เมื่อแฟนสาวถูกฆาตกรรมทำให้ 'พานิล' จมดิ่งสู่ห้วงความเศร้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอกลับบอกว่า 'การคืนชีพมีอยู่จริง' ให้เขาตามหาบันทึกปริศนานั้นให้เจอ

Sound แว่วเสียงรัก - Sound : Chapter 5 ท่านชายสติเฟื่อง โดย Di-N(ดิเอ็น) @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไซไฟ,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,รัก,ระทึกขวัญ,ลึบลับ,ดราม่า,ข้ามภพ,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Sound แว่วเสียงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,รัก,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ลึบลับ,ดราม่า,ข้ามภพ,แฟนตาซี,เกิดใหม่

รายละเอียด

Sound แว่วเสียงรัก โดย Di-N(ดิเอ็น) @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เมื่อแฟนสาวถูกฆาตกรรมทำให้ 'พานิล' จมดิ่งสู่ห้วงความเศร้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอกลับบอกว่า 'การคืนชีพมีอยู่จริง' ให้เขาตามหาบันทึกปริศนานั้นให้เจอ

ผู้แต่ง

Di-N(ดิเอ็น)

เรื่องย่อ

จะเป็นอย่างไรเมื่อการข้ามภพข้ามชาติมาในรูปแบบไซไฟ 'พานิล มาลาฬ' ก็ไม่รู้เช่นกันว่าชีวิตตัวเองกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดการ ซึ่งเริ่มจาก 'กิลลรี สุริยศร' แฟนสาวเสียชีวิต และแม่ของเธอบอกว่า สุริยศรฟื้นคืนชีพคนตายได้ บันทึกลึกลับเก็บอยู่ที่วังเก่า อันเป็นสมบัติของตระกูล พานิลนึกหัวเราะกับคำเพ้อเจ้อเหล่านี้ แต่ความโศกเศร้าทำให้เขาอยากพิสูจน์เรื่องน่าเหลือเชื่อ และนั้นคือจุดเริ่มต้นของความลับระหว่างสองตระกูล ซึ่งมันได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล พานิลจะฟื้นคือชีพของกิลลรีได้ไหม พระเจ้าเองก็ตอบไม่ได้ อยากให้นักอ่านมาลุ้นเอาใจช่วยเขากันค่ะ

สารบัญ

Sound แว่วเสียงรัก-Sound Prologue ,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 1 หัวใจของพานิล,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 2 สาเหตุการตาย,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 3 ภาพฝันอันงุนงง,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 4 การคืนชีพมีอยู่จริง,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 5 ท่านชายสติเฟื่อง,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 6 เบาะแสเริ่มชัดเจน,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 7 จิราเมธผู้แตกสลาย ,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 8 วิธีทำซอมบี้หุ่นยนต์,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 9 อัศวินสมชื่อ,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 10 กลับมา,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 11 (END) รักนิรันดร์,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 1,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 2,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 3,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 4

เนื้อหา

Sound : Chapter 5 ท่านชายสติเฟื่อง

พานิลยืนนิ่งเหม่อลอยคิดถึงคนรักอยู่กับพนักงานบาร์คนหนึ่ง ซึ่งถูกจ้างมากออกอีเว้นนอกสถานที่


อากัปกิริยาของชายคนนี้นิ่งไม่ไหวติงเฉกเช่นเดียวกับเขา


อาจจะเพราะว่าสถานะลูกจ้างชั่วคราวทำให้ต้องสงบเสงี่ยมเข้าไว้ จะเคลื่อนไหวตัวทีก็คือช่วงที่มีคนมาสั่งเครื่องดื่มเท่านั้น

พ่อกับแม่อาสาเป็นเจ้ามือจัดปาร์ตี้ให้พานิล เพราะอยากฉุดเขาขึ้นมาจากขุมนรกแห่งความเศร้าโดยไว ในสวนกว้างของเนื้อที่บ้านจึงถูกเนรมิตขึ้นมาเป็นงานเอาท์ดอร์โปร่งโล่ง

