ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป
แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย,พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป
เลอัสพาผมวิ่งออกมาทางประตูหลัง พวกเราเป็นเด็กที่ตัวสูงเกือบเท่ากันจึงเป็นเรื่องลำบากสำหรับเขาที่จะแบกผมพาดไหล่ไปแบบนั้น ดังนั้นหลังจากที่ผมยอมให้ความร่วมมือในที่สุด พวกเราก็เปลี่ยนมาเป็นการขี่หลังแทน
ผมอยู่ในท่ากอดต้นคอเขาในขณะที่เขาวิ่งหลบพวกศพเดินได้ไปมา ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงก่อนถึงจะเที่ยงคืน ผมกลัวเลอัสจะถูกพวกมันจับตัวได้ก่อนหน้านั้น ถึงในเกมเขาจะรอดมาได้จริงๆ แต่มันก็ไม่ได้รับประกันอะไรในตอนนี้
ในเนื้อเรื่อง...หลังจากที่โบสถ์ถูกบุก เลอัสจะหลบหนีไปมาอยู่ในหมู่บ้านจนเข้าสู่วันที่ห้า
“เข้าไปในป่าเถอะ” ผมบอกเลอัส “พวกเราตัวเล็กซ่อนตัวง่ายกว่า”
...
“ถ้าฉันตาย เอาฉันเข้าไปในหมู่บ้านแล้วเผาหมู่บ้านซะตกลงไหม อย่าทำเรื่องโง่ๆ อย่างการขุดหลุมฝังทีละคน”
เสียงผมดูแหบ อาจเพราะไม่ได้ขาดน้ำ คนที่แบกผมอยู่ไม่ได้ตอบกลับ เขาเพียงแค่กัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงบด บางทีเขาอาจจะโกรธที่ผมยอมแพ้ทุกอย่างง่ายดาย หรืออาจจะหวาดกลัวที่ต้องอยู่คนเดียว... ผมรู้ว่าสิ่งที่เราเจอมันน่ากลัวแต่ก็ไม่สามารถปลอบใจเขาได้...ผมไม่มีสิทธิ์นั้น--ไม่แน่ในขณะที่ร่างผมยังถูกเขาแบกไปมาอยู่
พวกเราหมอบลงกับพื้นขณะที่ร่างชาวบ้านหลายคนเดินผ่านไป กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งชวนให้คลื่นไส้ ผมคิดว่าตัวเองไม่สามารถได้กลิ่นได้อีกแล้ว แต่มันก็ยังชัดเจนอยู่ดี แต่ถึงแบบนั้นผมก็แยกไม่ออกว่ามันคือกลิ่นจากศพพวกนั้นหรือคือกลิ่นของตัวผมเอง
ผมแนบร่างตัวเองลงกับพื้นแล้วสังเกตก็เห็นถึงต้นหญ้าตรงหน้าที่กลายเป็นสีดำไปแล้ว
นี่คือผลของความมืด ในเกมบอกไว้แบบนั้น
บางทีมันอาจเป็นแค่ข้ออ้างของผู้พัฒนาเกมที่จะสร้างฉากแปลกตาและอลังการ แต่ในโลกนี้มันเกิดขึ้นจริง สีของหญ้าตรงหน้าผมเข้มลงจนกลายเป็นสีเทาและส่วนปลายมันเป็นสีดำ นอกจากนั้นขอบของมันยังดูคมเป็นริ้วๆ ดูแหลมคม มองผ่านๆ แล้วดูเหมือนเข็มที่แทงออกมาจากดิน
ผมสงสัยว่าถ้าไปแตะมันนิ้วจะเลือดออกรึเปล่า แต่โดยไม่ทันตั้งตัว แขนผมก็ขยับไม่ได้เสียแล้ว
เมื่อศพเดินได้พวกนั้นจากไปไกลจนไม่ได้ยินเสียง เลอัสก็เริ่มแบกผมขึ้นหลังอีกครั้ง
ร่างกายผมเย็นและชา เมื่อถูกยกตัว ตัวผมก็แนบเข้ากับหลังของเขา สัมผัสถึงอุณหภูมิที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“…หนาวจัง” ผมพึมพำ “ตัวนายอุ่นมากเลย”
เวลาตายของผมเข้ามาใกล้ทุกที
...หนาวมาก
...หนาว
...
