ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป - สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL

รายละเอียด

ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

ผู้แต่ง

ณฬ่อล

เรื่องย่อ

สารบัญ

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 1 "ทะลุมิติ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 3 ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 2 ใบหน้า,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 3

เนื้อหา

สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ

 

 

"พวกเราคือผู้ทะลุมิติ"

หมายความว่าไง?

ผมเกือบพูดว่าเรื่องพวกนี้มันไร้สาระ มันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ทุกคำในหัวนั้นติดอยู่บนริมฝีปาก ไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้เลย

มัน....จะเป็นไปได้จริงหรือ ที่พวกเขาทุกคนต่างหลุดเข้ามาในเกมเช่นเดียวกันกับผม?

แน่นอนอยู่แล้ว ผมถูกล่าจากศพเดินได้ มองเห็นร่างหญิงชราคอหักยื่นหัวมาใกล้แทบจูบกัน โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมืดและเวทมนตร์แห่งแสง ยังจะมีเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก?

ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะเงียบ ตัดสินใจรอดูสถานการณ์

ผู้ชายคนนั้นดูพอใจกับสีหน้าของผม จากนั้นเขาชมว่าพวกเราทั้งคู่ทำตัวดีมากที่ไม่โวยวายน่ารำคาญ ดูเหมือนก่อนหน้านี้กลุ่ม ‘ต้อนรับสมาชิกใหม่’ จะต้องเหนื่อยพอสมควร

แล้วทันใดนั้นเอง ม่านดำมืดด้านหลังพลันสลายไป

โลกที่อยู่เบื้องหลังนั่นยังคงเป็นท้องฟ้าสีแดง แต่สีน้ำเงินเข้มของยามค่ำคืนกำลังค่อยๆ ย้อมเข้าไปราวสีน้ำแผ่ขยายออก ยอดหญ้าปลายแหลมก็กำลังอ่อนนุ่มลงทีละน้อย ราวกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้ลืมตาตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายอันยาวนาน

ความมืดกำลังสลายหายไป

ทันใดนั้นคนหลายคนก็พากันพุ่งตัวเข้าไปในป่าที่เพิ่งแปรสภาพนั่นทันที ไร้ซึ่งความลังเล ไม่มีท่าทีอยากจะหันหลังกลับมาเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่ากำลังปฏิบัติภารกิจสำคัญบางอย่าง

ผมสงสัย...ยังจะมีอะไรในเมืองนั้นอีกนอกจากซากศพ? อะไรคือเป้าหมายของพวกเขา?

เหมือนสังเกตเห็นสายตาของผม ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมเสยผมสีฟ้าแปลกตาของเขา

“ไม่ต้องไปสนใจหรอก ก็แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องทำ"

จากนั้นเขาก็ตบมือ รอยยิ้มเป็นมิตรยังประดับบนริมฝีปาก เหมือนกำลังพยายามเร่งบรรยากาศให้รื่นเริง

“เอาล่ะ มาถึงช่วงสำคัญ! ได้เวลาประกาศชื่อครั้งแรกของพวกนายแล้ว!”

"..."

ผมนึกถึงฉากในเกม หลังจากที่จบเหตุการณ์ นี่คือฉากตั้งชื่อตัวละคร

พวกเขากำลังทำเหมือนนี่กลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง เหมือนการแนะนำตัวในงานรับน้อง แต่ผมยังจำความรู้สึกร่ำร้องต่อต้านในใจตอนที่ตัวเองพยายามบอกชื่อกับเลอัสได้

ราวกับว่ากฎของโลกนี้กำลังมองลงมาอย่างไรอย่างนั้น

...นี่คือข้อสันนิษฐาน มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ผู้ทะลุมิติทุกคนจะต้องรู้สึกเหมือนผม แบบที่หวาดกลัวสุดขั้วหัวใจตอนที่เค้นเสียงชื่อตัวเองออกมาทีละคำ แบบที่ราวกับว่าตัวเองเป็นมดซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับมนุษย์ยักษ์ รับรู้ถึงพลังอำนาจมหาศาลซึ่งกดลงมาจนหายใจไม่ออก

ชายตรงหน้ามั่นใจมากว่าผมจะต้องไม่เคยบอกชื่อมาก่อน ดังนั้นที่ผ่านมา...หากไม่นับความเป็นไปได้ที่จะเก็บเป็นความลับ ทุกคนที่ทะลุมิติมาก่อนผมอาจจะยังไม่เคยบอกชื่อก่อนออกจากม่านความมืดนี่เลย?

