทันที


ผู้เป็นพ่อเหลือบมองมาที่ลูกชายสลับกับลูกค้า จากนั้นก็พยักหน้าทำเสียงอืมอืมในลำคอ สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ให้ความรู้สึกเพียงว่ากำลังถูกพิจารณา


ในฐานะลูกชาย ฮุ่นรู้ว่าผู้เป็นพ่อกำลังคันปากอยากแซวอะไรบางอย่างและพยายามเก็บเงียบไว้ แต่สำหรับคนอื่น ท่าทางแบบนั้นน่าจะสร้างความกังวลให้ไม่มากก็น้อย


ฮุ่นเห็นมือเรียวบางทั้งสองเริ่มบีบข้อนิ้วของตัวเองเล่นระหว่างรอฟังคำตอบด้วยความเป็นกังวล เขาพยายามส่งสายตาให้ผู้เป็นพ่อหยุดทำให้ลูกค้ากลัว แต่อีกฝ่ายมัวแต่สนใจคนตรงหน้าจนไม่มองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย


“หนักอยู่นะ ไปทำอะไรมาล่ะเนี่ย เตี่ยว่าให้กู๋เกี้ยช่วยจะดีกว่า กู๋จะกลับวันไหนนะ”


คำตอบนั้นทำให้ฮุ่นรู้สึกไม่สบายใจจนท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย


“กู๋บอกถ้าไม่มีคิวแทรกอะไรก็อีกสองวันกลับ แต่ฮุ่นว่าจะไลน์ถามอีกที”


“อืม วันนี้ก็ทำเท่าที่ทำได้ก่อน แล้วระวังเผลอใช้พลังเยอะไปล่ะ”


ประโยคสุดท้ายผู้เป็นพ่อกระซิบเตือนเขาก่อนจะหันไปบอกกับลูกค้าที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นคนละคน


“ไอ้หนุ่ม ลื๊อไปเอาธูปข้างหน้านะ ใช้สิบห้าดอก ไหว้ตี้กงก่อนห้าดอก ไหว้อาม่าสามดอก ตอนไหว้ก็ไปเล่าปัญหาชีวิตลื๊อคร่าว ๆ เจออะไรมาก็เล่าไปให้หมดเลยนะ แล้วก็ขอให้อาม่าช่วยปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้พ้นไปจากตัวนะ ตั้งจิตนิ่ง ๆ ขอให้อาม่าช่วย ธูปที่เหลือไปไหว้แป๊ะกงกับม่า แล้วก็เทพไฉ่ซิงเอี๊ยตรงนั้นเลย”


ในฐานะผู้ดูแลศาลเจ้าผู้ชำนาญการจึงอธิบายรวดเดียวจบตามความเคยชิน แต่คนที่เพิ่งมาครั้งแรกย่อมไม่มีทางจำได้ทั้งหมด ดวงตากลมโตคู่นั้นจึงได้แต่มองตามท่าทางประกอบของผู้อาวุโสด้วยความสับสนงุนงง


ฮุ่นเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีจึงอาศัยจังหวะที่ผู้เป็นพ่อกำลังร่ายวิธีการไหว้ใส่ลูกค้าแบบไม่หายใจไปจัดการอุปกรณ์การไหว้ครบชุดมาส่งให้ถึงมือลูกค้า


“ข–ขอบคุณครับ”


คนตัวเล็กรับถาดไปโดยที่ใบหน้ายังคงบ่งบอกว่าในหัวยังประมวลผลลำดับขั้นตอนที่ได้รับมาเมื่อครู่ไม่เสร็จ


“เดี๋ยวเราไปไหว้พร้อมกันเลยก็ได้ครับ ผมนำเอง”


ฮุ่นชิงพูดออกไปก่อน เดาจากสีหน้าอีกฝ่ายแล้วคงกำลังหนักใจที่จะบอกว่า ‘ที่พ่อคุณพูดมาเมื่อกี้ ผมจำอะไรไม่ได้เลยอะ ทำไงดี?’ อยู่อย่างแน่นอน


พอได้ยินดังนั้นข้าวก็กล่าวขอบคุณอีกครั้งตบท้ายด้วยรอยยิ้ม สีหน้าท่าทางดูโล่งใจเป็นอย่างยิ่งที่มีคนนำทาง


