ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป - โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL

รายละเอียด

ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

ผู้แต่ง

ณฬ่อล

เรื่องย่อ

สารบัญ

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 1 "ทะลุมิติ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 3 ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 2 ใบหน้า,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 3

เนื้อหา

โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา

 

 

เลอัสพาผมวิ่งออกมาทางประตูหลัง พวกเราเป็นเด็กที่ตัวสูงเกือบเท่ากันจึงเป็นเรื่องลำบากสำหรับเขาที่จะแบกผมพาดไหล่ไปแบบนั้น ดังนั้นหลังจากที่ผมยอมให้ความร่วมมือในที่สุด พวกเราก็เปลี่ยนมาเป็นการขี่หลังแทน

ผมอยู่ในท่ากอดต้นคอเขาในขณะที่เขาวิ่งหลบพวกศพเดินได้ไปมา ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงก่อนถึงจะเที่ยงคืน ผมกลัวเลอัสจะถูกพวกมันจับตัวได้ก่อนหน้านั้น ถึงในเกมเขาจะรอดมาได้จริงๆ แต่มันก็ไม่ได้รับประกันอะไรในตอนนี้

ในเนื้อเรื่อง...หลังจากที่โบสถ์ถูกบุก เลอัสจะหลบหนีไปมาอยู่ในหมู่บ้านจนเข้าสู่วันที่ห้า

“เข้าไปในป่าเถอะ” ผมบอกเลอัส “พวกเราตัวเล็กซ่อนตัวง่ายกว่า”

 

...

 

“ถ้าฉันตาย เอาฉันเข้าไปในหมู่บ้านแล้วเผาหมู่บ้านซะตกลงไหม อย่าทำเรื่องโง่ๆ อย่างการขุดหลุมฝังทีละคน”

เสียงผมดูแหบ อาจเพราะไม่ได้ขาดน้ำ คนที่แบกผมอยู่ไม่ได้ตอบกลับ เขาเพียงแค่กัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงบด บางทีเขาอาจจะโกรธที่ผมยอมแพ้ทุกอย่างง่ายดาย หรืออาจจะหวาดกลัวที่ต้องอยู่คนเดียว... ผมรู้ว่าสิ่งที่เราเจอมันน่ากลัวแต่ก็ไม่สามารถปลอบใจเขาได้...ผมไม่มีสิทธิ์นั้น--ไม่แน่ในขณะที่ร่างผมยังถูกเขาแบกไปมาอยู่

พวกเราหมอบลงกับพื้นขณะที่ร่างชาวบ้านหลายคนเดินผ่านไป กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งชวนให้คลื่นไส้ ผมคิดว่าตัวเองไม่สามารถได้กลิ่นได้อีกแล้ว แต่มันก็ยังชัดเจนอยู่ดี แต่ถึงแบบนั้นผมก็แยกไม่ออกว่ามันคือกลิ่นจากศพพวกนั้นหรือคือกลิ่นของตัวผมเอง

ผมแนบร่างตัวเองลงกับพื้นแล้วสังเกตก็เห็นถึงต้นหญ้าตรงหน้าที่กลายเป็นสีดำไปแล้ว

นี่คือผลของความมืด ในเกมบอกไว้แบบนั้น

บางทีมันอาจเป็นแค่ข้ออ้างของผู้พัฒนาเกมที่จะสร้างฉากแปลกตาและอลังการ แต่ในโลกนี้มันเกิดขึ้นจริง สีของหญ้าตรงหน้าผมเข้มลงจนกลายเป็นสีเทาและส่วนปลายมันเป็นสีดำ นอกจากนั้นขอบของมันยังดูคมเป็นริ้วๆ ดูแหลมคม มองผ่านๆ แล้วดูเหมือนเข็มที่แทงออกมาจากดิน

ผมสงสัยว่าถ้าไปแตะมันนิ้วจะเลือดออกรึเปล่า แต่โดยไม่ทันตั้งตัว แขนผมก็ขยับไม่ได้เสียแล้ว

เมื่อศพเดินได้พวกนั้นจากไปไกลจนไม่ได้ยินเสียง เลอัสก็เริ่มแบกผมขึ้นหลังอีกครั้ง

ร่างกายผมเย็นและชา เมื่อถูกยกตัว ตัวผมก็แนบเข้ากับหลังของเขา สัมผัสถึงอุณหภูมิที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“…หนาวจัง” ผมพึมพำ “ตัวนายอุ่นมากเลย”

เวลาตายของผมเข้ามาใกล้ทุกที

...หนาวมาก

...หนาว

 

...