อาหารและเครื่องดื่มมากมายพร้อมให้ทุกคนหยิบจับ อีกทั้งยังจ้างบาร์เทนเดอร์เอาไว้ตอบสนองคนชื่นชอบ
เครื่องดื่มเฉพาะตัวอีกด้วย เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็ม จนญาติๆ ที่ตบเท้ารับคำครื้นเครงกันใหญ่

“ไงคะพี่ชายสุดหล่อ มายืนหงอยอยู่คนเดียวทำไม” กิ่งวิไล มาลากาฬ น้องสาวคนเดียวได้เดินมาทักทาย

“เปล่า เมื่อกี้ก็เดินไปคุยกับพวกคุณอามาแล้ว” พานิลโกหกหน้าตาย ทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเสียด้วยซ้ำ

“ไม่เนียนเลยนะคะ”

“....” ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็โดนจับได้ จึงยักไหล่ไม่แยแสว่าใครจะหมั่นไส้ในท่าทางหรือไม่

“น้องเข้าใจพี่นะคะ แต่ทุกคนก็ไม่ได้อยากให้พี่เศร้ามากเกินไป” กิ่งวิไลยื่นมือมาเกาะกุมมือเขาเพื่อให้กำลังใจ

อันที่จริงความเสียใจที่พานิลมีมันลดน้อยลงกว่าวันแรกๆ ไปเยอะแล้ว เพราะตอนนี้มีปริศนาใหม่เข้ามาแทนที่ให้ค้นหา

เพราะเรื่องที่ได้รับรู้มาไม่สามารถปรึกษาคนอื่นได้ จึงได้แต่คิดเงียบงันอยู่คนเดียว ก็ไม่แปลกหากคนอื่นคิดว่าเขายังเสียใจเรื่องกิลลรีอยู่ ยิ่งคำพูดสุดท้ายของสุโนการณ์ที่ได้บอกกับเขาก่อนจากลา ทำให้คิดไม่ตกจริงๆ ว่าจะหาข้อมูลจากใครได้

“ใช่...หม่อมเจ้านิลพันธุ์ มาลากาฬ หนึ่งในต้นตระกูลของเธอ ซึ่งมันก็หมายความว่าการฟื้นคืนชีพมันอาจจะไม่ใช่อาจจะไม่ใช่ความสามารถของสุริยศร”

“หม่อมเจ้านิลพันธุ์...” พานิลขมวดคิ้วหนัก

“ว่าแล้วเชียว ชื่อของท่านไม่ได้ถูกให้ลูกหลานอย่างพวกเธอรับรู้นักหรอก”

“เอ่อ...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ผมอาจจะเป็นคนที่ไม่สนใจเองก็ได้”

“ไม่หรอก...เชื่อเถอะมาลากาฬไม่มีใครอยากเอ่ยชื่อท่าน เพราะครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกกว่าท่านชายสติเฟื่อง”

“ท่านชายสติเฟื่อง?”

“อาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมากนักหรอก ถ้าพัดอยากรู้คงต้องไปถามคนในตระกูลเอาเอง ถึงแม้จะไม่มีใครพูดถึง แต่ไม่ได้แปลว่าคนในมาลากาฬจะลืมท่าน มันต้องมีสักคนแหละที่รู้”

พานิลใช้เวลามองโหงวเฮ้งของเหล่าญาติ ว่าจะมีใครดูท่าทางรู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาแล้วก็ไม่มีบุคลิกที่เข้าข่ายเลย

ตระกูลมาลากาฬส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในแวดวงธุรกิจการเงินและนักการเมือง ไม่เหมือนสุริยศรที่ค่อนไปทางนักวิชาการหรือนักรอบรู้

ฉะนั้นแล้วการเก็บเกร็ดสำคัญเกี่ยวกับครอบครัว เหมือนพวกนักประวัติศาสตร์ทำนั้น ไม่ใช่วิสัยของคนจากมาลากาฬแน่นอน