เพราะมันคือการฝ่าฝืนกฎ?

...แต่...ผมบอกชื่อกับเลอัสไปแล้ว นี่จะยังถือเป็นการ ‘ประกาศชื่อครั้งแรก’ อีกรึเปล่า?

ถ้านี่ไม่ใช่ครั้งแรก พวกเขาจะดูออกหรือไม่?

หรือ...ถ้าหากดูออก พวกเขาจะทำอะไรต่อไป?

 

ในฐานะคนมาใหม่ในพื้นที่แปลกประหลาด แน่นอนว่าผมต้องคาดหวังว่าตัวเองจะได้รับการยอมรับจากกลุ่มตรงหน้าซึ่งแสดงออกชัดเจนว่ามีข้อมูลมากกว่าผม มนุษย์เราแสวงหาความรู้สึกปลอดภัย การอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นสังคมรวมอยู่ในนั้นด้วย และในตอนนี้กลุ่ม ‘รุ่นพี่ทะลุมิติ’ ดูดีและน่าพึ่งพาได้มากพอทีเดียว

หากว่าไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ผมคิดว่าคงตามพวกเขาไป

ทุกอย่างในหัวผมวิ่งวุ่น ผมสังเกตอย่างเลือนรางทันทีที่หลุดออกจากม่านมา ผมได้หลุดพ้นจากอิทธิพลทางอารมณ์ที่ทำให้ในหัวตื้อตึงได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่รู้สึกราวกับว่าแหวกว่ายอยู่ในความตายอีกแล้ว...ถึงแม้จะไม่ได้ดีขึ้น แต่อย่างน้อยทุกอย่างนั่นก็หยุดชะงักลงในทันใด

ตอนนี้...มันไม่มีทางอื่นนอกจากต้องลองบอกชื่อไปก่อน

บางทีเมื่อผมพูดออกไปก็จะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น

ดังนั้นผมถึงอ้าปาก

“ราเอล” ผมพูด “ผมชื่อราเอล”

เลอัสดูยังลังเล แต่ก็ยอมตามผมในที่สุด “…เลอัส” เขากล่าว

บรรยากาศเงียบงันไปสักครู่ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ผมสังเกตว่าอีกฝ่ายเว้นช่วงลากยาวนานกับรอให้ผมซึมซับอะไรบางอย่าง...

ผมกวาดตามองสีหน้าของคนรอบๆ ไม่มีใครประหลาดใจหรือฉงนใดๆ

...ดูเหมือนว่าเมื่อบอกชื่อจะมีบางอย่างเกิดขึ้นเกิดขึ้นจริงๆ เหมือนที่คาดไว้ เพียงแต่ผลของมันเกิดขึ้นกับตัวผมเท่านั้น

คำถามคืออะไรเกิดขึ้น--ผมไม่เห็นอะไรเลย

ผมแอบส่งสายตารั้งเลอัสไว้ไม่ให้พูด ไอ้หมอนั่นดูมึนตื้อไปหมด หน้าก็ซีดมาก ตรงข้ามกับสภาพผมที่ดีขึ้นนิดหน่อย ดูเหมือนเลอัสแทบจะล้มอยู่แล้ว บางทีสิ่งที่ยังรั้งเขาไว้คือความหวาดระแวงคนรอบๆ กับเป็นห่วงผมเท่านั้น

หลังจากจงใจเว้นระยะเวลา ผมก็พยักหน้าในที่สุด ส่วนไอ้หมาธาตุแสงก็พยักหน้าตามแต่โดยดี

“ดีมาก” อีกฝ่ายยิ้ม จากนั้นแนะนำว่าตนเองชื่อเดนิส

คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พวกเขาเข้ามาแยกผมกับเลอัสออกจากกันโดยที่เลอัสกัดฟันพยายามต่อต้าน แต่มันก็ไร้ผล คนพวกนี้มีพละกำลังที่แทบจับพวกเรายกขึ้นได้ด้วยมือเดียว

หญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดขาวแบบนักบวชในเกมเข้ามาหาผมหลายคน เปิดผ้าห่มออก พวกเขามีท่าทางเคร่งเครียดขึ้นเมื่อสัมผัสร่างกายกึ่งเน่าเปื่อยเป็นซากนี่ นอกจากนั้นแล้วแววตายังดูเหมือนมีความชื่นชมจางๆ ดูราวกับกำลังประหลาดใจที่เห็นผมยังไม่ตาย

