ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป - โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย,พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL

รายละเอียด

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

ผู้แต่ง

ณฬ่อล

เรื่องย่อ

สารบัญ

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 1 "ทะลุมิติ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 3 ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 2 ใบหน้า,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 3

เนื้อหา

โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม

 

ช่วงเวลาในโพรงไม้นั้นเนิ่นนานในความรู้สึก ผมไม่มีเครื่องมือหรือสัญลักษณ์ใดที่จะสามารถใช้บอกเวลาได้

ความทรงจำของผมไม่ชัดเจนนัก มันวูบดับเป็นช่วงราวกับทนไม่ไหว สภาพเหมือนเป็นหลอดไฟเก่าที่ใกล้เวลาสิ้นสุดการใช้งานสักที

“….”

หลังจากเรียกสติตัวเองขึ้นมาได้ในที่สุด ผมตระหนักว่าเมื่อครู่สภาพอารมณ์ตนเองถูกกัดกร่อนจนแทบเสียสติแล้ว

หากไม่มีเลอัสรั้งไว้ในวินาทีสุดท้าย บางทีผมอาจกลายเป็นเหมือนศพข้างนอกนั่น

ผมมองเด็กธาตุแสงที่ยังอยู่ในท่าเดียวกับครั้งล่าสุดก่อนที่ผมจะหมดสติไป เลอัสอยู่ในสภาพเหนื่อยล้ามากตอนนี้ หน้าซีดไปหมด แม้กระทั่งริมฝีปากยังแทบไร้สี มองผ่านๆดูแล้วเหมือนถั่วงอกเหี่ยวๆต้นหนึ่ง

นั่นคือสิ่งที่คาดเดาได้...มันไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่เด็กอายุ 12 คนหนึ่งจะต้องแบกร่างของเด็กอายุเท่ากันวิ่งไปวิ่งมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งตอนนี้พวกเรายังอยู่ในสภาพกดดันถึงขีดสุด จิตใจที่ถูกขึงตรึงมานานติดต่อกันคงใกล้ขาดแล้ว

ผมอยากลูบหัวปลอบเขา แต่จนใจที่ขยับแขนไม่ได้

สุดท้ายเลยได้แต่เงยหน้าขึ้น สบดวงตาสีเขียวที่ฉายแววฉงนใจ จากนั้นแลบลิ้นให้

“….”

เลอัสเบิกตากว้าง มองอยู่นานมาก แต่ในที่สุดเขาก็ยิ้มอย่างทนไม่ไหว

ตัวเขาเกร็งขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ

ผมเก็บลิ้นเข้าปาก กลืนก้อนเลือดที่จุกอยู่ในคอเข้าไป ทำราวกับมันไม่มีอยู่

ผมต้องการส่งสัญญาณว่าพวกเรายังไม่ได้สิ้นหวัง ถึงตอนนี้ผมจะยังนึกอะไรไม่ออก

ทันใดนั้นพวกศพด้านนอกก็เริ่มร้องเพลงพร้อมกันราวกับนัดกันมา เพลงพวกนั้นทำให้บรรยากาศรอบด้านหนักขึ้นและบิดเบี้ยวอย่างอธิบายไม่ได้ ทำนองของมันรื่นเริงราวงานเทศกาล แต่ภาษาที่ใช้กลับผิดแปลกอย่างมาก

ผมไม่สามารถบรรยายภาษาภายในเพลงหรือทำนองที่มันกำลังเล่นไปได้ เพียงรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งปกติ

เพียงแค่เผลอตั้งใจฟังเพียงเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกเหมือนถูกขยี้โสตประสาท สภาพเหมือนถูกบังคับให้ใส่หูฟังซึ่งเปิดเสียงชอล์กขูดกระดานซ้ำไปซ้ำมาแบบเปิดเสียงดังสุด เพียงแต่ความทรมานในตอนนี้ให้ความรู้สึกหนักหนากว่ามาก

ผมคู้ตัวลงอย่างทนไม่ไหว แต่เลอัสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ทั้งยังคล้ายงุนงงกับท่าทางของผม

พลังแสงสว่างมันดีขนาดนี้เชียว?

