เมื่อแฟนสาวถูกฆาตกรรมทำให้ 'พานิล' จมดิ่งสู่ห้วงความเศร้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอกลับบอกว่า 'การคืนชีพมีอยู่จริง' ให้เขาตามหาบันทึกปริศนานั้นให้เจอ

Sound แว่วเสียงรัก - Sound : Chapter 8 วิธีทำซอมบี้หุ่นยนต์ โดย Di-N(ดิเอ็น) @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไซไฟ,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,รัก,ระทึกขวัญ,ลึบลับ,ดราม่า,ข้ามภพ,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Sound แว่วเสียงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,รัก,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ลึบลับ,ดราม่า,ข้ามภพ,แฟนตาซี,เกิดใหม่

รายละเอียด

เมื่อแฟนสาวถูกฆาตกรรมทำให้ 'พานิล' จมดิ่งสู่ห้วงความเศร้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอกลับบอกว่า 'การคืนชีพมีอยู่จริง' ให้เขาตามหาบันทึกปริศนานั้นให้เจอ

ผู้แต่ง

Di-N(ดิเอ็น)

เรื่องย่อ

จะเป็นอย่างไรเมื่อการข้ามภพข้ามชาติมาในรูปแบบไซไฟ 'พานิล มาลาฬ' ก็ไม่รู้เช่นกันว่าชีวิตตัวเองกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดการ ซึ่งเริ่มจาก 'กิลลรี สุริยศร' แฟนสาวเสียชีวิต และแม่ของเธอบอกว่า สุริยศรฟื้นคืนชีพคนตายได้ บันทึกลึกลับเก็บอยู่ที่วังเก่า อันเป็นสมบัติของตระกูล พานิลนึกหัวเราะกับคำเพ้อเจ้อเหล่านี้ แต่ความโศกเศร้าทำให้เขาอยากพิสูจน์เรื่องน่าเหลือเชื่อ และนั้นคือจุดเริ่มต้นของความลับระหว่างสองตระกูล ซึ่งมันได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล พานิลจะฟื้นคือชีพของกิลลรีได้ไหม พระเจ้าเองก็ตอบไม่ได้ อยากให้นักอ่านมาลุ้นเอาใจช่วยเขากันค่ะ

สารบัญ

Sound แว่วเสียงรัก-Sound Prologue ,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 1 หัวใจของพานิล,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 2 สาเหตุการตาย,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 3 ภาพฝันอันงุนงง,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 4 การคืนชีพมีอยู่จริง,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 5 ท่านชายสติเฟื่อง,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 6 เบาะแสเริ่มชัดเจน,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 7 จิราเมธผู้แตกสลาย ,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 8 วิธีทำซอมบี้หุ่นยนต์,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 9 อัศวินสมชื่อ,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 10 กลับมา,Sound แว่วเสียงรัก-Sound : Chapter 11 (END) รักนิรันดร์,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 1,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 2,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 3,Sound แว่วเสียงรัก-Sound Special Chapter 4

เนื้อหา

Sound : Chapter 8 วิธีทำซอมบี้หุ่นยนต์

ในงานสโมสรที่คนมีระดับได้ตบเท้าเข้าร่วมมีเรื่องซุบซิบให้ไม่ขาดปาก เมื่อพลเอกเลิศฤทธิ์ ผดุงเดช และจิราเมธ สุริยะศรได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน

มันจะเป็นเพียงเหตุการณ์ธรรมดา หากสองคนนี้ไม่ได้ถกเถียงเรื่องราวของเครื่องซาวด์เดอรี่มาก่อน ความกังวลของพระอาจารย์สันตะวิญญูตอนนี้ได้ปรากฏชัดให้จิราเมธระส่ำระสายอยู่ทุกคืนจนนอนไม่หลับ

สุริยศรเป็นนายทุนของรัฐบาลมาโดยตลอด แต่กลาโหมในสมัยนี้ที่มีพลเอกเลิศฤทธิ์กุมบังเหียนอยู่ กลับทำตัวเป็นขั้วตรงข้ามและหาเรื่องปล่อยหมัดเพื่อสั่นคลอน

เสถียรภาพของรัฐบาลเป็นระยะ และเครื่องซาวด์เดอรี่คือหนึ่งในเครื่องมือของยุทธการนี้

