ศตวรรษที่ 27 ยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งจำเป็นอันดับ 1 ที่ขาดไม่ได้ ทว่าก็มิอาจทดแทนศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เรมี่และเพื่อนๆยังคงอุทิศตนให้กับงานภาพยนต์ แม้เจอปนด้วยกลิ่นอายแห่งความตายก็ตาม การถ่ายทำจะยังดำเนินต่อไป... ผู้กำกับหนุ่มผู้หัวเสียกับงานที่มีงบจำกัดและตัวเลือกก็ดูเหมือนจะมีไม่เยอะนัก เขาจะต้องจำใจพาลูกทีมและบรรดาดาราผู้ร่วมงาน มุ่งหน้าสู่เขตอนุรักษ์นิยมที่ราวกับจะพาพวกเขาย้อนอดีตกลับไปยังศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คดีฆาตกรรมปริศนาบนเกาะปิดตายเกิดขึ้นต่อเนื่อง

Remii - Chapter 2 Bending (Act 2) โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไซไฟ,อาชญากรรม,ดราม่า,ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน,แนวขายไอเดีย,เสียดสีสังคม,ไซไฟ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Remii

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ,อาชญากรรม,ดราม่า,ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แนวขายไอเดีย,เสียดสีสังคม,ไซไฟ,แฟนตาซี

รายละเอียด

ศตวรรษที่ 27 ยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งจำเป็นอันดับ 1 ที่ขาดไม่ได้ ทว่าก็มิอาจทดแทนศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เรมี่และเพื่อนๆยังคงอุทิศตนให้กับงานภาพยนต์ แม้เจอปนด้วยกลิ่นอายแห่งความตายก็ตาม การถ่ายทำจะยังดำเนินต่อไป... ผู้กำกับหนุ่มผู้หัวเสียกับงานที่มีงบจำกัดและตัวเลือกก็ดูเหมือนจะมีไม่เยอะนัก เขาจะต้องจำใจพาลูกทีมและบรรดาดาราผู้ร่วมงาน มุ่งหน้าสู่เขตอนุรักษ์นิยมที่ราวกับจะพาพวกเขาย้อนอดีตกลับไปยังศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คดีฆาตกรรมปริศนาบนเกาะปิดตายเกิดขึ้นต่อเนื่อง

ผู้แต่ง

RemyGravity

เรื่องย่อ

ในศตวรรษที่ 27 ซึ่งเป็นโลกที่มนุษย์สามารถเข้าออกโลก Virtual Reality ได้เพียงปลายนิ้วตวัด โดยมีลิมิตการใช้งานเพียง 6 ชั่วโมงต่อวัน เทคโนโลยีต่างๆ ล้ำหน้าและกลายเป็นของจำเป็นที่ขาดไม่ได้ จนบางครั้งการลุกออกจากเก้าอี้ก็เป็นเรื่องไม่จำเป็น ผู้คนบางส่วนเริ่มด้อยค่าและมองข้ามผลงานที่ถูกสร้างโดยมนุษย์ เพราะเอาแต่ยึดติดกับความสะดวกสบายและผลงานของ AI


แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังเห็นคุณค่าในหยาดเหงื่อของมนุษย์ สื่อบันเทิง ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์โดยฝีมือมนุษย์ยังน่าพิศวงและไม่อาจมีปัญญาประดิษฐ์ใดเทียบเคียงได้ แต่ซ้ำร้ายวงการบันเทิงกลับไม่ใช่สถานที่สวยงามดั่งใจฝัน มันรายล้อมไปด้วยงูพิษไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย และเทคโนโลยีก็เอื้ออำนวยให้ผู้คนหันมาใช้ 'อิทธิพลสื่อ' แทน 'อาวุธสงคราม' ......