 

ตอนที่เลอัสวิ่งไปตามป่า พวกเราเงียบกันมาก

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำลังซ่อนตัว เลอัสใช้สมาธิไปมากกับการหลบหลีกซากศพเดินได้พวกนั้น ส่วนผมก็กำลังใช้กำลังทั้งหมดเพื่อหายใจ

มันหายใจยากขึ้นทุกที

มันง่วง...เหมือนจะหลับ มันอึดอัดเหมือนถูกบีบสมอง แต่ผมยังไม่อยากตายตอนนี้...ไม่ขณะที่อยู่บนหลังของเลอัส ผมไม่อยากให้เมื่อเขาหันกลับมาแล้วเจอแต่ร่างไร้วิญญาณ ถึงเรารู้จักกันไม่นานแต่ผมก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มันคงเกินจะรับไหว

ผมไม่ควรตอบตกลงที่จะหนีมากับเขาเลย ความคิดแบบนั้นแล่นขึ้นมาตอนอ้วก น้ำย่อย น้ำเมือกและก้อนอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเลือดไหลออกมาจากคอผม เปื้อนลงเต็มหลังของเด็กผู้ชายตรงหน้า

ท่ามกลางความทรมาน ผมสงสัยว่าระหว่างผมกับศพพวกนั้น ใครจะล้มก่อน

 

 

ทุกอย่างดูเลือนราง แต่เราสามารถหนีมาจนถึงค่อนคืนได้

อีกไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างก็จะจบลง

เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเราก็ตัดสินใจพักผ่อน เลอัสวางผมให้นั่งลงบนก้อนหิน แต่ร่างผมอ่อนปวกเปียกผมล้มลงอย่างควบคุมไม่ได้จนต้องรบกวนเขามาช่วยจัดท่าให้

แผ่นหลังผมทาบกับหินก้อนใหญ่...มันให้ความรู้สึกอุ่นแม้ท่ามกลางความหนาวเย็นของค่ำคืน

สบายมาก

ทำให้ง่วงนอนมากด้วย

“หนาว....” ผมพึมพำอย่างควบคุมไม่ได้

แล้วหลับไป

 

...

 

เมื่อตื่นขึ้นมา ในหูผมเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น

ผมลืมตา แสงจันทร์ส่องลงมาเป็นสีแดง ท้องฟ้าทั้งหมดเป็นสีแดง--ทุกอย่างที่นี่ดูเป็นสีแดง มันเหมือนมีเลือดอยู่ทุกที่ ที่นี่ทั้งหมดราวกับนรก

 

“ฮึก—อย่าตายนะ อย่าตายนะ”

ยกเว้นคนตรงหน้าผมที่กำลังร้องไห้

เลอัสคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม

“ทำยังไงดี ทำยังไงดี--ฮึก”

ผมหายใจเข้าช้าๆ เหม่อมองน้ำตาที่หยดลงมาจากดวงตาสีเขียว

ดูสวยงามจนเหมือนไม่มีจริง

พวกมันดูเหมือนไข่มุก เหมือนเพชร ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร แต่เลอัสดูเหมือนภาพวาดมาก แบบที่ถูกศิลปินสร้างขึ้นมาอย่างตั้งใจและใส่หัวใจลงไปในนั้น

เห็นๆ อยู่ว่าพื้นที่รอบๆ ปกคลุมไปด้วยสีแดงและดำ แต่ราวกับว่ากำลังมีแสงสว่างเรืองรองออกมาจากตัวเขา มันทำให้นึกถึงดอกไม้สีขาวที่บานขึ้นจากซากศพ

“ฉัน...ควรทำยังไง” เด็กชายผมทองก้มหน้าลง ดูเคว้งคว้างและทำอะไรไม่ถูก

“…”

ผมเอง..

