ผู้ใหญ่,ชาย-หญิง,ดาร์ค,เรื่องสั้น,ลึกลับ,คลั่งรัก,ตำนาน,ปีศาจ,ญี่ปุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
“คุณจะทำอะไรคะ!?” ฉันรีบผลักมือที่กำลังปลดกระดุมเม็ดสุดท้ายออกไป กำเสื้อให้ห่อร่างกายไว้อย่างมิดชิดพร้อมกับรีบดีดตัวลุกขึ้น “คุณเข้ามาได้ยังไง?”
“คุณดูตกใจมากเลยนะ” ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสงบขณะกล่าวถ้อยคำที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ เขาลุกขึ้นแล้วเดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาหาฉันที่ยืนกลัดกระดุมอย่างรีบร้อน มือไม้สั่นเทาด้วยความกลัวและสับสน “ฝันร้ายเหรอครับ? ไม่เป็นไรนะ ผมอยู่นี่แล้ว คุณจะปลอดภัยนะครับ”
“อย่าเข้ามานะคะ!” ฉันร้องปรามด้วยเสียงสั่นเครือพลางวิ่งไปทางประตู แต่ก็ช้ากว่าชายหนุ่มร่างสูงที่มีความคล่องแคล่ว เขาคว้าแขนของฉันเอาไว้แล้วฉุดเข้าหาตัวก่อนที่แขนแข็งแรงทั้งสองข้างจะโอบรัดร่างของฉันไว้แน่นกระชับอย่างที่ยากจะดิ้นให้หลุด
“คุณคงไม่ได้คิดว่าจะวิ่งหนีออกไปข้างนอกตอนนี้หรอกใช่ไหม กลางคืนมันอันตรายนะครับ คิดจะแกล้งให้ผมเป็นห่วงใช่ไหม คุณนี่ร้ายจริง ๆ”
“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้คะ?” ฉันเริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ น้ำเสียงสั่นเครือจนแทบจะสะอื้น “ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ”
“ผมทำผิดอะไรล่ะครับ เรารักกันมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วนะ คุณเองก็รู้สึกไม่ใช่เหรอ” มือเรียวเขี่ยปอยผมที่ปรกหน้าของฉันเอาไว้พร้อมโน้มใบหน้ามาใกล้ทำเอาฉันต้องเบนหน้าหนีไปอีกทาง “เรารักกันมานานมาก ผมก็อยากให้ความสัมพันธ์ของเราลึกซึ้งกว่านี้”
“บ้าไปแล้ว!” ฉันอุทานเสียงดังเมื่อสติแตก พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนของเขาอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน “ปล่อยฉันไปนะ! คุณมันไม่ปรกติ!”
“หืม?” คิ้วเข้มยกสูงด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะมองฉันด้วยสายตาอันว่างเปล่า “ทำไมคุณถึงขับไล่ผมทั้งที่ภายในใจกำลังต้องการผมจนแทบทนไม่ไหว คุณเองก็อยากจะเป็นหนึ่งเดียวกับผมมากจนทนไม่ไหวแล้วไม่ใช่เหรอครับ มากพอกับที่ผม… อยากเจาะลึกเข้าไปในตัวคุณอยู่ตลอดเวลา”
“ฉะ… ฉันไม่ได้ต้องการคุณในเชิงนั้นนะคะ” ฉันรู้สึกอับจนหนทาง มันเหมือนกับว่าไม่อาจใช้ความสมเหตุสมผลโดยทั่วไปมาหักล้างความคิดอันบิดเบี้ยวของเขาได้
และเมื่อสิ้นคำพูดของฉัน มือแกร่งก็เข้ามาบีบขากรรไกรอย่างแรง บังคับให้ฉันแหงนมองเผชิญกับสายตาที่กำลังมองมาด้วยความโกรธ
“นี่คุณกำลังเล่นเกมอะไรกับผม คุณไม่เคยปฏิเสธเยื่อใยมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้” ใบหน้าหล่อเหลากัดฟันกรอดชวนให้รู้สึกกลัวเมื่อเริ่มรู้สึกเจ็บขณะกำลังถูกบีบขากรรไกร “คุณเองก็รู้ดีแก่ใจว่าขาดผมไปไม่ได้ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมคุณต้องทำให้มันยุ่งยากด้วย สิ่งที่ผมทำให้คุณมันยังไม่เพียงพอหรือครับ คุณน่ะ ไม่ต้องทำงานตลอดไปเลยก็ได้นะครับถ้ามีผม ผมจะเลี้ยงคุณให้สุขสบาย จะปกป้องดูแลคุณให้ปลอดภัย จะคอยจับตามองคุณทุกฝีก้าว และจะเอากับคุณวันละสิบรอบเลยล่ะครับ ทำไมคุณถึงยังไม่เลิกปั่นหัวผมอีก!”
