ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป - ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL

รายละเอียด

ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

ผู้แต่ง

ณฬ่อล

เรื่องย่อ

สารบัญ

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 1 "ทะลุมิติ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 3 ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 2 ใบหน้า,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 3

เนื้อหา

ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ

 

 

เลอัสเดินผ่านเสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยใบหน้าซีดขาว

ทางเดินทอดยาวนี้ถูกย้อมไปด้วยสีส้มทองเรืองรอง มันเป็นแสงของยามเย็น สีของดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า...เคยสวยงามนักในสายตาเขา แต่บัดนี้ราวกับว่ามันคือเลือดไหลย้อมทั่วบริเวณและทำให้กลายเป็นสีแดง

ร่างและซากเน่าที่กรีดร้องอยู่บนพื้น ก้อนเนื้อบางก้อนยุบพองจนแทบดูไม่ออกว่าเคยเป็นมนุษย์มันเปิดช่องบางอย่างที่ดูคล้ายปากที่ติดอยู่รอบตัว ปากเหล่านั้นอ้าหุบราวหายใจ และราวกับกำลังกระซิบด้วย

‘--’

เลอัสได้ยินเสียงชื่อของเขาอย่างแปลกประหลาด ดวงตาสีมรกตฉายแววตื่นตระหนก เด็กชายรีบเดินผ่านไป

ในมือของเขาถือกล่องพยาบาลที่ว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว คนป่วยมากเกินไปและสถานการณ์สิ้นหวังเกินไป อันที่จริงตอนนี้เด็กชายก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตนเองจะเดินถือมันไปมาทำไม

เขาทำอะไรไม่ได้เลย

 

เลอัสเม้มปาก

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่มีอาการอะไรเลย แต่เพราะแบบนั้นยิ่งทำให้ทุกอย่างน่ากลัว

คนที่ป่วยวิ่งเข้ามาหาเขา อาเจียนใส่ เอาเลือดป้ายตามเสื้อผ้า ทำทุกอย่างให้เขาติดเชื้อ

แต่เขาไม่ติด เด็กชายยังคงแข็งแรงดี

สวนทางกับคนรอบตัวที่ล้มลงทีละคน

 

เชิงเทียนบนผนังส่องประกายล้อแสงยามเย็น มันได้รับการขัดถูอย่างดีมาตลอดจนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ประกายแวววาวของทองแดงสะท้อนเข้ามาในตาของเขา แท่งเทียนไขบนนั้นละลายไปจนหมดแล้วโดยไร้ซึ่งคนนำมันมาเปลี่ยน ดังนั้นในยามกลางคืน มันจะราวกับว่าความมืดได้กลืนกินที่นี่ลงไป

เท้าเลอัสบังเอิญเหยียบลงบนแอ่งเมือกสีดำ เขาชักเท้าหนี เสียงอาเจียนดังมาจากอีกมุมหนึ่ง เด่นชัดราวอีกฝ่ายกำลังคลานเข้ามาหาเขา

 

เขาเดินไปทั่ว ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้ควรทำอะไร โบสถ์ตอนนี้เหมือนก้อนเนื้อที่กำลังเน่าเสีย หนอนและแมลงรอกัดกินจากนอกและเชื้อราเริ่มจากภายใน

เลอัสพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เขารู้ว่าการร้องไห้ช่วยอะไรไม่ได้ ช่วยคนพวกนี้ไม่ได้ ช่วยหลวงพ่อไม่ได้ ช่วยศพที่กองอยู่แทบเท้าเขาไม่ได้

“…เลอัส..—เลอัส ช่วยฉัน ช่วยฉันด้วย!” เสียงแหบแห้งดังขึ้นอีกมุมหนึ่ง มันคือเพื่อนของเขาในโบสถ์

ใบหน้าเน่าสลายไปครึ่งหนึ่งฉีกยิ้มให้เขาอย่างประจบประแจง มันทำให้เลอัสขนลุก

“มานี่สิเพื่อน มาใกล้ๆ ฉัน”

“…”

