ศตวรรษที่ 27 ยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งจำเป็นอันดับ 1 ที่ขาดไม่ได้ ทว่าก็มิอาจทดแทนศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เรมี่และเพื่อนๆยังคงอุทิศตนให้กับงานภาพยนต์ แม้เจอปนด้วยกลิ่นอายแห่งความตายก็ตาม การถ่ายทำจะยังดำเนินต่อไป... ผู้กำกับหนุ่มผู้หัวเสียกับงานที่มีงบจำกัดและตัวเลือกก็ดูเหมือนจะมีไม่เยอะนัก เขาจะต้องจำใจพาลูกทีมและบรรดาดาราผู้ร่วมงาน มุ่งหน้าสู่เขตอนุรักษ์นิยมที่ราวกับจะพาพวกเขาย้อนอดีตกลับไปยังศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คดีฆาตกรรมปริศนาบนเกาะปิดตายเกิดขึ้นต่อเนื่อง

Remii - Chapter 1 Another (Act 1) โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไซไฟ,อาชญากรรม,ดราม่า,ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน,แนวขายไอเดีย,เสียดสีสังคม,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Remii

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ,อาชญากรรม,ดราม่า,ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แนวขายไอเดีย,เสียดสีสังคม,ไซไฟ,แฟนตาซี

รายละเอียด

ศตวรรษที่ 27 ยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งจำเป็นอันดับ 1 ที่ขาดไม่ได้ ทว่าก็มิอาจทดแทนศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เรมี่และเพื่อนๆยังคงอุทิศตนให้กับงานภาพยนต์ แม้เจอปนด้วยกลิ่นอายแห่งความตายก็ตาม การถ่ายทำจะยังดำเนินต่อไป... ผู้กำกับหนุ่มผู้หัวเสียกับงานที่มีงบจำกัดและตัวเลือกก็ดูเหมือนจะมีไม่เยอะนัก เขาจะต้องจำใจพาลูกทีมและบรรดาดาราผู้ร่วมงาน มุ่งหน้าสู่เขตอนุรักษ์นิยมที่ราวกับจะพาพวกเขาย้อนอดีตกลับไปยังศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คดีฆาตกรรมปริศนาบนเกาะปิดตายเกิดขึ้นต่อเนื่อง

ผู้แต่ง

RemyGravity

เรื่องย่อ

ในศตวรรษที่ 27 ซึ่งเป็นโลกที่มนุษย์สามารถเข้าออกโลก Virtual Reality ได้เพียงปลายนิ้วตวัด โดยมีลิมิตการใช้งานเพียง 6 ชั่วโมงต่อวัน เทคโนโลยีต่างๆ ล้ำหน้าและกลายเป็นของจำเป็นที่ขาดไม่ได้ จนบางครั้งการลุกออกจากเก้าอี้ก็เป็นเรื่องไม่จำเป็น ผู้คนบางส่วนเริ่มด้อยค่าและมองข้ามผลงานที่ถูกสร้างโดยมนุษย์ เพราะเอาแต่ยึดติดกับความสะดวกสบายและผลงานของ AI


แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังเห็นคุณค่าในหยาดเหงื่อของมนุษย์ สื่อบันเทิง ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์โดยฝีมือมนุษย์ยังน่าพิศวงและไม่อาจมีปัญญาประดิษฐ์ใดเทียบเคียงได้ แต่ซ้ำร้ายวงการบันเทิงกลับไม่ใช่สถานที่สวยงามดั่งใจฝัน มันรายล้อมไปด้วยงูพิษไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย และเทคโนโลยีก็เอื้ออำนวยให้ผู้คนหันมาใช้ 'อิทธิพลสื่อ' แทน 'อาวุธสงคราม' ......


