เมื่อแฟนสาวถูกฆาตกรรมทำให้ 'พานิล' จมดิ่งสู่ห้วงความเศร้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอกลับบอกว่า 'การคืนชีพมีอยู่จริง' ให้เขาตามหาบันทึกปริศนานั้นให้เจอ
ไซไฟ,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,รัก,ระทึกขวัญ,ลึบลับ,ดราม่า,ข้ามภพ,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
กินรีแกว่งเรียวขาเล็กสลับกันไปมายามที่ได้กลืนกินไอศกรีมรสโปรด ในขณะที่ตนนั่งชาร์จแบตให้แผงวงจรตัวเองโดยมีบอดี้การ์ดหน้าเหี้ยมยืนประกบอยู่ข้างๆ
แต่ถึงอย่างนั้นนิลพันธุ์ก็ไม่ได้รำคาญพวกเขาเลย เพราะในสายตามีเพียงกินรีเท่านั้น และมันคือความน่าเศร้าเมื่อคิดไปถึงความจริงอีกด้าน ว่าหากจากกันโดยถาวรเขาจะอยู่อย่างไร เพราะแน่ชัดแล้วว่าเขาตกหลุมรักหญิงสาวในห้วงอนาคตผู้นี้ ซึ่งน่าตลกอย่างยิ่งเมื่อเทียบอายุกันแล้วเขาห่างกับเธอราวหนุ่มยุคหินเห็นจะได้
นิลพันธุ์เดินทางข้ามเวลามาบ่อยเป็นกิจวัตร จนกลายเป็นคนเก็บตัวและลึกลับในช่วงเวลาของตัวเองเพราะเขาสนใจแต่เพียงการรอคอยให้เวลานัดพบวนเวียนมาถึง กินรีจะได้ใช้เครื่องซาว์ดเดอรี่เรียกตัวไป
ที่ทำอยู่นี้ หากเทียบจากเวลาแล้วก็ประมาณหนึ่งถึงสองเดือนเห็นจะได้ ทั้งคู่ตกลงเซตเวลาให้ตรงกันเพื่อความสะดวก
ในตอนแรกเขาคิดว่าเครื่องข้ามเวลาโกโรโกโสที่สร้างขึ้นตามความเข้าใจของตัวเอง มันใช้ได้จริง แต่เมื่อพิจารณาแล้วเป็นกินรีมากกว่าที่เรียกเขาไป ไอ้เครื่องบ้านั้นอาจจะมีอะไรบางอย่างที่จูนติด แต่ไม่มีความสามารถส่งเขามาเป็นร้อยปีขนาดนี้แน่นอน
ยิ่งรู้ว่าเธอคือลูกสาวของประธานบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นคนสร้างเจ้าเครื่องที่ชอบพกติดตัวเป็นประจำ ก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่กินรีครอบครองอยู่นั้นเป็นต้นเหตุเรื่องนี้จริงๆ
และโฆษณาที่ดังกึกก้องทั่วย่านวัยรุ่น ก็ยิ่งย้ำเตือนความสามารถของเจ้าเครื่องซาวด์เดอรี่ที่กินรีถือครองอยู่
‘บริษัทฮาร์ทคู ผู้สร้างแอปพิเคชั่นหาคู่ชื่อดังอย่าง ‘เอโร่’ ได้จัดจำหน่ายเครื่องเสียงที่ระลึก อย่างซาวด์เดอรี่ขึ้นมา ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาให้ผู้คนเป็นอย่างมาก คุณสมบัติของมันสามารถเรียกขานเพศที่ตนชื่นชอบ ให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างเพื่อโลดแล่นเป็นคู่ครองหรือแฟนแก้เหงา
โดยการทำงานของมันจะแสดงผลในรูปแบบโฮโลแกรม แต่สัมผัสได้เสมือนคนจริงและมีเสปคแตกต่างกันไปประจำเครื่องนั้นๆ โดยหลักคิดนี้เขาได้แรงบันดาลใจจากทามาก็อตเครื่องเลี้ยงสัตว์ดิจิตอลที่เคยโลดแล่นเมื่อสองร้อยปีก่อน
โดยประธานบริษัทอย่าง ‘จิราเมธ สุริยศร’ กล่าวสุนทรพจน์ว่า จะไม่หยุดพัฒนาอย่างแน่นอนจะให้สัมผัสของมนุษย์โฮโลแกรมนั้นใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด
แต่มันสั่นสะเทือนสังคมจนทำให้เสียงแตกเป็นสองฝั่ง บ้างก็ว่ามันทำให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น เพราะพิจารณาจากความสามารถของมันแล้วคงใช้ทรัพยากรเทคโนโลยีไม่น้อย’
นิลพันธุ์ลดสายตาลงมามองหญิงสาวที่แปลเปลี่ยนสีหน้าเป็นสลดใจ เมื่อข่าวเรื่องสินค้าของบริษัทพ่อเธอถูกโจมตีไปพร้อมกับสังคมที่ตื่นเต้นฮือฮา
“มันใช่เครื่องที่คุณถืออยู่ไหม”
“อื้อ...แต่ของฉันเป็นรุ่นทดลอง ได้มาก่อนวางขายจริง คุณพ่อบอกว่าของฉันเหนือกว่าของที่วางขาย แต่ท่านไม่ได้บอกว่าคุณสมบัติที่ว่ามันคืออะไร”
“เพราะมันเหนือกว่าชิ้นอื่น ผลของมันก็เลยไม่ใช่....เอ่อ...โฮ...”