ผมกัดฟัน...อาจเผลอกัดลิ้นตัวเองไปด้วยเลือดเลยไหลออกมา ทันใดนั้นเลอัสก็บีบกรามง้างปากผม นิ้วหมอนั่นแทรกเข้ามาภายในแทนเพื่อป้องกันลิ้นของผมเอาไว้ ผมเผลอกัดนิ้วมันจนเลือดออกอย่างควบคุมไม่ไหวเลยรีบดึงตัวออกห่าง แต่ไอ้เด็กโง่นั่นกลับไม่ยอมปล่อยผมไป ยิ่งแทรกนิ้วเข้ามาภายใน กดลงบนลิ้นผมอย่างแรง

บางทีเด็กบ้านี่อาจจะคิดว่าผมชัก

มันเป็นจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ผมตอนนี้กำลังต่อต้านแรงกระตุ้นให้กรีดร้องจากจิตใต้สำนึกอย่างผิดธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เหมือนทุกเซลล์ประสาทในตัวกำลังกรีดร้อง เม็ดเลือดบางส่วนเริ่มร้องเพลงคลอไปกับเสียงด้านนอก ราวกับว่าร่างกายผมกำลังมีชีวิตของตัวเองโดยแยกจากกัน

“อ๊ากกกกกก!!”

!!!!

ผมสะดุ้งเฮือก พร้อมกับกับร่างเลอัสที่ผวาจนตัวกระตุก แต่เมื่อครู่ไม่ใช่เสียงของพวกเรา

รอบด้านเงียบงันในทันที แม้แต่ศพก็หยุดร้องเพลงเพื่อเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

อะไร?

สมองผมหมุนเร็วจี๋

ใคร?

ยังมีคนที่รอดชีวิตอยู่ที่แถวนี้?

เสียงแหลมเล็ก...เป็นเด็กคนอื่นในโบสถ์? ไม่ใช่ว่าทุกคนถูก—

บางทีอาจยังมีคนรอด

เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบด้าน น่าขนลุกเมื่อทุกอย่างนั่นดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง และสยดสยองมากขึ้นเมื่อระลึกว่าที่มาของเสียงทุกเสียงคือซากศพร่างหนึ่ง

จากนั้นจึงกลายเป็นเสียงใบไม้สั่นไหว เสียงฝีเท้าวิ่งไป—

ผมแทบกลั้นหายใจ

ไม่มีเวลาให้ห่วงคนอื่น ทันทีที่ผมมั่นใจว่าพวกมันไปหมดแล้ว ผมอ้าปากเพื่อคายนิ้วเลอัสออกมา รีบกระซิบ

“ไปเลย”

ไม่มีคำตอบกลับ แต่เลอัสจับตัวผมไว้แน่นแล้วพุ่งตัวออกไปจากโพรงไม้ทันที วิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

กิ่งไม้ข่วนตามเนื้อของเขาจนเลือดไหลต่างจากผมที่ถูกห่อตัวอย่างปลอดภัยในผ้าห่มหนา

เลอัสสะดุดล้ม เขาใช้ข้อศอกยันพื้นไว้จนเป็นแผลแต่ไม่ยอมปล่อยผมตกลงพื้น

เศษหินแทงเข้าไปในเนื้อ แต่เด็กนี่ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร เขารีบลุกขึ้น กระชับร่างกายไร้ความรู้สึกของผมไว้จากนั้นรีบออกวิ่งต่อ

ผมรู้สึกเจ็บแทนเขา แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

“นายโอเคไหม” เสียงถามขึ้นมาในตอนนั้น

มันน่าอายที่ผมเป็นฝ่ายถูกถามทั้งที่กำลังนอนอย่างสบายในอ้อมแขนเขา

“ฉันโอเค มีสมาธิไว้”

เลอัสพยักหน้า

...

....ผมไม่รู้ว่าเขาจะผิดหวังในตัวผมรึเปล่า...ที่สามารถทิ้งคนอื่นให้ตายโดยไม่ลังเลแบบนี้ แถมยังไม่คิดแม้แต่จะเข้าไปช่วย

แต่หากทุกอย่างเกิดขึ้นซ้ำ ผมก็จะยังทำเช่นเดิม

ความตายของคนที่ไม่รู้จักมักด้อยค่าลงเสมอเมื่อเราต้องเผชิญกับอันตรายเช่นกัน

 

เลอัสเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเท่าที่ร่างกายของเด็กคนหนึ่งจะทำได้ ในที่สุด จากสุดปลายสายตา พวกเราก็มองเห็นม่านสีดำแดงขนาดใหญ่โอบล้อมพื้นที่นี้ไว้ แผ่ขยายกว้างไกลออกไปราวเส้นกั้นโลก

หากไม่รู้จากในเกมมาก่อนว่านี่เป็นโดมหลังหนึ่ง ผมคงคิดจริงๆ ว่าโลกใบนี้ถูกขีดเส้นแบ่งครึ่ง

“พวกเราถึงแล้ว” เลอัสยิ้มกว้าง ทำท่าเหมือนโล่งอก ในขณะที่ผมยิ่งเครียด

เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าม่านนี้สามารถผ่านไปได้หรือไม่โดยที่ยังไม่ผ่านเที่ยงคืน ในเกมไม่เคยมีใครทำเช่นนั้นเลย

ผมบอกว่าถ้าหากพวกเราออกจากอาณาเขตความมืดได้ก่อน ผมก็มีสิทธ์รอด แต่ทุกอย่างนั่นก็ยังเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น

หากใช้ข้อมูลที่มีมาคาดเดา ผมคิดว่าเลอัสจะต้องสามารถผ่านม่านไปได้ด้วยพลังแสงสว่าง แต่กับผม...