พวกเขาให้ผมดื่มอะไรบางอย่างหลายขวด จากนั้นหญิงสาวคนหนึ่งก็วางมือไว้บนไหล่ผม ไม่นานแสงขาวซีดก็แผ่ออกมา

"มันจะช่วยรักษาร่างกายคุณ" เธอพูด

ความรู้สึกเบาบางแทรกเข้ามาผ่านผิว มันเย็น ให้รู้สึกเหมือนถูกน้ำค้างตกใส่ผิว ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก

“อึก...” ผมเผลอส่งเสียง ก่อนที่จะรีบกัดปากไว้

ความเจ็บปวดราวระลอกคลื่นทำร้ายผมจากภายใน ผมหายใจเฮือกๆ ราวกับชัก รู้ดีว่าความเจ็บปวดนี่มีมาตั้งนานแล้วแต่ผมเพิ่งกลับมารู้สึก มันเป็นพลังของคนพวกนี้ที่ปลุกเส้นประสาทของผมขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ผมรับรู้สึกความปลอดโปร่งของสมอง ราวกับประตูสนิมที่ได้รับการหยอดน้ำมัน ทันใดนั้นผมก็รู้สึกว่าสามารถประมวลข้อมูลทุกอย่างได้โดยไม่ซึมทื่อสักที

ความเจ็บจี๊ดแล่นผ่านไขสันหลัง

ผมกรีดร้อง "--!!"

“ราเอล!” เลอัสร้อนรน เขาถูกจับไว้อีกทางเพื่อตรวจสุขภาพ แต่ไอ้เด็กนั่นไม่หันไปทางอื่นเลย ทำตัวเหมือนลูกเป็ดร้องหาแม่อยู่ได้

ตัวเอกของเกมที่เท่มากๆ กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“...ฉันไม่เป็นไร” ผมรู้สึกเหมือนเหงื่อออกเต็มตัวเพราะความเจ็บปวด

“หน้าต่างสถานะนายเป็นยังไงบ้าง” เดนิสถามขึ้นกลางปล้อง ถึงท่าทางจะหยาบคายไปบ้างแต่ดูเหมือนพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผมด้วยเจตนาดี...แต่มันทำให้ผมชะงัก

“อา…ก็ดี” ผมตอบเสียงแหบ เหงื่อเย็นๆ ไหลจากขมับลงมาถึงคาง ผมมองไปด้านหน้าซึ่งไม่เห็นสิ่งใด แล้วกัดริมฝีปากอีกครั้ง “ยังไม่ค่อยมีสมาธิดูเท่าไหร่…”

“ไม่เป็นไร เราค่อยมาเช็กกันทีหลังก็ได้” อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างเข้าใจผม ดูเหมือนความเจ็บปวดของการกัดเซาะจากความมืดจะเป็นที่เลื่องลือกันอยู่แล้ว

ผมยิ้ม---

“อะไรคือหน้าต่างสถานะ?” เลอัสโพล่งขึ้นทันใดนั้นอย่างไม่เข้าใจ

“…” ผมยิ้มค้าง

ไอ้หมาธาตุแสงเวรนี่

ผมมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเดนิสสีหน้าเปลี่ยนไปแทบทันตา และวงสนทนาก็เงียบงันลงราวป่าช้า แม้กระทั่งกลุ่มคนรอบตัวผมก็ถอยห่างออกไป

ผู้ทะลุมิติผมสีฟ้าโบกแขนเพียงครั้งเดียว เด็กโง่นั่นก็ถูกกลุ่มคนพุ่งเข้ามาล็อกตัวแล้วกดลงบนพื้นอย่างแรง!

!!!

ผมตัวชาวาบ

เด็กชายธาตุแสงที่ช่วยชีวิตไว้ถูกกดร่างแนบพื้น คางกระทบดินลงจนส่งเสียงดัง ร่างกายเล็กๆ นั่นพยายามขัดขืนสุดแรงแต่ไร้ผลลัพธ์ใด

ไม่มีโอกาสให้ขัดขืนเลยแม้แต่นิดเดียว

พลังต่างกันเกินไป

มันไม่เหมือนกับศพพวกนั้น ฝ่ายตรงข้ามตอนนี้คือมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและสติปัญญา เมื่อเปรียบเทียบกับพวกผมซึ่งเป็นเพียงเด็กสองคน...สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความพ่ายแพ้เท่านั้น