ผู้กำกับหนุ่มที่กำลังหัวเสียกับโปรเจ็คหนัง ที่มีงบจำกัดและตัวเลือกก็ดูเหมือนจะมีไม่เยอะนัก เขาจะต้องจำใจพาลูกทีมและบรรดาดาราผู้ร่วมงาน มุ่งหน้าสู่เขตอนุรักษ์นิยมที่ราวกับจะพาพวกเขาย้อนอดีตกลับไปยังศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คดีฆาตกรรมปริศนาบนเกาะปิดตายเกิดขึ้นต่อเนื่องราวกับลูกโซ่โดยที่เทคโนโลยีสุดล้ำสมัยก็ไม่อาจช่วยอะไรได้!? การถ่ายทำยังคงต้องดำเนินต่อไป ท่ามกลางความโกลาหลและความลับอันดำมืดที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา...

สารบัญ

Remii-Chapter 1 Another (Act 1),Remii-Chapter 2 Another (Act 2),Remii-Chapter 2 Bending (Act 1),Remii-Chapter 2 Bending (Act 2),Remii-Chapter 3 Chain (Act 1),Remii-Chapter 3 Chain (Act 2),Remii-Chapter 4 Doubt (Act 1),Remii-Chapter 4 Doubt (Act 2),Remii-Chapter 5 Edge,Remii-Chapter 6 Frenzy,Remii-Chapter 7 Guilty

เนื้อหา

Chapter 2 Bending (Act 2)

“ผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้มีไต้ฝุ่นใกล้เข้ามาในระยะ 500 กิโลเมตร อาจทำให้ต้องมีการแวะพักการเดินทางที่สถานีโตเกียว ผู้โดยสารโปรดทราบ...”

เสียงเอไอหวานจ๋อยพูดขึ้น พาให้รู้สึกใจหายไม่น้อย ภัยธรรมชาติยังคงเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะต่อกร ในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบห้าที่คนเราพยายามติดตั้งเทคโนโลยีไว้ ‘ทุกจุด’ ของมุมโลก ดั่งพระเจ้าที่ต้องการรังสรรค์ให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจคิด ต้องการปรับเปลี่ยนให้ตนเองอยู่ได้อย่างสบายที่สุดจนแทบไม่มีเหงื่อไคลไหลย้อย ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวของสมดุล ร่องความกดอากาศ ลมร้อน ลมเย็น กระแสน้ำอุ่น และกระแสน้ำเย็น พัดตีกันจนยากหาทางแก้ พายุหิมะซัดโหมกระหน่ำและไฟป่าทั่วทุกพื้นที่ ภาพของไฟที่ลุกท่วมชนกับเนินหิมะ ตีกันพัลวันยิ่งกว่าในนิยายที่มิเรย์เคยเขียนไว้

นับเป็นบทเรียนราคาแพงของมนุษย์ ไม่แปลกใจที่เกาะนิชิซาวะ เขตอนุรักษ์นิยมจะเลือกเดินทางสายกลาง ที่นั่นสงบสุขและปลอดภัย แต่อาจจะขาดแสงสีเสียงสำหรับมนุษย์ที่ยังโลภมากและอวดดีแบบเขา

 

สถานีโตเกียว อดีตเคยชื่อว่านาริตะก่อนจะเปลี่ยนเป็นฮัลสำหรับเครื่องบินแคปซูล

เรมี่พยายามจัดหมวดสัมภาระให้ถูกที่ถูกหมวด ก่อนที่พนักงานตัวกลมจะเลื่อนมารับไปเข้าด่านตรวจ รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยที่โรบอทของที่นี่ใส่ชุดยูกาตะทับอีกชั้น

“น่ารักจังเลย”

เขามองตามไปเรื่อย ๆ เวลาเห็นมันยกกระเป๋าดุ๊กดิ๊กก็รู้สึกชอบใจไม่น้อย ชายหนุ่มผมสีดำในชุดคอเต่าขาวกำลังวิ่งหอบเหนื่อยมาจากเกตอื่น

“เลม่อน”

“โอ้ว่าไง ๆ ไม่ได้เจอกันนานเลย”

“อะไรกัน ห่างกันแค่หนังเรื่องเดียวเองที่ไม่ได้ทำด้วยกัน รบกวนอีกแล้วนะครับ คุณผู้จัดการกอง”