“!!!” ฉันตกใจจนแทบช็อกเมื่อเขาระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดออกมาอย่างเต็มที่
“อ๊ะ!” คิงูยะผงะทันทีเมื่อเห็นว่าหยาดน้ำตาของฉันกำลังไหลอาบแก้ม เขารีบปล่อยมือออกจากขากรรไกรของฉันด้วยสีหน้าตกใจ “คุณคงไม่ชอบให้เสียงดังใส่สินะครับ ครั้งหน้าผมจะระวังมากกว่านี้”
ชายหนุ่มบรรจงใช้ปลายนิ้วมือปาดน้ำตาอย่างทะนุถนอมด้วยสีหน้าอ่อนโยนขณะที่แขนอีกข้างยังคงกระชับกอดฉันเอาไว้แน่น คล้ายยังคงกลัวว่าฉันจะวิ่งหนีไปอีก
“คุณคิงูยะคะ” ฉันเอ่ยชื่อของเขาแผ่วเบาด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อย เติมแต่งความออดอ้อนลงไปในน้ำเสียง
“ว่าไงครับ?” เสียงอบอุ่นตอบรับด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“คุณรักฉันหรือเปล่าคะ?”
“ผมรักคุณ”
“เพราะอะไรคะ?”
“เพราะเราผูกพันกันมานาน และคุณเป็นของผม”
ฉันเงียบไปอยู่พักหนึ่งก่อนจะโต้ตอบอีกครั้ง “เข้าใจแล้วค่ะ คุณพูดถูกค่ะ ฉันขาดคุณไม่ได้หรอก แต่ฉันเสียใจค่ะ…” ฉันทำสายตาเว้าวอนขณะมองหน้าคนตัวสูงก่อนจะค่อย ๆ สวมกอดเขา “ที่คุณใช้กำลังกับฉัน... มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่ฉันโดนทำร้ายร่างกาย และคุณช่วยอย่าตะคอกฉันอีกได้ไหมคะ”
“ผมขอโทษ ผมสัญญาว่าจะระวังให้มากกว่านี้ครับ” อ้อมกอดของเขาที่เคยรัดแน่นจนไปเริ่มคลายออก ก่อนจะสัมผัสได้ถึงมือที่กำลังลูบศีรษะของฉันอย่างแผ่วเบา ฉันค่อย ๆ ผละออกจากร่างกายของเขาอย่างช้า ๆ แม้ว่าภายในใจอยากจะวิ่งหนีมากแค่ไหนก็ตาม
“เรื่องที่คุณอยากได้…” ฉันหลุบตามองต่ำอย่างเอียงอาย “ขอเป็นคืนอื่นได้ไหมคะ ฉันยังรู้สึกระบมอยู่เลยค่ะ”
“ผมระวังให้คุณไม่เจ็บได้นะครับ” มือเรียวเลื่อนโอบเอวพร้อมขยับเข้ามาใกล้
“แต่ฉันเหนื่อยค่ะ”
“งั้นคุณนอนเฉย ๆ ก็พอครับ เดี๋ยวผมทำเอง”
“แต่ฉันอยากพักผ่อนจริงๆ นะคะ”
“อืม…” คิงูยะทำสีหน้าครุ่นคิด “แบบนั้นก็ได้ แต่… ผมไม่แน่ใจว่าจะอดใจได้อีกแค่ไหนนะครับ คงต้องบอกคุณก่อนว่าในวันพรุ่งนี้ผมอาจจะจัดการกับคุณที่มุมใดมุมหนึ่งภายในห้องสมุด”
ฉันเก็บอาการตื่นตระหนกเอาไว้แม้รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ถ้างั้นก็ได้ค่ะ คืนนี้ฉันยอมให้คุณก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ดีสักเท่าไร อยากให้คุณไปช่วยชงชาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ ถ้ามีซุปมิโสะด้วยจะดีมากเลยค่ะ”
