ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป - โรคระบาดจากความมืด 3 โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย,พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL

รายละเอียด

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

ผู้แต่ง

ณฬ่อล

เรื่องย่อ

สารบัญ

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 1 "ทะลุมิติ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 3 ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 2 ใบหน้า,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 3

เนื้อหา

โรคระบาดจากความมืด 3

 

 

 

ต่อไป... ถึงเวลาสำรวจตัวเอง

ผมหายใจเข้า เสียงที่ลอดผ่านจมูกดูเหมือนเสียงกรนของแมว ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าอวัยวะภายในเป็นอย่างไรแต่ก็คิดว่าคงไม่น่าจะมีอาการดี…

แขนขาผมชาและขยับไม่ได้ ส่วนที่ใช้การได้มีแค่ส่วนคอขึ้นไปเท่านั้น ผิวซีดขาวปนม่วงดำ ร่างกายเน่าเหม็นเหมือนเนื้อเสียแถมยังทั้งอ้วกทั้งกระอักเลือดออกมาไม่หยุด

ต่อให้เป็นแบบนั้น...

“ฉันคิดว่าฉันยังมีโอกาสที่จะรอด” ผมพูดออกมา

ตาผมพร่าเบลอไปหมด แต่นัยน์ตาสีมรกตนั่นยังดูเปล่งประกายแวววาวเหมือนดวงดาว

เมื่อมองใบหน้าของเขา มันเหมือนเลอัสดูพร้อมจะทำทุกอย่างที่ผมบอก

อืม...ดีมาก

ผมดีใจที่เลอัสอยากให้ผมรอดไปด้วยกัน เพราะถ้าเขาเลือกที่จะทิ้งผมทุกอย่างจะยากขึ้นมาก..บางทีผมอาจไม่รอด

จิตวิญญานภายในกรีดร้องหาทางรอด ผมดึงมันไว้เหมือนเส้นด้ายสุดท้าย

ในโลกที่ถูกความมืดกลืนกิน การอยู่ข้างผู้ถูกเลือกจากแสงดูเหมือนจะกลายเป็นทางรอดเดียว

 

“เอาล่ะ อย่างแรกที่เราต้องทำคือ...” ผมพูดขณะที่เลอัสพยักหน้าซ้ำๆ อย่างรอคอย

“...เปิดกระเป๋า หยิบผ้าห่มออกมา”

“ได้เลย! แล้วไงต่อ?” เลอัสกางผ้าห่มออกอย่างรวดเร็ว

“เอามาห่อตัวฉัน”

“?”

“…มันหนาว”

“…อา”

“…”

หยุดทำหน้าเหมือนโดนหลอกได้ไหม ไอ้เด็กธาตุแสงนี่

 

 

“เหมือนที่บอกไป นายมีพลังธาตุแสง” ผมที่ห่อตัวด้วยผ้าห่มจนกลายเป็นดักแด้พูดน้ำเสียงเคร่งขรึม “พลังแห่งแสงมักถูกแสดงออกมาด้วยลักษณะของเวทมนตร์—นั่นคือสิ่งที่ในหนังสือบอกไว้”

เลอัสพยักหน้าหงึกหงักเหมือนนักเรียนฟังอาจารย์

“ดังนั้นวิธีแก้ที่ง่ายที่สุดตอนนี้ของเราคือให้นายใช้เวทมนตร์แสงรักษาฉัน” ทุกอย่างสมเหตุสมผลและฟังดูง่ายมาก...เสียอย่างเดียว

“…แต่ฉันไม่รู้วิธีใช้เวทมนตร์?”

เลอัสไม่รู้วิธีใช้เวทมนตร์

“นายรู้วิธีใช้เวทมนตร์ไหม?”

และผมก็ไม่รู้วิธีใช้เวทมนตร์

“……”

ในเกมมันใช้วิธีกดEน่ะสหาย นายลองเช็คดูซิว่ามีปุ่มอะไรงอกอยู่บนตัวบ้างรึเปล่า

“เอาเถอะ กลับมาที่วิธีพื้นฐาน”

“พื้นฐาน?”

“เราอาจจะต้องแข่งกับเวลาสักหน่อย แต่มีความเป็นไปได้ว่า ถ้าหากพวกเราสามารถออกจากเขตความมืดตรงนี้ได้ก่อนเที่ยงคืน...”

“เขตความมืด...”

เลอัสพยักหน้าหงึกหงักสื่อว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง “ก็คือพวกเราแค่หนีออกไปจากที่นี่ก็พอสินะ”

“อืม...”

ฟังดูง่าย แต่อันที่จริงนี่คือวิธีที่เสี่ยงที่สุด

เพราะในเกมไม่มีฉากนี้

มันหมายความว่าผมกำลังทำสิ่งที่ไม่สามารถการันตีความสำเร็จใดๆ ได้เลย เอาชีวิตเลอัสมาล้อเล่น ลากคนที่มีโชคชะตาอันสว่างไสวให้มาอยู่กับคนใกล้ตายอย่างผม

ผมอ้าปากช้าๆ “มัน...อาจจะไม่ได้ผล”

พวกเราอาจจะตายทั้งคู่ ทั้งที่อีกคนหนึ่งควรจะรอด

“ไม่เป็นไร เชื่อฉันสิ”

เลอัสยิ้มสว่างไสว ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงมั่นใจแบบนั้นได้ พวกเราเพิ่งเจอกันไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ

มองดวงตาสว่างไสวและสะอาดบริสุทธิ์อย่างไม่น่าเป็นไปได้ หัวใจผมเจ็บปวด

ความรู้สึกผิดผสมกับความหงุดหงิดปกคลุมไปทั่วใจผม สุดท้ายแม้กระทั่งน้ำเสียงของตัวเองก็ยังกลายเป็นขุ่นมัว

“นายมันโง่”

“อื้ม! พวกเราไปกันเถอะ”

ร่างที่ขยับไม่ได้ของผมถูกอุ้มขึ้นมา คราวนี้เป็นการอุ้มข้างหน้าเพราะผมไม่มีแรงจะเกาะไหล่เขาด้วยซ้ำ

“นายมันโง่ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย”

“อืม ขอโทษด้วยนะ”

ผมด่าเขา แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้ม