“…มานี่เลอัส มานี่เร็วเข้า นายแข็งแรงขนาดนี้ต้องช่วยฉันได้แน่ พาฉันไปหาหมอเร็ว แบกฉันไปที่เมือง นายช่วยฉันได้แน่”

“…”

“ช่วยฉันด้วยเลอัส ช่วยฉัน แอ่ก”

อีกฝ่ายอาเจียนก้อนเลือดออกมา ก้อนเลือนนั่นขยับไปมาจากนั้นไส้เดือนสีดำที่อยู่ข้างในก็เริ่มคลานบนพื้นเคลื่อนที่เข้าใกล้เขา

น่ากลัว

เลอัสไม่ได้เดินเข้าไป เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ไม่มีใครที่นี่มีความหวังที่จะรอดชีวิตอีกแล้ว

มีแต่จะพยายามลากให้เขาตายไปด้วย

“มา..มานี่สิเลอัส เพื่อน เพื่อนรัก—เราเป็นเพื่อนรักกันนี่” อีกฝ่ายคลานไปตามพื้นเหมือนไส้เดือนเมื่อครู่ ลากตัวเองเข้ามาใกล้เขา รอยน้ำเมือกสีดำถูกทิ้งไว้เป็นทางยาวเต็มไปด้วยของเน่าเสีย กลิ่นเหม็นสาบคลุ้งจนไม่อาจหายใจได้

เพื่อนอาเจียนอีกครั้ง

เลอัสยืนนิ่ง

“มาเร็วเพื่อน นายเป็นเพื่อนฉัน ดังนั้นนายจะช่วยฉันใช่ไหม”

เด็กชายไม่ได้ตอบอะไร

จากนั้นอีกฝ่ายก็ปาก้อนเลือดนั่นใส่เขา

“ทำไมแกถึงไม่เป็นอะไรเลย!” เขาได้ยินเสียงอีกคนคำราม “แกเดินไปเดินมา อยากอวดรึยังว่ายังไม่ป่วย?! ไอ้เวรเอ้ย!!”

“…”

“แกโดนเลือดฉันไปแล้ว แกต้องป่วยแน่! แกต้องเป็นแบบฉัน! แบบพวกเรา! แฮ่ก! แก..—ต้องตาย ตาย...อ่อกก” เสียงนั้นค่อยลงเรื่อยๆ จากนั้นกลายเป็นเสียงอาเจียน

กลิ่นเหม็นเปรี้ยวผสมกับกลิ่นเน่า เลอัสจมูกด้านชาจนไม่รู้สึกอะไรอีก

เด็กชายเดินจากไป

 

ที่นี่มันเน่าเสียไปแล้ว

ทุกคนที่เขาพยายามช่วย...ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาติดเชื้อ…เพื่อให้เขาตายไปด้วยกัน

เสื้อผ้าสีขาวของโบสถ์เปรอะเปื้อนด้วยคราบอาเจียนและเลือด มีคนแบบเมื่อครู่หลายคนทีเดียว

ในช่วงแรกที่ยังไม่ตระหนักรู้อะไร...เลอัสพยายามช่วยพวกเขาอย่างสุดความสามารถ

จบลงที่รอยเปื้อนบนเสื้อผ้า ใบหน้า แขนขา

และเสียงสาปแช่ง

“เลอัสทำไปแกถึงไม่ป่วย?!!”

“ตายสิเลอัส ตายไปกับฉัน!...กับพวกเรา!!”

“…เลอัส..—เลอัส ช่วยฉัน ช่วยฉันด้วย!”

 

“ตาย! มาตายด้วยกันเถอะ!!”