หลังจากได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทาง ฮุ่นก็ชินกับการรับรองลูกค้าท่านนี้เรียบร้อยแล้ว


แท้จริงแล้วคนคนนี้เป็นคนอัธยาศัยน่ารักคนหนึ่ง แตกต่างจากความเข้าใจแรกที่เขาคิดไว้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นสายวีนขี้โมโหโดยสิ้นเชิง ที่แสดงท่าทีแบบนั้นออกมาในตอนแรกเป็นเพราะเจ้าตัวเจอแต่เรื่องร้าย ๆ ถาโถมจนเสียศูนย์ไปก็เท่านั้นเอง แถมยังเป็นคนที่แสดงออกทางความคิดผ่านสีหน้าและท่าทางได้ชัดเจน กระทั่งมองแววตาก็ยังสามารถบอกความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ จึงไม่ใช่คนที่รับมือยากอะไร


ยิ่งคุยด้วยยิ่งยิ่งอยากรู้จัก


อาจจะเป็นเพราะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตที่ดูสุกสกาวอยู่ตลอดเวลาแม้ในยามปกติ ทำให้เจ้าตัวมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด


“ผมควรขอพรยังไงดีนะ...”


ข้าวพึมพำขณะจ้องมองกระบอกเซียมซีสีแดงสดในมืออย่างเหม่อลอยราวกับพูดกับตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน

ก็อยากให้มีใครสักคนได้ยินเพื่อช่วยตอบคำถามนั้น


จะเป็นใครได้อีก นอกจากเขาคนนี้


“เรื่องไหนที่ทำให้คุณไม่สบายใจที่สุดก็ขอเรื่องนั้นแหละครับ ขอให้อาม่าช่วยแนะนำ หรือไม่ก็ถามว่าสิ่งที่คิดจะสำเร็จไหมอะไรประมาณนั้น เรื่องความรักก็ขอได้นะครับ”


ฮุ่นเพียงแค่เดาสิ่งที่อยู่ในใจอีกฝ่าย


ข้าวหันกลับมาส่งยิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นดูสิ้นหวังจนคนมองยังรู้สึกใจแห้งเหี่ยวตามไปด้วย


“จริง ๆ ไม่มีเรื่องไหนส่งผลต่อชีวิตผมมากเท่าการที่ผมถูกเขาทิ้งในเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตแล้วครับ ผมนึกว่างานไม่ดีก็ยังมีเขาคอยเป็นกำลังใจ แต่ที่ไหนได้…”


ข้าวหยุดพูดก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“ถ้าผมขอให้เขากลับมาหา จะมากไปไหมนะ...”


ฮุ่นรับรู้ถึงความรักที่อีกฝ่ายมีให้กับใครคนนั้น


เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเทใจให้ขนาดนั้น แต่เรื่องความรักไม่เข้าใครออกใคร แม้ภายในใจจะรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย แต่ฮุ่นก็พยายามที่จะไม่ตัดสินอะไรจากข้อมูลที่ได้รับรู้เพียงน้อยนิดนี้


“ถ้าเป็นผม ผมจะขอให้ได้พบกับความรักที่ดี ขอให้ได้พบเจอคนที่ดีและจริงใจกับเรา ซึ่งถ้าคนนั้นของคุณเป็นคนดีที่คู่ควรกับคุณ เขาก็จะกลับมาเอง แต่ถ้าไม่ใช่ ก็คิดซะว่าคุณได้รับการปกป้องเพื่อให้มีแต่สิ่งดี ๆ ในชีวิตครับ”


นั่นเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดเท่าที่เขาคิดได้ในตอนนี้และดูเหมือนจะถูกใจคนฟังอยู่ไม่น้อย


ความสดใสที่เริ่มปรากฏขึ้นให้เห็นผ่านแววตาทำให้ฮุ่นสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงกล่าวเสริมไปอีกว่า


“ผมได้ยินมาว่าถ้ามีบุคคลอ้างอิงด้วยจะดีมาก อาม่าจะได้จัดสรรมาให้ถูกสเปค”