“โฮโลแกรม” กินรีตอบแทนเขาที่ตะกุกตะกักเพราะไม่รู้จักคำนี้
“อะไรทำนองนั้น” นิลพันธุ์เกาหัวแก้เขิน เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนุ่มโบราณจริงๆ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าโฮโลแกรมคืออะไร ถึงแม้ในช่วงเวลาที่อยู่จะชอบเรื่องราววิทยาศาสตร์มากก็ตาม “มันแสดงผลเป็นคนจริงอย่างผมใช่ไหมล่ะ”
“....” เธอพยักหน้า
และเป็นจังหวะเดียวกับที่แบตขึ้นสถานะเต็มเรียบร้อยแต่ แต่เรื่องการช็อปปิ้งในวันนี้คงเป็นไปไม่ได้ เพราะนิลพันธุ์อยู่ได้ไม่เกินสามชั่วโมงเนื่องจากเวลาที่เหลื่อมกันของอดีตและปัจจุบัน ครั้งแรกเมื่อเขากลับไปที่วังศรีไพรก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ จนครอบครัวของมาสอดส่องว่าเขาหายตัวไปไหน จึงต้องเซตเวลาเพื่อพบเจอกันอย่างที่เห็น
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก...ตื้ด...
และตอนนั้นเองที่เสียงเจ้าประจำได้ดังขึ้นเตือนพานิล ผู้ซึ่งเป็นวิญญาณตามติดต้นตระกูลตัวเองมาท่องเวลาในความฝัน
“แม่xเอ้ย…เหมือนดูซีรี่ส์ที่ชอบกักเนื้อหาเลยว่ะ” เขาบ่นสบถเมื่อรู้ตัวว่าคงมีใครสักคนกำลังปลุกตัวเองอยู่ เสียงเตือนนี้มันถึงได้ดังขึ้นมา
“โห เหี้ยอะไรวะเนี่ย”
เป็นธารัฐนั่นเองที่อุทานดังสนั่น จนทำให้คนที่ฟุบหลับกับโต๊ะในห้องนั่งเล่นสะดุ้งตื่นขึ้นมา
พานิลไล่ความอิดโรยหลังจากเผลองีบโดยการส่ายหัว และหลับตาทบทวนว่าตนจำอะไรในฝันได้บ้าง ซึ่งมันก็ไม่แย่เท่าที่คิด เมื่อสาระสำคัญยังอยู่ครบอีกทั้งยังมีปริศนาใหม่เพิ่มขึ้นมา แม่สาวในฝันนามว่ากินรีมีพ่อชื่อจิรเมธ สุริยศร ซึ่งน่าตกใจอย่างมากที่นามสกุลนั้นมันเป็นของกิลลรี
หรือนั่นคือเชื้อสายของสุริยศรในอนาคตกันแน่นะ แต่คงไม่ได้มาจากกิลลรีแน่นอนเพราะเธอได้ตายไปแล้ว อาจจะเป็นเชื้อสายของน้องสาวที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วมาลากาฬล่ะยังอยู่ถึงตอนนั้นไหมหรือล้มหายตายจากตามกาลเวลา เพราะในฝันของเขาไม่มีชื่อของตระกูลตัวเองขึ้นมาเลย
พานิลคิดว่าทั้งหมดนี้ต้องไม่ใช่ความฝันธรรมดา มันคือโชคชะตาที่พาเขาไปยังต้นตอของปัญหาที่พัวพันอยู่แน่นอน
ธารัฐมาเยี่ยมพานิลที่คอนโดตามคำเชื้อเชิญ และเมื่อย่างเข้ามาก็เห็นข้าวของเป็นกองหนังสือใหญ่กระจัดกระจายเต็มไปหมด จึงได้หลุดอุทานออกมาอย่างเสียงดัง
“มาแล้วเหรอไอ้ธัญ หิวมั้ยหาอะไรกินในตู้เย็นก่อนสิ”
“แล้วกลับมาอยู่คอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่ พ่อแม่มึงยอมแล้วเหรอ” ธารัฐเข้ามานั่งใกล้ๆ พร้อมส่องเอกสารตรงหน้าไปด้วย และพยายามอ่านว่ามันเกี่ยวกับอะไร แต่ก็ต้องเมินสายตาออกเมื่อมันเป็นเพียงภาพถ่ายเก่าๆ
