เมื่อแฟนสาวถูกฆาตกรรมทำให้ 'พานิล' จมดิ่งสู่ห้วงความเศร้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอกลับบอกว่า 'การคืนชีพมีอยู่จริง' ให้เขาตามหาบันทึกปริศนานั้นให้เจอ
ไซไฟ,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,รัก,ระทึกขวัญ,ลึบลับ,ดราม่า,ข้ามภพ,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลังจากเรียนจบ พานิลขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่อยู่อังกฤษต่อเพื่อหาประสบการณ์ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับเป็นคนที่ไม่ชอบอาหารตะวันตกสักเท่าไหร่ และด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องควักจ่ายค่าอาหารไทยในต่างแดนที่แพงลิบลิ่วตั้งแต่ยังเรียนมหาลัย ไอ้อารมณ์หาประสบการณ์มันก็ฮึกเหิมได้เพียงปีเดียวเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจกลับประเทศไทยทันที
ใช้เวลาหางานตามตำแหน่งที่ตัวเองชอบอยู่นานก็ไม่ถูกใจสักที จนคุณหญิงกิ่งแก้วเอ่ยปากเด็ดขาดว่า อย่ามาอาศัยบ้านพ่อแม่อยู่ไปวัน ๆ ถ้ายังหางานไม่ได้จะทำตารางประจำวันให้ และไปช่วยงานบ้านกับสาวใช้ ตอนนั้นเองที่พึงระลึกได้ว่าเอ้อระเหยมานานจนน่าเกลียดเสียแล้ว
แต่งานแรกที่เขาได้รับ กลับไม่ใช่ผู้จัดการในบริษัทใหญ่ที่ไหน มันเป็นงานสังคมที่ได้ไปกับคุณแม่นั้นเอง
คุณหญิงกิ่งแก้วมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเปิดตัวลูกชายรูปหล่อที่เรียนจบมาหมาดๆ ถึงแม้ตอนนี้จะว่างงานและขี้เกียจตัวเป็นขนก็ตาม
การพบปะสังคมคุณหญิงมีความหวังว่า ลูกชายจะมีแรงกระตุ้นหางานมาประดับเกียรติตัวเองบ้าง จะได้ไม่อับอายเวลาคนถามว่าทำงานทำการอะไร ซึ่งพานิลคิดว่ามันคือการกดดันทางอ้อมดีๆ นี่เอง
แต่ก็เอาเถอะเพราะเขาเองก็ควรมีเงินเดือนเป็นของตัวเองสักที ไปเรียนให้ได้ใบปริญญาตั้งไกลดันเกาะพ่อแม่กิน พูดถึงไหนอายถึงนั่น
“ไม่เรียบร้อยเล้ยตาพัด อายเขานะลูก แม่ได้ยินมาว่าสุริยศรก็มานะงานนี้ แทบจะยกครอบครัวมาเลยมั้ง ยังไงก็สนิทสนมกับน้องๆ ลูกสาวเขาเอาไว้นะ แม่ได้ยินมาว่าสวยเชียวล่ะแต่ละคน”
คุณหญิงกิ่งแก้วบ่นตลอดทางเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม บางครั้งเขาไม่เห็นความผิดปกติที่ต้องบ่นเสียด้วยซ้ำ และพอเฉลยว่าเป็นหูกระต่ายเบี้ยวเท่านั้นแหละก็แทบกลอกตาไปมาใส่ทันที
“ก็แค่หูกระต่ายเบี้ยวเนี้ยนะ! คนในงานก็คงไม่มาสังเกตอะไรขนาดนี้หรอกมั้ง”
เขาพร่ำบ่นในใจขณะที่ยืดคอให้คุณแม่จัดการกับความไร้ระเบียบ โดยไม่รู้เลยว่าภายในงานมีหญิงแปลก
ประหลาดคนหนึ่งที่คิดเหมือนแม่เขาราวกับนัดกันมา ซึ่งเธอเดินมาเห็นโดยบังเอิญ
“หูกระต่ายเบี้ยวน่ะค่ะ”
“ครับ…?”