ผมไม่รู้ควรทำอะไรต่อเหมือนกัน

 

เดิมทีผมคิดว่าตัวเองจะตายในหมู่บ้าน แต่ดันกลายเป็นว่าถูกตัวเอกพาหนีมาตอนนี้เลยเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูก

ว่ากันตามเหตุผล ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดคือผมจะตายตอนเที่ยงคืน

“…”

แต่เมื่อคิดว่าแม้กระทั่งเรื่องของตัวเอกที่จะพยายามช่วยทุกคนในหมู่บ้านจนถึงวินาทีสุดท้ายยังเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องในเกมจะไม่ได้ตายตัวขนาดนั้น…

“…ทุกคนตายหมดแล้ว—ฉันเหลือแต่นาย ฮึก--”

ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโกหกแต่ก็รู้ว่ามีหลายคนในโบสถ์ยังไม่ตาย

เลอัสพยายามเดินเลี่ยงพวกเขาตอนอุ้มผมออกมา แต่ผมก็ยังเห็นอยู่ดี

ยิ่งคิดเรื่องนี้ยิ่งทำให้ใจสั่นสะท้าน เมื่อผมตระหนักว่าเลอัสทิ้งคนในหมู่บ้านเพื่อพาผมหนีออกมา...ถึงผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น แต่ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นจริง

มันเปลี่ยนแปลงได้

ในเนื้อเรื่องบอกว่าเลอัสจะอยู่ในหมู่บ้านจนถึงเที่ยวคืนวันที่ห้า แต่ตอนนี้เขาพาผมหนีเข้ามาในป่า

เนื้อเรื่องเปลี่ยนแปลงได้

…จริง...รึเปล่านะ

ผมเป็นคนบอกให้เลอัสเข้าป่าเองเพื่อพิสูจน์ แต่บอกตามตรงว่าก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี

“ทำยังไงดี—อย่าตายนะ อย่าตาย”

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงหรือห่างจากเที่ยงคืนไปมากแค่ไหน แต่บางทีถ้าผมรอดผ่านคืนนี้ไปได้...ผมอาจมีชีวิตอยู่

บางที...ผมอาจจะไม่ตาย

ความหวังลมๆ แล้งๆ เข้าครอบงำ

ผมรู้ว่าร่างกายตอนนี้ของตัวเองมันสภาพแย่มาก เหมือนเนื้อเน่าในตู้เย็นที่ขึ้นราไปหลายอาทิตย์...มันน่ารังเกียจจนชวนสงสัยว่าเลอัสยอมทนอุ้มผมไปมาได้ยังไง

ผมหายใจเข้าออกด้วยความพยายาม ใช้ทุกวินาทีเพื่อดึงสติตัวเองจากความทรมาณ

 

แต่...ถ้า...ถ้าผมรอดได้ล่ะ

“...เฮ้” ผมเรียกเขา เด็กชายตรงหน้าสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว จากนั้นเบิกตากว้าง—ผมเห็นความยินดีในตาคู่นั้น

“นาย...นาย”

“...เลอัส” ผมแทรก

“นายห้ามตายนะ—ถ้านาย...ฉันจะทำยังไง” เลอัสยังสะอื้นอยู่

“ฉันยังไม่ตายสักหน่อย หยุดร้องน่า” ผมเหลือบมองตัวเอง เพราะร่างกายชาเลยไม่รู้สึก แต่บนตัวผมมีผ้าห่มหลายผืนคลุมอยู่ ผมรู้สึกขอบคุณเมื่อเดาได้ว่าเลอัสเอามาคลุมไว้เพราะเสียงพึมพำว่าหนาวของผม

“…ฮึก—” ทำไมเด็กนี่ยังร้องไห้อยู่อีกล่ะ ผมขมวดคิ้ว ช่างเถอะ ตอนนี้มีเรื่องที่ผมต้องพิสูจน์อยู่

“นายรู้จักชื่อฉันไหม?”

“…” พ่อพระเอกของเราทำหน้าแตกตื่น แล้วก็กลายเป็นรู้สึกผิด เมื่อพิจารณาถึงบุคลิกของเขาแล้ว ตอนนี้เลอัสคงกำลังรู้สึกผิดที่ตัวเองจำชื่อเด็กในโบสถ์เดียวกันไม่ได้ทั้งที่ผมสามารถเรียกชื่อเขาออกมาได้ทันที

ไอ้หมอนี่ไม่รู้ว่าผมไม่ใช่เด็กในโบสถ์— เหมือนกับคนอื่นๆ เขารู้สึกลางๆ กับใบหน้าของผมเหมือนเพื่อนที่เคยผ่านหน้าแต่ไม่เคยคุยกัน

ดีมาก อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มั่นใจว่าเขาไม่รู้ว่าผมไม่ใช่สมาชิกในโบสถ์...ไม่ใช่ใครเลย เป็นแค่คนแปลกหน้า

“นาย...” เขาอ้าปากจะถามชื่อผม แต่ผมก็พูดขัดไว้

“…ถ้าฉันรอดไปถึงพรุ่งนี้เช้าได้จะยอมบอกนะ”