เขาใช้สื่อที่อยู่ข้างกลาโหมให้ข่าวดิสเครดิตเครื่องใช้ตัวนี้อยู่ทุกวัน จนปัจจุบันข่าวเท็จได้มีแรงสั่นสะเทือนไปยังสังคมเป็นวงกว้าง ส่งผลให้บริษัทฮาร์คูหุ้นตกอย่างรวดเร็ว

ทำให้งานสโมสรในวันนี้ มีแต่ความระทึกใจว่าทั้งคู่จะฟาดฟันด้วยคำพูดเหมือนในสื่อหรือไม่ หรือเลือกที่จะใส่หน้ากากเข้าหากัน

และไม่ปล่อยให้ผู้ชมคอยนานเมื่อจิราเมธเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายชายรุ่นพ่อก่อนเป็นคนแรก

“สิ่งที่ท่านทำอยู่ไม่เป็นผลดีอะไรกับบ้านเมืองเลยนะครับ”

“หึ...น้อย ๆ หน่อยไอ้หนูคำทักทายกับคนที่แก่กว่า มันไม่น่าประทับใจเลยนะ”

“สำหรับเราสองคนคงไม่ต้องอ้อมค้อมแล้วมั้งครับท่าน”

“แล้วคนแก่อย่างผม ไปทำอะไรให้คุณอยู่ไม่สุขกันล่ะ คุณจิราเมธ”

“ท่านโจมตีผลิตภัณฑ์ของผมด้วยข้อมูลที่มันเกินจริง ทำให้สังคมแตกเป็นสองฝั่ง”

“หึ! เกินจริง? พวกนักวิทยาศาสตร์อย่างพวกคุณต่างหากที่คิดอะไรเกินจริง นำเรื่องที่ไม่สมควรเข้าสู่สังคม”

“เรื่องไม่ควร?”

“ทั้งหมดที่พวกคุณสร้างนั่นแหละ หุ่นยนต์โสโครกที่สร้างมลภาวะมากมาย ทำให้สุขภาพมนุษย์อ่อนแอ คุณคิดเอาไว้แล้วล่ะสิ ถ้าคนตายไวหุ่นยนต์ในบริษัทคุณหรือเพื่อน ๆ ของคุณมันจะขายดี พวกคุณเล่นกับศรัทธาของชีวิต เปลี่ยนธรรมชาติให้บิดเบี้ยว คุณมันก็แค่พ่อค้าหน้าเลือด สักวันกฎแห่งกรรมจะลงโทษคุณจิราเมธ”

“และผมไม่เคยคิดแบบนั้นนะครับ พวกเราทุกคนคิดถึงผลประโยชน์ประเทศ และเชื่อว่าเทคโนโลยีจะสามารถนำเม็ดเงินเข้าประเทศได้มากที่สุด ซึ่งพวกผมพิสูจน์แล้วว่ามันจริง แต่กฎแห่งกรรมของท่านมันนามธรรมซะจนจับต้องไม่ได้”

พลเอกเลิศฤทธิ์ถึงกับควันออกหู เมื่อคนเด็กกว่าก้าวร้าวจนไม่เกรงใจหงอกบนหัว แต่เขาต้องระงับความเดือดดาลนั่นเอาไว้ ไม่ให้พฤติกรรมข่มขู่มันแสดงออกมา

“แต่ควรคิดถึงผลเสียด้วย พวกคุณควรทำให้โลกกลับไปอย่างที่มันควรเป็น โลกที่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นซึ่งเป็นสัตว์ที่สัตว์ประเสริฐที่สุด”

“ท่านรู้รึเปล่าว่าความคิดแบ่งแยกชนชั้นแบบนี้มันอันตราย พวกท่านวิจารณ์นักประดิษฐ์อย่างพวกเราได้เป็นฉาก ๆ แต่กลับไม่มีความเห็นเรื่องนิวเคลียร์ที่
กลาโหมสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเลยนะครับ นั่นน่ะ มันร้ายแรงกว่าที่พ่อค้าอย่างผมทำตั้งเยอะ แล้วท่านก็ทำตัวเป็นอีแอบไม่เปิดเผยข้อมูลซะด้วย...พอนักข่าวที่ไม่ใช่พวกของตัวเองเตรียมขุดคุ้ย ท่านก็ใช้อำนาจปิดปาก สิ่งที่ผมเหนือกว่าท่านคือการที่พ่อค้าอย่างผมไม่คิดจะไปลิดรอนเสรีภาพคนอื่นนี่ล่ะครับ”

“หุบปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแกซะ” พลเอกเลิศฤทธิ์เดินเข้าไปประชิดตัวและชี้นิ้วสั่งอย่างมีอำนาจ เพื่อเป็นการข่มขวัญจิราเมธ

“หวังว่านิวเคลียร์ขอท่านอนุภาคมันจะเหนือกว่าประทัดกระเทียมนะครับ”

แต่สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้พ่อค้าเทคโนโลยีหวั่นเกรงเลย เขาเสียดสีไปยังคุณภาพสินค้าของชายแก่ที่คิดค้นโดยทีมงานหัวโบราณไม่ยอมให้นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้าช่วย และกำลังจัดสร้างนิวเคลียร์ให้เป็นสินค้าใหม่ของประเทศเพื่อสู้กับกลุ่มนายทุนเทคโนโลยีทั้งหลาย เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงประเทศและขจัดมนุษย์หุ่นยนต์ที่เขาแสนรังเกียจ

"สักวันฉันจะทำให้แกดู ว่านิวเคลียร์กับประทัดมันต่างกันยังไง"

แต่พลเอกเลิศฤทธิ์ก็เขี้ยวลากดินนัก สมกับประสบการณ์ที่นั่งเป็นนายทหารมาค่อนชีวิตตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว จนจิราเมธนึกหวั่นอยู่ในใจแต่ก็ต้องเป็นแข็งกร้าวจ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว

พานิลมองวิวาทะของสองคนนั้นและเริ่มจับต้นชนปลายเพื่อให้มันมาบรรจบกัน เขาเดาว่านี่อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เครื่องซาวด์เดอรี่ตกมาอยู่ในมือของหม่อมเจ้านิลพันธุ์ก็เป็นได้ และความสงสัยก็ไม่ค้างคาอยู่ในใจนานนัก เมื่อทุกอย่างได้แปลเปลี่ยนไป

ภาพของพลเอกเลิศฤทธิ์ที่กำลังเดินหนีชะงักค้างราวกับกาลเวลาที่หยุดนิ่ง แสงสว่างในงานสังสรรค์ค่อย ๆ ดับลงเหมือนหลอดไฟตะเกียงที่น้ำมันใกล้หมดไปทุกขณะ

และทุกอย่างก็มืดมิดโดยสมบูรณ์ พานิลมองไม่เห็นอะไรเลยรู้เพียงแต่ว่าร่างของตนนั้นค่อย ๆ ล่องลอยอย่างไม่รู้สาเหตุและหมุนวนประหนึ่งอยู่ในขวดแก้วที่กำลังกลิ้งอยู่บนพื้น

จากนั้นก็ปรากฏแสงสว่างขึ้น มันระยิบระยับเหมือนดาวกลุ่มน้อยกำลังแข่งกันฉายตัวตน พานิลกวาดสายตาไปมองโดยรอบและเริ่มมั่นใจว่าตัวเขานั้นล่องลอยอยู่ในกาแล็กซีอันกว้างใหญ่

“พ่อของฉันทำเรื่องที่ไม่สมควร”
เสียงใสที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้น ทำให้พานิลต้องหันหลังมองโดยทันที และพบว่าครั้งนี้ตนไม่ได้อยู่ในสถานะวิญญาณตามติดอีกแล้ว

“กิลลี่” เขาเผลอพูดชื่อของแฟนสาวออกไป โดยลืมไปว่าเธอตรงหน้ามีร่างกายเป็นหุ่นยนต์ และเขาควรจะเรียนเธอว่ากินรีถึงจะถูก “เอ่อ...ไม่ใช่สิ คุณกินรี”

“คุณจะเรียนฉันแบบนั้นก็ได้ นิลพันธุ์”

“....” เธอเรียกขานเช่นนั้นทำให้พานิลอึ้งไปเล็กน้อย “ผมชื่อพานิล”

ชายหนุ่มปฏิเสธ และหวนคิดถึงคำสันนิษฐานของทินกร ที่บอกว่าเขาคือหม่อมเจ้านิลพันธุ์กลับชาติมาเกิด

“ไม่ว่าจะเรียกชื่อไหนก็คือคุณทั้งนั้น” เธอยิ้มกว้าง “เศษเสี้ยวของฉันล่องลอยอยู่ในจักรวาลเหนือกาลเวลา ฉันเห็นคุณในทุกมิติไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะอะไร เคยเป็นอะไรมาก่อน”

