เมื่อแฟนสาวถูกฆาตกรรมทำให้ 'พานิล' จมดิ่งสู่ห้วงความเศร้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอกลับบอกว่า 'การคืนชีพมีอยู่จริง' ให้เขาตามหาบันทึกปริศนานั้นให้เจอ

Sound แว่วเสียงรัก - Sound : Chapter 3 ภาพฝันอันงุนงง โดย Di-N(ดิเอ็น) @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไซไฟ,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,รัก,ระทึกขวัญ,ลึบลับ,ดราม่า,ข้ามภพ,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Sound แว่วเสียงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,รัก,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ลึบลับ,ดราม่า,ข้ามภพ,แฟนตาซี,เกิดใหม่

รายละเอียด

Sound แว่วเสียงรัก โดย Di-N(ดิเอ็น) @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เมื่อแฟนสาวถูกฆาตกรรมทำให้ 'พานิล' จมดิ่งสู่ห้วงความเศร้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอกลับบอกว่า 'การคืนชีพมีอยู่จริง' ให้เขาตามหาบันทึกปริศนานั้นให้เจอ

ผู้แต่ง

Di-N(ดิเอ็น)

เรื่องย่อ

จะเป็นอย่างไรเมื่อการข้ามภพข้ามชาติมาในรูปแบบไซไฟ 'พานิล มาลาฬ' ก็ไม่รู้เช่นกันว่าชีวิตตัวเองกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดการ ซึ่งเริ่มจาก 'กิลลรี สุริยศร' แฟนสาวเสียชีวิต และแม่ของเธอบอกว่า สุริยศรฟื้นคืนชีพคนตายได้ บันทึกลึกลับเก็บอยู่ที่วังเก่า อันเป็นสมบัติของตระกูล พานิลนึกหัวเราะกับคำเพ้อเจ้อเหล่านี้ แต่ความโศกเศร้าทำให้เขาอยากพิสูจน์เรื่องน่าเหลือเชื่อ และนั้นคือจุดเริ่มต้นของความลับระหว่างสองตระกูล ซึ่งมันได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล พานิลจะฟื้นคือชีพของกิลลรีได้ไหม พระเจ้าเองก็ตอบไม่ได้ อยากให้นักอ่านมาลุ้นเอาใจช่วยเขากันค่ะ

สารบัญ

Sound แว่วเสียงรัก-Sound Prologue ,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 1 หัวใจของพานิล,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 2 สาเหตุการตาย,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 3 ภาพฝันอันงุนงง,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 4 การคืนชีพมีอยู่จริง,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 5 ท่านชายสติเฟื่อง,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 6 เบาะแสเริ่มชัดเจน,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 7 จิราเมธผู้แตกสลาย ,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 8 วิธีทำซอมบี้หุ่นยนต์,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 9 อัศวินสมชื่อ,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 10 กลับมา,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 11 (END) รักนิรันดร์,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 1,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 2,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 3,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 4

เนื้อหา

Sound : Chapter 3 ภาพฝันอันงุนงง

หลังจากเรียนจบ พานิลขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่อยู่อังกฤษต่อเพื่อหาประสบการณ์ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับเป็นคนที่ไม่ชอบอาหารตะวันตกสักเท่าไหร่ และด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องควักจ่ายค่าอาหารไทยในต่างแดนที่แพงลิบลิ่วตั้งแต่ยังเรียนมหาลัย ไอ้อารมณ์หาประสบการณ์มันก็ฮึกเหิมได้เพียงปีเดียวเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจกลับประเทศไทยทันที

ใช้เวลาหางานตามตำแหน่งที่ตัวเองชอบอยู่นานก็ไม่ถูกใจสักที จนคุณหญิงกิ่งแก้วเอ่ยปากเด็ดขาดว่า อย่ามาอาศัยบ้านพ่อแม่อยู่ไปวัน ๆ ถ้ายังหางานไม่ได้จะทำตารางประจำวันให้ และไปช่วยงานบ้านกับสาวใช้ ตอนนั้นเองที่พึงระลึกได้ว่าเอ้อระเหยมานานจนน่าเกลียดเสียแล้ว

แต่งานแรกที่เขาได้รับ กลับไม่ใช่ผู้จัดการในบริษัทใหญ่ที่ไหน มันเป็นงานสังคมที่ได้ไปกับคุณแม่นั้นเอง

คุณหญิงกิ่งแก้วมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเปิดตัวลูกชายรูปหล่อที่เรียนจบมาหมาดๆ ถึงแม้ตอนนี้จะว่างงานและขี้เกียจตัวเป็นขนก็ตาม

การพบปะสังคมคุณหญิงมีความหวังว่า ลูกชายจะมีแรงกระตุ้นหางานมาประดับเกียรติตัวเองบ้าง จะได้ไม่อับอายเวลาคนถามว่าทำงานทำการอะไร ซึ่งพานิลคิดว่ามันคือการกดดันทางอ้อมดีๆ นี่เอง