“อืม” พานิลตอบสั้นราวกับไม่อยากสนทนา
สิ่งนั้นทำให้ธารัฐคิดว่าเพื่อนคนนี้อาจจะยังไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากเหตุการณ์รุนแรงนั้นได้
“ไอ้พัด กูว่ามึงกลับไปอยู่กับพ่อแม่ก่อนเถอะ อยู่คนเดียวมันฟุ้งซ่านได้ง่ายนะโว้ย เกิดอุตริดิ่งพสุธาตอนดึกๆ จะทำยังไง” นายแพทย์หนุ่มพูดขณะที่เดินไปหยิบเบียร์มาดื่ม
“ไอ้ธัญมึงเชื่อเรื่องการฟื้นคืนชีพมั้ย”
พรวดดดด!
“มึงบ้าเปล่าเนี่ย มาถามเรื่องนี้กับหมอ” ธารัฐโวยวายหลังสำลักเบียร์
“กูแค่อยากรู้ความคิดมึง”
“ตายก็ตายสิวะ มันจะฟื้นขึ้นมาได้ยังไง”
“....”
พานิลเหลือบตามองธารัฐสักครู่ก่อนจะก้มลงไปจดจ้องกับหนังสือในมือต่อ ทำให้หมอหนุ่มเริ่มใจคอไม่ดี กลัวว่าเรื่องที่พูดออกมามันจะไปเกี่ยวกับของกับการตายของกิลลรี
“มึงคงไม่ได้คิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่ใช่มั้ย”
“ถามใหม่ก็ได้” พานิลเงียบไปสักพักเพื่อหาคำอธิบายใหม่ “เชื่อในเทคโนโลยีและจิตวิญญาณมั้ย ว่าสองอย่างนี้จะประสานเข้าด้วยกัน”
“....” ธารัฐอ้าปากค้าง และดีเหลือเกินที่ตอนนี้เบียร์ไม่ได้คาอยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงน่าเสียดายแย่ถ้ามันต้องไหลออกมาโดยที่ไม่ได้กลืน “โกสต์ อิน เดอะเชลล์ภาคใหม่เหรอวะ”
หมอหนุ่มตอบอย่างขำขันก่อนจะโบกมือตาม ราวกับว่ามันคือเรื่องไร้สาระ แต่ทว่าใบหน้านิ่งที่สบตาเขาไม่ไหวติงทำให้ธารัฐต้องกลืนน้ำลายแทนเบียร์ในมือ
พานิลจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนรักคนนี้ฟัง และอาการตะลึงตาค้างของหมอหนุ่มปรากฏชัดและไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเป็นใบหน้าปกติได้
“เรื่องทั้งหมดมันก็ประมาณนี้แหละ ฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะเชื่อหรือไม่ แต่ถ้าฉันหาบันทึกเล่มนั้นเจอ บางทีคนเป็นหมออย่างอาจจะช่วยฉันได้”
ธารัฐเกาหน้าผากอย่างจนปัญญา จะว่าเจ้าเพื่อนคนนี้มันกระทบกระเทือนทางสมองก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะในเรื่องเล่าเหมือนจะมีผู้ใหญ่หลายคนเห็นพ้องต้องกัน ทำให้เขาต้องตามน้ำไปก่อนจนกว่าอาการฟุ้งซ่านของพานิลจะหายดี
“แล้วไงต่อวะพัด ต้องตามหาคนที่หายไปเกือบยี่สิบ จะไปถามจากใครที่ไหนล่ะ”
“ฉันถึงได้มานั่งรื้อเบาะแสอยู่นี่ไง”
เมื่อพานิลตอบเช่นนั้นธารัฐจึงไปนั่งใกล้ๆ กับเศษกระดาษที่ในตอนแรกตนไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
“มันก็แค่รูปถ่ายกับแผ่นเสียงเก่าๆ นี่หว่า”
“ใช่ แต่รูปถ่ายนี่แหละที่ช่วยฉันไว้ได้เยอะ กองโน้นเป็นของหม่อมเจ้านิลพันธุ์ส่วนกองที่รื้ออยู่เป็นของปู่เล็กอัศวิน”