“ฮะ ๆ ไม่หรอก เรียกแบบนั้นก็เกินไป แค่สไตล์ลิสต์ธรรมดา ๆ เอง ยังต้องใช้หุ่นยนต์เป็นลูกมืออยู่”

“ว่าแต่ ทำไมถึงไปไกลจังเลย นึกว่าเราจะได้รวมกันที่เกตนี้ทีเดียวจบซะอีก”

“ก็สัมภาระของผมมันต้องไปตรวจไกล ๆ เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่มาถึงก่อนพวกเรมี่แท้ ๆ  เลยเสร็จช้าเลย”

“อ๋อ ครับ ลำบากแย่เลย”

เรมี่ยิ้มหวาน รอยยิ้มค้าขายของเจ้าตัวมักได้ผลเสมอ เอสเปรสโซ่แก้วใหญ่ถูกสั่งจากตู้ พวกเขามีเวลามากมายในการเที่ยวเล่นในสนามบิน ถึงจะช้ากว่ากำหนดในตารางงานแต่เพราะเป็นเหตุฉุกเฉินจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขาเรียวยาวไขว้เข้าหากัน ผู้กำกับหนุ่มพิงหลังเข้ากับเก้าอี้เยลลี่เด้งดึ๋ง หลับตาฟังเสียงฝนโปรยปราย ทว่าห่างไกลจากเทอร์มินอลประมาณ 50 เมตร หากให้พูดก็เหมือนมีโดมพลาสติกใสคลุมน่านฟ้าบริเวณที่มนุษย์อยู่อาศัย ในยุคนี้หาได้ยากที่ผิวกายจะกระทบ ‘หยาดฝน’

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่า”

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับพี่ผู้กำกับ”

“สวัสดีครับ”

บอกสวัสดีทั้งโมเดลลิ่ง ดารา และคนในกองถ่ายมากหน้าหลายตาจนแทบไม่ได้ทานเอแคลร์ที่สั่งไว้

 

“เคยไปลอสแอนเจลิสเลยเหรอ โหระดับเฮเลนนี่สุดยอดจริง ๆ ”

“ทาคาโนะก็ไม่เบานะ งานขาวแดงเลยนะ”

ดาราที่สนิทกันตั้งวงเมาท์ในเลานจ์วีไอพี ส่วนเอ็กซ์ตร้า ก็กิน ๆ นอน ๆ รอเวลาที่เหลือ บางคนก็พยายามทำความรู้จักกัน เพราะต้องลงเรือลำเดียวกันอีกเป็นเดือนกองนี้ไม่ได้ปิดง่าย ๆ เพราะเป็นโปรเจกต์ใหญ่ ซึ่งตรงข้ามกับงบประมาณโดยสิ้นเชิง

“เฮ้อ น่าอดสูชะมัด”

“แปลว่าอะไรเหรอ”

จู่ ๆ ก็มีเสียงปริศนาทักขึ้น ทั้ง ๆ ที่ชายหนุ่มคุยกับตนเองเงียบ ๆ เรมี่หันมองที่มาของเสียงก็พบวิเวียนผู้มานั่งข้าง ๆ อย่างถือวิสาสะ ผมยาวสีน้ำตาลสลวย ถูกมือเรียวเกลี่ยทัดหูเบา ๆ เธอพูดจาด้วยคำพูดสุภาพนุ่มหู ผิดจากวันนั้นที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สวมเสื้อยืดรัดตัวสีชมพูอ่อน กางเกงยีนส์ผ้ายืดขายาว ดูธรรมดาสามัญกว่าที่คิด

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

ชายหนุ่มบอกปัด สองมือเอื้อมประคองแก้วกาแฟบนโต๊ะ

“ฉันไม่เคยไปหมู่บ้านนิชิซาวะเลยค่ะ คุณเคยไปเหรอคะ”

“ไม่เลย”

“ใจแข็งกว่าที่คิดนะเนี่ย ฮิฮิ”

“หืม?”

