ศตวรรษที่ 27 ยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นเทพเจ้า ทุกอย่างสะดวกสบายจนแทบจะเป็นไม่ได้ที่จะก่ออาชญากรรมขึ้น 'ไม่มีทางที่มนุษย์จะก่ออาชญากรรมได้ง่ายๆ' นั่นคือความคิดแสนตื้นเขินของพวกเขา ท่ามกลางอุตสหากรรมบันเทิงแสนฟอนเฟะ เรมี่และเพื่อนๆ ยังคงอุทิศตนให้กับงานภาพยนต์ แม้การทำงานในครั้งนี้ เจอจะปนไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่คาดเดาไม่ได้ก็ตาม
ไซไฟ,อาชญากรรม,ดราม่า,ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน,แนวขายไอเดีย,เสียดสีสังคม,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Remiiศตวรรษที่ 27 ยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นเทพเจ้า ทุกอย่างสะดวกสบายจนแทบจะเป็นไม่ได้ที่จะก่ออาชญากรรมขึ้น 'ไม่มีทางที่มนุษย์จะก่ออาชญากรรมได้ง่ายๆ' นั่นคือความคิดแสนตื้นเขินของพวกเขา ท่ามกลางอุตสหากรรมบันเทิงแสนฟอนเฟะ เรมี่และเพื่อนๆ ยังคงอุทิศตนให้กับงานภาพยนต์ แม้การทำงานในครั้งนี้ เจอจะปนไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่คาดเดาไม่ได้ก็ตาม
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 27 ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ ล้ำหน้าและกลายเป็นของจำเป็นที่ขาดไม่ได้ จนบางครั้งการลุกออกจากเก้าอี้ก็เป็นเรื่องไม่จำเป็น ผู้คนบางส่วนเริ่มด้อยค่าและมองข้ามผลงานที่ถูกสร้างโดยมนุษย์ เพราะเอาแต่ยึดติดกับความสะดวกสบายและผลงานของ AI ผู้คนต่างใช้ชีวิตบทความประมาท ไว้เนื้อเชื่อใจในเทคโนโลยีอย่างเต็มเปี่ยม
'ไม่มีทางที่มนุษย์จะก่ออาชญากรรมได้ง่ายๆ' นั่นคือความคิดของพวกเขา
แต่ท่ามกลางความสะดวกสบาย ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังเห็นคุณค่าในหยาดเหงื่อของมนุษย์ สื่อบันเทิง ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์โดยฝีมือมนุษย์ยังน่าพิศวง แต่วงการบันเทิงกลับไม่ใช่สถานที่สวยงามดั่งใจฝัน มันรายล้อมไปด้วยงูพิษไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย และเทคโนโลยีก็เอื้ออำนวยให้ผู้คนหันมาใช้ 'อิทธิพลสื่อ' แทน 'อาวุธสงคราม' จนสองสามีภรรยาในนามต้องดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ
เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มที่กำลังหัวเสียกับโปรเจ็คหนังที่มีงบจำกัดและตัวเลือกก็ดูเหมือนจะมีไม่มากนัก เขาต้องจำใจพาลูกทีมและบรรดานักแสดง มุ่งหน้าสู่เขตอนุรักษ์นิยมที่ราวกับจะพาพวกเขาย้อนอดีตกลับไปยังศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คดีฆาตกรรมปริศนาบนเกาะปิดตายเกิดขึ้นต่อเนื่องราวกับลูกโซ่โดยที่เทคโนโลยีสุดล้ำสมัยก็ไม่อาจช่วยอะไรได้!? การถ่ายทำยังคงต้องดำเนินต่อไป ท่ามกลางความโกลาหลและความลับอันดำมืดที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา...
Remii
Author: RemyGravity
Cover Illustration: Bie Day & Sun Moon
Logo: Blue Shark
Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller, Mystery
“พิเศษ โปรโมชัน ซันนี่ไซด์ รีสอร์ท สำหรับครอบครัวในวันหยุดหน้าร้อน ดีลดี ราคาโดน เริ่มต้นเพียง...”