เด็กชายตรงข้ามผมน้ำตาไหลไม่หยุด

ผมพยายามเลิกสนใจมันแล้วเลือกถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยที่สุดแทน

“ทำไม...ถึงเลือกที่จะพาฉันออกมาล่ะ”

นี่คือสิ่งที่ผมสงสัย

เลอัสก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย “เพราะ...เพราะ...ตอนนั้นทุกคนตายหมดแล้ว...เหลือแต่นาย”

“…”

ไอ้ลูกหมานี่โกหกอีกแล้ว

แหงล่ะ ทุกคนตายหมดแล้ว หลังพวกเราหนีมาประตูโบสถ์ก็คงพัง ตอนนี้ทุกคนที่ยังไม่ตายก็คงตายหมดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมลังเลที่จะถามต่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมเลอัสถึงไม่ยอมบอกผมว่ามีคนอื่นรอดชีวิตอยู่อีกหรือทำไมถึงเลือกที่จะพาผมหนีออกมาคนเดียว...ถึงจะอยากรู้คำตอบ แต่ตอนนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่า

ผมอยากรู้ว่าเขาจะทิ้งผมรึเปล่า

พระเอกในเกมจะไม่ทิ้งเพื่อนของตัวเอง แต่เมื่อพิจารณาว่าทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงได้…

 

“…มาทบทวนดูสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก่อน” ผมหายใจเข้าลึก จากนั้นเริ่มไล่เรียงเหตุการณ์ “เหมือนที่หนังสือในโบสถ์บอก ครรภ์ความมืดของจอมมารกำเนิดขึ้นทำให้เกิดระลอกคลื่นมานาธาตุมืดจำนวนมหาศาล…”

“อืม...” เลอัสดูมึนงง

“มันทำให้ทุกคนป่วย ถ้าไม่ตายไปเลยแบบคนในโบสถ์ก็กลายเป็นศพเดินได้พูดได้เหมือนผู้ใหญ่ในหมู่บ้านพวกนั้น”

“…”

“ดูจากที่พวกเขาเดินไปมาในป่า...ฉันไม่แน่ใจว่าพวกนั้นรู้จำนวนที่แน่นอนของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไหม...ถ้าใช่ บางทีพวกเขา...พวกมันอาจจะหาเราอยู่...”

“สภาพตอนนี้ฉันป่วยและใกล้ตาย ส่วนนายคือเด็กที่น่าจะมีพลังแสงสว่างเลยไม่ป่วย แต่ถ้าโดนพวกศพเดินได้ฆ่าก็คงตายเหมือนกัน”

“…” เลอัสทำหน้าสิ้นหวัง

“พวกเราเป็นเด็กทั้งคู่ แถมฉันก็ขยับแขนขาไม่ได้ ถ้าโดนเจอเข้าก็สู้แรงพวกมันที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้...วิ่งหนีก็ไม่ทันแน่ๆ โดยเฉพาะตอนที่นายยังต้องแบกฉันอยู่”

“…”

เลอัสทำสีหน้าสิ้นหวังขึ้นทุกที

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ “...ทำไมนายทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

“เรื่องพวกนี้มันบ้า…ฉัน...ทำยังไงดี...พวกเรา”

“แค่ทิ้งฉัน”

เลอัสยังไม่มีปฏิกิริยา เหมือนยังไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไร

มือของผมรวบรวมแรงที่เหลืออยู่และซ่อนไว้ด้านหลัง จากนั้นอธิบายอย่างจริงจัง “ถ้านายทิ้งฉัน นายต้องวิ่งหนีทันแน่ ฉันจะช่วยตะโกนล่อพวกมันไว้ให้ นายแค่วิ่งไปทางเมืองก็พอ”

“...เอ๊ะ”

“ยังไงภายในคืนนี้ฉันก็ต้องตาย ก็แค่เปลี่ยนเป็นตายให้เป็นประโยชน์หน่อยเท่านั้นเอง”

“---ยังไง” เด็กชายที่ถูกเลือกโดยแสงสว่างมีสีหน้าบิดเบี้ยว

“แค่นายทิ้งฉัน” ผมพูดช้าๆ “นายจะรอด”

พระเอกของเกมจะไม่มีวันทิ้งเพื่อนของเขา

เลอัสในเกมคือผู้กล้าที่เกิดขึ้นจากเหตุการ์ณโรคระบาดแห่งความตาย เป็นดอกไม้แห่งแสงที่บานออกมาจากซากศพของหมู่บ้านที่เขาเกิด