ผู้กำกับหนุ่มที่กำลังหัวเสียกับโปรเจ็คหนัง ที่มีงบจำกัดและตัวเลือกก็ดูเหมือนจะมีไม่เยอะนัก เขาจะต้องจำใจพาลูกทีมและบรรดาดาราผู้ร่วมงาน มุ่งหน้าสู่เขตอนุรักษ์นิยมที่ราวกับจะพาพวกเขาย้อนอดีตกลับไปยังศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คดีฆาตกรรมปริศนาบนเกาะปิดตายเกิดขึ้นต่อเนื่องราวกับลูกโซ่โดยที่เทคโนโลยีสุดล้ำสมัยก็ไม่อาจช่วยอะไรได้!? การถ่ายทำยังคงต้องดำเนินต่อไป ท่ามกลางความโกลาหลและความลับอันดำมืดที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา...

สารบัญ

Remii-Chapter 1 Another (Act 1),Remii-Chapter 2 Another (Act 2),Remii-Chapter 2 Bending (Act 1),Remii-Chapter 2 Bending (Act 2),Remii-Chapter 3 Chain (Act 1),Remii-Chapter 3 Chain (Act 2),Remii-Chapter 4 Doubt (Act 1),Remii-Chapter 4 Doubt (Act 2),Remii-Chapter 5 Edge,Remii-Chapter 6 Frenzy,Remii-Chapter 7 Guilty

เนื้อหา

Chapter 1 Another (Act 1)

ศตวรรษที่ 27

ว่ากันว่าการแต่งงานนั้นหมายถึงสองคนเท่ากับหนึ่งเดียว

คนคนนั้น

ผู้ชายที่เปร่งประกายได้ แม้จะอยู่ในที่มืด ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูจะง่ายดายไปซะหมด

เกลียด

 

 

บานประตูเลื่อนสีม่วงอ่อนเปิดอ้ากว้าง สองเท้าก็ก้าวเข้าไปโดยพลัน ในห้องพักทีมงานต้นทุนต่ำ ที่ยังใช้โต๊ะพับแบบศตวรรษที่ยี่สิบ เครื่องชงกาแฟบ้าน ๆ และโอเปอเรเตอร์สาวที่คอยวิ่งวุ่น แทนที่จะใช้บริการ เอไอสาธารณะ ถ้าหากยอมโอนอ่อนตามกระแสสังคมสักครั้ง อาจจะมีต้นทุนเหลือล้นจนปรนเปรอทีมงานได้แท้ ๆ แต่เพราะความคิดแปลกประหลาด เป็นคนเพี้ยนและแข็งข้อจนผู้คนนึกขยาด จะเรียกว่าจุดบอดใหญ่หรือโชคร้ายของกองถ่ายนี่ดีล่ะ ถึงได้มีชีวิตรันทดได้ขนาดนี้

บนป้ายไวนิลหน้าบริษัท ทุกครั้งที่ฉันเดินผ่าน ก็คงได้แต่ถอนหายใจ นึกวนเวียนความคิดนับล้านครั้ง

‘ผลงานเฉพาะกลุ่มแบบนี้ จะไปเติบโตอะไรได้นักหนา’

ถึงเจ้าตัวจะเป็นคนหัวรั้นไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยผิดพลาดหรือล้มละลายสักครั้ง เขายังมีศรัทธาต่อไปในวงการแห่งแสงสี และมีเสียงของฉันที่พัดผ่านใต้สายลม

“อะ คุณนาย สวัสดีครับ”

ฉันค้อมตัวทักทายสตาฟหนุ่ม ดูเหมือนว่าพิซซ่ายังคงเป็นเมนูสิ้นคิดที่คนคนนั้นจะคิดได้ ฉันมองทุกอย่างด้วยความรู้สึกว่างเปล่า แสงไฟสีขาวจ้าและหลอดไฟแอลอีดีดูจะราคาสูงไม่ใช่เล่น เพราะงานภาพยนต์แสงถือเป็นปัจจัยสำคัญ เขาถึงลงทุนไม่ยั้งแม้จะในสถานที่แบบนี้ก็ตาม