เสียงโฆษณาก้องไปทั่วห้องนั่งเล่น โดยที่เจ้าของบ้านได้แต่หยอกล้อกับแมวตัวโปรด
“นี่ ไม่สนไปเที่ยวบ้างหรือไง”
“ไปสิ แต่ขอปิดงานก่อน”
“พูดแบบนี้ทุกครั้งเลยนะ”
ฉันถอนหายใจ การจะหวังอะไรจากคนบ้างานคงไม่ใช่คำตอบที่ดี หรือบางทีการที่ฉันเป็นแค่ภรรยาในนามคงไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง สำหรับเขาแล้วเราทั้งคู่ก็คงเป็นเพียงรูมเมทและพาร์ทเนอร์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเกินเลยไปกว่านั้น แต่เราทั้งคู่ต่างก็เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของกันและกัน จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากจะต้องอยู่ร่วมกันทั้งชีวิต
ห้องนอนของพวกเรานั้นช่างแตกต่าง เรมี่ตกแต่งห้องนอนสไตล์มินิมอล ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา ผิดกับมิเรย์ที่ชื่นชอบสีฟ้ากับชมพูจนกลายเป็นสีพาสเทล
ปิ๊งป่อง...
เสียงออดหน้าประตูแสนจืดชืด พาให้คนหัวยุ่งต้องลากสังขารลงจากเตียงแคปซูลเป็นครั้งแรกของวัน ทั้ง ๆ ที่กะให้เป็นวันหยุดแต่อะไร ๆ กลับไม่เป็นอย่างใจคิด
“นี่เรมี่ ไหนนัดเอริไว้ไง ทำไมถึงตื่นสายจังล่ะ ห๊า”
หญิงสาวผู้ไว้ผมทรงทวินเทลสีแดงมะฮอกกานี ดูคร่าว ๆ แล้วน่าจะยังเป็นนักศึกษาอยู่ ใบหน้ายับย่นจากความผิดหวังพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย ยามพบว่าคนที่ออกมาเปิดประตูไม่ใช่คนที่ตนหมายตาไว้
“ไม่ยักกะรู้ว่าบ้านนี้มีคนรับใช้”
“คนรับใช้?”
“เอ้า ไปตามเจ้านายมาได้แล้ว เขาสายมากแล้วนะ”
มิเรย์กำหมัดหลวม ๆ ร่างกายสั่นเทาแต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม เธอยังสามารถเก็บอาการตนเองไว้ได้อย่างแยบยล บทสวดมนต์เพียงหนึ่งที่ทำให้เธอใจเย็นได้คงเป็นคำพูดยืนกรานของเจ้าตัว
‘เอาน่า แค่เรื่องของผลประโยชน์’
เจ้าของบ้านสำรวจแขกผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้า เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงตัวปุกปุยที่พองขนใส่คนแปลกหน้าอย่างไม่เป็นมิตร มันเป็นสถานการณ์น่าอึดอัดยามที่ผู้หยิงสองคนและแมวเพศเมียต้องมารอคุณชายผู้ตื่นสายเพียงคนเดียว ราวกับศึกตัดสินเหมือนในหนังยุคเก่า แต่ว่ากันตามตรงคงเป็นการอุปทานมากกว่า มิเรย์คิดกับตนเองพลางเดินไปเทอาหารใส่เครื่องเติมอาหารแมวอัตโนมัติ
“โถ่อ้วน อยากกินรสใหม่ละสิ”
“หม่าวววววววววว”
เสียงประตูเลื่อนดังเบา ๆ ปรากฏเป็นร่างของชายหนุ่มหุ่นผอมบาง เขาเดินหาวออกมาจากห้องนอนตนเอง ดวงตาสีมาเจนต้าเหลือบมองแขกผู้มาเยือนด้วยความสงสัย
“นี่ มีความจำเป็นอะไรต้องมาถึงนี่”
เขากล่าวเรียบ ๆ ไม่สนใจความดีดของแขกผู้มาเยือน ผู้ชมเขาไม่หยุดราวกับนางร้ายในละครผู้กำลังปลอกลอกอย่างหวังผล
“ฟังอยู่หรือเปล่า ถามว่ามาที่นี่ทำไม” น้ำเสียงเริ่มแฝงความจริงจัง เมื่อสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าตอบไม่สอดคล้องกับคำถามที่กล่าวไว้
“ก็นัดเอริไว้ไม่ใช่เหรอ ที่ว่าจะพาไปเดทไง”
“เดท? ผมไม่ได้อยากมีความสัมพันธ์อะไรกับไอดอลแบบเธอสักหน่อย”
“ก็ที่บอกว่าซ้อมส่วนตัว”
เอริเริ่มเง้างอน เธอตรงดี่เข้าไปโอบกอดท่อนแขนฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรงกลัว ตรงกันข้ามกับมิเรย์ที่หัวหมุนกับการเลือกอาหารเช้าให้ตนเอง สลิปเปอร์กระต่ายลากไปกับพื้นห้องนุ่มอย่างเนือย ๆ ขนมปังนมกับฟองดูชีสถูกส่งเข้าเตาอบอัตโนมัติ มันสามารถตรวจจับประเภทอาหารได้จากการสแกนเพียงครั้งเดียว ก่อนจะอุ่นให้ตามอุณหภูมิที่เหมาะสม
ปี๊ป..