วิเวียนเอียงคอมอง เธอรู้สึกแปลก ๆ กับปฏิกิริยาไม่รู้ร้อนรู้หนาวนั่นจึงถามออกไปเพิ่มเติม

“ไม่รู้ประวัติของที่นั่นเหรอคะ”

คิ้วเรียวกระตุก ผู้ฟังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ตนเองพลาดไป

“เชื่อเรื่องลี้ลับไหมล่ะค่ะ”

“อ้อ มันก็แค่พล็อตหนังล่ะ คุณได้ยินอะไรมาเหรอ”

“ที่นั่นจะมีประเพณีแปลก ๆ อย่างเช่นบูชาคนนอกให้เทพจิ้งจอกด้วยค่ะ”

“เพ้อเจ้อ”

“ค่ะ แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมาล่ะ”

“ยุคสมัยนี้ถ้าเทพมีจริง พวกเราที่มีชิปติดตัว ก็คงมีระบบ อเลิร์ตแหละ ก็ดีนะ เผื่อจะจับเทพได้ตัวเป็น ๆ ”

“ก็หวังว่าคุณกับฉันจะไม่โชคร้ายก่อนนะคะ”

วิเวียนขยับมากระซิบใกล้ ๆ น้ำเสียงติดแหบสร้างความขนลุกเกรียวให้กับผู้ฟัง

“ผู้กำกับครับ ไปตรวจสัมภาระหน่อยครับ”

“โอ้ว!”

เสียงเรียกให้ไปช่วยงานดั่งสวรรค์ประทานพร ความอึดอัดทั้งหลายมลายหายไปในพริบตา เรมี่เดินตามผู้กำกับศิลป์ไปพร้อมกับนับจำนวนคนในกองถ่าย บ้างก็มาสมทบในภายหลังเพราะประจำอยู่ที่โตเกียวแต่แรกอยู่แล้ว

“หืม สัมภาระซ้ำชิ้นกันเยอะเลยแหะ”

“ไม่เป็นไรครับ แยกแทร็กดีแล้ว”

“อ้อ ดีละ ๆ ”

ดวงตามาเจนต้ามองออกไปนอกหน้าต่าง นึกจินตนาการว่าถ้าตรงอ่าวใกล้ ๆ นี้มี ‘ซิลล่าโผล่มาคงตื้นเต้นไม่น้อย

“หึ่ยยยยยยยย อยากทำหนังสัตว์ประหลาดโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

เรมี่หันไปโวยวายเอามันส์กับคนอื่น ๆ สร้างความเฮฮาให้กับเพื่อน ๆ ร่วมงาน ชายฉกรรจ์หลาย ๆ คนก็พากันเสนอไอเดียไม่น้อย ผิดกับดาราสาวที่มองด้วยความไม่เข้าใจ

“ลูกผู้ชายน่ะ มันต้องหนังสัตว์ประหลาดสิ!”

“เฮ้ย หนังฮีโร่ก็ดีนะ”

“อะไรเก่า ๆ นี่หนังผีไหม ง่ายดี”

“หนังฮีโร่ก็ง่ายนะ ถ้าเป็นวีอาร์อะ”

กองถ่ายเริ่มมีสีสัน บางคนก็ลุกขึ้น ยกไม้ยกมือทำท่าทางประกอบไม่ต่างจากตัวละครในยุคเก่า เป็นสีสันที่ไม่ได้เห็นมานานหลังจากปิดกองเรื่องที่แล้ว หนุ่ม ๆ หัวใจเด็กน้อยยังคงมีความฝัน แม้จะยังเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้

ยังเป็นหลักฐานที่ทำให้รู้ว่า ความฝันของคนเราไม่เคยหยุดนิ่ง แม้ชีวิตจะสะดวกสบายและเต็มไปด้วยเทคโนโลยี

 

