ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป - โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้ โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL

รายละเอียด

ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

ผู้แต่ง

ณฬ่อล

เรื่องย่อ

สารบัญ

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 1 "ทะลุมิติ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 3 ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 2 ใบหน้า,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 3

เนื้อหา

โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้

พวกเราตายแน่ พวกเราตายแน่ๆ เวรเอ๊ย

ผมได้ยินเสียงใบไม้รอบตัวเคลื่อนไหว เสียงกรีดร้อง เสียงหัวเราะและคำรามฟังไม่ได้ศัพท์ พวกมันดังเสียดแทงในโสตประสาทของผม กลิ่นคาวเลือด กลิ่นเหม็นเน่าจากซากศพ ความเจ็บปวดจากร่างกาย...ทุกอย่างนั้นช่างชัดเจน ผมสัมผัสได้ถึงทุกสิ่ง พวกมันประดังเข้ามาเหมือนน้ำหลาก และซัดเข้าไปในสมองของผมจนทำให้แทบบ้า

ความตึงเครียดแผ่โอบล้อมพวกเรา จนแม้กระทั่งเสียงหัวใจด้วยความหวาดกลัวยังดังเกินไปที่นี่

พวกมัน...คนในหมู่บ้านเดินอยู่รอบตัวเรา ผมไม่รู้ว่ามันรู้สึกถึงเราจากอะไร อาจเป็นกลิ่นหรือเสียงก็ได้ ผมไม่รู้เลย ข้อมูลที่ผมมีอยู่ไม่เคยระบุถึงเรื่องพวกนี้

แต่สิ่งที่แน่ชัดคือศพพวกนั้นกำลังตามหาเราแน่ๆ

เรื่องราวในต้นฉบับที่เลอัสช่วยคนอยู่ในหมู่บ้าน พวกมันก็อยู่ในหมู่บ้านเช่นกัน และตอนนี้เมื่อเราออกมา พวกมันก็ออกมาด้วย ดังนั้นเลยสามารถอนุมานได้ว่าพวกสิ่งเหล่านี้มีวิธีการบางอย่างที่สามารถตามหาตัวคนที่ยังรอดอยู่ได้

โชคดีที่ดูเหมือนมันจะไม่แม่นยำมากนัก เพราะแม้กระทั่งตอนนี้มันก็ยังไม่เจอเรา...อาจจะเดินเฉียดไปบางครั้ง แต่อย่างน้อยก็ยังไม่เจอ

พวกเราเบียดซุกตัวกันอยู่ในโพรงไม้ โพรงนี้ด้านในเล็กมากแถมยังเปิดโล่ง ถึงจะมีพุ่มไม้ปกคลุมอยู่บ้างแต่หากพวกมันเดินสังเกตเห็นเข้าละก็—

โพรงนี้เป็นทางออกเดียว พวกเราไม่สามารถหนีไปไหนได้เลย

เสียงลากเท้าดังขึ้นด้านข้าง เลอัสยิ่งกอดผมไว้แน่นขึ้น

เด็กผู้ชายโง่คนนี้ใช้ตัวเองขวางไว้ด้านหน้าโพรง ใช้หลังเป็นกำแพงเนื้อป้องกันอีกชั้นหนึ่งให้ผม

ผมไม่ได้บอกเขาหรอกว่าขอแค่พวกมันเจอเรา พวกเราทั้งสองคนก็จะถูกลากออกไปด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็คงไม่มีใครรอดทั้งนั้น

สมรรถภาพทางร่างกายของเด็กไม่มีทางเท่าผู้ใหญ่ได้อยู่แล้ว แถมอีกฝั่งก็ยังปลดล็อคความสามารถไปเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ไปแล้วด้วย

ถ้าถูกเจอตัวเข้าแล้วละก็...ไม่มีหวังเลย

อะไรจะเกิดขึ้นนะ... ผมรู้ว่ามันไม่ควรคิด แต่ก็ไม่อาจห้ามสมองตัวเองได้ ในเกม ผมเคยเห็นศพของตัวละครหลายตัวถูกจอบฟันหัว บางทีศพที่ใช้จอบอาจแข็งแกร่งเป็นพิเศษซึ่งสามารถฆ่าคนได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

หากต้องตายละก็ ผมก็อยากตายแบบนั้น

สิ่งที่ต้องกลัวที่สุดเมื่อถูกจับได้คือเราไม่ได้ตาย

มีคุณป้าอยู่คนหนึ่งที่ชอบใช้ตัวดึงหมุดมาดึงเล็บคน คนที่ชอบลอกหนังออกมาเย็บเป็นเสื้อผ้า เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่มีถือหัวคนเดินไปเดินมา...