บนโต๊ะมีอุปกรณ์ถ่ายทำมากมายที่ยังสั่งการจากเอไอ ไม่ได้ ศตวรรษที่ 27 แม้ทุกคนจะมี เอไอที่สั่งการได้ด้วยสมาร์ตดิสเพลย์ หน้าจอลอยได้ที่ยังไม่ถูกตั้งชื่อ ปรากฏครั้งแรกในนิยายไซไฟสักเรื่องราว ๆ ศตวรรษที่สิบเก้าหรือยี่สิบ ฉันเองก็ไม่แน่ใจ มันไม่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในสักที่ และมีตัวสั่งการเป็นสมาร์ตแกดเจ็ต บ้างก็เป็นนาฬิกาข้อมือแบบตากล้องคนที่จิบชาจากแก้วพลาสติกตรงนั้น บ้างก็เป็นต่างหูทรงงามแบบผู้จัดการสาวคนสวย บ้างก็ฝังไมโครชิปลงบนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ก็ยังมีวิทยาการบางตัวที่ปัญญาประดิษฐ์ยังไม่มีประสิทธิภาพพอให้อัดทุกอย่างเข้าไป

 

บางครั้งมนุษย์ที่ยืนกินพิซซ่าใส่สับปะรดนั้น ก็เข้าใจยากจนไม่อยากถามไถ่ ฉันดึงเก้าอี้ตัวนุ่มออกมานั่งพร้อมเท้าคางเหมือนคนปวดฟัน จับจ้องผู้คนที่การนินทาดูจะเป็นเรื่องฉลาดเต็มประดา

ผนังห้องหนาทึบ เก็บเสียงได้ดีเทียบเท่าห้องอัด แต่ถึงกระนั้นก็เดาบทสนทนาของสาว ๆ ได้ไม่ยาก ห้องข้าง ๆ เป็นกรีนรูม ใช้สำหรับเป็นที่พักนักแสดง ตาบ้านั่นจะเรียกสองห้องแยกเป็นห้องกองกับห้องพัก และมีนิสัยแปลก ๆ ที่เรียกกรรไกรว่า ‘ฉับ ๆ ’ เรียกสเลทฟิล์มว่า ‘ตัดฉับ’ พอพูดถึงแล้วก็ได้ยินมันดังแว่วมาจากที่ใกล้ ๆ ทั้งที่จริงจะใช้เอไอทำงานแทนก็ยังได้แท้ ๆ

ถ้าฉันเดินออกไปหาเขาตรง ๆ ก็จะได้แต่ยืนมองไกล ๆ จนกว่างานจะสำเร็จลุล่วง ผมสีเทาประกายม่วง ทรงเสยขึ้นเปิดข้างหูด้านซ้าย เพื่อโชว์ต่างหูรูปไม้กางเขน แม้เจ้าตัวจะไม่เชื่อในพระเจ้าก็ตาม แต่ในโลกของหนัง ผู้กำกับอาจเป็นเหมือนพระเจ้า ส่วนโปรดิวเซอร์คือผู้กำหนดชะตาของพระเจ้าอีกที ใบหน้าหวานกับร่างกายผอมบางที่อดหลับอดนอน จนหวิดฟาดพื้นไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่โปรแกรมอัจฉริยะก็ช่วยปฐมพยาบาลฉุกเฉินได้จนกลายเป็นเรื่องชินชา หากมีคนล้มก็แค่เปิดโหมดต้านแรงโน้มถ่วง ทุกอย่างช่างสะดวกสบาย แน่นอนว่าแลกกับค่ารักษาพยาบาลที่ผ่านไปกี่ยุคก็ไม่มีวันฟรี

เขายังคงตั้งใจทำงานเหมือนกับทุกครั้ง และก็ตีหน้าซื่อทำเป็นคนโง่เหมือนทุกครั้ง

แต่เพราะเป็นแบบนั้น ผู้คนถึงหลงรัก ในความเอาตัวรอดไปวัน ๆ แบบนั้น

 

ผิดกับฉันที่ต้องคอยอยู่เบื้องหลังและไม่มีที่ให้ฉายแสง

 