ทุ่งนาทอดตัวยาวไกลหลายกิโล ความฉ่ำแฉะตามแนวคันนาทำให้ผู้มาเยือนใหม่ตาลุกวาว หลังจากข้ามเกาะมาได้ด้วยความไวแสง เขตปลอดเทคโนโลยีก็ปรากฏสู่สายตา ห้องแคปซูลสี่เหลี่ยมที่บรรจุคนกว่าห้าสิบชีวิตเลื่อนไปตามท้องถนนขรุขระ

“นั่นคืออะไรเหรอเรมี่”

“รถไถ”

“รถไถ เอาไว้ทำอะไร”

“ไม่รู้เหมือนกัน อยากรู้ก็ถามเขาดิ”

“เอ้า กวนนะเมิง”

“ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์นะไอ้ป็อป”

เรมี่กวนเท้าเพื่อนสนิท ผู้มีตำแหน่งเป็นช่างถ่ายภาพตัวกลม สายตาทอดมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น รถกระจกนี่สามารถมองเห็นจากด้านใน 360 องศา ลิงทะโมนจากเมืองหลวงจึงตื่นหูตื่นตากับอารยธรรมเก่า ๆ เป็นพิเศษ

“คิดดิ ถ้าจู่ ๆ มีมังกรโผล่มาจากภูเขาด้านหลังนะ”

“เฮ้ย ต้องไททันตัวใหญ่ดิ”

“ม่ายยยยยยยยยยย พวกแกไม่เข้าใจ มันต้อง ‘ซิลล่า”

 

“เขาทะเลาะกันเหมือนเด็กน้อยเลยนะ”

เคย์พูดขึ้น พยายามปลอบประโลมเอริที่ถูกสั่งให้มาเล่นเป็นเพื่อนนางเอกในหนังเรื่องนี้ เธอดูหงุดหงิดไม่น้อยเพราะหลังจากข่าวประกาศไปว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเรมี่ กราวิตี้กลับมาคืนดีกันแล้ว และเธอก็ได้ข้อเสนองานเป็นการเล่นหนังเรื่องนี้โดยทันที

“เอาน่าเอริจัง อย่างน้อยก็กู้ชื่อเสียงเรื่องนั้---“

“ดีที่ไหนกันล่ะ ให้มาแสดงหนังกับไอ้คนน่ากลัวแบบนั้นน่ะ”

“อย่างน้อยก็ได้งานคืนนะ”

“มันตั้งใจเล่นแง่ กดค่าตัว เพราะถ้าปฏิเสธก็ไม่ได้อะไรคืน ไม่เห็นหรือไง”

“จ้า ๆ นั่งดีก่อนน้า โอ๋ ๆ ”

เคย์พยายามปลอบประโลม แม้พวกเธอจะนั่งอยู่ข้างหลัง แต่ทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของเรมี่ทั้งหมด

ผู้กำกับหนุ่มยิ้มร่า รู้สึกดีไม่น้อยที่ได้ใช้ประโยชน์เธอคืนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

 

ชายหนุ่มโบกมือให้หุ่นยนต์สารถี พวกเขาต้องติดอยู่ที่นี่จนกว่าจะครบกำหนดการ ชาวบ้านพากันยกข้าวของออกมาต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทั้งพืชผัก ผลไม้ ขนมดั้งเดิมอย่างดังโงะ สร้างความแปลกใจกับบรรดาคุณหนูคุณชายเป็นอย่างมาก

“เชิญเลย ๆ พ่อหนุ่ม ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ”

“สวัสดีค่า”

“โอ๊ะ พี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ย ตัวเล็กมากเลย”

 

“....”

เรมี่รู้สึกโดนจี้จุด แต่ก็ยังฝืนยิ้มขายของพลางยื่นนามบัตรให้ตามปกติ

“รบกวนด้วยนะครับ ที่นี่ร่มเย็นเป็นสุขมาก ๆ เลย เอ่อ ผมใช้สำนวนถูกหรือเปล่า”

“แหม ไม่ต้องอ้อมค้อมขนาดนั้นหรอก ถือซะว่าเป็นบ้านตัวเองแล้วกันนะ”

