ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป - สุสานดารา 3 โดย ณฬ่อล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย,แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ลึกลับ,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สยองขวัญ,ทะลุมิติ,CosmicHorror,BL

รายละเอียด

ผมใช้ความไร้ยางอายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป

ผู้แต่ง

ณฬ่อล

เรื่องย่อ

สารบัญ

พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 1 "ทะลุมิติ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 2 บาปเดียงสา,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-ในมุมที่นอกเหนือสายตา: เงียบสงบ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 3 ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 4 โพรงไม้,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 5 รอยยิ้ม,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-โรคระบาดจากความมืด 6 "บทนำ",พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 1 ประกาศชื่อ,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 2 ใบหน้า,พระเอกเขาบอกว่าผมเป็นคนดีเกินไป-สุสานดารา 3

เนื้อหา

สุสานดารา 3

 

 

ปฏิกิริยาแรกของผมคืออยากไปหาเลอัส ไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ร่างกายที่ยังเจ็บปวดไปหมดของผมนั้นยังไม่สามารถยืนได้

ผมจำได้ว่าตัวเองสังเกตสีหน้าย่ำแย่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยของเลอัสบ่อยแค่ไหน ผมจำได้แม่นว่ามันคือใบหน้าของเลอัสจริงๆ

สีหน้าที่เขาหันมาด้วยความเป็นห่วงแบบนั้น ผมจะลืมมันไปได้ยังไง

พอคิดได้แบบนั้นผมถึงได้สามารถประคองสติขึ้นมาได้

ไม่สิ.... ถ้าเมื่อออกจากบทแรกแล้วตัวละครจะเปลี่ยนไป ทำไมพวกเดนิสถึงมองไม่ออกในแว็บแรกเลยล่ะ?

ทำไมถึงต้องให้เลอัสถามคำถามแสดงตัวออกมาก่อนถึงจะรู้ตัว?

ผมถามคำถามนั้นออกไป

"มันไม่ได้เปลี่ยนไปแบบฉับพลันขนาดนั้นหรอกค่ะ” มาเรียอธิบาย “มันแค่..ค่อยๆ เปลี่ยน เหมือนกาวหรือเนยที่กำลังละลายออก ปกติใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมง”

หมายความว่าทุกอย่างที่ผมจำได้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน

แปลว่าตอนนี้ถ้าผมเจอเลอัส...ภาพที่ผมเห็นอาจจะไม่เหมือนเดิม?

พอคิดแบบนั้น...ไม่รู้ทำไมผมถึงกลัวขึ้นมา

ไม่สิ มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงเสมอไป เหมือนอย่างหน้าต่างสถานะ...

ผมและตัวละครต่างไม่เห็นหน้าต่างสถานะ มีเพียงผู้เล่นเท่านั้น...

ดังนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่มุมมองที่ผมเห็นก็จะแตกต่างออกไปด้วย

 

ไม่เข้าใจเลย ผมแน่ใจว่าตนเองหลุดทะลุมิติเข้ามา มาเรียตอนนี้ก็ยังไม่ได้มองหน้าผมแปลกๆ แปลว่าใบหน้าผมยังปกติดี แต่ทำไมถึงไม่มีหน้าต่างสถานะ?

การประกาศชื่อครั้งแรกนั่น—มันคืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงสำคัญมากนักที่จะต้องทำหลังจากจบบทนำเท่านั้น?

เกี่ยวข้องกับรอยยิ้มของศพหญิงชราที่ผมเห็นรึเปล่า...ผมทำพลาดอะไรไปรึเปล่า

 

มาเรียยื่นขวดแก้วให้ผม นี่เป็นขวดที่สามแล้ว พวกเขาบอกว่ามันคือยาฟื้นฟูสภาพร่างกายที่จะช่วยผมได้มาก มันเป็นน้ำยาสีเหลืองประกายแผ่ออร่าสีฟ้าอ่อนในขวดแก้วกับจุกไม้ดูราคาแพงและคลาสสิค เมื่อผมดื่มเข้าไป รสชาติเหมือนน้ำมะนาวโซดาก็แผ่กระจายในปาก มันอร่อย รู้สึกสดชื่นจนเกือบลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ผมไม่รู้สึกถึงรสชาติเลือดในปากตัวเองด้วยซ้ำ

“ดีขึ้นไหมคะ”

“ครับ...”