 

หลังกจากวิ่งอยู่นาน ผมก็บอกให้เลอัสเดินแทนหลังจากเห็นใบหน้าซีดเผือดของเขา รู้ดีว่าหากวิ่งต่อไปร่างกายอีกฝ่ายคงพังทลายแล้วจริงๆ

หลังจากที่เรียบเรียงประโยคในใจหลายรอบ ในที่สุดผมก็เปิดปาก

“เลอัส”

ผมเรียกเขาไว้ให้ตัวเอกเกมก้มลงมา ดวงตาสีเขียวยังเปล่งประกายราวกับดวงดาว มันเหมือนกับว่าคนตรงหน้าไม่เคยเจอเรื่องสกปรกใดๆ มาก่อนเลย

ผมรู้ว่าเขาอาจจะโกรธเมื่อฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ แต่ผมก็จำเป็นต้องบอกเพื่อให้เขารู้ว่าควรทำอะไรต่อไปภายหลัง...หลังจากผมตาย

แน่นอน ผมไม่อยากตาย แต่ความเป็นไปได้นั้นพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถเมินมันได้อีกต่อไป

“พอเราถึงแล้ว...ถ้าฉันผ่านม่านไปไม่ได้” ถ้าฉันตาย ผมเก็บคำส่วนท้ายออกไปเพื่อทำให้คำดูอ่อนโยนขึ้น ผมพูดอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงถ้าเลอัสรั้งตัวเองไว้รอผมในม่าน แต่เด็กชายธาตุแสงก็เพียงฟังเงียบๆ เท่านั้น

ผมพูดนานมาก แทบใช้แรงทั้งหมดเพื่อขยับปากสื่อสาร ลมหายใจหลุดออกมาเป็นเฮือกๆ ราวปลาขาดน้ำ แต่ผมยังตั้งใจที่จะพูดต่อ “ไม่ว่ายังไงนายก็ต้องผ่านม่านไป เดินทางไปในเมือง เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้โบสถ์ฟัง พวกเขาจะดูแลนาย และเดินทางมาช่วยเรา--”

ผมเม้มปากเมื่อตระหนักว่าเพิ่งโกหกไปคำโต ตอนนี้เลอัสรู้แล้วว่าทุกคนจะตายตอนเที่ยงคืน แต่ผมกลับกำลังหลอกโต้งๆ ว่าโบสถ์สามารถมาช่วยเราได้

...อันที่จริงโบสถ์สามารถช่วยพวกเราได้จริงๆ แต่หมายถึงการจัดการศพเพื่อฝังและทำพิธี

แต่จุดประสงค์คือให้เลอัสเดินทางออกไป ในเนื้อเรื่องเดิมเขาจะสามารถรอดชีวิตไปได้ก็จริง แต่ผมเกรงว่าการแทรกแซงของผมอาจทำให้อนาคตเปลี่ยนไป อันตรายหลายอย่างที่ผมไม่รู้จักเกิดขึ้น อย่างเช่นเพลงอันบ้าคลั่งนั่น...

การอยู่เพื่อรอผมเป็นเพียงแค่การกระทำที่เสี่ยงเกินไป

ผมรู้ตัวว่าสภาพจิตใจตัวเองเริ่มควบคุมไม่อยู่ ไม่รู้จริงๆ ว่าหากใกล้ถึงเที่ยงคืนจะทำอะไรลงไปหรือไม่ สุดท้ายจึงได้แต่ย้ำไปย้ำมาแบบนี้ อาศัยช่วงเวลาที่อารมณ์ยังมั่นคงอยู่บ้างสั่งเลอัสให้ออกไป

หลังจากที่พูดจบ ผมเฝ้ารอคำคัดค้านอย่างรุนแรงหรืออะไรก็ตามที่เลอัสจะทำ แต่เด็กธาตุแสงเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น