ชายหนุ่มหันคอไปอีกทาง เหงื่อไหลย้อยตรงขมับขวา รู้สึกกระอักกระอ่วนกับการโดนบอกว่าเป็นบ้านตัวเอง มันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนฝืนใจยังไงอย่างงั้น เพราะดูยังไงการอยู่ที่นี่ก็ลำบากกว่าอยู่ที่บ้านเป็นไหน ๆ

‘เฮ้ย ๆ จะบอกว่าเหมือนบ้านนี่ หลอกลวงกันชัด ๆ '

ความคิดในใจผุดขึ้นมา แต่ไม่อยากทำลายรอยยิ้มของหญิงชราผู้โอบอ้อมอารี

 

“ว้าว ต้นไม้ที่นี่คือต้นไม้ธรรมชาติจริง ๆ ใช่ไหม”

“เธอดูนี่ ใบไม้ที่นี่สีไม่เหมือนที่บ้านเราเลย”

“พื้นแฉะจัง ถ้าพื้นโคลนแฉะจะติดเท้าแบบนี้เอง”

“เหนียวจัง ติดส้นสูงแบบนี้รู้สึกสกปรกแปลก ๆ ”

“ไปถ่ายรูปตรงนั้นไหม อ่าว เอ๊ะ ระบบดิสเพลย์ใช้ไม่ได้เหรอ”

สตาฟสาวหันมาถามเรมี่ โดยที่ทุกคนก็ให้ความสนใจไม่แพ้กัน

“อา นั่นคือเหตุผลที่ต้องแบกอุปกรณ์มาครบครันไง”

“เอ๋!”

ทุกคนพาใจกันอุทานลั่น เว้นแต่แอน นักแสดงสาววัยสิบเก้าปี นักศึกษาชั้นปีหนึ่งเธอดูไม่สนใจใยดีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ราวกับคุ้นชินกับการปรับตัว ไม่ต่างจากกิ้งก่าเปลี่ยนสี หน้ากากอนามัยสีชมพูอ่อนถูกเปิดออกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ แว่นตาทรงสี่เหลี่ยม ผมสีดำประบ่าแต่มัดรวบกลางหัว ดวงตาหางชี้ขึ้นบ่งบอกถึงภาพลักษณ์สาวมั่ๆ ไม่ง้ออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ

เป็นคนเดียวที่สร้างความแปลกใจให้เขา

“แบบนี้ถ้าซิลล่ามาละก็ แค่โดนพ่นไฟใส่ก็ตายกันหมดแล้ว”

“ก็นะ ไม่มีระบบความปลอดภัยแล้วนี่นา”

 

“นี่ ไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอ โลกที่ไม่มีเทคโนโลยีน่ะ”

เรมี่เดินเข้าไปถามแอน นักแสดงสาวผู้มีลุคเย็นชา เธอกำลังเงี่ยหูฟังบทสนทนาของทีมงานอยู่เงียบ ๆ

“คุณผู้กำกับใส่ชุดแบบนั้นไม่ร้อนบ้างเหรอคะ?”

คนตัวเล็กกว่าดันแว่นตาเบา ๆ พลางเหลือบมองด้วยความฉงน เสื้อผ้าของเธอเป็นเสื้อยืดขาว ถูกคลุมด้วยคาดิแกนสีครีม ทำให้สะดวกสบายต่อการถอดเก็บ

“ร้อนสิ แต่ก็คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ ถ้าที่นี่ในโลกวีอาร์ แค่อยากให้มีอะไรออกมาก็แค่กดสั่งก็ได้แล้ว ถูกไหมล่ะ?”