“ขอโทษที่ละลาบละล้วงค่ะ”
หญิงสาวก้มเหมือนรู้สึกผิด ที่นิสัยระเบียบจัดทำให้ปากไวโดยลืมไปว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนญาติสนิทมิตรสหายที่ต้องเข้าไปจุ้นจ้านเรื่องส่วนตัว จึงหันตัวเดินกลับตัวไปหาครอบครัวที่ยืนอยู่ไม่ไกลโดยไวเพื่อหลบความอาย
“เอ่อ...ปะ...เปล่าครับ ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มวิ่งไปดักหน้าหญิงสาวปริศนา
นั้นก็เพราะว่าเขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น พานิลยอมรับว่ามีผู้หญิงอีกหลายคนที่สวยกว่านัก แต่ไม่รู้อะไรมาดลใจให้หญิงสาวตรงหน้าตรึงตาตรึงใจได้ถึงเพียงนี้ เหมือนกับว่าเขารอคอยเธอมาเนิ่นนาน จนไม่อาจปล่อยให้จังหวะแห่งโชคชะตานี้มันหลุดลอยออกไปอย่างน่าเสียดาย
“....”
เธอมองเขาตาแป๋ว กับความเร็วที่วิ่งมาขวางทางเดินจนต้องชะงัก ช่างเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีแต่เต็มไปด้วย
ท่าทางลุกลี้ลุกลนขัดกับภาพลักษณ์เหลือเกิน และสิ่งนั้นก็ทำให้เธอต้องป้องปากขำเบาๆ จนทำให้พานิลเกาหัวถี่แก้อาการเสียเซลฟ์
“ผม พานิล มาลากาฬครับ”
“เอ๊ะ...” เมื่อได้ยินนามสกุลหญิงสาวก็ประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะเขาคือชายหนุ่มที่คุณแม่คะยั้นคะยอให้ผูกมิตรเอาไว้ ไม่คิดว่าคำยุยงจะทำให้มารู้จักกันโดยบังเอิญเช่นนี้
“ครับ?” พานิลเห็นเธอหลุดปากอุทานด้วยความฉงน จึงเป็นเขาบ้างที่หลุดคำพูดสั้นๆ กลับไป ซึ่งก็เต็มไปด้วยคำถามเช่นกัน
“ปะ...เปล่าค่ะ” หญิงสาวสั่นศีรษะปฏิเสธก่อนจะบอกชื่อแก่เขา “ดิฉัน กิลลรี สุริยศรค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
และก็ไม่เหนือความคาดหมายที่ชายหนุ่มก็มีปฏิกิริยาชะงักค้างเหมือนกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะหลุดหัวเราะออกมา
“ถ้าให้ผมเดานะ แม่ของคุณก็คงผู้ถึงผมอยู่บ้าง”
จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยสัพเพเหระตลอดงาน บางความเห็นก็ตรงกันราวกับอ่านใจออก ช่างเป็นรักแรกพบที่มีแต่ความประทับใจ
พานิลแอบคิดในใจว่า คุณแม่เห็นภาพนี้ก็คงปลาบปลื้มไปใหญ่เพราะมาลากาฬและสุริยศรรู้จักมักจีกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เคยถึงกับสัญญาว่าจะให้ลูกหลานแต่งงานมาดองกัน แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ชายหนุ่มเคยได้ยินจากคุณปู่ว่า ทายาททั้งสองตระกูลโตมาด้วยกันสายสัมพันธ์จึงเหมือนพี่น้องมากกว่าคนรัก มันก็คงกระอักกระอ่วนอยู่บ้างหากต้องมาอยู่กินด้วยกันฉันสามี
...แต่วินาทีนี้ ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป...
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่พานิลย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ความรัก ความสุข ที่ปัจจุบันมันพังทลายลงไปหมดแล้ว
สายตาของเขาในตอนนี้มองไปที่ไหนก็หม่นหมอง แม้ในโรงพยาบาลจะเปิดไฟจ้าจนแสบตามก็ตาม
พานิลคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งวีลแชร์ได้มาจอดที่เตียง มีธารัฐพยุงตัวเขาให้ขึ้นนั่งเพื่อเอนตัวนอนพักผ่อน และเมื่อหัวทิ้งแรงลงบนหมอน ชายหนุ่มก็เบือนหน้าเพื่อทอดสายตามองออกไปยังหน้าต่าง
ท้องฟ้าครามที่สุดสายตา เหนือขึ้นไปคือจักรวาลอันกว้างใหญ่ ในที่แห่งนั้นจะมีจิตวิญญาณของกิลลารีล่องลอยอยู่ไหม....