“คุณนาย ผู้กำกับเสร็จงานแล้วครับ”

สตาฟคนหนึ่งเดินเข้ามาเรียกก่อนเลยไปห้องอื่น กล่องข้าวสองกล่องในมือถูกกระชับเบา ๆ คนคนนี้ชอบกินไก่ทอดและซาชิมิแซลมอน ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่ควรรวมกล่องเดียวกัน ไก่ทอดจะคายไอร้อนทำให้ซาชิมิเหี่ยวเฉา ยิ่งปะปนกับกลิ่นน้ำมัน ยิ่งไม่เป็นที่น่าพึงใจ เรียกได้ว่าเป็นรสนิยมการกินที่หนักหัวคนทำใช่เล่น

“นี่”

ฉันเรียกออกไปเบา ๆ พลันเห็นคนคนนั้น ยิ่มร่าทั้งที่ยังถือกระป๋องโค้กก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด

“พวกฝ่ายศิลป์กับคอสตูม กลับกันหมดแล้วเหรอ”

“ครับ เหมือนจะมีธุระด่วนน่ะครับ”

“ขอบใจนะ”

พูดจบก็คว้ากล่องข้าวไปอย่างไม่รู้ร้อนหนาว ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับคนอื่นต่อราวกับหนังที่เล่นไหลลื่นไร้รอยต่อ

“ฮะ ๆ จริงดิ โม้! หมอนั่นทำแบบนั้นจริงดิ”

มือข้างที่เหลือยกขึ้นลูบหัวของฉันแต่สายตายังคงจับจ้องคู่สนทนาอื่น ควรจะเป็นภาพจำที่ชินตาแต่ไม่รู้ทำไมชีวิตถึงรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้ เสียงหัวเราะร่าและเนื้อหาไม่รื่นหู แสร้งทำตัวเป็นมิตร ทำไมถึงได้เก่งได้ขนาดนั้นกัน

“นี่ภรรยาผมเอง คุณโปรดิวเซอร์ ถ้าชอบแนวดราม่าชีวิตจัด ๆ ยัยนี่แต่งเก่งมากเลยนะ” เขาพูดพลางตบบ่าฉันสองสามครั้ง ตาลุงหนวดครึ้มตรงหน้านี่คงเส้นใหญ่พอสมควร

“จริงเหรอ แต่มันไม่ค่อยทำตลาดนี่ดิ”

“ครับ ผลงานของยัยนี่ก็ขายได้แค่ แอนติวิลเลียน นั่นแหละ”

“โฮ้ ชื่อนี้ อย่าบอกนะว่าคนแต่งเรื่องนั้น ตัวจริงเลยเรอะ”

เขาเอียงคอมองพลางชี้นิ้วมาที่ฉันด้วยความฉงน แหงสิ ก็ทุกคนรู้จักเรื่องนั้นแต่แทบไม่มีใครคิดจะจำชื่อคนเขียนเลยนี่นะ

 

เจ็บปวดจริง ๆ เลย

.

.

.

.

“นี่ มิเรย์จังยังไม่แต่งงานอีกเหรอ”

“เอ๊ะ?”

“ตอนนี้คนในกลุ่มเราก็ทยอยแต่งงานกันหมดแล้วนะ”

“อื้อ ไม่เป็นไร สำหรับฉันแค่ได้นั่งเขียนงานแบบนี้ต่อไปก็พอแล้ว”

“ชีวิตน่าเบื่อจริง ๆ เลยนะ”

“ใช่ แต่ถ้าหากการแต่งงานมันทำให้งานของฉันมีตัวตน ก็คุ้มนะ”

“เห ไม่แน่นะ”

เฟย์ เพื่อนสนิทของฉันลูบคางไปมา เธอจด ๆ จ้อง ๆ บางอย่างในหน้าจอตนเอง

“บางที บางที ชักคิดอะไรสนุก ๆ ได้แล้วสิ”

“หืม?”