“ไอเดียดีครับ ผมซื้อ!” ว่าแล้วก็ยิ้มกว้างส่งมาให้เขาก่อนจะหันไปตั้งใจอธิษฐาน


ฮุ่นมองกระบอกเซียมซีในมือตัวเองสักพักก่อนจะเงยขึ้นมองพระพักตร์ขององค์เจ้าแม่กวนอิมปางประทานพรที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า


ตระกูลของเขานับถือเจ้าแม่กวนอิมประหนึ่งญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ไม่ว่าครอบครัวของเขาจะดำเนินการอะไร เล็กหรือใหญ่ก็จะมาบอกกล่าวและขอพรให้ประสบความสำเร็จเสมอ


แต่สำหรับฮุ่น ชีวิตเขาไม่มีอะไรมากมายไปกว่าการตื่นนอนมานั่งเฝ้าร้าน ดูแลกิจการงานต่าง ๆ ของที่บ้าน เช็คสต๊อกสินค้า แล้วก็แพ็คของส่งของไปวัน ๆ เพราะยังไงเรื่องค้าขายให้ได้กำไรเป็นหน้าที่ของอากู๋ทั้งหลายอยู่แล้ว และเขาก็ไม่มีความสามารถที่มีประโยชน์พิเศษอะไรเหมือนคนอื่นเขาจึงใช้ชีวิตไปวัน ๆ แบบไร้เป้าหมาย


ดังนั้น เขาจึงไม่เคยขอพรอะไรแปลกใหม่ไปกว่าการขอให้ตัวเองและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงกับขอให้ค้าขายดีไม่มีปัญหารุงรัง


อันที่จริงแล้ว วันนี้ฮุ่นตั้งใจแค่จะไหว้เป็นเพื่อนลูกค้าให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่พอได้เห็นสีหน้าและแววตาที่วิงวอนขอความช่วยเหลืออย่างสุดใจของคนตัวเล็กข้าง ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากใช้แต้มบุญที่มีอยู่มาแลกกับพรสักข้อสองข้อเพื่อช่วยให้คนคนนี้พ้นจากอะไรก็ตามที่กัดกร่อนจิตใจอยู่


‘อะไรก็ได้ที่ทำให้รอยยิ้มสดใสคงอยู่บนใบหน้านั้นได้นานกว่านี้’


“คุณฮุ่นได้ใบที่ยี่สิบสองเหมือนผมเลย!”


คนข้าง ๆ เอ่ยด้วยความตื่นเต้นพร้อมยื่นไม้เซียมซีสีแดงที่หล่นจากกระบอกในมือเขามาคืนให้พร้อมรอยยิ้มสดใส


ฮุ่นรับไม้เซียมซีนั้นมาพร้อมกับอธิษฐานเพิ่มอีกข้อในใจ


‘ฝากช่วยดูแลความสุขของเขาด้วยนะครับอาม่า…’


“ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่…” ข้าวอ่านใบเซียมซีด้วยความตื่นเต้นดีใจก่อนจะหันมาบอกกับเขา “เจ้าแม่ต้องเอ็นดูพวกเราแน่ ๆ”


ฮุ่นยิ้มให้กับท่าทางลิงโลดของคนตรงหน้า อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าคนที่เอ็นดูอาจจะไม่ใช่เจ้าแม่กวนอิมแต่เป็นคนคนนี้ที่ยืนมองอยู่ตรงนี้ต่างหาก


“คุณข้าวเก็บใบเซียมซีเอาไว้เป็นเครื่องรางสิครับ แล้วถ้าเรื่องที่ขอสำเร็จแล้วอย่าลืมกลับมาไหว้บอกท่านด้วยนะครับ”


“ถ้ามันสำเร็จก็คงจะดีนะครับ”


ข้าวหลุบตามองลงพื้นทั้งที่ยังคงยิ้มค้างไว้อยู่


ฮุ่นไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ น้ำเสียงนั้นไม่ได้ฟังดูเศร้าและก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าสิ้นหวัง ราวกับไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเสียมากกว่า


เป็นความว่างเปล่าแบบเดียวกับที่ฮุ่นเคยผ่านมันมาก่อน


“มันอาจจะนานหน่อย แต่ผมอยากให้คุณเชื่อนะ”


ได้ยินดังนั้น ข้าวก็นิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะออกมา เปลี่ยนบรรยากาศมืดหม่นให้สดใสขึ้นทันตา