“อืม...แล้วมันเป็นเบาะแสยังไงวะ”
“เป็นหมอแท้ๆ ไม่คิดจะชอบเรื่องราวสืบสวนหน่อยเหรอ”
“กูศัลยแพทย์นะโว้ยไม่ใช่นิติเวช อีกอย่างกูไม่สนใจหรอก ที่เรียนมาก็หนักหัวมากพออยู่แล้ว”
“โอเคๆ ฉันขอโทษแล้วกัน ที่ฉันหาจากรูปเนี่ย เพราะจะได้รู้กิจวัตรประจำวัน ว่าเขาชอบอะไร ไปที่ไหน ซึ่งคุณปู่อัศวินมีลักษณะเด่นที่ชัดเจนมาก ว่าท่านชอบดนตรี”
“อืม...ก็จริง เหมือนมึงเมื่อก่อนเลย ก็เคยชอบอะไรพวกนี้นี่”
ธารัฐพูดอย่างไม่ใส่ใจขณะหยิบแผ่นเสียงเก่าครึ ขึ้นมาดูวงร็อกต่างๆ ที่เพื่อนสนิทขนมาไว้ที่คอนโด ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นก็ได้มีแผ่นกระดาษสีเหลืองกรอบหล่นลงมาทำให้ทั้งคู่ชะงัก และพานิลได้กระโดดข้ามกองข้าวของมากมาย มานั่งอ่านข้อความในกระดาษในอยู่ข้างๆ ธารัฐ
‘มาลากาฬช่างโง่สิ้นดี ที่ปล่อยบันทึกล้ำค่าเหล่านั้นไปอยู่ในมือสุริยศร ไม่สิพ่อต่างหากที่โง่ คุณลุงนิลพันธุ์ช่างเป็นบุคคลที่ความคิดล้ำยุค ผมคิดไม่ถึงเลยกับวิวัฒนาการของหุ่นยนต์จะสามารถประสานเข้ากับร่างกายของคนได้อย่างแนบเนียนขนาดนั้น แต่มันมีไว้ทำอะไรล่ะ คุณลุงนิลพันธุ์ไม่ได้มีอะไรให้ต้องพึ่งพิงวิวัฒนาการเหล่านี้ ทายาทสักคนท่านก็ไม่มี และคุณลุงไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน ผมเคยคิดว่าตัวเองผ่าเหล่าที่ไม่มีความสนใจด้านธุรกิจการเงินเหมือนพี่น้อง แต่วันนี้รู้แล้วว่าความเป็นนักประดิษฐ์และสนใจใคร่รู้ในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันอยู่ในสายเลือดมาลากาฬมาตลอด ผมมั่นใจว่าเป็นคนเดียวที่ได้อ่านบันทึกนั่นเยอะกว่าทุกคน แต่ผมไม่อาจจำข้อมูลมากมายนั้นได้ คุณเศียรโกรธมากที่เหนืออำไพแอบเอาบันทึกจากวังศรีไพรมาให้ผมอ่าน เขาขับรถมาโวยวายที่บ้านมาลากาฬและบอกกับผมว่า เมื่อถึงเวลาฉันจะคืนให้ และนั้นคือครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกัน ผมคิดว่าบันทึกคงมีอยู่หลายเล่ม และคุณลุงนิลพันธุ์ต้องฝากอะไรไว้กับคุณเศียรอย่างแน่นอน’
“โอ้โห เรื่องที่มึงพูดมันเป็นเรื่องจริงเหรอวะ” ธารัฐหันไปมองหน้าเพื่อนรัก
“มึงมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อนะเพื่อน”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่มันมีบันทึกจากคนเก่าคนแก่ขนาดนี้ต่อให้ไม่เชื่อยังไง แต่ความเป็นนักสงสัยมันก็ได้ประทับร่างของธารัฐเข้าเสียแล้ว ถึงกับถอดแผ่นเสียงอันอื่นๆ ออกจากปกและคว่ำมันลงมาเผื่อจะมีอะไรหล่นลงมาอีก และความตั้งใจนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
“เห้ย ซองนี้มีเป็นปึกเลยว่ะ กูถึงว่าล่ะทำไมมันนูนๆ”