 

รู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็ราวกับถูกเสกปั้นเป็นละครฉากใหญ่ ที่ถูกจัดเรียงไว้เตรียมพร้อมสู่การเปิดม่าน เรือนผมสีเทาประกายม่วง วันนี้เขาไม่ได้ใส่เสื้อฮู้ดสีเทาตัวเก่ง แต่เพียงแค่เสื้อสีขาวคอปิดตัวใน กางเกงยีนส์ผ้ายืดสีดำตกแต่งด้วยกลิตเตอร์ประกายดาว และหมวกทรงฟักทองปีกกว้างสีกาแฟ กลับต้องตาต้องใจเสียจนไม่กล้าเบือนหน้าหนี เขาเลื่อนนิ้วบนหน้าจอดิสเพลย์ พยายามสั่งอาหารที่ตนเองถูกใจ

ด้านนอกมีโคมไฟสีฟ้าใส ราวกับภาพโฮโรแกรมประดับตามท้องถนน รอบกายเต็มไปด้วยสาวน้อยใหญ่ ผู้พยายามจับจองโต๊ะใกล้ ๆ เพื่อให้ได้ชำเลืองมอง ‘เขา’ ได้อย่างชอบธรรม แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกตัวใด ๆ เช่นกัน

“ผมเอามอคค่า ใส่โกโก้ 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วของคุณ”

“อะ คือ ฉัน..น้ำส้มก็พอค่ะ”

เรือนผมสั่นไหวตามการขยับร่างกาย ปลายนิ้วสไลด์ส่งใบสั่งออเดอร์ด้วยความชำนาญ หุ่นกระป๋องเดินผ่านอย่างไม่สนอกสนใจพวกเรา ถ้าหากว่ายังอยู่ในยุคที่ใช้แรงงานมนุษย์เป็นบริกรเสิร์ฟ บางทีอาจจะมีเหลียวหลังจนคอหันเลยก็ว่าได้

คนคนนี้เป็นผู้กำกับหนัง ที่ดูยังไงก็เหมือนดาราชั้นนำหลุดออกมาจากจอ ตอนแรกฉันก็คิดว่าเป็นเรื่องอำเล่น ไม่คาดฝันว่าจะได้มีโอกาสเข้าถึงบุคลากรวงในอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ด้วยซ้ำ

“ว่าแต่ คุณมีอะไรมาเสนอนะครับ”

“อะ สักครู่นะคะ”

ฉันพยายามล้วงของจากกระเป๋าเป้ มันคงเป็นภาพดูเลิ่กลั่กไม่น้อย

“พล็อตของฉันค่อนข้างละเอียด เกรงว่าส่งเข้าระบบจะไม่ดีต่อสุขภาพตาน่ะค่ะ เลยปริ๊นท์เป็นกระดาษมาให้”

กล่าวจบเมนูที่สั่งก็ถูกเสิร์ฟโดยพร้อมเพรียง ฉันค่อย ๆ เลื่อนแฟ้มสีชมพูอ่อนไปตรงหน้าเขาอย่างระมัดระวัง อาจจะเป็นการกระทำที่แปลกในยุคนี้ แต่เชื่อมั่นว่าเขาจะเข้าใจความหวังดีนี้ ดวงตาสีชมพูเข้มกวาดไปมาอยู่สักพัก ไม่ต้องสืบเลยว่าฉันรู้สึกลุ้นขนาดไหน

“เนื้อหาดีนี่นา น่าสนใจมาก ๆ เลยล่ะ แต่”

“คะ?”