 

ผมตระหนักว่าสภาพจิตใจตนเองกำลังค่อยๆกลับคืนมาอยู่ในสภาพปกติ ถึงอาจจะยังตึงเครียดอยู่บ้างเพราะสถานการณ์ไม่คุ้นเคย แต่ไม่ได้ย่ำแย่แบบหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้

อย่างน้อยก็ไม่ใช่การอยากตายแน่ๆ

ผมรู้ว่าความมืดสามารถสร้างภาพหลอนและทำให้อารมณ์ตกต่ำ แต่ไม่คิดเลยว่าจะรุนแรงขนาดนี้ ถึงกับทำให้ผมทิ้งชีวิตตัวเองได้ง่ายๆ ซึ่งตรงข้ามกับนิสัยของผมโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างนั่นเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย

หรือต่อให้รู้ตัว ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีพ้น...หากไม่มีเลอัสพาออกมา ผมคงตายอยู่ในนั้นจริงๆ

เหมือนสังเกตได้ถึงความคิดของผม มาเรียคลียิ้มอ่อนโยน

“สภาพจิตใจเธอดีขึ้นอีกนิดหน่อยแล้วใช่ไหม ค่าสุขภาพเต็มรึยัง?”

“ดีขึ้นเยอะเลยครับ” ผมทำท่ากวาดตามองอากาศ 

“ดีแล้วล่ะค่ะ ตอนที่อยู่ในพื้นที่ความมืด อารมณ์ความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในนั้นจะก้าวร้าว จิตตก หรือกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง หากไม่จิตใจเข้มแข็งจนมีสติที่จะหนีออกมาได้ก็คงต้องตายอยู่ในนั้น... นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้รอดชีวิตออกมาได้ครั้งนี้น้อยมากจริงๆ”

“…มีคนออกมาได้กี่คนหรือครับ”

“ถ้าหากนับราเอลด้วย ก็สามคนค่ะ”

สามคน...

สองคนนั้นต้องจิตใจเข้มแข็งขนาดไหนถึงสามารถหนีรอดออกมาได้โดยไม่มีความช่วยเหลืออะไรเลย

ผมคาดเดา “พวกเขาช่วยพากันออกมา?”

คนสองคนที่รู้เนื้อเรื่องรวมตัวกันน่าจะพากันออกมาได้ง่ายขึ้น

“เปล่าค่ะ แยกกันออกมาน่ะ” มาเรียปฏิเสธ จากนั้นเธอสลับที่กับนักบวชอีกคนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนคนรักษา ดูเหมือนว่าพลังการรักษาจะมีขีดจำกัดและทำให้เหนื่อยล้า ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนกันไปแล้วห้ารอบ มารักษาจากนั้นก็ออกไปพักผ่อน มีเพียงมาเรียเท่านั้นที่ยังพูดคุยกับผมข้างๆ

“พวกเขาสองคนถูกความมืดกัดเซาะคนแทบปางตายเชียวล่ะ แต่ก็ยังสภาพดีกว่าราเอลมากๆ เพราะราเอลเล่นหนีออกมาได้ตอนไม่กี่นาทีสุดท้ายเลยนี่นา” หญิงสาวยิ้มขณะกล่าว เธอเอียงคอเล็กน้อยมองผม ทำท่าเหมือนยิ่งมองยิ่งชอบ มีทั้งความประหลาดใจและแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง

เพราะสัมผัสได้ถึงการพูดเน้นเรื่องระยะเวลาแปลกๆ ผมเลยสนใจขึ้นมา

คงไม่ใช่ว่าระยะเวลาที่หนีออกมาได้จะสำคัญกับการให้ความสำคัญจากรุ่นพี่หรอกนะ

เหมือนเด็กคะแนนดีที่ได้รับความสนใจจากครู?

“พวกเขาออกมาตอนไหนหรือครับ?”

“สี่ชั่วโมงของวันแรก” มาเรียยิ้มบางๆ

ส่วนผมคือวันที่สี่...สี่นาทีสุดท้ายก่อนจบบทนำ

ความคิดแรกที่เอามาเปรียบเทียบคือเด็กคะแนนท็อปสองคนกับผมซึ่งสอบได้ที่โหล่ ผมกรีดร้องในใจว่าซวยแล้ว

จากนั้นถึงได้มีสติขึ้นมา

สี่ชั่วโมง...สภาพปางตาย?

งั้นเป็นไปได้ยังไงที่ผมอยู่ในนั้นมาสี่วันจนเกือบเข้าวันที่ห้าแล้วยังไม่ตาย

“พวกเราที่ดักรออยู่ตรงนี้ไม่ได้เพื่อรอคน....ไม่คิดว่าจะยังมีใครรอดหลังจากจบวันแรกเลย” มาเรียเก็บผมสีคาราเมลเข้าข้างหู กล่าวอย่างช้าๆ “พวกเราแค่กำลังดักรอเพื่อเข้าไปฆ่าตัวเอก”

กลุ่มผู้ชายพวกนั้นเข้าไปฆ่าตัวเอกเหมือนที่ผมคิด แต่ที่น่าประหลาดใจคือทั้งกลุ่มตรงนี้ก็คือกลุ่มจู่โจมเช่นกัน

“ตอนที่ราเอลออกมา พวกเราตกใจกันมากเลยค่ะ มันไม่เคยมีใครอยู่รอดในพื้นที่ความมืดนานขนาดนั้นมาก่อน แถมยังเป็นบทนำด้วย... นอกจากนั้น การฟื้นฟูสภาพจิตใจของนายยังเข้าขั้นบ้าคลั่ง”