พานิลคลี่ดูแผ่นกระดาษที่คาดว่าจะถูกฉีกออกมาจากไดอารี่ ในนั้นมีภาพวาดแผงวงจรอะไรสักที่เขาไม่เข้าใจ และสิ่งที่สะดุดตาคือเครื่องเล่นที่แสนคุ้นตาซึ่งขัดกับข้อความด้านล่างเป็นอย่างมาก
‘ผมจำในบันทึกของคุณลุงนิลพันธุ์ไม่ได้ว่าเจ้าเครื่องนี้มันชื่ออะไร xx-xx-1995’
“มึงดูดีไซน์ที่ปู่เล็กกูวาดออกมาสิ คุ้นมะ”
“อืม...คุ้น เหมือนไอพอด”
“แล้วมึงดูปีที่กำกับ”
“....” จากที่ทำหน้าตาเรียบเฉยธารัฐก็เริ่มตระหนักถึงความผิดปกติ เพราะไอพอตถูกสร้างเครื่องแรกๆ ในช่วงต้นยุค 2000 เมื่อได้เห็นดังนั้นจึงประหลาดในขึ้นมาทันที “มึงกำลังจะบอกว่า....ปู่เล็กมึงย้อนอดีตไปอนาคตได้งี้เหรอ”
“ไม่ใช่ หม่อมเจ้านิลพันธุ์ต่างหาก”
“เอ่อ....” ธารัฐค่อยๆ สะบัดหัวเนื่องจากเขาจำสาแหรกของมาลากาฬไม่ค่อยได้ เดี๋ยวปู่เล็กเดี๋ยวทวดใหญ่ สงสัยเขาต้องขอแผนผังครอบครัวของเจ้าเพื่อนหม่อมมาไว้กับตัวบ้างแล้ว เวลาคุยเรื่องนี้ก็เอามากางบนโต๊ะซะเลยจะได้ไม่งง
“ช่างเถอะๆ อ่านต่อดีกว่า”
‘ผมมั่นใจเหลือเกินว่าคุณลุงนิลพันธุ์เป็นนักท่องกาลเวลา และท่านได้ของสิ่งนี้มาจากศตวรรษที่ห่างไกล แต่ผมไม่รู้ว่าหน้าที่ของมันคืออะไร xx-xx-1995’
‘จากที่ผมสันนิษฐาน มันน่าจะเป็นเครื่องบันทึกเสียง เพราะครั้งหนึ่งผมนั่งดีดกีตาร์และเจ้านี่มันสั่น xx-xx-1995’
‘เหมือนผมจะเผลอตั้งรหัสให้มัน เป็นเรื่องที่น่าแปล อะไรทำให้เจ้าของอย่างคุณลุงปล่อยให้มันว่างเปล่า ไม่มีอะไรป้องกันไว้เลย ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าประโยชน์ของมันคืออะไร แต่ของที่มาจากโลกอนาคตยังไงก็อันตราย xx-xx-1995’
“อ้าว หมดแล้วเหรอวะ กำลังเพลินเลย” ธารัฐบ่นเมื่อกระดาษปึกใหญ่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพียงน้อยนิด ที่เหลือเป็นแผงวงจรที่เขาทั้งคู่ไม่อาจจะเข้าใจได้
“เฮ้ยอันนี้มีรูปด้วยว่ะ เป็นรูปเด็กน้อย” ธารัฐเอ่ยเมื่อกระดาษบางส่วนดูแตกต่างออกไป
‘หลานคนแรกของพี่เพชรอาชา ธาราพันธุ์เป็นคนคุยง่ายไม่เหมือนพี่อาชาพ่อของเขา ที่จ้องจะตำหนิความชอบของผมอยู่เรื่อย เจ้าธารายังคิดชื่อลูกไม่ออกผมจึงเสนอชื่อ พานิล แรงบันดาลใจจากชื่อคุณลุงนิลพันธุ์ อะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมคิดชื่อนี้ขึ้นมา รู้เพียงแต่ว่าเจตนารมณ์ก่อนตายของคุณลุงนิลพันธุ์ได้ถูกสานต่อแล้ว xx-xx-1996’
“….” พานิลตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าชื่อตัวเองมาจากไหน เขารู้ว่าถูกตั้งตามธรรมเนียมของตระกูล ที่จะหยิบจากส่วนหนึ่งของบรรพบุรุษมา แต่ไม่น่าเชื่อว่าคนคนนั้นจะเป็นหม่อมเจ้านิลพันธุ์...