“คุณเคยตีพิมพ์หรือเปล่า”

“ไม่เคยค่ะ แนวงานของฉันคงทำให้ฉันขาดทุนไม่น้อยเลย”

“งั้นเหรอ แล้วถ้าหากถูกทำเป็นหนังแล้วขาดทุนล่ะ คุณจะว่ายังไง”

เขาใช้นิ้วชี้ไปที่กระดาษขาว รอยยิ้มละมุนนั่นคาดเดาไม่ได้ว่าคำตอบแบบไหนถึงจะพึงพอใจ

“ว่าไงล่ะ”

“ฉัน…ฉันมั่นใจว่างานของฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง”

ดวงตาคมนั่นหรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากได้รูปยิ้มกว้างกว่าเคย

“ผมชอบความบ้าบิ่นแบบนั้นแหละ”

“คะ? เอ๊ะ ชะ ชอบ”

“ถ้าหากผมร่างสัญญาได้แล้ว ผมจะส่งไปให้คุณครับ”

สิ้นสุดเสียงก็ลุกขึ้นยืนทันที เมื่อสังเกตกาแฟในแก้ว ก็เรียกได้ว่าหมดเกลี้ยงจนเหลือแต่น้ำแข็งสีใส ช่างเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและตัดสินใจได้ฉับไว จนประมาทไม่ได้ซะแล้ว

 

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

ฉันค้อมตัวขอบคุณเต็มที่ น้ำส้มในแก้วไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อย บางทีโลกใบนี้อาจรักฉันมากกว่าที่คิด

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง

.

.

.

“ยืนนิ่งทำไม กลับบ้านสิ”

“อะ อื้อ”

“โฮเวอร์บอร์ด เอามาหรือเปล่า?”

“เอามาสิ”

ฉันคว้าบอร์ดสีชมพูอ่อนเดินตีคู่ไปกับชายหนุ่มผู้เป็นสามีในนาม ก่อนจะกระโดดแท่นกระโดดแล้วเดินทางกลับคอนโดตามปกติ ลมเย็น ๆ ตีเข้าหน้าทำให้รู้สึกสดชื่น แม้ภายนอก ริงโรด จะแดดจ้าจนแยงตาเล็กน้อย โฆษณาสองข้างฝั่งปรากฏรวดเร็ว แม้น่ารำคาญแต่ก็ทำให้หายเบื่อได้ไม่ช้า

การเดินทางในยุคนี้ หากให้เทียบกับช่วงศตวรรษที่ 20 โฮเวอร์บอร์ดจะเรียกว่าเป็นมอเตอร์ไซต์สำหรับขับขี่คนเดียวก็ไม่แปลก หากนึกหน้าตาไม่ออกก็เป็นราว ๆ สเก็ตบอร์ดแต่ลอยได้เหนือพื้นและใช้พลังงานลมในการขับเคลื่อน มีเส้นทางการสัญจรกลางอากาศ ชื่อแอร์โรด หากใช้รถยนต์ก็จะมีถนนหนทางให้ตามปกติ แต่หากเป็นโฮเวอร์บอร์ดจะต้องขึ้นไปบนยอดตึกเพื่อออกตัว มีริงโรด หรือวงแหวนเป็นขอบถนนที่คอยปรับสมดุลให้ร่างกายมนุษย์ และเจ้าอุโมงค์วงแหวนนี้เองก็มีระบบต่อต้านแรงโน้มถ่วง มีข้อดีตรงที่จะไม่มีคนขับขี่เกินข้อกำหนดพลังงานที่ได้รับจาก ริงโรด แต่ก็ยังมีคนละเมิดกฎอื่น ๆ และตกลงมาคอหักตายบ่อย ๆ เพราะหากหลุดแทร็กไปก็ไม่ต่างอะไรจากรถแหกโค้งดี ๆ นี่เอง

“หมอนั่นเร็วเกินไปแล้ว”

ฉันบ่นอุบอิบ มันอาจจะฟังดูสะดวกสบาย แต่ถ้าถามถึงความโรแมนติกแล้ว การใช้ยานพาหนะบนดินยังจะดีกว่า แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องการแค่นึกเปรียบเทียบยามต้องเขียนพล็อตเอาใจคนอื่นเท่านั้น

“แต่ว่า คนคนนั้น หน้าตาคุ้น ๆ อยู่นะ”

ยังไม่ทันได้ปะติดปะต่อเรื่องราว เสียงโครมครามก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันเหลียวมองตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพบว่ามีร่างเล็ก ๆ ร่วงหล่นลงจากแอร์โรด ลงสู่ด้านล่างอย่างน่าใจหาย

“....”