“บ้าคลั่ง?” ผมไม่เข้าใจ

“ถ้าให้ยกตัวอย่าง...คนสองคนก่อนหน้านี้ใช้เวลาพักฟื้นหนึ่งวันเต็มเพื่อให้กลับมาพูดได้อีกครั้ง จากนั้นใช้อีกหนึ่งวันเพื่อหลุดออกจากสภาพหวาดกลัว ตอนนั้นทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของพวกเขาเลยล่ะค่ะ”

ส่วนผมก็สามารถพูดเจี๊ยวจ๊าวถามนู่นถามนี่ได้ทันทีที่ออกจากม่าน

แม่งเอ้ย ผมมัวแต่สังเกตสีหน้าเดนิสเพราะต้องการข้อมูลช่วยเลอัส แต่กลายเป็นว่าตัวเองพลาดสิ่งสำคัญไปซะได้

สีหน้าประหลาดใจของพวกเขาตอนที่เห็นผมพูดคุย สีหน้าชื่นชมเมื่อพวกเขามองมาที่ร่างกายของผมซึ่งย่ำแย่เกินทน

ผมคิดไปได้ยังไงว่าคนระดับหัวหน้ากลุ่มจะยอมมาพูดคุยกับเด็กมาใหม่ตั้งนาน แถมนักบวชก็รุมรักษาผมโดยไม่บ่นซักแอะ

ผมไม่รู้ว่าปกติเขาจะปฏิบัติยังไงต่อผู้มาใหม่ แต่โลกของเกมเป็นโลกของการผจญภัยและเวทมนตร์ มันไม่มีกฎเรื่องการปกป้องผู้อ่อนแอ น้ำยาพวกนั้น...ถึงจะไม่รู้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหน แต่พวกเขาต้องประเมินผมไว้สูงพอที่จะทุ่มเททรัพยากรให้ด้วย

ผมเห็นสีหน้ายิ้มแย้มที่แฝงไว้ด้วยความหงุดหงิดของเดนิสแล้วคิดว่าคนนี้อ่านได้ง่าย แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายคือคนที่เก็บอารมณ์ที่สุด อย่างน้อยตอนที่ผมคุยกับเขา ก็ไม่สังเกตถึงท่าทีประหลาดใจหรือคาดหวังอะไรเลย และไม่มีสัญญาณของการเอาอกเอาใจด้วย...

เมื่อคำนึงว่าตอนนี้เดนิสเดินเข้าไปในป่าตั้งนานแล้ว บางทีเขาอาจต้องเป็นคนนำทีมย่อยนั่นตั้งแต่แรก แต่ยังรั้งไว้เพื่อสำรวจผม

หากไม่ใช่เพราะพฤติกรรมกระตือรือร้นและดีใจของมาเรีย ผมก็คงไม่รู้ว่าตัวเองถูกประเมินไว้สูงขนาดนั้น

ตอนนี้ผมนสายตาคนรอบข้างเป็นยังไงนะ อัจฉริยะแห่งจิตใจที่สามารถทนต่อการกัดกร่อนความมืดได้ตั้งสี่วัน?

ไร้สาระ แค่วันที่สามร่างกายผมก็เน่าแล้ว

แถมในเวลานั้น..เสียงกรีดร้องที่ได้ยินก่อนหน้านี้

ผมคิดว่าเขาก็อาจจะเป็นพวกทะลุมิติเช่นกัน ไม่ใช่ว่าชายคนนั้นก็ยังรอดอยู่เหมือนกันหรือ

บางทีคนที่สามารถอยู่ในพื้นที่ความมืดได้มากกว่าสี่วันอาจมีอยู่ แต่พวกเขาแค่ไม่เคยได้ออกมา

แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่คิดที่จะแก้ความเข้าใจผิดนี้

เพราะยิ่งพวกเขาประเมินผมในแง่ดี...โอกาสที่ผมจะดึงเลอัสออกมาได้ยิ่งมากขึ้นด้วย

มันไม่สำคัญว่าไอ้หมอนั่นจะหน้าตาแบบตัวละครหรือแบบไหน ไม่สำคัญเลยว่าไอ้หมานั่นจะเป็นตัวเอกหรือตัวประกอบ

เพราะถ้ามันคือเด็กผู้ชายโง่ๆ ที่แบกผมออกมาจากหมู่บ้านนรกนั่น เด็กผู้ชายที่ร้องไห้ขอให้ผมมีชีวิตต่อไปท่ามกลางท้องฟ้าสีแดงเลือด คนๆ เดียวกับที่ใช้หลังตัวเองเป็นกำแพงปิดช่องโพรงไม้ อุ้มร่างผมหนีโดยจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ยอมปล่อยผมไปคนนั้น

ยังไงผมก็จะต้องช่วยเขา

ต้องช่วยให้ได้