แต่ก็เอาเถอะเพราะเขาเองก็ควรมีเงินเดือนเป็นของตัวเองสักที ไปเรียนให้ได้ใบปริญญาตั้งไกลดันเกาะพ่อแม่กิน พูดถึงไหนอายถึงนั่น

“ไม่เรียบร้อยเล้ยตาพัด อายเขานะลูก แม่ได้ยินมาว่าสุริยศรก็มานะงานนี้ แทบจะยกครอบครัวมาเลยมั้ง ยังไงก็สนิทสนมกับน้องๆ ลูกสาวเขาเอาไว้นะ แม่ได้ยินมาว่าสวยเชียวล่ะแต่ละคน”

คุณหญิงกิ่งแก้วบ่นตลอดทางเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม บางครั้งเขาไม่เห็นความผิดปกติที่ต้องบ่นเสียด้วยซ้ำ และพอเฉลยว่าเป็นหูกระต่ายเบี้ยวเท่านั้นแหละก็แทบกลอกตาไปมาใส่ทันที

“ก็แค่หูกระต่ายเบี้ยวเนี้ยนะ! คนในงานก็คงไม่มาสังเกตอะไรขนาดนี้หรอกมั้ง”

เขาพร่ำบ่นในใจขณะที่ยืดคอให้คุณแม่จัดการกับความไร้ระเบียบ โดยไม่รู้เลยว่าภายในงานมีหญิงแปลก

ประหลาดคนหนึ่งที่คิดเหมือนแม่เขาราวกับนัดกันมา ซึ่งเธอเดินมาเห็นโดยบังเอิญ

“หูกระต่ายเบี้ยวน่ะค่ะ”

“ครับ…?”

“ขอโทษที่ละลาบละล้วงค่ะ”

หญิงสาวก้มเหมือนรู้สึกผิด ที่นิสัยระเบียบจัดทำให้ปากไวโดยลืมไปว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนญาติสนิทมิตรสหายที่ต้องเข้าไปจุ้นจ้านเรื่องส่วนตัว จึงหันตัวเดินกลับตัวไปหาครอบครัวที่ยืนอยู่ไม่ไกลโดยไวเพื่อหลบความอาย

“เอ่อ...ปะ...เปล่าครับ ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มวิ่งไปดักหน้าหญิงสาวปริศนา

นั้นก็เพราะว่าเขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น พานิลยอมรับว่ามีผู้หญิงอีกหลายคนที่สวยกว่านัก แต่ไม่รู้อะไรมาดลใจให้หญิงสาวตรงหน้าตรึงตาตรึงใจได้ถึงเพียงนี้ เหมือนกับว่าเขารอคอยเธอมาเนิ่นนาน จนไม่อาจปล่อยให้จังหวะแห่งโชคชะตานี้มันหลุดลอยออกไปอย่างน่าเสียดาย

“....”

เธอมองเขาตาแป๋ว กับความเร็วที่วิ่งมาขวางทางเดินจนต้องชะงัก ช่างเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีแต่เต็มไปด้วย
ท่าทางลุกลี้ลุกลนขัดกับภาพลักษณ์เหลือเกิน และสิ่งนั้นก็ทำให้เธอต้องป้องปากขำเบาๆ จนทำให้พานิลเกาหัวถี่แก้อาการเสียเซลฟ์

“ผม พานิล มาลากาฬครับ”

“เอ๊ะ...” เมื่อได้ยินนามสกุลหญิงสาวก็ประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย

เพราะเขาคือชายหนุ่มที่คุณแม่คะยั้นคะยอให้ผูกมิตรเอาไว้ ไม่คิดว่าคำยุยงจะทำให้มารู้จักกันโดยบังเอิญเช่นนี้

“ครับ?” พานิลเห็นเธอหลุดปากอุทานด้วยความฉงน จึงเป็นเขาบ้างที่หลุดคำพูดสั้นๆ กลับไป ซึ่งก็เต็มไปด้วยคำถามเช่นกัน

“ปะ...เปล่าค่ะ” หญิงสาวสั่นศีรษะปฏิเสธก่อนจะบอกชื่อแก่เขา “ดิฉัน กิลลรี สุริยศรค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

และก็ไม่เหนือความคาดหมายที่ชายหนุ่มก็มีปฏิกิริยาชะงักค้างเหมือนกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะหลุดหัวเราะออกมา

“ถ้าให้ผมเดานะ แม่ของคุณก็คงผู้ถึงผมอยู่บ้าง”

จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยสัพเพเหระตลอดงาน บางความเห็นก็ตรงกันราวกับอ่านใจออก ช่างเป็นรักแรกพบที่มีแต่ความประทับใจ