“ค่ะ” เธอพยักหน้าเบา ๆ

“แต่กับที่นี่ ที่ทุกอย่างยากกว่าที่คิดน่ะ”

นิ้วเรียวชี้ไปที่รูปปั้นยีราฟ ซึ่งดูไกล ๆ น่าจะทำมาจากวัสดุปูนปั้น มีเด็กน้อยกลุ่มนึงวิ่งเล่นไปมา ราวกับกำลังจินตนาการว่าสนามเด็กเล่นแห่งนี้คือป่าใหญ่ แอนยืนมองเงียบ ๆ พลางครุ่นคิดบางอย่าง

“เพราะแบบนี้ คุณถึงเลือกที่นี่สินะคะ”

“อา เรื่องที่ไกลตัวคนนี่ละ บางทีก็คือแฟนตาซีแบบหนึ่ง”

เรมี่เดินนำออกไป ในใจก็จินตนาการว่าหากเป็นโลกวีอาร์ ปกติ ท้องฟ้าสีขุ่นนี้คงเปลี่ยนสีม่วง แดง ตามใจนึก ให้คิดถึงแฟรี่ปีกงามก็สามารถแปลงกายโผบินออกไปได้ และเพียงแค่การดีดนิ้วเปาะเดียว เสื้อผ้ายูนิฟอร์มน่าเบื่อก็ถูกสันสร้างได้ โดยไม่มีคำว่าแปลกหรือแตกแยก นั่นคือเสน่ห์ของโลกวีอาร์แต่กับโลกใบนี้จริง ๆ ที่ป่าลึกนั่นมองเข้าไปจนสุดสายตาก็มีแต่ความดำมืด พุ่มไม้สั่นไหว และเสียงเรไรดังระงมหลังฝนตก พาให้พวกคนกรุงออกบ้านนอกหารือกันอย่างออกรส

“เสียงอะไรน่ะ”

“เสียงเหมือนซาวด์เอฟเฟกต์แมลงที่เคยใช้เลย แต่จำชื่อไม่ได้แล้ว”

“นี่ เฮเลน เราไปเดินดูรอบ ๆ หน่อยไหม”

“อะ ไปสิ รอแปบนะนางิสะ”

ดาราหนุ่มสาวที่รู้จักกันดีต่างชักชวนกันไปเดินเล่นรอบ ๆ โดยมีการนำทางของคนในพื้นที่

 

“หึ”

ผู้กำกับหนุ่มรู้สึกตื่นตา มันน่าพิศวงจนต้องแอบกลืนน้ำลายเบา ๆ อากาศเย็นหลังฝนตกที่ไม่ได้สัมผัสมานานพาให้ปรับตัวลำบาก

กล้องดอลลี่ถูกขนย้ายพร้อมกับอุปกรณ์อื่น ๆ นาน ๆ ทีเหล่าชายฉกรรจ์จะได้ใช้กล้ามเนื้อให้เป็นประโยชน์ ผิดกับชาวบ้านที่ช่วยกันขนให้อย่างทะมัดแทมง แม้อายุบางคนจะแซงหน้าไปมากก็ตาม

“ฮึบ หนักจัง”

เลม่อนบ่นอุบ หากให้วัดขนาดตัว เขาก็ผอมบางพอ ๆ กับเรมี่ ถึงขั้นที่ว่าสองคนนี้มีแต่คนถามถึงเพศที่แท้จริงเพราะความไม่แน่ใจ

“ขนอะไรเหรอครับ”

คนหัวเทาผู้ยืนสั่งงานชะโงกหน้าไปถาม

“ผู้ช่วยน่ะ เอ็ดจี้น่ะช่วยจัดของเก่งมากเลยนะ”

“เหรอครับ”

 

“อะ ไอ้ต้าว น่ารักมากเลย”

เด็กสาววิ่งเข้าไปเล่นกับหุ่นยนต์กระป๋องตัวอ้วนที่ถูกขนออกมาวาง เธอลูบคลำอย่างถือวิสาสะ แต่เลม่อนก็ไม่ได้ติดใจอะไร เช่นเดียวกับหุ่นยนต์ตัวขาวที่เปลี่ยนอีโมตหน้าเป็นยิ้มแย้มไม่ต่างกัน

หลังจากถึงที่พักโดยพร้อมเพรียง บรรดากองถ่ายต่างวุ่นวานกับการจัดของ รวมถึงตัวผู้กำกับเองด้วย แต่ไม่นานก็เสร็จสรรพเรียบร้อยทำให้พอมีเวลาออกไปเดินเตร็ดเตร่บ้าง กล้องฟิล์มที่ได้รับสืบต่อมาจากรุ่นพี่นิก ถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋า