ยกเว้นจะไปถามข้อมูลจากคุณปู่เอาเอง ซึ่งพานิลคงไม่ทำเช่นนั้น เพราะการคุยกับคนแก่มันยากเสียงยิ่งกว่าอะไร จะได้ข้อมูลมาแต่ละทีคงต้องแลกกับการโดนบ่นหูชา เผลอๆ อาจจะถูกตราหน้าว่าเพ้อเจ้อจนต้องพับโครงการนี้เก็บลงไป

“กิ่ง แกรู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลของเราบ้างมั้ย”

“ตระกูลของเรา...?” น้องสาวเกาหางคิ้วอย่างฉงนเมื่อจู่ๆ พี่ชายก็สนใจประวัติของตระกูลขึ้นมาเสียอย่างนั้น ความเหงาทำให้เขาไม่มีอะไรทำขนาดนี้เชียวเหรอ

“ใช่ แกรู้อะไรบ้าง”

“ก็รู้เหมือนที่ทุกคนรู้ไงคะ เราสืบเชื้อสายมาจากเจ้าชาย และเป็นตระกูลราชนิกุลมันมีอะไรพิเศษมากไปกว่านี้อีกเหรอคะ”

ชัดเจนเลยว่ารู้พอๆ กับตน อีกทั้งมันยังไม่ได้ช่วยอะไรอีกต่างหาก พานิลจึงตัดสินใจเอ่ยชื่อบุคคลที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้แทน

“เช่น...หม่อมเจ้านิลพันธุ์”

“อ๋อ ปู่ทวดใหญ่นิลพันธุ์น่ะเหรอ”
“รู้ด้วยเหรอยัยกิ่ง”

“รู้สิคะ มีแต่พี่เท่านั้นแหละที่ไม่ได้สนใจ ครั้งหนึ่งท่านเคยโดนสังคมชั้นสูงแบน เพราะคุยแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง แบบ...เป็นคนที่สื่อสารไม่รู้เรื่องอะ”

“แล้วอะไรอีก” เมื่อกิ่งวิไลหยุดร่ายเพื่อยกเครื่องดื่มซดโดยไม่มีท่าทีจะพูดอะไรต่อ พานิลจึงทวงเรื่องราวลำดับถัดไป

“อะไรอีก? หนูก็รู้แค่นี้แหละ”

“โธ่ กิ่งใช้ไม่ได้เลย”

“โอ๊ย เรื่องมันเหมือนหนังสือเรียนจะตาย ใครๆ ก็เบื่อ ขนาดพี่ยังไม่สนใจจะรับรู้เลย” น้องสาวมองค้อนอย่างเง้างอด “นี่ ถ้าพี่อยากรู้ถามคนโน้น กิ่งมั่นใจว่าตอบได้ทุกคำถาม”

กิ่งวิไลชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง อายุของเขาประมาณนักศึกษาปีสองปีสามเห็นจะได้ และแน่นอนว่าพานิลรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเขาคือ ‘วานุกร วิเศษดำรง’ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องนั่นเอง

ชายหนุ่มไม่ค่อยคลุกคลีกับญาติผู้น้องคนนี้นัก เพราะดูเป็นหนุ่มเนิร์ดใส่แว่นหนาเตอะ อีกทั้งยังชอบพูดเกี่ยวกับตำรับตำราจนชวนหาว ไม่รู้ว่าการเข้ามาหาวิทยาลัยจะทำให้เจ้านั่นเข้าสังคมเก่งขึ้นมาได้บ้างหรือไม่

“เอ่อว่ะ...โหงวเฮ้งใช้ได้เลยนี่ว่า” พานิลนึกตำหนิตัวเอง ที่ยืนส่องเหล่าญาติจนเพลิดเพลินทำให้มองข้ามเจ้าหนุ่มคนนี้ไปเสียได้

“โหงวเฮ้ง?” กิ่งวิไลทวนคำพูดพี่ชาย
เนื่องจากไม่เข้าใจว่าหมายถึงสิ่งใดและเธออยากได้รับการอธิบาย เพื่อความสอดรู้สอดเห็นตามประสา แต่มันก็ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลยเมื่อพานิลเลือกที่จะตบบ่าเธอเบาๆ และยิ้มแห้งส่งให้ราวกับจะสื่อว่า “ไม่บอกหรอก ปล่อยให้งง” จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่สนใจอะไรเลย

“พี่บ้า!”

