ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป - โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ" โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย,พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL

รายละเอียด

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

ผู้แต่ง

ณฬ่อล

เรื่องย่อ

สารบัญ

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 1 "ทะลุมิติ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 3 ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 2 ใบหน้า,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 3

เนื้อหา

โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ"

 

“ฉันชื่อราเอล”

วินาทีนั้น...ความปั่นป่วนของบรรยากาศโดยรอบพลันหยุดนิ่งลง แสงสีแดงจากท้องฟ้าส่องลงมาปกคลุม จากนั้นผมก็รู้สึกว่าวินาทีถูกทำให้ยืดยาวออกไป

ทุกอย่างดูเชื่องช้าลงอย่างมาก วินาทีต่อวินาที แม้กระทั่งเลอัสยังให้ความรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่กับที่

มีเพียงศพตรงหน้าเท่านั้นที่ยังคงขยับเข้าใกล้เรื่อยๆ

ความหวาดกลัวจากสุดขั้วหัวใจทำให้ผมตัวกระตุก ทั้งที่ร่างกายเป็นอัมพาตแล้วก็ยังให้ความรู้สึกแข็งทื่อขึ้นมา

ใบหน้าหญิงชราเด่นชัดท่ามกลางทุกอย่างที่เริ่มพร่ามัว

เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

รอยยิ้มนั้นกว้างมาก มุมขอบปากลากจากใบหูข้างหนึ่งไปถึงอีกข้างหนึ่ง แต่เพราะริมฝีปากร่างกายมนุษย์ไม่สามารถแผ่ขยายได้ถึงขนาดนั้น บางส่วนของมันจึงปริขาดออกจนกลายเป็นฉากน่าสยดสยอง

มันวิ่งเข้ามาใกล้พวกเรามากโดยไม่ทันรู้ตัว ระยะห่างเหลือเพียงเอื้อมมือเท่านั้น

ผมอ้าปาก อยากจะกรีดร้อง แต่ไม่มีเสียงใดหลุดออกจากกล่องคอ

ผมรู้ตัวว่าไม่รอดแน่แล้ว หรือต่อให้ตะโกนเร่งเลอัสได้ไปก็คงไม่มีประโยชน์ เด็กผู้ชายโง่คนนี้ฝืนขีดจำกัดร่างกายตัวเองมานานมากแล้ว การยังเคลื่อนที่ต่อไปได้ตอนนี้นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ไม่มีทางวิ่งได้ไวกว่านี้อีก

ความคิดถูกแช่แข็ง มันอื้ออึง

คอมันยืดยาวออก ใบหน้าชรายื่นมาหาผม ใกล้จนผมมองเห็นรอยแตกบนผิวหนังราวลูกโป่งพองจนใกล้ระเบิด

มันก็อ้าปากออก

คลื่นเบาบางแผ่ออกมา ไอเย็นเยียบไหลเข้าสู่ปอดผม ทำให้ร่างกายหนาวสั่น--ทันใดนั้นแสงสีแดงพลันสั่นกระเพื่อม แล้วทุกอย่างพลันขยับไหว คล้ายบรรยากาศรอบด้านพลันกลับมาชีวิตในตอนนั้น

ผมได้ยินเสียงเลอัสทวนชื่อผม และมันกล่าวในเวลาเดียวกัน

““ราเอล””

แล้วหญิงชราตรงหน้าก็หายไป

ไม่...ไม่ใช่หาย มัน...เพียงแค่หยุดลง

เพราะเลอัสยังคงวิ่งอยู่ ดังนั้นเงาร่างนั่นจึงเล็กลงเรื่อยๆ

ภาพที่ผมเห็นคือฝูงร่างศพยืนนิ่ง มองมาโดยไร้ซึ่งเสียงใด เหมือนทุกสิ่งที่ผมเห็นเมื่อครู่เป็นภาพลวงตา

ศพหญิงชราอยู่ด้านหน้าสุดจากทั้งหมดนั่น ขยับปากอย่างเชื่องช้า

“--”

 

ก่อนที่จะได้ยิน ผมพลันรู้สึกเหมือนตกลงไปในน้ำ แล้วทัศนียภาพรอบด้านก็เปลี่ยนไป

มันยังคงเป็นป่า แต่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

 

เลอัสวางผมลงกับพื้นแล้วล้มลงอย่างทนไม่ไหว หอบหายใจราวปลาขาดน้ำ

ผมนอนนิ่งอยู่ในผ้าห่ม เงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำประดับด้วยดวงดาว

 