ผมควรหยุดคิดสักที แต่ในหัวยังวิ่งไปมาไม่หยุด

มันควบคุมไม่ได้

ผมรู้ว่าสภาพอารมณ์ของผมตกต่ำลงอย่างมากจากการกัดกร่อนของความมืด แต่นี่มันมากกว่าที่คิด ถึงจะไม่ได้อารมณ์รุนแรงและควบคุมไม่ได้เหมือนเด็กคนอื่นในโบสถ์ แต่ผมก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เลื่อนลอยไร้สติขนาดนี้เลย

ทุกอย่างบ้าคลั่งอยู่ในหัวของผม เหมือนมีถังขยะเน่าๆ ถูกเทรวมกันไว้ภายใน ทำให้แทบคิดอะไรไม่ออก

ความหนาวเย็นที่รู้สึกมาตลอดก็หายไปแล้ว มันไม่ได้หายไปในทางที่ดีแน่ ร่างกายผมไร้ความรู้สึก แทบจะกลายเป็นซากร่างตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป

ผมนึกไม่ออกเลยว่ามันจะสามารถรักษาได้จริงรึเปล่า ถึงเราจะรอดไปได้ แต่หากว่าผมจะต้องเป็นอัมพาตไปตลอดกาล—

บางทีผมอาจจะควรตายไปตั้งแต่แรก

ตาย

ตายเดี๋ยวนี้เลยสิ!

ตาย!ตาย!ตาย!

ตาย!ตาย!ตาย! ตาย!ตาย!ตาย!

.................

.........

....

อุ่น

แรงลูบที่คอเบาๆ ดึงสติผมขึ้นมา ลมหายใจเฮือกของผมแทบสำลักอยู่ในคอ

“…”

ผมนิ่งค้าง รู้สึกเหมือนตื่นจากฝันร้าย แต่ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นจริง

เลอัสยังนั่งนิ่ง เกร็งตัวไปหมดอยู่แบบนั้น ด้านหลังปิดปากโพรงไว้เป็นกำแพงเนื้อ แขนก็ยังกอดผมไว้แน่น

มืออีกฝ่ายลูบที่หลังคอผมเบาๆ ....ซ้ำไปซ้ำมา ทำท่าทางเหมือนกำลังกล่อมเด็ก

ไม่มีคำพูดอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา

“……..”

ผมไม่รู้ว่าทำไมเลอัสทำแบบนี้ แต่มันอุ่น...อุ่นมาก

ผมเอนหัวไปซบไหล่เขา ไอ้เด็กโง่นั่นชะงักนิดหน่อยแล้วก็ลูบคอผมต่อไปอย่างรู้ตัว

ตึกตัก ตึกตัก

เสียงหัวใจดังมาก อาจเป็นเพราะความกลัวก็ได้

แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งฟังผมกลับยิ่งรู้สึกว่าหัวใจสงบลง

เสียงคำรามหรือหัวเราะอันบ้าคลั่งด้านนอกยังดังลอดเข้ามา เสียงโลหะฟันเข้ากับเนื้อหรือต้นไม้ บรรยากาศรอบด้านยังคงมืดมนจนอยากอาเจียน

แต่ผมไม่สนใจอีกแล้ว

ผมเพ่งประสาทสัมผัสทั้งหมดไปที่เลอัส ฟังเสียงหัวใจเป็นจังหวะของเขาดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับกำลังจับที่ยึดเหนี่ยวหลังตกลงไปในพายุ

สัมผัสลูบหลังคอ เบามาก...สบายเหมือนน้ำอุ่นในฤดูหนาว

ตึกตัก ตึกตัก

ทุกอย่าง...เงียบงันลง

ราวกับว่าโลกทั้งใบเหลือเพียงโพรงไม้โง่ๆ นี่เท่านั้น