ความคิดผมวิ่งวุ่นในชั่ววินาทีในขณะที่เดนิสหันกลับมา

“แล้วนายล่ะ ไอ้หนู ราเอล นาย...เห็นหน้าต่างสถานะรึเปล่า?” เสียงหยั่งเชิงดังขึ้น

“เห็นอยู่แล้วสิ” ผมตอบกลับด้วยใบหน้าสบายๆ ทำท่าทางเหลือบตาเล็กน้อยราวกับว่ามองเห็นอะไรมากมาย

อีกฝ่ายพยักหน้า แล้วชายวัยกลางคนหันไปส่งสายตาให้พรรคพวกคนอื่นล็อคตัวเลอัสไว้แล้วลากไปอีกทาง

“ราเอล! ราเอล!” ตัวเด็กธาตุแสงโง่เง่านั่นร้องด้วยท่าทีร้อนรน ดูเหมือนเขาจะกลัวการแยกจากผมมากกว่าการถูกทำร้ายเมื่อครู่เสียอีก

โง่เง่า เรียกฉันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ

ตอนนี้ผมก็กำลังพยายามเอาชีวิตรอดอยู่เหมือนกัน

“...” ผมทำเหมือนไม่ได้ยิน หันไปยิ้มให้กับนักบวชสาวที่เข้ามารักษาร่างกายให้อีกครั้ง จากนั้นถามราวกับว่าไม่เดือดร้อน “ทำไมเขาถึงไม่เห็นหน้าต่างสถานะ?”

ชัดเจนแล้วว่านั่นคือสิ่งที่จะต้องโผล่ออกมาตอนที่ผมประกาศชื่อครั้งแรก

หญิงสาวอ้าปากกำลังจะตอบ แต่เสียงแข็งๆ ของอีกคนดังแทรกเข้ามา

“พวกตัวละคร” เดนิสคว้าบุหรี่จากไหนไม่รู้ขึ้นมาสูบ

ผมหันกลับไป “ตัวละคร?”

“NPC ชาวบ้าน ตัวประกอบ หรืออะไรก็ตามที่นายจะเอาไว้เรียก” อีกฝ่ายเว้นจังหวะเพื่อสูดอัดควันเข้าไปในปอด คิดจะปล่อยออกมาแต่ถูกกบวชสาวข้างผมเขม่นตาเข้าให้เลยต้องหันไปทางอื่น

“มนุษย์อย่างพวกเราหลุดเข้ามาในเนื้อเรื่อง ส่วนพวกนั้นก็เป็นตัวละครในเนื้อเรื่องยังไงล่ะ” เดนิสยกตัวอย่าง “นาน ๆ ครั้งถึงจะมีหลุดอะไรพวกนี้มาด้วย เป็นเพราะบทนำโดยส่วนใหญ่นอกจากตัวเอกแล้วล้วนตายหมดหรือไม่ได้ออกมา ซึ่งก็มักจะเกิดจากการแทรกแซงเนื้อเรื่องของผู้ทะลุมิติอย่างเรา ๆ นั่นแหละ”

“อาฮะ” สมองผมประมวลผลอย่างหนักในขณะที่ฉีกยิ้ม “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?”

เดนิสก้มหน้ามองผม ดวงตาเบิกกว้างนิดๆ ราวกับประหลาดใจ นิ่งช่วงเวลาประมาณสามวินาทีก่อนจะตอบอีกครั้ง “ก็...ฆ่าทิ้ง หรือไม่ก็เก็บไว้เป็นทาส”

ผมแสดงสีหน้าซีดเผือด

ไอ้พวกเวรนี่---

ชายวัยกลางคนยิ้มให้ผม “ไม่เป็นไร เดี๋ยวนายก็ชิน... โลกบ้าๆ นี่โหดร้ายกับผู้ทะลุมิติอย่างเรามาก ถ้าไม่ทำแบบนั้นพวกเราจะแย่เอา”

เสียงสบถดังลั่นในหัวผม แต่ใบหน้าของผมกำลังยิ้มอย่างลำบากใจ “แต่การฆ่าคนนี่มัน....”

“ฉันบอกแล้วว่ามันจำเป็นต้องทำ แต่ปกติแล้วพวกเราก็จะเก็บพวกมันไว้เป็นทาสซะมากกว่า” ชายผมฟ้าขมวดคิ้ว เอ่ยย้ำ “มีแค่พวกตัวเอกเท่านั้นที่เราจะต้องฆ่าทิ้งทั้งหมด

ไอ้พวกเวรนี่จะฆ่าเลอัส?กล้าดียังไง

ไม่สิ...พวกตัวเอก?