พวกเราผ่านออกมาได้แล้ว

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิทธิพลจากจิตใจหรือไม่ แต่อากาศรอบด้านให้ความรู้สึกสะอาด และร่างกายผมก็เริ่มเจ็บปวด ไม่ได้ชาราวเนื้อตายเช่นก่อนหน้านี้

ความโล่งอกไหลเอิบ ผมถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย แล้วความเหนื่อยล้าทางจิตใจที่พยายามจะกดไว้ก็ถูกปลดปล่อยออกมา

เลอัสคงเหมือนผม เขาไม่พูดอะไรเลย เพียงแค่หายใจ ซึมซับบรรยากาศเงียบสงบไร้ซึ่งความเสื่อมทรามรอบตัว

ไม่น่าเชื่อเลย แต่ผมสามารถรอดชีวิตมาได้จริงๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเลอัส

“เลอัส ฉัน--”

 

“ว่าไงสหาย อีกแค่สี่นาทีก็จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว พวกนายนี่ค่อนข้างอ่อนหัดนะเมื่อเทียบกับคนอื่น”

เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาในตอนนั้น ทำให้ผมตัวแข็งทื่อ

เลอัสผวาเด้งตัวขึ้นมา เขารีบเข้ามาอยู่ข้างๆ ผม

กลุ่มคนเข้ามาล้อมรอบตัวเราไว้ ทุกคนใส่ชุดเกราะในรูปแบบที่แตกต่างกัน

อะไร? นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในเกม

เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่อง?

“ไม่ต้องกลัว ตอนนี้พวกนายปลอดภัยแล้ว” ว่าแล้วพวกเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นทำให้เลอัสเกร็งตัวทันที ทำท่าเหมือนพร้อมจะสู้กับใครก็ตามที่เข้ามา

“ใจเย็นน่า” ผู้ชายคนนั้นยกมือขึ้นสองข้าง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทักทายพวกเราอย่างร่าเริง “เพื่อนคนนั้นถูกโรคระบาดใช่ไหม เรามีทีมแพทย์ นักบวชก็มี เราช่วยได้นะ”

ผมไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลยรีบกวาดตามองทุกอย่าง พยายามเก็บข้อมูลทั้งหมดเท่าที่ทำได้เพื่อคาดการณ์

คนของโบสถ์หรือ ไม่ใช่แน่ อัศวิน? นายพราน? หรือโจรป่า?

เดี๋ยว

ผมเคยเห็นชุดแบบนี้...ไม่สิ

ไอเทมแบบนี้

 

“…” ผมนิ่งอึ้ง ส่วนเลอัสเมื่อเห็นว่าผมไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจึงยังไม่กล้าเสี่ยงทำอะไร

“อย่าจ้องเขม็งขนาดนั้นสิ พวกเรามาเพื่อต้อนรับน้องใหม่อย่างพวกนายเชียวนะ” ว่าแล้วอีกฝ่ายยิ่งก้าวเข้ามาอีก

เลอัสขวางหน้าผมไว้ แสดงท่าทีระวังภัยเต็มที่ แต่ชายที่น่าจะเป็นผู้นำกลุ่มคนนี้ก็ยังพูดไม่หยุดราวกับไม่เห็นมัน...หรือไม่ก็คิดว่าเลอัสไม่มีวันทำอะไรเขาได้

“พวกนายนี่ซวยชะมัด เนื้อเรื่องฉากแรกก็เจออิทธิพลความมืดเลย ปีนี้คนที่รอดมาได้เลยน้อยสุดๆ ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ”

ตาผมเบิกกว้าง สมองทั้งหมดทำงานอย่างหนัก

หมายความว่าไง? ...คนอื่น?

ยังมีผู้รอดชีวิตคนอื่นอีกหรอ แบบเดียวกับเสียงกรีดร้องที่เราได้ยินในป่า?

ทำไมคนพวกนี้ถึงมีไอเทมแบบเดียวกับในเกม? ทำไมถึงพูดเรื่องความมืดมาเหมือนรู้จักอยู่แล้ว

 

เนื้อเรื่อง?

หรือว่า—

 

ในวินาทีเดียวกันกับที่ผมเริ่มคาดเดาบางอย่างได้ ชายคนนั้นก็พูดออกมาอีกครั้ง

“พวกเราก็เป็นผู้ทะลุมิติมาเหมือนกัน เพื่อนกันทั้งนั้น เป็นมิตรกันไว้เถอะน่า”

 

น้ำเสียงเจือหัวเราะนั่นพลิกคว่ำความเข้าใจที่ผมมีมาตลอดหลายวันในทันที