พานิลเดินเข้าไปหาลูกพี่ลูกน้องด้วยท่าทางเงอะงะเล็กน้อย เนื่องจากวัยที่ห่างกันและเขาไม่ได้สนิทอะไรกับวานุกรเลยจึงไม่รู้จะเริ่มถามอย่างไรดี

“ไง”

ทำทักทายสั้นๆ ก็พอจะทำให้ลูกพี่ลูกน้องวัยมหาลัยหันมาหาบ้าง แต่มันก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ออกมาจากสายตาอย่างไม่อาจปิดบังได้

“ค...ครับพี่พัด” วานุกรเอ่ยกลับอย่างตะกุกตะกักเมื่อญาติคนพี่ผู้เฉิดฉายในวงสังคมอุตส่าห์เดินเข้ามาทักทาย ซึ่งร้อยวันพันปีมีครั้งเห็นจะได้

เพราะเมื่อก่อน พานิลไม่ค่อยอยากให้รัศมีของตัวเองมาหม่นหมองเพราะคนภาพลักษณ์เฉยเฉิ่มอย่างเขานักหรอก

“เรียนอยู่ปีไหนแล้วล่ะนุ”

“ปีสามแล้วครับพี่”

“อีกปีเดียวก็จบแล้วนี่ แล้วเรียนคณะอะไรล่ะ”

“อักษร สาขาประวัติศาสตร์ครับ”

“อ้อ...” พานิลพยักหน้า พร้อมกับในใจที่แอบยิ้มทันที ในที่สุดก็พอจะมีช่องว่างให้เลียบเคียงถามได้แล้ว “น่าสนุกนะ เรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของมนุษย์ ตระกูลเราก็สืบเชื้อสายมาจากเจ้าชาย ถ้ามาลากาฬมีบทบาทในประวัติศาสตร์ของประเทศบ้าง มันก็คงดูเท่ดี”

ขว้างเหยื่อลงผืนน้ำเพียงเท่านั้น วานุกรก็มีอาการเนิร์ดกำเริบและกระโดดคาบอาหารอันโอชะทันที โดยที่พานิลไม่ต้องเหนื่อยในการชักจูงมากมายนัก

“ถึงเราจะไม่มีบทบาทด้านนี้ แต่ตระกูลเราก็ไม่น้อยหน้านะครับ แต่เสียดายที่คุณปู่ทวดไม่ค่อยชอบเรื่องวิทยาศาสตร์”

หากเป็นก่อนหน้านี้พานิลคงขมวดคิ้วหนักว่าวานุกรพูดอะไร แต่หลังจากที่เขาได้รับรู้เรื่องราวมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็เข้าใจในทันทีว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้คงหมายถึงต้นตระกูลที่ถูกกล่าวหาว่าสติเฟื่อง เพราะชอบเรื่องราวในศาสตร์นี้

และทำให้คุณทวดของเขาไม่อยากสุงสิง เป็นเหตุให้ทั้งตระกูลผูกใจเจ็บกับวิทยาศาสตร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

“พี่ไม่เข้าใจ” พานิลแสร้งถามเพื่อให้คู่สนทนาเปิดปากขึ้นมามากกว่านี้

“เอ่อ...” วานุกรหันซ้ายหันขวาก่อนจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบ ราวกับว่าเรื่องที่กำลังจะพูดมันเข้าขั้นคอขาดบาดตาย “พี่พัดรู้จักหม่อมเจ้านิลพันธุ์มั้ยครับ”

“รู้จักสิหนึ่งในต้นตระกูลของเรา”

“ผลว่าท่านเป็นนักท่องเวลาน่ะครับ”

“ห๊า!”