ตอนที่เลอัสวิ่งไปตามป่า พวกเราเงียบกันมาก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำลังซ่อนตัว เลอัสใช้สมาธิไปมากกับการหลบหลีกซากศพเดินได้พวกนั้น ส่วนผมก็กำลังใช้กำลังทั้งหมดเพื่อหายใจ
มันหายใจยากขึ้นทุกที
มันง่วง...เหมือนจะหลับ มันอึดอัดเหมือนถูกบีบสมอง แต่ผมยังไม่อยากตายตอนนี้...ไม่ขณะที่อยู่บนหลังของเลอัส ผมไม่อยากให้เมื่อเขาหันกลับมาแล้วเจอแต่ร่างไร้วิญญาณ ถึงเรารู้จักกันไม่นานแต่ผมก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มันคงเกินจะรับไหว
ผมไม่ควรตอบตกลงที่จะหนีมากับเขาเลย ความคิดแบบนั้นแล่นขึ้นมาตอนอ้วก น้ำย่อย น้ำเมือกและก้อนอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเลือดไหลออกมาจากคอผม เปื้อนลงเต็มหลังของเด็กผู้ชายตรงหน้า
ท่ามกลางความทรมาน ผมสงสัยว่าระหว่างผมกับศพพวกนั้น ใครจะล้มก่อน
…
ทุกอย่างดูเลือนราง แต่เราสามารถหนีมาจนถึงค่อนคืนได้
อีกไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างก็จะจบลง
เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเราก็ตัดสินใจพักผ่อน เลอัสวางผมให้นั่งลงบนก้อนหิน แต่ร่างผมอ่อนปวกเปียกผมล้มลงอย่างควบคุมไม่ได้จนต้องรบกวนเขามาช่วยจัดท่าให้
แผ่นหลังผมทาบกับหินก้อนใหญ่...มันให้ความรู้สึกอุ่นแม้ท่ามกลางความหนาวเย็นของค่ำคืน
สบายมาก
ทำให้ง่วงนอนมากด้วย
“หนาว....” ผมพึมพำอย่างควบคุมไม่ได้
แล้วหลับไป
...
เมื่อตื่นขึ้นมา ในหูผมเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น
ผมลืมตา แสงจันทร์ส่องลงมาเป็นสีแดง ท้องฟ้าทั้งหมดเป็นสีแดง--ทุกอย่างที่นี่ดูเป็นสีแดง มันเหมือนมีเลือดอยู่ทุกที่ ที่นี่ทั้งหมดราวกับนรก
“ฮึก—อย่าตายนะ อย่าตายนะ”
ยกเว้นคนตรงหน้าผมที่กำลังร้องไห้
เลอัสคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม
“ทำยังไงดี ทำยังไงดี--ฮึก”
ผมหายใจเข้าช้าๆ เหม่อมองน้ำตาที่หยดลงมาจากดวงตาสีเขียว
ดูสวยงามจนเหมือนไม่มีจริง
พวกมันดูเหมือนไข่มุก เหมือนเพชร ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร แต่เลอัสดูเหมือนภาพวาดมาก แบบที่ถูกศิลปินสร้างขึ้นมาอย่างตั้งใจและใส่หัวใจลงไปในนั้น
เห็นๆ อยู่ว่าพื้นที่รอบๆ ปกคลุมไปด้วยสีแดงและดำ แต่ราวกับว่ากำลังมีแสงสว่างเรืองรองออกมาจากตัวเขา มันทำให้นึกถึงดอกไม้สีขาวที่บานขึ้นจากซากศพ
“ฉัน...ควรทำยังไง” เด็กชายผมทองก้มหน้าลง ดูเคว้งคว้างและทำอะไรไม่ถูก
“…”
ผมเอง..