ใบหน้าสวยซีดเผือด ไม่มีเสียงกรีดร้องใด ๆ ออกมา มีเพียงความเงียบงันและนัยน์ตาที่หดตัวลง แม้สายลมรอบด้านจะเงียบสงัด แต่ในหูราวกับจะได้ยินเสียงจี๊ดดังค้าง อุบัติเหตุเช่นนี้ไม่ได้เกิดบ่อยนัก แต่ปุถุชนธรรมดาอย่างฉันก็ไม่มีน้ำยาพอที่จะช่วยเหลือใด ๆ ได้

“เรมี่”

ชื่อที่ถูกเอื้อนเอ่ยนั้นแผ่วเบาเสียจนแทบจางหายไปกับความรวดเร็วของยานพาหนะ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความล้ำหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร มันก็มีตัวตนมากพอให้เขาได้ยิน

“เมื่อกี้เรียกหรือเปล่า”

“ข้างหลัง มีคนตกลงไป”

เขาไม่ได้ชะลอโฮเวอร์บอร์ดลงแม้แต่นิด ยังคงความเร็วในระดับที่แค่มองจากด้านหลังก็รับรู้แล้วว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาใด ๆ แถมยังมีแว่วเสียงจากปลายสายคล้ายกำลังคุยกับคนอื่นไปพลาง โฮเวอร์บอร์ดยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ไร้การตอบกลับ ก่อนที่ความเงียบจะถูกทลายลงด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

“ช่างมันเถอะน่า”

“เอ๊ะ...”

ฉันผงกหัวขึ้น ใบหน้าหวาดกลัวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นไม่เข้าใจ และไม่คิดแปลกใจหากคนในวงการบันเทิงมากหน้าค่าตาจะสาปแช่งคนไร้จิตใจอย่างไม่ใยดีแบบนั้น

ข้อความหนึ่งฉายอยู่บนหน้าต่างอินเทอร์เฟซด้านข้าง มันถูกส่งมาจากเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่คุ้นเคย

‘กลับบ้านระวัง ๆ นะ ช่วงนี้คนในวงการบันเทิงเจอแต่เรื่องแปลก ๆ ’

ฉันหรี่ตาลง ความไม่สบายใจก่อตัวขึ้นในอก ภาพของคนเมื่อกี้ที่ตกลงไปด้านล่างยังคงติดตา หากนึกดี ๆ แล้ว ก็คุ้นหน้าคุ้นตา ‘เหมือนเคยเจอที่ไหนสักแห่งมาก่อน’

 

“ฮัลโหล มาริ อะ ไม่เปิดกล้อง พอกหน้าอยู่หรือไง”

ผู้กำกับหนุ่มหัวเราะเยาะรุ่นน้องสาว ในมือก็ถือขวดโค้กตามปกติ เอนกายพิงโซฟานุ่มสีเทาอ่อนทรงมินิมอล โดยที่ฉันนั่งห่อไหล่ในเก้าอี้รูปทรงไข่ตัดเสี้ยวสีขาว เราทั้งคู่อยู่ในชุดนอนตามสไตล์ตนเอง เรมี่สวมเสื้อยืดขาวกางเกงขายาวสีฟ้าอ่อน ส่วนฉันใส่ชุดนอนแบบมาสคอตกระต่ายสีชมพูมีฮู้ดใหญ่ สายตาได้แต่จ้องคนจิบน้ำอัดลมสบายใจเฉิบ วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมงแต่สำหรับคนคนนี้คงใช้เวลาตื่นนอนทั้งหมดไปกับการโคงาน คิดงาน ดีลงาน