เลอัสคนนั้นทุกข์ทรมาณอย่างมากในหมู่บ้านตลอดห้าคืนแห่งความตาย แต่เขาพยายามช่วยทุกคนทุกวิถีทาง เลอัสวิ่งไปมาในหมู่บ้าน หนีจากการถูกตามฆ่าและไล่ปฐมพยาบาลคนป่วยที่สาปแช่งเขา

ก่อนที่ทุกอย่างจะสลายไปเมื่อถึงเที่ยงคืน

ในช่วงสุดท้าย พลังแสงสว่างในตัวเขาก็ตื่นขึ้นขณะพยายามยื้อชีวิตชาวบ้านคนหนึ่งตอนเที่ยงคืน

ถึงจะช่วยใครไม่ได้เลย แต่การพยายามจนถึงจุดสุดท้ายนั่นคือเลอัสที่ผมรู้จัก

ผมอยากรู้ว่าอีกฝ่ายยังเป็นเลอัสคนนั้นอยู่ไหม

มันจะส่งผลต่อแผนที่ผมจะเลือกใช้

“ไม่ ฉัน...”

“…”

ผมกำลังรอตัวเลือกของเขา

“ยังไง...” เลอัสใบหน้าบิดเบี้ยวและดูสับสนมาก “นายพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง…”

“…”

“นายพูดให้ทิ้งนายแบบนั้นออกมาได้ยังไง…พูดออกมาแบบนั้นได้ยังไง” เขาดูโกรธ

“นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ฉันคิดออก”

“ไม่ มันต้องมีวิธีอื่น---ฉันกลัว นายก็กลัว นายไม่ได้อยากตาย...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ--ฉันไม่อยากมีชีวิตแบบนั้น---ถ้าฉันทำแบบนั้น ฉันจะต่างอะไรจากชาวบ้านที่กำลังตามฆ่าพวกเราล่ะ”

“…”

เลอัสยืนขึ้นด้วยความสับสนและพูดเสียงดัง “ฉันขอโทษที่จำชื่อนายไม่ได้ แต่ฉันเห็นแล้วว่าตั้งแต่มีโรคระบาดนายเป็นคนคอยสั่งทุกคน...นายฉลาดมาก ช่วยพวกเราไว้ตลอดทั้งที่นายก็ป่วย...ผิดกับฉันที่ร่างกายแข็งแรงดีแต่กลับช่วยใครไม่ได้เลย...ฉันเห็นนายอ้วกออกมาเป็นเลือดด้วยซ้ำตอนที่กำลังช่วยปฐมพยาบาลคนอื่น! นายเป็นคนดีมาก—นายไม่ควรตาย อย่าบอกให้ฉันทิ้งนาย--ฉันคิดว่านายต้องคิดออกแน่ นายฉลาดขนาดนั้น! วิธีการที่นายไม่ต้องเสียสละตัวเอง...—มันต้องมีสิ!”

“แต่นายอาจจะตายนะ”

“แต่ถ้าฉันทิ้งนายมันก็เหมือนกันนั่นแหละ!” เลอัสคำรามเสียงต่ำ มันดูไม่เหมือนคนที่กำลังต่อสู้กับความชั่วร้ายในใจของตัวเองเลย ราวกับว่าเขากำลังต่อสู้สุดตัวเพื่อหาเหตุผมมาหักล้างผมมากกว่า

เมื่อความสับสนหายไป เลอัสกระซิบบอกผม

“ถ้าฉันทิ้งนายแล้วหนีไป ฉันจะมีชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน ฉันจะกลายเป็นคนแบบไหน”

ผมเงยหน้ามองเขา

เลอัสสบตากับผม ดวงตาสีมรกตเปล่งประกายราวดวงดาวขณะที่เขาพูด

“ฉันจะไม่ทิ้งนาย”

"..."