“อืม ฉันรู้แล้ว” เลอัสยิ้มออกมาอย่างสงบแตกต่างจากที่คาดไว้ นี่ทำให้ผมโล่งใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกเสียใจเล็กน้อยด้วย

“ดี--”

“พอเราถึงม่านนั่น ฉันจะกอดนายไว้แน่นๆ แล้วพวกเราก็จะกระโดดผ่านมันไป”

“ฉันไม่คิดว่า--”

“พวกเราทำได้สิ พวกเราจะรอดไปด้วยกัน” เลอัสไม่ฟังผม

ขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากเกลี้ยกล่อมเพิ่มอีก ในตอนนั้นเอง ลางสังหรณ์ในใจพลันร้องเตือนดังลั่น ผมหันกลับไปมอง

อย่างเงียบเชียบ ร่างของคนมากมายกำลังวิ่งตามมา

จำนวนคนมากกว่าสิบ...แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือใบไม้เคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าตรงหน้าเป็นเพียงภาพฉายจากโทรทัศน์...

ความขัดแย้งแปลกประหลาดนี้ทำให้ผมชะงัก ทันใดนั้นศพร่างหนึ่งก็สังเกตเห็นการจ้องมองของผม มันเป็นร่างหญิงชราหลังค่อมที่กำลังวิ่งมาด้วยท่าทางบิดเบี้ยวราวหุ่นกระบอกที่ถูกเล่นโดยเด็ก คอมันพับลงด้านข้างอย่างผิดธรรมชาติ

จากนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นมา

รอยยิ้มกว้างระบายอยู่บนใบหน้าเหี่ยวย่น…

สมองผมกรีดร้องและร่างกายแข็งทื่อ

สติที่เหลือเพียงน้อยนิดสั่งให้ผมอ้าปาก

“พวกมันมาแล้ว! เลอัส วิ่ง!”

เลอัสไม่ได้หันกลับไปมอง แต่เขาก็เชื่อใจผมมากพอที่จะเร่งฝีเท้าทันที

เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้นในตอนนั้นเอง เหมือนวิทยุที่ถูกเปิดขึ้นอย่างกะทันหัน สันหลังผมเย็นวาบ ไม่รู้จริงๆ ว่าเสียงพวกนั้นเพิ่งดังจริงๆ หรือเพราะผมเห็นจึงได้ยินกันแน่

ประโยคที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ว่าทางใดก็ยังสื่อถึงพลังอำนาจมากล้นของพลังเหนือธรรมชาติ

นี่คือความมืด

เหมือนกับโรคระบาดที่ผมเป็นอยู่ เหมือนกับโดมม่านขนาดใหญ่ด้านหน้า เหมือนกับศพมากมายที่ลุกขึ้นได้ราวกับมีชีวิต พวกมันหัวเราะ พูดคุย ร้องเพลงได้ สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือสภาพอารมณ์ความบ้าคลั่งที่จะสังหารและทรมาณผู้คน—

เลอัสวิ่งต่อไปไม่หยุด เสียงหอบหายใจของเขาดังมาก ราวกับม้าที่ถูกเฆี่ยนให้วิ่งต่อไปจนใกล้ตาย แต่ถึงกระนั้นเด็กชายยังก้าวเท้าต่อไป

ด้านหลังนั่นคือผู้คนมากมายที่บิดเบี้ยว ผมได้ยินเสียงพวกเขาหัวเราะเหมือนกำลังมีความสุขมากกับการไล่ล่าครั้งนี้ ผมมองเห็นชายคนหนึ่งทิ้งจอบไปเพื่อให้สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น หญิงชราคนหนึ่งเพิ่งผลักเด็กด้านหน้าให้ล้มลงเพื่อสร้างทางเดินต่อ

ร่างเด็กหญิงคนนั้นล้มลงกับพื้นและถูกเหยียบซ้ำจากศพมากมาย จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็คว้าข้อเท้าคนอื่นไว้ให้ล้มลง แขนห้อยต่องแต่งและกระดูกแทงออกมาจากแขน แล้วซากร่างพังทลายก็ลุกขึ้น กรีดร้องโวยวายด้วยความโกรธขณะวิ่งแทรกกลางวงขึ้นมา

บ้าคลั่ง

 

ผมหวาดกลัวจนสุดขั้วหัวใจ รู้ทั้งรู้ว่าหากเลอัสทิ้งผมตอนนี้อีกฝ่ายจะสามารถวิ่งได้เร็วขึ้น แต่ก็ยังไม่กล้าพูดออกไป