ผมไม่รู้ควรทำอะไรต่อเหมือนกัน
เดิมทีผมคิดว่าตัวเองจะตายในหมู่บ้าน แต่ดันกลายเป็นว่าถูกตัวเอกพาหนีมาตอนนี้เลยเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูก
ว่ากันตามเหตุผล ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดคือผมจะตายตอนเที่ยงคืน
“…”
แต่เมื่อคิดว่าแม้กระทั่งเรื่องของตัวเอกที่จะพยายามช่วยทุกคนในหมู่บ้านจนถึงวินาทีสุดท้ายยังเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องในเกมจะไม่ได้ตายตัวขนาดนั้น…
“…ทุกคนตายหมดแล้ว—ฉันเหลือแต่นาย ฮึก--”
ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโกหกแต่ก็รู้ว่ามีหลายคนในโบสถ์ยังไม่ตาย
เลอัสพยายามเดินเลี่ยงพวกเขาตอนอุ้มผมออกมา แต่ผมก็ยังเห็นอยู่ดี
ยิ่งคิดเรื่องนี้ยิ่งทำให้ใจสั่นสะท้าน เมื่อผมตระหนักว่าเลอัสทิ้งคนในหมู่บ้านเพื่อพาผมหนีออกมา...ถึงผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น แต่ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นจริง
มันเปลี่ยนแปลงได้
ในเนื้อเรื่องบอกว่าเลอัสจะอยู่ในหมู่บ้านจนถึงเที่ยวคืนวันที่ห้า แต่ตอนนี้เขาพาผมหนีเข้ามาในป่า
เนื้อเรื่องเปลี่ยนแปลงได้
…จริง...รึเปล่านะ
ผมเป็นคนบอกให้เลอัสเข้าป่าเองเพื่อพิสูจน์ แต่บอกตามตรงว่าก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี
“ทำยังไงดี—อย่าตายนะ อย่าตาย”
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงหรือห่างจากเที่ยงคืนไปมากแค่ไหน แต่บางทีถ้าผมรอดผ่านคืนนี้ไปได้...ผมอาจมีชีวิตอยู่
บางที...ผมอาจจะไม่ตาย
ความหวังลมๆ แล้งๆ เข้าครอบงำ
ผมรู้ว่าร่างกายตอนนี้ของตัวเองมันสภาพแย่มาก เหมือนเนื้อเน่าในตู้เย็นที่ขึ้นราไปหลายอาทิตย์...มันน่ารังเกียจจนชวนสงสัยว่าเลอัสยอมทนอุ้มผมไปมาได้ยังไง
ผมหายใจเข้าออกด้วยความพยายาม ใช้ทุกวินาทีเพื่อดึงสติตัวเองจากความทรมาณ
แต่...ถ้า...ถ้าผมรอดได้ล่ะ
“...เฮ้” ผมเรียกเขา เด็กชายตรงหน้าสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว จากนั้นเบิกตากว้าง—ผมเห็นความยินดีในตาคู่นั้น
“นาย...นาย”
“...เลอัส” ผมแทรก
“นายห้ามตายนะ—ถ้านาย...ฉันจะทำยังไง” เลอัสยังสะอื้นอยู่
“ฉันยังไม่ตายสักหน่อย หยุดร้องน่า” ผมเหลือบมองตัวเอง เพราะร่างกายชาเลยไม่รู้สึก แต่บนตัวผมมีผ้าห่มหลายผืนคลุมอยู่ ผมรู้สึกขอบคุณเมื่อเดาได้ว่าเลอัสเอามาคลุมไว้เพราะเสียงพึมพำว่าหนาวของผม
“…ฮึก—” ทำไมเด็กนี่ยังร้องไห้อยู่อีกล่ะ ผมขมวดคิ้ว ช่างเถอะ ตอนนี้มีเรื่องที่ผมต้องพิสูจน์อยู่
“นายรู้จักชื่อฉันไหม?”