“ข่าวต่อไปนี้รายงานจาก สตูดิโอไฮต์อินวันค่ะ ซึ่งแฟนคลับไอดอลสาว มิไร เซโกะ จำนวนหนึ่งออกมายืนประท้วงหลังจากทางสตูดิโอปิดข่าวสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง เบื้องต้น...” เรมี่หย่อนตัวลงกับโซฟา นั่งมองข่าวประจำวันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข่าวของคุณเซโกะ” เอริพยายามถามไถ่ ทั้งนั่งข้าง ๆ อย่างไม่ถอยห่าง
“อา”
“ทำไมถึงต้องปิดข่าวล่ะ”
“เหตุผลน่ะง่ายนิดเดียว”
“หืม?”
มิเรย์หันมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอค่อย ๆ เดินตรงไปยังโต๊ะอาหารพร้อมด้วยหุ่นกระป๋องที่ยกมื้อเช้ามาเสิร์ฟให้ติด ๆ กัน
“เรื่องผลประโยชน์น่ะสิ ถ้ารู้ว่าการตายเกิดจากการฆาตกรรม โดยฝีมือคนในวงการบันเทิง มันก็จะเกิดเป็นโดมิโน่ กระทบทั้งเอเยนต์ ทั้งค่าย”
“แต่คนทำผิดก็ควรโดนประนามน่ะถูกแล้ว” เอริสวนทันที โดยที่มิเรย์ได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ
“คนทำผิดน่ะ ก็ชื่อดังไม่เบาน่ะสิ”
“แล้วจะให้ทำไงล่ะ”
“ก็คงหาตัวตายตัวแทนล่ะมั้ง จริงอยู่ที่ขบวนการยุติธรรมอาจลงโทษถูกคน แต่ในวงการบันเทิงน่ะ ก็แค่หาแพะรับบาปไป”
“น่ากลัวจังเลย คุณเรมี่คงไม่ทำกับเอริแบบนั้นใช่ไหม”
เรมี่ไม่ได้ตอบอะไร แค่หันไปมองมิเรย์ผู้กำลังดื่มน้ำส้มเงียบ ๆ
“ก็ไม่แน่นะ”
“ใจร้ายยยยยยยยย อย่ามาล้อเล่นกับฉันแบบนั้นสิคะ”
“ฮะฮะ ๆ ก็ถ้าเธอทำเงินได้มาก ก็ค่อยว่ากันนะ”
“ว่าแต่ นายรู้อะไรใช่ไหม”
เสียงเย็นถามขึ้น ดวงตาคมจับจ้องไปยังผู้กำกับหนุ่มด้วยความคาดคั้น
“หึ ไม่รู้หรอก ก็รู้เท่า ๆ ที่เขาอยากให้รู้นั่นแหละ”
“ไม่เชื่อ ผู้กำกับแบบคุณรู้ทุกอย่างแหละ บอกมานะว่าใครเป็นฆาตกร”
“บอกแล้วไงว่าไม่รู้ รู้ก็คงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแล้ว”
“ถ้าบอกเอริ เอริจะให้รางวัลเลยนะ”
“เห ถ้าสักพันล้านละว่าไง”
เรมี่ตอบสบาย ๆ เขาเอื้อมมือไปด้านหลังเอริผู้เบียดเสียดร่างกายตัวเองจนแทบจะกลืนกิน ก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาราวกับมายากล สองนิ้วคีบชิ้นส่วนทรงกลมขนาดเท่าเหรียญในศตวรรษที่ 20
“อันตรายนะเนี่ย นักร้องสาวคนนี้”
“อ๊ะ!”