เมื่อเห็นดวงตาคมกริบที่มองมาอย่างจับผิด ฉันจึงค่อย ๆ ปลดกระดุมให้เขาเห็นอย่างช้า ๆ โดยที่จ้องมองกลับไปด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเต็มใจทอดสะพาน
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะรีบมา”
เมื่อชายหนุ่มเดินออกจากห้องไป ฉันก็รีบกลัดกระดุมแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง เพราะที่นี่เป็นบ้านชั้นเดียวฉันจึงสามารถปีนหนีออกทางหน้าต่างได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหนีออกมาจากตัวบ้านได้สำเร็จฉันก็รีบวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิตด้วยฝ่าเท้าที่เปลือยเปล่า ความรู้สึกเจ็บจากการถูกก้อนกรวดตำนั้นไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นปัญหาได้มากเท่าความรู้สึกกลัวว่าเขาจะตามมาทันหรือไม่เพราะถ้าหากเขารู้ตัวแล้วขับรถตามมาทุกอย่างก็จบเห่
ฉันวิ่งมาไกลจนใกล้จะถึงโรงเรียน มองเห็นประตูรั้วข้างหน้าอยู่รำไร บรรยากาศในยามนี้เงียบมาก บนถนนไม่มีรถสักคันแล่นผ่าน ในโซนนี้ไม่มีไฟข้างทางให้ความสว่างเสียด้วยซ้ำ
“คุณมิโดริ!” เสียงเข้มตะโกนเรียกชื่อของฉันด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อหันไปมองก็พบกับคุณคิงูยะที่วิ่งตามมาด้วยท่าทางลักษณะสี่ขาราวกับสัตว์ป่า เขาวิ่งตามมาเร็วมากจนฉันรู้สึกลนลานไปหมด
เมื่อเข้ามาใกล้โรงเรียน ฉันก็วิ่งเลาะเข้าไปในป่าด้านหลังโดยไม่ลังเล หวังเพียงแค่ให้พ้นสายตาของคิงูยะที่วิ่งเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
ฉันซ่อนตัวอยู่ในความมืดที่รกไปด้วยแมกไม้เบียดเสียดกัน ฉันรับรู้ได้จากเสียงฝีเท้าว่าคิงูยะวิ่งตามเข้ามาในป่า
“ผมรู้นะ ว่าคุณซ่อนอยู่ ออกมาเถอะนะครับ” เขากล่าวเสียงอ่อนโยนชวนให้รู้สึกอบอุ่นใจ “ถ้าคุณออกมาเองตอนนี้ผมจะโกรธคุณน้อยลง แต่ถ้าคุณปล่อยให้ผมรอนานกว่านี้… ผมสัญญาว่าจะทำให้คุณเข็ดหลาบไปจนตายเลย”
ร่างกายของฉันกำลังสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ภาวนาอย่าให้เขาหาฉันเจอเลย ขณะที่กำลังรู้สึกกดดันและหวาดผวาอยู่นั้นก็พลันมีมือเข้ามาปิดปากฉันไว้แน่น ฉันตกใจจนเกือบจะร้องกรี๊ดออกมาแต่ก็ตั้งสติเอาไว้ได้ทัน