“ตัวเอก?” ผมเลิกคิ้ว ถึงจะสงสัยกับคำที่แสดงถึงจำนวนคนหมู่มากในตำแหน่งนี้มากกว่า แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะเจาะประเด็นนี้ คำว่าตัวเอกนั้นเชื่อมถึงเลอัสโดยตรงเพราะเขาคือตัวเอกในเกมนี้ ผมต้องการข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อจะได้รู้ว่าเกิดบ้าอะไรขึ้น

เดนิสพยักหน้า “ใช่ ตัวเอก ไม่ว่ายังไงก็ต้องฆ่าทั้งหมด พวกลูกรักจากโชคชะตาพวกนั้น” ท้ายประโยคถูกพูดด้วยน้ำเสียงส่อเสียดอย่างเกลียดชัง "นายยังคิดว่าพวกมันเป็นคนเพราะไม่ได้มองมันให้ดี"

ผมไม่เข้าใจประโยคสุดท้ายนั่น แต่สามารถจับใจความได้บางอย่าง

ดูเหมือน ตัวเอก จะถูกรังเกียจในหมู่พวกเขาอย่างมากทีเดียว

ผมทวนวิธีเรียกของเดนิสในหัว ข้อมูลพวกนี้จะสามารถทำให้ผมตามสถานการณ์ได้ง่ายขึ้นมาก

พวกเขาต้องการจะฆ่าตัวเอก? ทำไม? แถมยังแสดงออกถึงความรังเกียจ... ฆ่าเพราะรังเกียจ? ฟังดูไร้สาระ กลุ่มคนทะลุมิติเข้ามาในเกม ทำไมถึงจะต้องฆ่าตัวเอกในเกมด้วย--

พวกเขาบอกว่ามันจำเป็น แต่ผมยังไม่เข้าใจ อะไรกันที่จะเป็นเหตุผลของการฆ่าได้

นอกจากว่าการมีอยู่ของตัวเอกจะส่งผลบางอย่าง… บางอย่างที่ส่งผลต่อคนหมู่มาก

ผมนึกถึงเลอัสที่ถูกลากออกไป คงไม่ใช่ว่า---

เลอัส

“...คุณเดนิส....แต่เลอัสเป็นแค่ตัวประกอบ ดังนั้นแล้วเขาอาจจะไม่ถูกฆ่าใช่ไหมครับ” ผมพูด เสี่ยงชีวิตและอ้อนวอนให้พวกเขาไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรไปมากกว่านี้ ใช่ ต้องเป็นแบบนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกฆ่าตั้งแต่แรกไปแล้ว ผมไม่รู้ว่านี่เป็นแค่การหลอกตัวเองหรือไม่ แต่ผมยังพยายามต่อไปอย่างโง่งม “พวกเราหนีมาด้วยกัน ถ้าหากไม่มีเขา ผมคงไม่รอด…”

เดนิสถอนหายใจ "ตัวละครนั่นหน่วยก้านไม่เลว...ถ้านายอยากได้ไว้กับตัวสามารถไปติดต่อพวกประทับตราทาสของสมาคมทีหลังได้”

ตราทาส...

แค่คิดว่าไอ้หมาโง่ที่แบกผมมาทั้งคืนจะถูกประทับตราบ้าอะไรไม่รู้ จิตใจของผมก็เกรี้ยวกราดอย่างไม่อาจควบคุมได้

“อา...ขอบคุณนะครับ คุณเดนิส” ผมยิ้มอย่างโล่งอก แต่เดนิสกลับขมวดคิ้ว

“อย่าไปสนใจพวกตัวละครให้มันมาก พวกมันน่าขยะแขยงจะตาย” เขากล่าว

ผมไม่ได้ตอบ

เดนิสหันตัวจากไป ส่วนผมหลับตาลงช้าๆ

คนรอบข้างคงคิดว่าผมคงทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนสลบ

เสียงกรีดร้องเรียกชื่อผมยังดังมาจากที่ไกลๆ ดูเหมือนเด็กโง่นั่นกำลังร้องไห้...