พีคไม่หยุด! ถึงกับต้องร้องเสียงหลงจนคนในงานหันมองกันเป็นตาเดียว ทำให้วานุกรยิ้มเจื่อนและก้มหัวขอโทษคนพวกนั้นเล็กน้อยที่พวกเขาทำเสียงดังจนเกินไป

ตั้งแต่เรื่องฟื้นคืนชีพจนมาถึงเรื่องนี้ พานิลไม่รู้ว่านิยายเพ้อฝันของสองตระกูลจะไปหยุดอยู่ตรงไหน ฝั่งสุริยศรบอกว่าตัวเองฟื้นคืนชีพคนตายได้ด้วยหุ่นยนต์ ส่วนเจ้าวานุกรดันบอกว่ามาลากาฬเป็นนักท่องเวลา พานิลนวดขมับหนักเมื่อกำลังเคร่งเครียดกับการเชื่อมโยงเรื่องราวว่ามันจะไปบรรจบกันตรงไหน

“อย่าตกใจเสียงดังสิครับ ผมอายเขานะ”

“มันยังไงแน่เจ้านุ ขยายความให้พี่ฟังดิ๊”

“อะไรเนี้ย ข้อมูลพวกนี้อยู่ในห้องหนังสือคุณลุงทั้งนั้นเลย แล้วมันก็เปิดให้ลูกหลาน เข้าไปอ่านได้ตามใจชอบด้วย”

“บ้านฉันน่ะเหรอ” วานุกรเอ่ยถึงพ่อเขา ทำให้พานิลกวาดตาไปยังเรือนใหญ่ซึ่งมีห้องหนังสือที่ว่านั้นอยู่
เมื่อได้รับเบาะแสเช่นนั้น พานิลลากวานุกรให้ขึ้นไปยังจุดหมายด้วยกัน เพื่อให้เจ้าเด็กปีสามคัดเลือกหนังสืออะไรก็ตามที่มันน่าสนใจ เขาจะได้อ่านเพื่อเก็บข้อมูล
และลูกพี่ลูกน้องคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง หยิบจับอย่างชำนาญจนเชื่อได้ว่ามาที่นี่บ่อยจริงๆ

“นี่ไงครับหม่อมเจ้านิลพันธุ์ คุณปู่ทวด...เอ๊ะ! ต้องเรียกคุณปู่ทวดใหญ่รึเปล่านะ”

วานุกรหยิบอัลบัมภาพมาชี้ตัวต้นตระกูลคนสำคัญ จากนั้นพูดไปเรื่อยเปื่อยจนพานิลขี้เกียจฟัง เพราะเขาสะดุดตากับข้อความกำกับใต้ภาพมากกว่า ทั้งหมดนี้หากรวบรวมดีๆ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขความลับของการฟื้นคืนชีพก็ได้

‘1932 พี่น้องทั้งหลายไปเรียนยังต่างประเทศ และเกิดการเปลี่ยนแปลงพอดี’

‘ท่านพี่นิลพันธุ์ส่งรูปมาจากอเมริกา’

‘ท่านพี่ที่โรงงานไฟฟ้า’

‘1941 ท่านพี่กลับไทยครั้งแรก ที่วังศรีไพร’

‘ท่านพี่นิลพันธุ์กับพระยาสุริยเกียติหัตถี’

“รูปพวกนี้ทวดของเราเป็นคนเขียนเหรอ” พานิลถาม ทำให้วานุกรต้องยื่นหน้ามาดู

“อ้อ...ใช่ครับ รู้สึกว่าช่วง สุดท้ายของชีวิตท่านจะรู้สึกผิดที่เมินพี่ชายน่ะครับ ก็เลยรวบรวมสิ่งของที่เกี่ยวกับหม่อมเจ้านิลพันธุ์เอาไว้ให้ลูกหลานระลึกถึง แต่มันก็ไม่ได้มากมายอะไร”

“พระยาสุริยเกียติหัตถี ใช่เศียร สุริยศรที่เป็นต้นตระกูลของแฟนฉันมั้ย” พานิลถามต่อ

“ใช่เลยครับ เคยได้ยินว่าท่านเป็นเพื่อนรักของหม่อมเจ้านิลพันธุ์ ตอนตายก็มีคุณเศียรนี่แหละครับอยู่ข้างๆ”

“มิน่าล่ะ...บันทึกถึงได้ไปอยู่กับสุริศร หม่อมเจ้านิลพันธุ์ต้องมีความลับอะไรแน่ ๆ”

“พี่รู้เกี่ยวกับบันทึกด้วยเหรอครับ!” วานุกรถลึงตายื่นหน้าเข้ามาถาม

“ตกใจหมดเจ้านุ!”