"พวกเราจะต้องรอดไปด้วยกันได้แน่"

ไหล่เล็กๆ นั่นยืดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางนรกสีแดง เสื้อผ้าของเขาเปรอะเปื้อนคราบสกปรกจนดูไม่ต่างจากขอทาน เขาดูเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองพูดมาจริงๆ--โดยไม่สนใจถึงสภาพของผมที่เป็นคนใกล้ตายหรือสถานการณ์ของพวกเราที่น่าสิ้นหวังเหลือเกิน

“…”

ว้าว

มีแสงสว่างอยู่ตรงหน้าผม

ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก แต่มันทำให้ผมรู้สึกตาพร่าอย่างช่วยไม่ได้

เขายังเป็นเลอัสคนนั้นอยู่ ถึงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกจะทิ้งคนในโบสถ์แล้วพาผมหนีมา แต่บางทีมันอาจมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างก็ได้... หรือบางทีตอนนั้นผมอาจจะมองผิดไป?

โรคจากความมืดทำให้เห็นภาพหลอนได้เหมือนกัน...

ไม่

“ฉันเห็นคนอื่นในโบสถ์…พวกเขายังไม่ตาย”

“…”

เลอัสมีสีหน้าตกใจและหวาดกลัวขึ้นมา มันยืนยันว่าสิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่ภาพหลอน

“เกิดอะไรขึ้น”

ผมไม่ได้กล่าวประณามเขาแต่เปิดให้เขาอธิบาย ถ้าเขาเป็นเลอัสคนนั้น...เขาไม่มีทางทิ้งคนอื่นอยู่แล้ว

เลอัสทำสีหน้าลำบากใจ “พวกเขา...ตายแล้วจริงๆ ...กลายเป็นเหมือนชาวบ้านนอกโบสถ์ โดนความมืดทำให้อยากทำร้ายคนอื่น”

“ตายแล้ว? ทำร้ายคนอื่น?” ในเนื้อเรื่องเด็กในโบสถ์ไม่ได้ถูกความมืดควบคุม เลอัสจะพยายามรักษาพวกเขาอย่างสุดความสามารถด้วย

“พวกเขาพยายามถ่มเลือดใส่ฉัน”

“…” นั่นเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง

“ความมืดควบคุมพวกเขาให้ทำร้ายคนอื่น...พวกเขาสาปแช่งฉันเพราะฉันไม่ป่วย”

“…” นั่นเป็นพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นของมนุษย์ในช่วงโรคระบาด ผมมึนงง “พวกเขาอาจแค่เครียดเพราะตัวเองป่วย...”

“นายก็ป่วยแต่นายไม่ได้ทำแบบนั้นเลย มีแค่นายคนเดียวที่ยังไม่ถูกความมืดครอบงำ…ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่อาจเป็นเพราะนายเป็นคนดีมาก...ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”

“…”

“พวกเขาถูกความมืดครอบงำไปแล้วจริงๆ”

“…….”

เวร

ในเนื้อเรื่องปกติ เลอัสจะเข้าใจเพื่อนของเขาและพยายามรักษาต่อไป แต่พอมีผมที่ไม่แสดงอาการอะไรเลยเป็นตัวเปรียบเทียบ ฝั่งผู้ป่วยปกติเลยดูหนักขึ้นจนกลายเป็นศพเดินได้

ยิ่งเมื่อผมบอกเขาเกี่ยวกับครรภ์ความมืดยิ่งทำให้แย่ลง เลอัสเหมารวมทุกคนที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเป็นผู้ถูกความมืดครอบงำโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายไม่เข้าใจถึงความชั่วร้ายในเวลาคับขันของมนุษย์เลยอิงผมเป็นตัวอย่าง

ผลคือเลอัสเชื่อว่าผมเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกครอบงำ

“…อา” เผชิญหน้ากับดวงตาสีเขียวที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเพิ่งปล่อยคนในโบสถ์ตายไปด้วยความเข้าใจผิด

ดังนั้นแล้วผมจึงได้แต่ยิ้มราวกับกำลังขอโทษ

“พวกเขาคง...ถูกความมืดกลืนกินไปแล้วจริงๆ ด้วย...”

ผมขอโทษจริงๆ

“ขอโทษที่ฉันสงสัยนายนะ”

“อืม ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่กลัวนายเสียใจเลยไม่ได้บอกน่ะ” เลอัสยิ้มตอบ แล้วจึงมีสีหน้าหมองลงเมื่อนึกถึงว่าเพื่อนคนอื่นๆ กลายเป็นซากศพคลั่งที่จ้องจะทำร้ายคนอื่น

ความรู้สึกผิดอันดำมืดครอบงำตัวผม

“แบบนี้เอง...ขอบคุณนะ" ผมยิ้มออกมา

ผมภาวนา

เรื่องที่ไม่รู้ก็ขอให้ไม่รู้ต่อไป...ตลอดไปเลยเถอะนะ