พานิลแอบคิดในใจว่า คุณแม่เห็นภาพนี้ก็คงปลาบปลื้มไปใหญ่เพราะมาลากาฬและสุริยศรรู้จักมักจีกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เคยถึงกับสัญญาว่าจะให้ลูกหลานแต่งงานมาดองกัน แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ชายหนุ่มเคยได้ยินจากคุณปู่ว่า ทายาททั้งสองตระกูลโตมาด้วยกันสายสัมพันธ์จึงเหมือนพี่น้องมากกว่าคนรัก มันก็คงกระอักกระอ่วนอยู่บ้างหากต้องมาอยู่กินด้วยกันฉันสามี

...แต่วินาทีนี้ ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป...

ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่พานิลย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ความรัก ความสุข ที่ปัจจุบันมันพังทลายลงไปหมดแล้ว
สายตาของเขาในตอนนี้มองไปที่ไหนก็หม่นหมอง แม้ในโรงพยาบาลจะเปิดไฟจ้าจนแสบตามก็ตาม

พานิลคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งวีลแชร์ได้มาจอดที่เตียง มีธารัฐพยุงตัวเขาให้ขึ้นนั่งเพื่อเอนตัวนอนพักผ่อน และเมื่อหัวทิ้งแรงลงบนหมอน ชายหนุ่มก็เบือนหน้าเพื่อทอดสายตามองออกไปยังหน้าต่าง

ท้องฟ้าครามที่สุดสายตา เหนือขึ้นไปคือจักรวาลอันกว้างใหญ่ ในที่แห่งนั้นจะมีจิตวิญญาณของกิลลารีล่องลอยอยู่ไหม....

“เฮ้ย! ได้ยินมั้ยเนี่ย” เมื่อบอกกล่าวแล้วไม่มีน้ำเสียงโต้ตอบกลับมา จึงหันหน้ามองเพื่อหาต้นตอและจบว่าพานิลกำลังเหม่อลอยอย่างไม่รู้ตัว วินาทีนั้นธารัฐถึงได้ใช้หลังมือตีลำแขนเพื่อนรักเบาๆ เพื่อเรียกสติ

“ว่าไง”

“กูบอกว่าอีกสองสามวันมึงก็กลับบ้านได้แล้ว”

“อืม...” พานิลตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะปิดตาหลับเหมือนทุกๆ ครั้งที่โดนคะยั้นคะยอให้พักผ่อน

จากวันแรกที่โมโหเมื่อถูกกีดกันไม่ให้เจอคนรัก แต่ตอนนี้พานิลกลับรู้สึกดีเมื่อตัวเองได้หลับใหลไม่รับรู้สิ่งใด

...อย่างน้อยในฝันกิลลรีก็ยังมีชีวิตอยู่เพื่อส่งรอยยิ้มชโลมใจเขา...

แต่ความรู้สึกคะนึงหายามหลับใหลก็ไม่ได้ทำให้เขาไปพบเจอคนรัก มันกลับเป็นภาพของหญิงสาวที่มองดูร่างชายคนหนึ่งสลบเหมือดอยู่กลางสวนสวยด้วยอาการตกใจ

และเมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นผู้มาเยือนปริศนาซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวเลย เธอจึงคิดจะใช้นิ้วจิ้มไปยังแก้มของเขา เพื่อสัมผัสว่ามวลกายนั้นยังอุ่นหรือเย็นเฉียบเหมือนคนตายกันแน่ เพราะถ้าหากเป็นกรณีหลังเธอจะ
ได้ตะโกนให้บรรดาคนงานมาช่วยส่งเขาไปโรงพยาบาล

‘แง๊วว!’

“นี่! เบอตี้อย่าซนสิ”

แต่ความคิดนั้นก็ไม่ไวเท่าการกระทำของเจ้าแมวส้มสุดซุกซน ที่กระโจนไปยืนบนหัวชายผู้นั้นและไต่ลงมาหย่อนก้นปุ๊กลุกนั่งอยู่ที่คอ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัว

‘แง๊ววววววว!!!!’

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ทำให้หญิงสาวตาเบิกโพลง เพราะเขาใช้มือลูบคลำที่คอตัวเองเพื่อหาต้นตอของสิ่งรบกวน เมื่อพบว่ามันไม่ใช่มดหรือแมลง จึงตกใจกะทันหัน!

และจับหลังคอยานของเจ้าเบอตี้เขวี้ยงไปทางอื่น จนสัตว์เลี้ยงสุดรักของเธอหล่นดังตุ๊บ!

“เบอตี้!”