“…” พ่อพระเอกของเราทำหน้าแตกตื่น แล้วก็กลายเป็นรู้สึกผิด เมื่อพิจารณาถึงบุคลิกของเขาแล้ว ตอนนี้เลอัสคงกำลังรู้สึกผิดที่ตัวเองจำชื่อเด็กในโบสถ์เดียวกันไม่ได้ทั้งที่ผมสามารถเรียกชื่อเขาออกมาได้ทันที
ไอ้หมอนี่ไม่รู้ว่าผมไม่ใช่เด็กในโบสถ์— เหมือนกับคนอื่นๆ เขารู้สึกลางๆ กับใบหน้าของผมเหมือนเพื่อนที่เคยผ่านหน้าแต่ไม่เคยคุยกัน
ดีมาก อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มั่นใจว่าเขาไม่รู้ว่าผมไม่ใช่สมาชิกในโบสถ์...ไม่ใช่ใครเลย เป็นแค่คนแปลกหน้า
“นาย...” เขาอ้าปากจะถามชื่อผม แต่ผมก็พูดขัดไว้
“…ถ้าฉันรอดไปถึงพรุ่งนี้เช้าได้จะยอมบอกนะ”
เด็กชายตรงข้ามผมน้ำตาไหลไม่หยุด
ผมพยายามเลิกสนใจมันแล้วเลือกถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยที่สุดแทน
“ทำไม...ถึงเลือกที่จะพาฉันออกมาล่ะ”
นี่คือสิ่งที่ผมสงสัย
เลอัสก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย “เพราะ...เพราะ...ตอนนั้นทุกคนตายหมดแล้ว...เหลือแต่นาย”
“…”
ไอ้ลูกหมานี่โกหกอีกแล้ว
แหงล่ะ ทุกคนตายหมดแล้ว หลังพวกเราหนีมาประตูโบสถ์ก็คงพัง ตอนนี้ทุกคนที่ยังไม่ตายก็คงตายหมดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมลังเลที่จะถามต่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมเลอัสถึงไม่ยอมบอกผมว่ามีคนอื่นรอดชีวิตอยู่อีกหรือทำไมถึงเลือกที่จะพาผมหนีออกมาคนเดียว...ถึงจะอยากรู้คำตอบ แต่ตอนนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่า
ผมอยากรู้ว่าเขาจะทิ้งผมรึเปล่า
พระเอกในเกมจะไม่ทิ้งเพื่อนของตัวเอง แต่เมื่อพิจารณาว่าทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงได้…
“…มาทบทวนดูสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก่อน” ผมหายใจเข้าลึก จากนั้นเริ่มไล่เรียงเหตุการณ์ “เหมือนที่หนังสือในโบสถ์บอก ครรภ์ความมืดของจอมมารกำเนิดขึ้นทำให้เกิดระลอกคลื่นมานาธาตุมืดจำนวนมหาศาล…”
“อืม...” เลอัสดูมึนงง
“มันทำให้ทุกคนป่วย ถ้าไม่ตายไปเลยแบบคนในโบสถ์ก็กลายเป็นศพเดินได้พูดได้เหมือนผู้ใหญ่ในหมู่บ้านพวกนั้น”
“…”
“ดูจากที่พวกเขาเดินไปมาในป่า...ฉันไม่แน่ใจว่าพวกนั้นรู้จำนวนที่แน่นอนของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไหม...ถ้าใช่ บางทีพวกเขา...พวกมันอาจจะหาเราอยู่...”
“สภาพตอนนี้ฉันป่วยและใกล้ตาย ส่วนนายคือเด็กที่น่าจะมีพลังแสงสว่างเลยไม่ป่วย แต่ถ้าโดนพวกศพเดินได้ฆ่าก็คงตายเหมือนกัน”
“…” เลอัสทำหน้าสิ้นหวัง
“พวกเราเป็นเด็กทั้งคู่ แถมฉันก็ขยับแขนขาไม่ได้ ถ้าโดนเจอเข้าก็สู้แรงพวกมันที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้...วิ่งหนีก็ไม่ทันแน่ๆ โดยเฉพาะตอนที่นายยังต้องแบกฉันอยู่”
“…”
เลอัสทำสีหน้าสิ้นหวังขึ้นทุกที
ผมทำหน้าไม่เข้าใจ “...ทำไมนายทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“เรื่องพวกนี้มันบ้า…ฉัน...ทำยังไงดี...พวกเรา”
“แค่ทิ้งฉัน”
เลอัสยังไม่มีปฏิกิริยา เหมือนยังไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไร
มือของผมรวบรวมแรงที่เหลืออยู่และซ่อนไว้ด้านหลัง จากนั้นอธิบายอย่างจริงจัง “ถ้านายทิ้งฉัน นายต้องวิ่งหนีทันแน่ ฉันจะช่วยตะโกนล่อพวกมันไว้ให้ นายแค่วิ่งไปทางเมืองก็พอ”
“...เอ๊ะ”
“ยังไงภายในคืนนี้ฉันก็ต้องตาย ก็แค่เปลี่ยนเป็นตายให้เป็นประโยชน์หน่อยเท่านั้นเอง”
“---ยังไง” เด็กชายที่ถูกเลือกโดยแสงสว่างมีสีหน้าบิดเบี้ยว
“แค่นายทิ้งฉัน” ผมพูดช้าๆ “นายจะรอด”
พระเอกของเกมจะไม่มีวันทิ้งเพื่อนของเขา
เลอัสในเกมคือผู้กล้าที่เกิดขึ้นจากเหตุการ์ณโรคระบาดแห่งความตาย เป็นดอกไม้แห่งแสงที่บานออกมาจากซากศพของหมู่บ้านที่เขาเกิด
เลอัสคนนั้นทุกข์ทรมาณอย่างมากในหมู่บ้านตลอดห้าคืนแห่งความตาย แต่เขาพยายามช่วยทุกคนทุกวิถีทาง เลอัสวิ่งไปมาในหมู่บ้าน หนีจากการถูกตามฆ่าและไล่ปฐมพยาบาลคนป่วยที่สาปแช่งเขา
ก่อนที่ทุกอย่างจะสลายไปเมื่อถึงเที่ยงคืน
ในช่วงสุดท้าย พลังแสงสว่างในตัวเขาก็ตื่นขึ้นขณะพยายามยื้อชีวิตชาวบ้านคนหนึ่งตอนเที่ยงคืน
ถึงจะช่วยใครไม่ได้เลย แต่การพยายามจนถึงจุดสุดท้ายนั่นคือเลอัสที่ผมรู้จัก
ผมอยากรู้ว่าอีกฝ่ายยังเป็นเลอัสคนนั้นอยู่ไหม
มันจะส่งผลต่อแผนที่ผมจะเลือกใช้
“ไม่ ฉัน...”