“โอ้โห ตระกูลมึงอะไรเยอะแยะวะ เดี๋ยวคืนชีพเดี๋ยวท่องเวลา ตอนนี้มาสืบสานเจตนารมณ์อีก”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ฉันสนใจรหัสมากกว่า...รหัสคืออะไรวะ”
“อาจจะเกี่ยวกับดนตรีก็ได้มั้ง รูปนี้บอกว่านั่งดีดกีตาร์ ต่อมาก็บอกว่าเผลอใส่รหัส” ธารัฐลำดับข้อความใต้ภาพให้พานิลดู ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้ก็เป็นไปได้มากทีเดียว
“แล้วต้องดีดเพลงอะไรอะ”
“กูจะรู้มั้ยพัด นั่งอ่านพร้อมมึงเนี่ย รู้ข้อมูลน้อยกว่ามึงอีก”
“tapping”
จู่ๆ พานิลก็เอ่ยคำภาษาอังกฤษขึ้นมา ซึ่งธารัฐไม่รู้ว่าคำนี้มันเกี่ยวกันอย่างไร
“อะไรของมึงวะพัด”
“Van Halen เป็นวงฮาร์ดร็อคของอเมริกา หนึ่งในสมาชิกเล่นเทคนิคแทพพิงจนโด่งดัง มันอาจจะเป็นเพลงใดเพลงหนึ่งและเล่นด้วยเทคนิคนี้ก็ได้ เพราะแผ่นเสียงของวงแวนเฮนเลนมันเยอะกว่าวงอื่น อนุมานได้ว่าคือวงโปรดของปู่เล็กและคนเราชอบตั้งรหัสจากของใกล้ตัวหรือของที่ชอบ มันก็อาจเป็นไปได้ว่า ตอนเผลอใส่รหัสปู่เล็กเขานั่งฝึกเทคนิคนี้อยู่”
“...” ธารัฐอ้าปากค้างกับการสันนิษฐานอันยืดยาวของพานิล และดูเหมือนว่ามันจะเข้าเค้าเสียด้วย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าไม่รู้เรื่องดนตรีจะแกะปริศนาพวกนี้ออกหรือไม่
“กูว่าหาเครื่องให้เจอก่อนเถอะ”
“นั่นดิ ที่กูเดาก็ใช้ว่าจะถูก แต่ถ้าถูกกูก็ดีดกีตาร์ไม่เป็นอยู่ดี แม่ง! ไม่น่าจำแค่ทฤษฎีเลยว่ะน่าจะฝึกเล่นไว้บ้าง” พานิลเม้มปากคิดหนัก “สงสัยคงต้องหาคนร่วมตี้ใหม่ซะแล้วล่ะมั้ง คนที่พอจะรู้เรื่องลี้ลับเพื่อเผื่อจะได้คำตอบมาอธิบายเรื่องน่าเหลือเชื่อพวกนี้ได้บ้าง แล้วก็...คนที่เล่นดนตรีได้”
“คนแบบนี้ใกล้ๆ ตัวมึงก็มีอยู่นี่หว่า”
“ใคร?”
ธารัฐเปิดหน้าแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ดูค้างไว้ขึ้นมา ก่อนจะยื่นให้พานิลได้ดู
“ตอนนี้มึงรีบคว้าตัวมันมาเลย คอนเสิร์ตก็ไม่มีเพลงมันก็อัดเสร็จหมดแล้ว ตีดูดนอนแดกเหล้าอยู่คอนโด”
“ไอ้กรเนี่ยนะ!”