“…” ผมเม้มปาก

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาไม่หาผ้าอะไรสักอย่างยัดปากไอ้หนูนั่นให้เงียบๆ ไปซะ

 

 

สมองที่เพิ่งได้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มเรียบเรียงข้อมูลที่เพิ่งได้มา

‘พวก’ ‘ตัวเอก’

‘ผู้ทะลุมิติ’

‘ตัวประกอบ’

สมาคม...

จากท่าทีที่พวกเขามีให้เลอัสในตอนแรก ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครแยกเลอัสที่เป็นตัวละครออก แต่ในภายหลังกลับมั่นใจมาก ถ้าไม่นับว่าไอ้เด็กเวรนั่นถามคำถามแสดงตัวโง่ๆ ออกไป บางทีอาจมีวิธีการแยกตัวละครกับผู้ทะลุมิติออกจากกัน...

สมาคม....ดูเหมือนว่าพวกคนทะลุมิติจะมีจำนวนมากกว่าที่คิดไว้ บางทีกลุ่มที่เราเจอตอนนี้อาจเป็นเพียงกลุ่มระดับต่ำที่ถูกส่งมารับผู้มาใหม่ และน่าจะเป็นสังคมยุคสมัยแบบยุคกลางหรืออะไรซักอย่าง เพราะมีทั้งโบสถ์หรือทาส...

ไม่สิ ถ้าทุกคนทะลุเข้ามาในเกม หมายความว่าเนื้อเรื่องนี้ถูกเล่นซ้ำๆ? ไม่น่าจะใช่แบบนั้น เดนิสแสดงออกว่ารู้จักความมืด แต่ไม่รู้จักเลอัส--

เกม...ผู้ทะลุมิติ ‘พวก’ ตัวเอก

ในเมื่อเป็นเกม ทำไมถึงมีตัวเอกหลายคน? นอกซะจากว่านี่จะมีหลาย ‘เกม’ ?

โลกใบนี้มีเกมซ้อนทับกันซ้ำๆ? ทุกเกมมีเนื้อเรื่องแตกต่างกันจึงมีตัวเอกหลายคน มีบทหลายบท เลยเป็นที่มาของคำพูดเดนิสตอนแรกว่า ‘เนื้อเรื่องฉากแรก’ ?

หมายความว่าคนที่ทะลุมิติเข้ามาในช่วงเวลาที่แตกต่างกันก็น่าจะมาจากคนละเกม? และพวกที่ทะลุมิติเข้ามาพร้อมกับผมก็คือคนที่ทะลุมิติเข้ามาในเกมเดียวกับผม?

...ข้อมูลยังน้อยเกินไป ผมยังไม่สามารถสรุปข้อเท็จจริงอะไรได้เลย ได้แต่สันนิษฐานคาดเดาจากทุกอย่างที่มีอยู่เท่านั้น

อืม...ส่วนเรื่องเลอัส

ตอนนี้คงทำได้แค่หลอกทุกคนว่าเด็กโง่นั่นเป็นแค่ตัวประกอบ... ผมยังไม่มีความสามารถพอในตอนนี้ แม้กระทั่งตัวเองยังสุ่มเสี่ยง คงได้แต่ปล่อยเลอัสไว้ก่อน...

 

ทำไมพวกผู้ทะลุมิติถึงต้องตั้งใจฆ่าตัวเอกของเกม? เกิดอะไรขึ้น?

ตอนนี้ผมทำได้แค่ประวิงเวลาไปเท่านั้น ถ้าข้อสันนิษฐานของผมเป็นจริง แปลว่าพวกที่ทะลุมิติเข้ามาพร้อมผมก็จะรู้จักเลอัสเหมือนกัน

สิ่งที่ผมโกหกออกไปแทบจะเหมือนระเบิดเวลาแล้วในตอนนี้

ผมต้องหาทางช่วยไอ้เด็กโง่นั่นให้เร็วที่สุด

 

นอกจากนั้น...หน้าต่างสถานะ

....ดูเหมือนว่าจะเป็นสิทธิพิเศษของพวกผู้ทะลุมิติ บางทีอาจมีลักษณะเหมือนจอสีฟ้าตามที่เคยเห็นในหนังไซไฟ...

แต่จากเมื่อครู่ หากเลอัสไม่พูด ก็จะไม่มีใครรู้ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถดูของคนอื่นได้ ทำได้แค่ถามเท่านั้น

ดี…ดีมาก

เพราะผมมองไม่เห็นมัน

หน้าต่างสถานะพวกนั้น...

ผมมองไม่เห็นมันเลยแม้แต่บานเดียว