“เครื่องดักฟังแบบแมนนวลซะด้วย มีอะไรจะสารภาพไหม?”
“อึก...”
“เด็กคนนี้...”
หญิงสาวเบิกตาโต ขนมปังที่จิ้มชีสทิ้งไว้หล่นลงบนจานสีขาว ภาพตรงหน้าที่รูมเมทหนุ่มกับนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปกำลังเผชิญหน้ากันคล้ายการสอบสวน พาให้ใจแทบจะหยุดเต้น วันหยุดที่ควรจะสงบสุขที่สุดกลับกระสับกระส่ายเพราะเรื่องไม่คาดฝัน สีหน้าของผู้กระทำผิดเริ่มกรอกตารุกริกหาทางหนีทีไล่
“ทำไมกัน ตกอับอะไรขนาดนั้น จะขายวิญญาณให้พวกสกปรก”
ชายหนุ่มพูดพลางคว้าท่อนแขนคนอายุน้อยกว่าตน
“คุณจะไปรู้อะไร ผู้กำกับน่ะ ใคร ๆ ก็ก้มหัวให้ เป็นผู้เลือก ไม่ต้องกระเสือกระสนดิ้นรนทำผลงานอะไร!”
เพี๊ยะ!
เรือนผมสีบลอนด์ลอยเคว้งไปตามแรงกระทบ ดวงหน้าหวานหันเอียงไปด้านตรงข้ามกับทิศทางของฝ่ามือ ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่ง เป็นฉากหนึ่งของละครที่ผู้ชมจ้องมองอย่างไม่วางตา
“ค่าตัวเธอเวลาออกรายการหนึ่งเท่าไรกัน เธอเคยล้มละลายจนต้องกู้หนี้ยืมสินมาสร้างผลงานชิ้นต่อไปเพื่อความอยู่รอดหรือยัง คนโง่ที่อยากประสบความสำเร็จจนทำลายคนอื่นได้ ไม่สมควรยืนบนแสงหรอกนะ”
เอริทาบใบหน้าตัวเอง ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองด้วยความไม่เข้าใจ
“เพื่อจะได้เป็นที่สนใจ เพื่อจะได้เป็นที่รัก มันก็ยากพอ ๆ กับคนทำงานเบื้องหลังทุกคนนั่นแหละ ในกองถ่ายน่ะ ยิ่งต้องแบกแสงมากเท่าไร ความเสียสละก็ต้องมีมากขึ้นเท่านั้น มีทั้งคนที่ต้องอดหลับอดนอนมาเพื่อเตรียมเวทีให้เธอ ฝ่ายการตลาดก็ต้องทำงานบนความเครียดเพื่อเดิมพันปากท้องของคนนับร้อย คิดว่าฉันอยู่ตรงจุดนี้ได้ ไไม่ต้องผ่านอะไรมาเลยหรือไงกัน” อยากเป็นดวงดาวพราวฟ้าและเป็นฮีโร่ในโซเชียล เลยหาคนย่ำยียัดเยียดความผิด นั่นไม่ต่างอะไรจากเดรัจฉานเลย”
“เรมี่...”
ถึงจะนึกอยากลุกขึ้นไปห้ามปราม แต่ตอนนี้มิเรย์รู้ดีกว่าใคร ว่ารูมเมทผู้มีสถานะเป็นสามีแค่ใบสมรส กำลังเดือดดาลยากยับยั้ง
“ขอโทษค่ะ”
“คิดง่ายเกินไปแล้วมั้ง”
ปิ๊ป...