“เฮ้ย! ได้ยินมั้ยเนี่ย” เมื่อบอกกล่าวแล้วไม่มีน้ำเสียงโต้ตอบกลับมา จึงหันหน้ามองเพื่อหาต้นตอและจบว่าพานิลกำลังเหม่อลอยอย่างไม่รู้ตัว วินาทีนั้นธารัฐถึงได้ใช้หลังมือตีลำแขนเพื่อนรักเบาๆ เพื่อเรียกสติ
“ว่าไง”
“กูบอกว่าอีกสองสามวันมึงก็กลับบ้านได้แล้ว”
“อืม...” พานิลตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะปิดตาหลับเหมือนทุกๆ ครั้งที่โดนคะยั้นคะยอให้พักผ่อน
จากวันแรกที่โมโหเมื่อถูกกีดกันไม่ให้เจอคนรัก แต่ตอนนี้พานิลกลับรู้สึกดีเมื่อตัวเองได้หลับใหลไม่รับรู้สิ่งใด
...อย่างน้อยในฝันกิลลรีก็ยังมีชีวิตอยู่เพื่อส่งรอยยิ้มชโลมใจเขา...
แต่ความรู้สึกคะนึงหายามหลับใหลก็ไม่ได้ทำให้เขาไปพบเจอคนรัก มันกลับเป็นภาพของหญิงสาวที่มองดูร่างชายคนหนึ่งสลบเหมือดอยู่กลางสวนสวยด้วยอาการตกใจ
และเมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นผู้มาเยือนปริศนาซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวเลย เธอจึงคิดจะใช้นิ้วจิ้มไปยังแก้มของเขา เพื่อสัมผัสว่ามวลกายนั้นยังอุ่นหรือเย็นเฉียบเหมือนคนตายกันแน่ เพราะถ้าหากเป็นกรณีหลังเธอจะ
ได้ตะโกนให้บรรดาคนงานมาช่วยส่งเขาไปโรงพยาบาล
‘แง๊วว!’
“นี่! เบอตี้อย่าซนสิ”
แต่ความคิดนั้นก็ไม่ไวเท่าการกระทำของเจ้าแมวส้มสุดซุกซน ที่กระโจนไปยืนบนหัวชายผู้นั้นและไต่ลงมาหย่อนก้นปุ๊กลุกนั่งอยู่ที่คอ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัว
‘แง๊ววววววว!!!!’
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ทำให้หญิงสาวตาเบิกโพลง เพราะเขาใช้มือลูบคลำที่คอตัวเองเพื่อหาต้นตอของสิ่งรบกวน เมื่อพบว่ามันไม่ใช่มดหรือแมลง จึงตกใจกะทันหัน!
และจับหลังคอยานของเจ้าเบอตี้เขวี้ยงไปทางอื่น จนสัตว์เลี้ยงสุดรักของเธอหล่นดังตุ๊บ!
“เบอตี้!”
เธอร้องเรียกและวิ่งตาม แต่แน่นอนว่าคงไม่ทันความไวของมันที่สับเท้าหนีด้วยความหวาดผวา
เมื่อเห็นดังนั้นจึงปล่อยเจ้าสี่ขาวิ่งไปตามใจปรารถนา เพราะถึงยังไงตอนเย็นมันก็คงหิวโซและกลับมาตายรังอยู่ดี
ตอนนี้หญิงสาวหันไปแยกเขี้ยวใส่ชายปริศนาดีกว่า เพราะเขาบังอาจกระทำการไม่สมควรกับเจ้าแมวน้อยแสนน่ารักของเธอ!