 

“…”

 

มันเหม็น มันอยากอ้วก

 

เขาเดินจนถึงชั้นบนของโบสถ์ เข้าไปยังห้องที่มีหน้าต่างบานใหญ่...มันเคยเป็นห้องดนตรี จนกระทั่งทุกคนขนทุกอย่างที่เป็นไม้ออกไปที่สวนเพื่อเผาศพ

ห้องนั้นกว้างขวาง มีแสงส่องไปทั่ว

เลอัสสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นเขาพบว่ายังคงได้กลิ่นเหม็นเน่าอยู่ดี

แล้วเขาก็พบว่าที่หน้าต่าง...บนเก้าอี้ไม้...มีเด็กอีกคนนั่งอยู่

“…”

ดูจากรูปร่าง อีกฝ่ายคงอายุไล่เลี่ยหรือเท่ากับเขา เส้นผมสีดำราวขนอีกา ดวงตาสีเดียวกันเหม่อออกไปด้านนอก ผิวซีดขาวจนไร้ซึ่งสีเลือด

อีกฝ่ายดูสงบนิ่ง เลอัสเกือบจะสงสัยว่าคนตรงหน้าไม่ได้ป่วยเช่นเดียวกับเขา

จากนั้นเขาถึงเห็นคราบหนองที่ซึมออกมาผ่านเสื้อ...คราบอาเจียนบนพื้น

อีกฝ่ายป่วย...แต่...

เลอัสเหมือนได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วๆ คล้ายเสียงกรนเบาๆ มันราวกับว่าปอดของอีกฝ่ายถูกย่อยจนไม่สามารถหายใจปกติได้

เขาไม่รู้จักคนๆ นี้

เลอัสคิดว่าเขาไม่คุ้นกับคนตรงหน้าเลย แผ่นหลังนั่น เสียงลมหายใจนั่น ท่านั่งแบบนั้น ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าจากเสื้อผ้าว่าอีกฝ่ายก็เป็นเด็กในโบสถ์

เขาจำชื่ออีกฝ่ายไม่ได้เลย...ราวกับว่าไม่เคยรู้มาก่อน

ราวกับว่าเขาเหมือนเคยเห็นอีกฝ่าย แต่ก็จำไม่ได้เลย

เลอัสสับสน

ไม่สิ เขาจำได้

เด็กคนนี้เองที่เป็นคนสั่งให้พวกเขาเผาศพ เป็นเด็กคนนี้เช่นกันที่สั่งให้พวกเขายกของไปขวางหน้าประตูไว้ และเขาเหมือนเห็นด้วยว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่คอยดูแลคนอื่นๆ ที่ป่วยบนเตียงในช่วงแรกๆ

ราวกับภาพสีขาวดำที่อยู่ๆ ก็เด่นชัดขึ้นมา

เพราะอยู่ในช่วงสิ้นหวังและสับสน เลอัสจึงไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นคนคุมสถานการณ์ในตอนนั้น แต่เมื่อมานึกดูแล้ว ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะช่วยทุกคนไว้ เป็นผู้นำที่กู้สถานการ์อันสิ้นหวังมาตอนสี่วันนี้

...ถึงแม้ว่าสุดท้ายทุกคนก็มาทยอยตายอยู่ดีเพราะโรคระบาด

 

แต่ว่า...

ไม่คุ้นเลย

ในความทรงจำของเขา...ไม่มีใครที่ดู...เงียบสงบขนาดนี้

เขายืนนิ่งเงียบอยู่นาน สับสนกับความรู้สึกและอารมณ์ของตนเอง ซึ่งทางเด็กคนนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวอะไร ไม่รู้ว่าเป็นหนึ่งในอาการป่วยด้วยหรือไม่

ใช้เวลานานมากกว่าเลอัสจะมีความกล้าเข้าไปทักอีกฝ่าย

เมื่อได้พูดคุยกัน ทั้งที่เห็นชัดๆ ว่ารอยเมือกดำเปื้อนไปบริเวณ แต่ราวกับว่ามัน...เบาลง

คล้ายว่าแม้กระทั่งอากาศก็สะอาดขึ้นเมื่ออยู่ตรงหน้าคนๆ นี้

ภาพของอีกฝ่ายนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างฝังลึกลงไปในดวงตาเขา บรรยากาศที่สงบเงียบยามพระอาทิตย์ตก ไม่ว่านานแค่ไหน เลอัสก็ไม่อาจลบเลือนไปได้เลย