เธอร้องเรียกและวิ่งตาม แต่แน่นอนว่าคงไม่ทันความไวของมันที่สับเท้าหนีด้วยความหวาดผวา

เมื่อเห็นดังนั้นจึงปล่อยเจ้าสี่ขาวิ่งไปตามใจปรารถนา เพราะถึงยังไงตอนเย็นมันก็คงหิวโซและกลับมาตายรังอยู่ดี

ตอนนี้หญิงสาวหันไปแยกเขี้ยวใส่ชายปริศนาดีกว่า เพราะเขาบังอาจกระทำการไม่สมควรกับเจ้าแมวน้อยแสนน่ารักของเธอ!

“นี่! คุณเป็นใครเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”

“คุณคือใคร...” ชายปริศนากำลังปัดเศษใบไม้บนตัว และยืนขึ้นเพื่อกวาดสายตาสำรวจบรรยากาศโดยรอบ

“จะมาถามกลับทำไมเนี้ย! แล้วเข้ามาบ้านคนอื่น ไม่รู้จักเจ้าของก่อนหรือไง” เธอเท้าสะเอวถาม

“....” ส่วนเขาก็รู้สึกมึนงงจนไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไป เพราะตัวเองยังหาคำตอบไม่ได้เลย ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

พานิลรู้สึกเหมือนผู้ชมที่นั่งอยู่ในโรงหนังมองดูฉากที่พระนางกำลังเจอกันครั้งแรก เขาลองตะโกนเสียง ‘เห้ย!’ จนดังลั่นแต่เหมือนว่าหนุ่มสาวคู่นี้ไม่รับรู้อะไรเลย และไม่ใช่แค่พวกเขาหรอก ชายหนุ่มลองโบกมือขึ้นบนท้องฟ้าแต่ไม่เห็นมือของตัวเอง ราวกับว่านี่คือการล่องหน

...ถ้าสันนิษฐานไม่ผิดเขาตกอยู่ในสถานะวิญญาณใช่รึเปล่านะ...

“แล้วคุณชื่ออะไร” หญิงสาวถาม

ชายปริศนาเพิ่งสังเกตว่าเธอใส่เสื้อลูกไม้ปิดส่วนคอ มีเสื้อกั๊กแขนกุดที่รัดช่วงเอวเป็นเสื้อนอก ทว่าช่วงล่างกลับไม่ใช่กระโปรงฟู่ฟ่องเหมือนที่สตรีนิยมใส่ กลับเป็นกางเกงขาสั้นเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย และมันพองเป็นรูปร่างแปลกตา...

“ฉันหาว่าฉันโบราณน่ะสิ ก็แหมเสื้อผ้าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมันสวยนี่นา ลูกไม้เนี่ยไม่ว่ากี่ปีกี่ชาติก็ยังอมตะไม่เปลี่ยนแปลง แล้วกางรุ่นฟักทองคนแย่งกันจองเกือบซื้อไม่ทันเลยนะ” เธอกอดอกและยิ้มร่าประกาศศักดาของเสื้อผ้าที่สวมใส่

สิ่งนั้นทำให้นิลพันธุ์นึกขำในใจ ที่กางเกงอ้วนพองนั่นมันเลียนแบบมาจากผลผักสีเหลือง

“อ้อ รึนี่...ที่แท้ดีไซน์ก็มาจากฟักทองนี่เอง มิน่าถึงคุ้นนัก”

เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เธอบอกว่าโบราณ เพราะรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็ใส่อะไรเช่นนี้ และตนกำลังจะชมว่าสวยดี ที่ใส่กางเกงซึ่งดูห้าวหาญสวนทางความนิยม

“แล้วจะบอกได้หรือยัง ว่าคุณชื่ออะไร” เธอจี้เอาคำถาม

“ผมชื่อนิลพันธุ์” ชายหนุ่มตอบคำถามของเธอ

“ฉันชื่อกินรีค่ะ” เมื่อเธอกำลังจะยื่นมือไปจับเพื่อสานต่อมิตรภาพ ทันใดนั้นเองที่เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาจนทั้งคู่ตื่นตกใจ

ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก...ตื้ด...

เสียงนั้นมาจากของที่ฝ่ายหญิงถืออยู่ มันเป็นเครื่องสี่เหลี่ยมรูปร่างเหมือนไอพอด แต่รายละเอียดมากกว่านั้นพานิลไม่เห็นมากนัก แต่เสียงของมันดังจนชายที่ชื่อนิลพันธุ์ถึงกับใช้สองมือกุมที่หัวตัวเอง จากนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

เมื่อมีลำแสงนีออนสีลูกกวาดพุ่งขึ้นมาจากพื้นหญ้าและฉุดเขาลงไปราวกับหายตัว พร้อมสีหน้าตกใจของหญิงสาวที่ชื่อกินรี พานิลสาบานกับตัวเองว่าเขาอึ้งกว่าเธอหลายเท่านัก! ว่านี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น และทันทีที่เขาคิดเช่นนั้นอะไรบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว...

“เสียงตะกี้มัน....”