ในห้องกว้างถูกย้อมด้วยแสงไฟสลัว จอดิสเพลย์ขนาดใหญ่ฉายการแข่งฟุตบอลนัดสำคัญ ฉันไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาหลงใหล เช่นเดียวกับผู้หญิงข้างนอกนั่นก็คงไม่รู้จักเขาดีไปกว่านี้ โฆษณาล่อลวงให้ซื้อชุดนอนคู่ที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ต้อนรับเทศการความรักที่อีกตั้งนานกว่าจะมาถึง

“รออยู่นะ ทีหลังก็รีบ ๆ มาล่ะ ลงตารางรายการให้แล้ว”

ฉันนึกอิจฉาเสน่ห์ของเขา ที่ล่อลวงใคร ๆ ก็ติดกับไม่เคยผิดแผน ผิดกับฉันที่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่เคยถึงเป้าหมายสักที

“แฟนใหม่หรือไง”

 ฉันถามเรียบ ๆ พลางจกถุงขนมใต้โต๊ะรับแขกขึ้นมาฉีก

“เพ้อเจ้อ”

“ก็เห็นเด็กเยอะนี่นา”

“ก็แค่คบไว้เพื่อผลประโยชน์นั่นแหละ เด็กพวกนี้ดิ้นรนกันยิ่งกว่าปลาติดแหซะอีก”

“วงการบันเทิงนี่นะ”

ฉันพูดพลางกางหน้าจอเพื่อเล่นเกม เครื่องปรับอากาศในห้องปรับจนเย็น ทำเอาเสียวสันหลังชอบกล

“ว่าแต่เมื่อไรจะคิดงานใหม่ออก”

ฉันบุ้ยหน้าหนีเมื่อเขาทวงถาม ทั้ง ๆ ที่พยายามเบี่ยงเรื่องคุยแล้วแท้ ๆ

“ยังคิดไม่ออกหรอก”

“ถ้าเธอเป็นแบบนี้ไปตลอด บางที...”

“รู้อยู่แล้วล่ะ!”

ถึงไม่ต้องเงยหน้าไปมอง ก็รู้อยู่แล้ววางดวงตาคู่นั้นกำลังจับจ้องฉันด้วยแววตาผิดหวังจากก้นบึ้งของจิตใจ

“ขอโทษนะเรมี่ แต่ฉันขอเวลาอีกสักหน่อย”

“อืม”

ในโลกที่มนุษย์เสแสร้งแกล้งทำ งานต่าง ๆ ถูกด้อยค่าด้วยความสะดวกสบาย สะดวกเสียจนต้องนึกตั้งคำถามถึงความสุข มีผู้คนจำนวนไม่น้อยพึ่งเทคโนโลยีจนมองไม่เห็นความประณีตของงานศิลปะ แต่ถึงอย่างนั้นปากกาในมือยังคงตวัดต่อไป ฉันเหลือบมองออกไปนอกห้อง แสงไฟจากยานไซเรนสีแดงฉานส่องอาบหน้า รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องราวต่าง ๆ ดำเนินไปไวเหมือนโกหก คนที่เอาแต่ชี้นิ้วออกคำสั่งก็ไม่ผงกหน้าขึ้นมาจากหน้าจอสมาร์ตดิสเพลย์ เขาดูหัวเสียที่คนจำนวนไม่น้อยดูจะไม่สนใจงานที่มนุษย์ลงทุนประดิษฐ์ แถมยังเชิดชูเอไอ แม้มันจะไม่มีความซับซ้อนด้านความนึกคิด ฉะนั้นฉันจะถูกคาดคั้นผลงานที่เหนือระดับก็คงไม่ใช่เรื่องผิดแปลก

“นี่ จะไม่ออกไปดูหน่อยเหรอ” ฉันตัดสินใจถามตรง ๆ

“งานของพวกหุ่นกระป๋อง ก็ให้ทำไปเถอะ”

เช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่น ๆ ที่ถูกดูดกลืน ถลำลึกสู่รัตติกาลที่พร่างพราวไปด้วยแสงสีและไม่คิดจะหวนกลับคืน..

‘มิเรย์’

และข้อความล่าสุด ที่เธอยังไม่ได้เปิดอ่าน