“เงียบไว้แล้วอยู่เฉย ๆ” น้ำเสียงที่คุ้นหูของชายหนุ่มผมสีขาวทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ฉันยอมทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ผู้ชายในชุดยูกาตะสีขาวช้อนร่างของฉันขึ้นอุ้มโดยไม่ขัดขืน
“หมอนั่นก็เคยอุ้มเจ้าท่านี้สินะ” เป็นประโยคธรรมดาแต่ฉันกลับรู้สึกว่ากำลังโดนแดกดันอย่างไรชอบกล เขาเดินลึกเข้าไปในป่าด้วยความเร็วโดยที่คิงูยะไม่อาจรับรู้การเคลื่อนไหวของชายผู้นี้
ชายหนุ่มผมขาวพาฉันเข้ามาด้านในศาลเจ้าที่ฉันเคยมาทำพิธีขอพรที่นี่ ด้านหน้าศาลเจ้ามีเอมิที่สวมใส่ชุดนักเรียนนั่งเท้าคางอยู่ตรงขั้นบันได ฉันรู้สึกประหลาดใจว่าเด็กคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับที่นี่ ฉันอยากจะทักทายเธอแต่คนที่อุ้มฉันเอาไว้ก็เดินเลยผ่านเธอไป
“รู้สึกกลัวหรือเปล่า?” ชายหนุ่มผมขาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเมื่อพาฉันเข้ามาด้านในศาลเจ้า
“ไม่ค่ะ ในนี้ไม่เห็นดูน่ากลัวเลย” ฉันเหลียวมองดูโดยรอบก็พบว่าไม่ต่างจากบ้านคนทั่วไป ทั้งเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องเรือนต่าง ๆ ชวนให้ฉันนึกสงสัยในวิถีชีวิตของชายผู้นี้มากกว่าเดิม “ขอบคุณท่านที่ช่วยฉันนะคะ”
“ข้าหมายถึงว่า” เขาวางฉันลงให้ยืนพื้นก่อนจะใช้มือแตะสัมผัสที่บริเวณขากรรไกรของฉันอย่างอ่อนโยนด้วยสายตาที่ดูอ่อนไหวผิดวิสัยภาพลักษณ์ของปีศาจในแบบที่ฉันเข้าใจ “ยังกลัวเจ้านั่นอยู่หรือเปล่า?”
“ค่ะ…” ฉันยอมรับอย่างไม่ปิดบัง “ฉันว่าจะย้ายหนีไปจากเมืองนี้”
“ไม่ได้ผลหรอกนะ สิ่งนั้นจะตามเจ้าไปได้ทุกที่นั่นแหละ และเมื่อไรก็ตามที่เจ้าออกไปจากที่นี่ก็จะถูกพบเข้าอีกไม่นาน”
“แล้ว… ต้องทำอย่างไรหรือคะ?”
ร่างสูงโน้มใบหน้าขาวซีดลงมาใกล้ ยกแขนโอบรอบเอวของฉันให้ขยับเข้าหาตัวเขา “ยุติคำขอนั่นซะสิ ยกพรหมจรรย์ของเจ้าให้ข้า”
ฉันเงียบเพื่อครุ่นคิดทบทวนอย่างละเอียดจนได้คำตอบในใจที่ชัดเจน ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ค่ะ ฉันจะทำ”
สิ้นคำของฉัน ใบหน้าหล่อพลันยิ้มบางพร้อมกับแปลงสภาพเบื้องล่างให้กลายเป็นงู “เจ้ากลับคำไม่ได้แล้วนะ” หางงูพันรอบลำตัวของฉันก่อนจะกระชากเข้าไปประกบริมฝีปาก