“ก็ผมตื่นเต้นนี่ครับ! มีคนสนใจบันทึกปริศนาเหมือนผมด้วย พวกคุณแม่ชอบเมาท์กันว่ามันคือบันทึกของวิธีข้ามเวลา ซึ่งมันก็พอดีเป๊ะ! กับการที่หม่อมเจ้านิลพันธุ์ชอบเรื่องวิทยาศาสตร์ซะด้วย

แต่ยุคนั้นพูดอะไรแบบนี้ออกไปมันดูน่าเหลือเชื่อ ท่านก็เลยถูกเรียกว่าท่านชายสติเฟื่องนะครับ ผมสงสารท่านนะ ลูกหลานอย่างเราควรหาบันทึกนั่นให้เจอ และนำกลับมาเป็นสมบัติของมาลากาฬ”

“ขอบใจมากนะเจ้านุ พี่ได้เรื่องน่าสนใจเยอะเลย” พานิลพอจะปะติดประต่อเรื่องราวได้ขึ้นมาพอสมควรแล้ว
ยิ่งทำให้เขามั่นใจไปได้อีกขั้น ว่าเรื่องเพ้อเจ้อที่กำลังหาเบาะแสสามารถทำให้เป็นจริงได้ แต่ตอนนี้เขาต้องหาบันทึกนั่นให้เจอ ในนั้นมันต้องมีวิธีการอยู่แน่ ๆ

“....”

วานุกรพยักหน้าด้วยความงุนงงเล็กน้อย เมื่อคำพูดของญาติผู้พี่เหมือนกำลังเก็บข้อมูลไปทำวิจัยอะไรสักอย่าง แต่เขาก็ไม่กล้าถามนักรายละเอียดนัก กลัวว่าจะละลาบละล้วงจนเกินไป

แต่ความตั้งใจที่จะศึกษารายละเอียดพวกนี้ มันสะท้อนออกมาจากแววตาของชายผู้ไม่คลุกคลีกับเรื่อง

ประวัติศาสตร์ ญาติผู้น้องไม่รู้ว่าพานิลกำลังทำอะไรอยู่ แต่อยากบอกเรื่องราวที่ตนได้ยินมาอีกหนึ่งอย่างให้เขาได้รับรู้

“เอ่อ...พี่พัดครับ”

“ว่า?”

“มันมีอยู่คนหนึ่งที่เคยได้อ่านบันทึกเล่มนั้น และเป็นคนเดียวในตระกูลที่ทำอาชีพเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฟั่นเฟือนเหมือนหม่อมเจ้านิลพันธุ์”

“ใคร...” พานิลจดจ้องไปยังวานุกรด้วยความใคร่รู้

“คุณปู่เล็กอัศวินครับ”

“อะไรนะ!? คุณปู่เล็กน่ะเหรอ ท่านหายสาบสูญไปเกือบยี่สิบปีแล้วนี่”

“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าท่านตายนี่ครับ”

เมื่อเริ่มเข้าใกล้เบาะแสมากเท่าไหร่ ตัวละครลับก็ทยอยออกมากันเรื่อยๆ จนพานิลไม่อาจจับต้นชนปลายได้ถูก
เมื่อรู้เกี่ยวกับหม่อมเจ้านิลพันธุ์ตามดั่งใจหวัง เขายังต้องตามหาคุณปู่เล็กอัศวินอีกเหรอเนี่ย แล้วคนที่หายไปนานกว่ายี่สิบปีจะมีปัญญาที่ไหนไปสืบเสาะกันล่ะ