“…”
ผมกำลังรอตัวเลือกของเขา
“ยังไง...” เลอัสใบหน้าบิดเบี้ยวและดูสับสนมาก “นายพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง…”
“…”
“นายพูดให้ทิ้งนายแบบนั้นออกมาได้ยังไง…พูดออกมาแบบนั้นได้ยังไง” เขาดูโกรธ
“นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ฉันคิดออก”
“ไม่ มันต้องมีวิธีอื่น---ฉันกลัว นายก็กลัว นายไม่ได้อยากตาย...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ--ฉันไม่อยากมีชีวิตแบบนั้น---ถ้าฉันทำแบบนั้น ฉันจะต่างอะไรจากชาวบ้านที่กำลังตามฆ่าพวกเราล่ะ”
“…”
เลอัสยืนขึ้นด้วยความสับสนและพูดเสียงดัง “ฉันขอโทษที่จำชื่อนายไม่ได้ แต่ฉันเห็นแล้วว่าตั้งแต่มีโรคระบาดนายเป็นคนคอยสั่งทุกคน...นายฉลาดมาก ช่วยพวกเราไว้ตลอดทั้งที่นายก็ป่วย...ผิดกับฉันที่ร่างกายแข็งแรงดีแต่กลับช่วยใครไม่ได้เลย...ฉันเห็นนายอ้วกออกมาเป็นเลือดด้วยซ้ำตอนที่กำลังช่วยปฐมพยาบาลคนอื่น! นายเป็นคนดีมาก—นายไม่ควรตาย อย่าบอกให้ฉันทิ้งนาย--ฉันคิดว่านายต้องคิดออกแน่ นายฉลาดขนาดนั้น! วิธีการที่นายไม่ต้องเสียสละตัวเอง...—มันต้องมีสิ!”
“แต่นายอาจจะตายนะ”
“แต่ถ้าฉันทิ้งนายมันก็เหมือนกันนั่นแหละ!” เลอัสคำรามเสียงต่ำ มันดูไม่เหมือนคนที่กำลังต่อสู้กับความชั่วร้ายในใจของตัวเองเลย ราวกับว่าเขากำลังต่อสู้สุดตัวเพื่อหาเหตุผมมาหักล้างผมมากกว่า
เมื่อความสับสนหายไป เลอัสกระซิบบอกผม
“ถ้าฉันทิ้งนายแล้วหนีไป ฉันจะมีชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน ฉันจะกลายเป็นคนแบบไหน”
ผมเงยหน้ามองเขา
เลอัสสบตากับผม ดวงตาสีมรกตเปล่งประกายราวดวงดาวขณะที่เขาพูด
“ฉันจะไม่ทิ้งนาย”
"..."
"พวกเราจะต้องรอดไปด้วยกันได้แน่"
ไหล่เล็กๆ นั่นยืดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางนรกสีแดง เสื้อผ้าของเขาเปรอะเปื้อนคราบสกปรกจนดูไม่ต่างจากขอทาน เขาดูเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองพูดมาจริงๆ--โดยไม่สนใจถึงสภาพของผมที่เป็นคนใกล้ตายหรือสถานการณ์ของพวกเราที่น่าสิ้นหวังเหลือเกิน
“…”
ว้าว
มีแสงสว่างอยู่ตรงหน้าผม
ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก แต่มันทำให้ผมรู้สึกตาพร่าอย่างช่วยไม่ได้
เขายังเป็นเลอัสคนนั้นอยู่ ถึงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกจะทิ้งคนในโบสถ์แล้วพาผมหนีมา แต่บางทีมันอาจมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างก็ได้... หรือบางทีตอนนั้นผมอาจจะมองผิดไป?