ชั่วพริบตาที่ไม่ทันได้หายใจทั่วท้อง นิ้วยาวก็กดส่งข้อความหนึ่งออกไป แพร่กระจายสู่วงกว้างราวกับใยแมงมุมถักทอ เน็ตเวิร์กที่เชื่อมผู้คนให้อยู่ข้างกัน เป็นดั่งดาบสองคม และปลายกระบอกปืนสุดเลือดเย็น
“อะไรกัน เอริจังบุกไปหาผู้ชายเลยเหรอ”
“เหย คนนี้ที่ว่าใช้ร่างกายแลกเส้นสาย นี่เรื่องจริงป้ะ”
“แก ภาพจากกล้องวงจรปิดเลย ตัวจริงแน่ ๆ ”
“เดี๋ยว ๆ คนนี้ไม่ใช่คบกับคนนอกวงการอยู่เหรอ อุบาทว์สุดอะ”
“ก็ว่าอยู่ว่าร้องเพลงโคตรห่วย ทำไมได้เป็นเซนเตอร์”
“โอ้ย ไปเล่นกับเรมี่ คนนั้นเขามีเมียแล้วไม่ใช่เร้อ”
“อะไรกัน ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เอริเสียงแผ่ว ร่างบางค่อย ๆ ยันตัวเองลุกขึ้นช้า ๆ ดวงตาเบิกโพลนไร้แววตาดั่งคนสิ้นสติ
“อยากจะอยู่ในวงการนี้ก็ต้องเหลี่ยมคมเยอะกว่านี้ แต่เรื่องบางเรื่องน่ะ คำขอโทษมันใช้ไม่ได้ผล”
ขนมปังชิ้นใหญ่ที่ถูกจุ่มด้วยฟองดูใกล้ชืดถูกหยิบเข้าปากผู้กำกับหนุ่ม ความร้อนจากขนมปังเริ่มจางหาย ไม่ต่างจากจิตใจผู้ลิ้มลองนัก
“โหดร้าย ในเมื่อขอโทษไปแล้ว ทำไมคุณถึงไม่หยุด แบบนี้อนาคตของเอริ แฟนคลับของเอริ”
เอริเริ่มโวยวายยามเห็นคำประนามบนแพลตฟอร์มตนเอง ใบหน้าบิดเบี้ยวพร้อมกับน้ำตาหยดผล่อย
“คนมันเลี้ยงไม่เชื่องนี่นา ขนาดเคยได้งานดี ๆ จากผมไปแท้ ๆ ”
“งานมันก็ส่วนงานไม่ใช่รึไง ฮึก..”
“นี่ล่ะนะ มนุษย์”
ขนมปังถูกจุ่มฟองดูอีกครั้ง เขาเริ่มคร้านจะต่อปากต่อคำกับคนเห็นแก่ตัว จนหลงลืมว่าครั้งหนึ่งที่ไร้โอกาส ได้รับความช่วยเหลือผลักดันจากใครบ้าง
“สุภาษิตโบราณ เขาเรียกเซเลปแบบนี้ว่าวัวลืมตีนละมั้ง ว่าแต่ ไม่กินต่อเหรอ”
เสียงนุ่มกล่าวถาม คนที่เอาแต่นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าจนลืมทาน เขาเลียนิ้วไปมาราวกับต้องการดื่มด่ำชีสข้น ๆ
“อะ อือ...เด็กคนนั้น”
“ถ้าปล่อยไปเพราะคำว่าขอโทษง่าย ๆ แบบนั้น เดี๋ยวก็ตามราวีไม่เลิกเองละ คนแบบนี้อยู่ได้เพราะการไล่ด่าคนอื่นนั่นแหละ”
“น่ากลัวจังเลยนะ วงการบันเทิงน่ะ”