ที่นี่ไม่มีระบบสมาร์ตดิสเพลย์ ราวกับเกาะปิดตายที่ไร้สัญญาณมือถือ มันจึงเป็นหน้าที่ของอุปกรณ์โบราณชิ้นนี้

ตะวันยามเย็นแผดแสงสีส้ม อีกไม่นานก็ใกล้ลาลับฟ้าเป็นสัญญาณเตือนถึงการมาเยือนแห่งรัตติกาล ความรู้สึกกดดัน อึมครึม จนไม่สบายตัวพาให้คนนอกอย่างเรมี่นึกหวาดระแวง แต่การผจญภัยในที่ที่ไม่เคยรู้จักนั้นยังน่าหลงใหลเสมอ

“คาโกเมะ คาโกเมะ เจ้านกเอ๋ย เมื่อไหร่จะได้ออกมา”

เสียงเพลงยานครางแต่ขับร้องด้วยเจื้อยแจ้วแว่วดังมาจากด้านหลังอาคารบ่อน้ำร้อน ซึ่งเยื้องเขตป่าด้านขวามีลานโล่งอีกจุดที่ดูเหมือนว่าจะเป็นพื้นที่ของโรงเรียนเล็ก ๆ อาคารทรงสี่เหลี่ยมสองชั้นและสนามเด็กเล่นหลากสีสัน เรมี่ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ การละเล่นนั้น รู้สึกเสียวสันหลังเย็นวาบอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเพราะเป็นที่ต่างถิ่นหรือเพราะสำเนียงชวนหลอนหูนั่นก็เป็นได้

ภาพของเด็กน้อยทั้งอนุบาลและประถมค่อย ๆ ล้อมวงเด็กคนตรงกลางที่ปิดตาไว้ พาให้รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็ก ๆ มองไกล ๆ แล้วเหมือนกับแท่นบูชายัญในหนังสือแฟนตาซีสมัยโบราณ

            “คนที่อยู่ข้างหลังคือใครกัน คนที่อยู่ข้างหลังคือใครกันน้า”

ชายหนุ่มกอดตัวเอง ดวงตาชมพูเข้มยังจับจ้องไม่วางตาราวกับมนตร์สะกด อะไรบางอย่างกำลังทำให้เขาสนใจการละเล่นที่ไม่รู้จักนี่ และเมื่อลองเพ่งมองดี ๆ ก็พบว่าคนที่อยู่ตรงกลางดูเหมือนจะสั่นกลัวเล็กน้อย

“อืม..มะ มิ มิโฮะ”

“ไม่ถูก”

“จี้จัง”

“ไม่ถูก..งั้นก็เป็นฮิบิยะนั่นแหละ ที่ต้องไป”

“...”

 

“ไปไหน เด็กพวกนั้นพูดอะไรกัน?”

ชายหนุ่มผู้แอบมองจากหลังต้นไม้กลืนน้ำลายอึก มือสั่นเทาทั้งที่ใจก็อยากหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายเพื่อยืนยันอะไรบางอย่าง แต่ร่างกายกลับแข็งเป็นหินทื่อซะแบบนั้น เขามองฮิบิยะค่อย ๆ เดินกลับเข้าไปในป่าลึกคนเดียว

หัวสมองพลันนึกถึงเรื่องราวที่วิเวียนเล่า ‘ที่นี่มีประเพณีแปลก ๆ ที่จะบูชาคนนอกให้กับเทพเจ้าจิ้งจอกด้วยนะคะ’

“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่! มันแค่การละเล่น เด็กคนนั้นก็ไม่ใช่คนนอกซักหน่อย”

เขาปลอบใจตัวเอง ก่อนจะรู้สึกตัวว่าทิ้งกองมานานพอสมควร จึงเร่งหันหลังกลับโดยไม่รู้สึกตัวใด ๆ

ว่ามีใครสักคนกำลังจ้องมองอยู่ไม่ห่างไกล.