โรคจากความมืดทำให้เห็นภาพหลอนได้เหมือนกัน...
ไม่
“ฉันเห็นคนอื่นในโบสถ์…พวกเขายังไม่ตาย”
“…”
เลอัสมีสีหน้าตกใจและหวาดกลัวขึ้นมา มันยืนยันว่าสิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่ภาพหลอน
“เกิดอะไรขึ้น”
ผมไม่ได้กล่าวประณามเขาแต่เปิดให้เขาอธิบาย ถ้าเขาเป็นเลอัสคนนั้น...เขาไม่มีทางทิ้งคนอื่นอยู่แล้ว
เลอัสทำสีหน้าลำบากใจ “พวกเขา...ตายแล้วจริงๆ ...กลายเป็นเหมือนชาวบ้านนอกโบสถ์ โดนความมืดทำให้อยากทำร้ายคนอื่น”
“ตายแล้ว? ทำร้ายคนอื่น?” ในเนื้อเรื่องเด็กในโบสถ์ไม่ได้ถูกความมืดควบคุม เลอัสจะพยายามรักษาพวกเขาอย่างสุดความสามารถด้วย
“พวกเขาพยายามถ่มเลือดใส่ฉัน”
“…” นั่นเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง
“ความมืดควบคุมพวกเขาให้ทำร้ายคนอื่น...พวกเขาสาปแช่งฉันเพราะฉันไม่ป่วย”
“…” นั่นเป็นพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นของมนุษย์ในช่วงโรคระบาด ผมมึนงง “พวกเขาอาจแค่เครียดเพราะตัวเองป่วย...”
“นายก็ป่วยแต่นายไม่ได้ทำแบบนั้นเลย มีแค่นายคนเดียวที่ยังไม่ถูกความมืดครอบงำ…ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่อาจเป็นเพราะนายเป็นคนดีมาก...ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”
“…”
“พวกเขาถูกความมืดครอบงำไปแล้วจริงๆ”
“…….”
เวร
ในเนื้อเรื่องปกติ เลอัสจะเข้าใจเพื่อนของเขาและพยายามรักษาต่อไป แต่พอมีผมที่ไม่แสดงอาการอะไรเลยเป็นตัวเปรียบเทียบ ฝั่งผู้ป่วยปกติเลยดูหนักขึ้นจนกลายเป็นศพเดินได้
ยิ่งเมื่อผมบอกเขาเกี่ยวกับครรภ์ความมืดยิ่งทำให้แย่ลง เลอัสเหมารวมทุกคนที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเป็นผู้ถูกความมืดครอบงำโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายไม่เข้าใจถึงความชั่วร้ายในเวลาคับขันของมนุษย์เลยอิงผมเป็นตัวอย่าง
ผลคือเลอัสเชื่อว่าผมเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกครอบงำ
“…อา” เผชิญหน้ากับดวงตาสีเขียวที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเพิ่งปล่อยคนในโบสถ์ตายไปด้วยความเข้าใจผิด
ดังนั้นแล้วผมจึงได้แต่ยิ้มราวกับกำลังขอโทษ
“พวกเขาคง...ถูกความมืดกลืนกินไปแล้วจริงๆ ด้วย...”
ผมขอโทษจริงๆ
“ขอโทษที่ฉันสงสัยนายนะ”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่กลัวนายเสียใจเลยไม่ได้บอกน่ะ” เลอัสยิ้มตอบ แล้วจึงมีสีหน้าหมองลงเมื่อนึกถึงว่าเพื่อนคนอื่นๆ กลายเป็นซากศพคลั่งที่จ้องจะทำร้ายคนอื่น
ความรู้สึกผิดอันดำมืดครอบงำตัวผม
“แบบนี้เอง...ขอบคุณนะ" ผมยิ้มออกมา
ผมภาวนา
เรื่องที่ไม่รู้ก็ขอให้ไม่รู้ต่อไป...ตลอดไปเลยเถอะนะ