“มนุษย์เราน่ะ ใจดีด้วยแล้ว ก็จะได้รับแต่ความเอาเปรียบกลับ ไม่ตอกฝาโลงพวกอสรพิษก็มีแต่ทางเราที่จะตาย” มิเรย์พยักหน้าเบา ๆ เธอเหลือบมองร่างของแขกผู้มาเยือนที่วิ่งร้องไห้ออกจากห้องไป แววตาโกรธแค้นนั่นยังคงตราตรึง ทว่าก็ไม่สามารถช่วยเหลือหรือแม้จะนึกอภัยได้ ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติก่อนที่มื้อเช้าสุดแปลกจะจบลงด้วยความรู้สึกพิลึกพิลั่นกว่าที่เคย
ในห้องทำงานคับแคบ เฟอร์นิเจอร์ด้านในมีเพียงโต๊ะสีขาวมินิมอล เก้าอี้รูปทรงไข่พอดีกับสรีระ หน้าจอดิสเพลย์ลอยเคว้ง พร้อมกับคีย์แพทต่างคีย์บอร์ด แสงจากหน้าต่างด้านหลังแยงลูกตาเบา ๆ แต่ไม่นานระบบปรับบรรยากาศก็ย้อมฟิล์มกระจกให้เป็นสีฟ้าอ่อน ป้องกันแสงยูวีตามธรรมชาติ
ผู้กำกับหนุ่มเอนหลังกับเบาะพิง รู้สึกเหนื่อยจากการใช้สมองคำนวณอะไรมากมาย บัดเจ็ตสำหรับซีรีส์ล่าสุดนั้นต่ำเตี้ย พาให้หงุดหงิดจนไม่กล้าระบายที่ไหน ในศตวรรษที่ 27 ซึ่งเทคโนโลยีรันชีวิตมนุษย์ทุกภาคส่วน ก็ยังมีบางอย่างที่ไม่มีวันทำแทนกันได้ราวกับตลกร้าย จิตแพทย์ยังต้องรับเคสวันละเกือบร้อยคน แม้จะพยายามปลูกฝังคำตอบดี ๆ ให้พวกหุ่นกระป๋อง แต่มนุษย์เราก็มีระบบป้องกันจิตใจตนเองจากสิ่งแปลกปลอมอยู่แล้ว
กล่าวได้ว่า ถ้าไม่ใช่การสัมผัสหรือถูกเติมเต็มจากมนุษย์ด้วยกัน ไม่มีทางที่จะประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน และต่อให้คนเราจะสามารถดำดิ่งสู่โลกเวอร์ชวล อย่างไร การทำภาพยนต์ที่มนุษย์ต้องการสัมผัสแค่ แสง สี เสียง ก็ยังมีอิทธิพลต่อการบริโภคสื่อบันเทิงอย่างมากในยุคนี้
ระบบ เวอร์ชวล เวิร์ล แม้จะเสมือนจริงเช่นไร แต่ลองจินตนาการยามขาสองข้าง ต้องเดินทางเข้าสู่สนามรบจริง ๆ สิ ความตึงเครียดแบบนั้น ไม่มีทางผ่อนคลายจิตใจมนุษย์ได้ หรือกระทั่งฉากหนึ่งของหนังรักที่เราได้ไปยืนมองใกล้ ๆ ด้วยตาตัวเอง ได้เห็นบทสนทนาหอมหวานและน้ำตาไหลพรากของสาวสวยหนุ่มหล่อใกล้ ๆ แค่คิดก็รู้สึกผิดแปลกไม่น้อย และนั่นคือเหตุผลที่สื่อประเภทที่ได้มองด้วยตาในระยะห่าง ยังได้รับความนิยม
รูปถ่ายของดาราทั้งตัวท็อปและหน้าใหม่ปรากฏบนหน้าจอ ดูเหมือนโมเดลลิ่งรอบนี้จะทำงานได้ดีแม้ค่าตัวจะต่ำต้อยแค่ไหนก็ตาม
‘คาโกเมะ คาโกะเมะ จงหมุนไป’
มิเรย์ผงกหัวขึ้นจากโต๊ะทำงาน ลูบหน้าเบา ๆ ราวกับพยายามเรียกสติตน ยามแว่วเสียงประหลาดกระทบหู
หรือบางทีเธออาจจะแค่หูฝาดไปเท่านั้น