“คุณฮุ่นเป็นไลฟ์โค้ชได้เลยนะครับเนี่ย”


ฮุ่นยิ้มรับ “ก็ฟัง ๆ เขามาอีกทีแหละครับ”


เขาค่อนข้างแน่ใจว่าความรู้สึกฟูฟ่องในอกนี้ไม่ได้เป็นเพราะคำชมแต่เป็นเพราะพอเห็นรอยยิ้มนั้น


เห็นทีไรเป็นต้องเผลอยิ้มตามทุกที




จากนั้นพวกเขาก็เดินกลับมาที่รถมอเตอร์ไซค์เพื่อไปต่อยังจุดมุ่งหมายหลักของทัวร์มูเตลูในครั้งนี้ แต่ก่อนที่ฮุ่นจะก้าวขาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ก็มีเสียงหงอย ๆ เรียกเขาจากด้านหลังให้ต้องหยุดชะงัก


“คุณฮุ่น…”


พอหันไปก็เห็นคุณลูกค้าทำท่าคล้ายกำลังสำนึกผิดอะไรบางอย่าง มือเรียวบางหมุนหมวกกันน็อคสีดำที่ดูจะใหญ่เกินตัวไปหน่อยราวกับมันเป็นลูกบอลลูกหนึ่ง


“คือว่า... เรื่องเมื่อเช้า… ผมขอโทษด้วยนะครับ

ขอโทษจริง ๆ ครับ คือช่วงนี้ผมควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ผมทำตัวงี่เง่าไปขนาดนั้นแล้วคุณยังดีกับผมขนาดนี้ ผม… โคตรรู้สึกผิดเลย ขอโทษนะครับ”


“ผมไม่ถือหรอก ผมเข้าใจ”


ฮุ่นรีบพูดก่อนที่คำขอโทษจะออกมาอีกครั้ง


“มันเป็นเพราะตอนนี้คุณไม่เป็นตัวของตัวเองน่ะครับ”


“เป็นเพราะ…อะไรสักอย่างนั่นที่คุณฮุ่นบอกเหรอครับ?”


ฮุ่นพยักหน้า “เรื่องนั้นคงต้องอธิบายกันยาว ถ้าเอาคำตอบสั้น ๆ ตอนนี้ก็คือมีส่วนเกี่ยวข้องกันครับ”


คนฟังหน้าสลดลงไปทันที


“คุณข้าว ผมอยากให้คุณได้ลองคุยกับกู๋ของผมสักหน่อย กู๋เป็นซินแสแล้วก็เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ คงจะช่วยอะไรคุณได้มากกว่าผม เดี๋ยวผมจะบอกกู๋ว่าคุณเป็นเพื่อนผมเอง รับรองไม่เสียค่าใช้จ่ายแน่นอนครับ” ฮุ่นยิ้มให้หวังจะคลายความกังวลในใจอีกฝ่ายลงไปบ้าง


“ได้ครับ!” ข้าวตอบโดยไม่ลังเลจากนั้นก็ส่งยิ้มกว้างคืนมาให้ “ต่อให้เสียค่าใช้จ่ายก็ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค ผมเชื่อใจคุณฮุ่น”


ประโยคหลังทำให้หัวใจของฮุ่นเต้นผิดจังหวะทันที แต่โชคดีที่เขาเกิดมาหน้านิ่ง เรื่องเสียอาการจึงเกิดขึ้นได้ยากสำหรับเขา


ฮุ่นกระแอมเล็กน้อยเรียกสติ


“พอดีกู๋ติดงานที่ต่างจังหวัด แต่ผมถามกู๋ให้แล้วว่าเสาร์อาทิตย์นี้แกว่าง ถ้าคุณข้าวสะดวกจะได้จองตัวกู๋ไว้ให้เลย”


ข้าวรีบหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูปฏิทินอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าตอบ “เสาร์นี้ได้ครับ ว่างทั้งวันเลย”


“โอเค งั้นเดี๋ยวผมบอกกู๋ให้” พูดจบฮุ่นก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทเครื่อง


“มาเถอะครับ เราไปทำสิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้กัน”






คอมิคนุ้บนิ้บแถมท้ายค่าาา