“นี่! คุณเป็นใครเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”
“คุณคือใคร...” ชายปริศนากำลังปัดเศษใบไม้บนตัว และยืนขึ้นเพื่อกวาดสายตาสำรวจบรรยากาศโดยรอบ
“จะมาถามกลับทำไมเนี้ย! แล้วเข้ามาบ้านคนอื่น ไม่รู้จักเจ้าของก่อนหรือไง” เธอเท้าสะเอวถาม
“....” ส่วนเขาก็รู้สึกมึนงงจนไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไป เพราะตัวเองยังหาคำตอบไม่ได้เลย ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
พานิลรู้สึกเหมือนผู้ชมที่นั่งอยู่ในโรงหนังมองดูฉากที่พระนางกำลังเจอกันครั้งแรก เขาลองตะโกนเสียง ‘เห้ย!’ จนดังลั่นแต่เหมือนว่าหนุ่มสาวคู่นี้ไม่รับรู้อะไรเลย และไม่ใช่แค่พวกเขาหรอก ชายหนุ่มลองโบกมือขึ้นบนท้องฟ้าแต่ไม่เห็นมือของตัวเอง ราวกับว่านี่คือการล่องหน
...ถ้าสันนิษฐานไม่ผิดเขาตกอยู่ในสถานะวิญญาณใช่รึเปล่านะ...
“แล้วคุณชื่ออะไร” หญิงสาวถาม
ชายปริศนาเพิ่งสังเกตว่าเธอใส่เสื้อลูกไม้ปิดส่วนคอ มีเสื้อกั๊กแขนกุดที่รัดช่วงเอวเป็นเสื้อนอก ทว่าช่วงล่างกลับไม่ใช่กระโปรงฟู่ฟ่องเหมือนที่สตรีนิยมใส่ กลับเป็นกางเกงขาสั้นเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย และมันพองเป็นรูปร่างแปลกตา...
“ฉันหาว่าฉันโบราณน่ะสิ ก็แหมเสื้อผ้าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมันสวยนี่นา ลูกไม้เนี่ยไม่ว่ากี่ปีกี่ชาติก็ยังอมตะไม่เปลี่ยนแปลง แล้วกางรุ่นฟักทองคนแย่งกันจองเกือบซื้อไม่ทันเลยนะ” เธอกอดอกและยิ้มร่าประกาศศักดาของเสื้อผ้าที่สวมใส่
สิ่งนั้นทำให้นิลพันธุ์นึกขำในใจ ที่กางเกงอ้วนพองนั่นมันเลียนแบบมาจากผลผักสีเหลือง
“อ้อ รึนี่...ที่แท้ดีไซน์ก็มาจากฟักทองนี่เอง มิน่าถึงคุ้นนัก”
เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เธอบอกว่าโบราณ เพราะรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็ใส่อะไรเช่นนี้ และตนกำลังจะชมว่าสวยดี ที่ใส่กางเกงซึ่งดูห้าวหาญสวนทางความนิยม
“แล้วจะบอกได้หรือยัง ว่าคุณชื่ออะไร” เธอจี้เอาคำถาม
“ผมชื่อนิลพันธุ์” ชายหนุ่มตอบคำถามของเธอ
“ฉันชื่อกินรีค่ะ” เมื่อเธอกำลังจะยื่นมือไปจับเพื่อสานต่อมิตรภาพ ทันใดนั้นเองที่เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาจนทั้งคู่ตื่นตกใจ
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก...ตื้ด...
เสียงนั้นมาจากของที่ฝ่ายหญิงถืออยู่ มันเป็นเครื่องสี่เหลี่ยมรูปร่างเหมือนไอพอด แต่รายละเอียดมากกว่านั้นพานิลไม่เห็นมากนัก แต่เสียงของมันดังจนชายที่ชื่อนิลพันธุ์ถึงกับใช้สองมือกุมที่หัวตัวเอง จากนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เมื่อมีลำแสงนีออนสีลูกกวาดพุ่งขึ้นมาจากพื้นหญ้าและฉุดเขาลงไปราวกับหายตัว พร้อมสีหน้าตกใจของหญิงสาวที่ชื่อกินรี พานิลสาบานกับตัวเองว่าเขาอึ้งกว่าเธอหลายเท่านัก! ว่านี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น และทันทีที่เขาคิดเช่นนั้นอะไรบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว...
“เสียงตะกี้มัน....”