ช่องว่างระหว่างพวกเราและพวกมันน้อยลงเรื่อยๆ

ผมร้องไห้ออกมา ตระหนักดีว่าตอนนี้ต่อให้ร่างกายยังขยับได้ผมก็คงไม่มีแรงพอจะหนี สัญชาตญาณด้านในผมกู่ร้องให้ยอมแพ้ต่อพลังอันยิ่งใหญ่ที่จ้องจะคุกคาม

แต่ถึงเป็นแบบนั้น เลอัสยังวิ่งต่อไป

ผมไม่รู้ว่าเราใกล้ม่านนั่นแค่ไหนแล้วเพราะไม่อาจละสายตาจากฝูงร่างมากมายที่ไล่ตามมา

“เลอัส” ผมน้ำตาไหล “นายทิ้งฉันได้นะ”

“ไม่”

เสียงหนักแน่นตอบกลับมา

“เลอัส ขอโทษนะ” ผมสะอื้น “ขอโทษนะ” ได้แต่พูดออกไปโดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังขอโทษเรื่องอะไรกันแน่

“ฉันไม่เข้าใจว่านายกำลังขอโทษเรื่องอะไร” เลอัสไม่ได้ก้มลงมามองผม “นายไม่ได้ทำอะไรผิด”

ผมไม่เห็นหน้าเขา แต่สัมผัสได้ว่าเขากำลังยิ้ม

“....ทำไมต้องช่วยฉันขนาดนี้”

พวกเราเจอกันไม่ถึงวันเท่านั้นเอง หากเป็นผมยังมีเหตุผลว่าเพราะการรู้จักเพียงฝ่ายเดียวมาหลายปี แต่ผมยังคิดเหตุผลของเลอัสไม่ออก

“อืม... บางทีอาจเพราะฉันแค่อยากรู้จักชื่อนายก็ได้” เลอัสหัวเราะ

ทั้งที่เขาหอบจนแทบหายใจไม่ออกแบบนั้นแต่ก็ยังยอมเสียพลังเพื่อคุยกับผม

ระยะห่างระหว่างพวกเราและพวกมันใกล้กันขึ้นไปอีก หญิงชราท่าทางบิดเบี้ยวเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

 

ความกดดันถึงขีดสุดนี้ตีเข้ามาในจิตใจ

ผมพูดคุยกับเด็กในโบสถ์ รักษาพวกเขา เผาศพพวกเขา ปลอบพวกเขา และฆ่าพวกเขาในเวลาเดียวกัน

ผมอยู่กับเลอัส ได้รับความช่วยเหลือ ถูกช่วยชีวิต อีกฝ่ายยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงกับผม

ความมืดกัดกร่อนผม ไล่ล่าผม ทำให้ผมแทบคลุ้มคลั่ง

เมื่อคิดถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้น...ผม...

รู้สึกเหมือนวิทยุที่ถูกจูนใหม่จนเจอสัญญาณของตัวเอง

ราวกับว่าผมเพิ่งมองเห็นโลกนี้เป็นครั้งแรก

ราวกับว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ปลุกผมขึ้นมา

 

“ฉันชื่อ...”

ในเกม หลังจากที่ผู้เล่นสามารถรอดชีวิตจากหมู่บ้านได้เท่านั้น มันจึงจะเป็นช่วงการตั้งชื่อตัวละคร

หลังจากเจอเรื่องทั้งหมด ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงยังยึดมั่นกับเรื่องนั้น

นี่เป็นเหตุผลที่ผมประวิงเวลาที่จะบอกชื่อออกไปหลังจากเลอัสถาม

เสียงในหัวดังขึ้นมาซ้ำๆ เพื่อห้าม แรงกดดันมหาศาลพุ่งตรงมาที่ผม มันราวกับมีดวงตาขนาดมหึมากำลังจ้องมองลงมา

กฎของโลกใบนี้กำลังห้ามผม

ไม่รู้ว่าคำพวกนี้มาจากไหน แต่ผมนึกถึงมันอย่างเลือนราง

ปอดผมตื้นตัน ทุกเซลล์ประสาทกรีดร้อง การแตกหน่อบางอย่างเกิดขึ้นภายในท่ามกลางทั้งหมดนั่น

ดวงตาผมหลั่งเลือดออกมา จมูกผมหายใจไม่ออก แต่ผมยังขยับปากต่อไป

“ฉันชื่อราเอล”

พริบตานั้น ความกดดันทุกอย่างพลันหายไป แม้กระทั่งภาพที่มองเห็นยังให้ความรู้สึกชัดเจนและกว้างขึ้น

เหมือนโลกทั้งใบหลุดออกมาจากจอ

 

จากนั้น ที่สุดสายตา หญิงชายที่มีคอบิดเบี้ยวยิ้มให้ผม