“เรื่องของเรามันซับซ้อนจนบางครั้งผมเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ผมรู้อย่างเดียวว่าต้องคืนชีพให้กิลลี่ให้ได้ ความรู้สึกของผมมันบอกว่าเธอยังไม่สมควรตาย...ผมอาจจะยึดติดเหมือนพ่อคุณก็ได้ และอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมา”

“เรียนรู้มันสิคะ คุณเห็นต้นตอทุกอย่างแล้วนี่ ในโลกที่ฉันอยู่ แม้มันจะเจริญรุ่งเรืองยังไงแต่มันก็ล่มสลายไปแล้วด้วยนิวเคลียร์ที่พลเอกเลิศฤทธิ์ใช้มันทำลายประเทศ หวังว่าคุณคงยังจำเหตุการณ์ในฝันแรกได้นะคะ”

“ผมจำได้ ผมพยายามช่วยคุณ แล้วเสียงเตือนมันจะปลุกผมขึ้นที่โรงพยาบาล แต่ว่า...ทำกันขนาดนั้นเลยเหรอ แค่ความเห็นไม่ตรงกันเองนะ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ เมื่อมนุษย์ได้เข้าถึงอำนาจอะไรก็เป็นไปได้ แต่พ่อของฉันก็มีส่วนผิด เขาก้าวล่วงกฎของจักรวาล ด้วยการผสานเทคโนโลยีและเวทมนตร์เข้าด้วยกัน และใช้ร่างไซบอร์กของฉันเป็นที่ทดลอง ฉันแทบจะเหมือนมนุษย์ร้อยเปอร์เซ็นต์กินข้าวได้ตั้งครรภ์ได้ พ่อของฉันเขาเก่งจริง ๆ แต่มันก็กลายเป็นคำสาปให้ฉันต้องอยู่โดดเดี่ยว เป็นกินรีที่ตายตอนแปดขวบและโตมาเป็นคนไร้เพื่อนไร้คนรัก เป็นกิลลรีที่ถูกฆ่าทั้งที่กำลังจะหมั้น และไม่ว่าฉันจะชื่ออะไรฉันก็ยังคงมีร่างกายเป็นไซบอร์กเสมอ แต่พระเจ้าก็ยังเห็นใจฉันและหยิบยื่นโอกาสครั้งสุดท้ายมาให้”

หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาอย่างขมขื่น สิ่งนั้นเกือบทำให้พานิลใจสลาย เขาจึงยื่นมือเขาไปโอบแก้มนวลเอาไว้ทั้งสองข้าง และใช้นิ้วโป้งใหญ่จัดการเกลี่ยความเสียใจนั้นออกไปให้พ้นทาง แม้มันจะยังไหลออกมาไม่ขาดราวกับต่อมน้ำตากำลังถูกเข็มทิ่มแทงให้แตกพลั่ก จนไม่อาจหาอะไรมาซ่อมแซมได้ทัน

“ผมจะช่วยคุณให้ได้ ไม่ว่าใครจะบอกผมเป็นได้บ้าก็ตาม ผมจะสร้างโลกใบใหม่เพื่อคุณ” เมื่อเขาคิดที่จะแนบริมฝีปากเข้าจูบเธอ ร่างของกินรีก็ค่อย ๆ โปร่งใสกลืนไปกับกาแล็กซีในหมู่ดาวและจางหายไปราวกับหมู่จักรวาลให้เวลาเธอเพียงเท่านี้ พร้อมกับคำพูดทิ้งท้ายที่แสนคุ้นเคย

“ฉันจะรอ”

………..

เฮือก!!


“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ รอบนี้มึงหลับไปนานเลยนะ” คำทักทายแรกเป็นของธารัฐ ที่นั่งจมอยู่กับกองหนังสือจนแว่นที่เขาใส่มันเลื่อนลงมาเล็กน้อยทำให้เหมือนครูแก่ ๆ ที่นั่งตรวจข้อสอบนักเรียนทั้งคืน

“อืม...” พานิลตอบเพียงแค่นั้นและเลื่อนสายตาไปมองยังคนข้าง ๆ ซึ่งเริ่มมีท่าทีสัปหงกจวนจะร่อแร่ “เฮ้ย! อย่าเพิ่งนอนช่วยกูก่อน”

“มึงก็พูดได้ดิ หลับไปงีบหนึ่งแล้วนี่” ถึงแม้ทินกรจะจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติไม่โวยวายเหมือนเคย แต่ก็เริ่มมีทีท่างอแงขึ้นมาบ้างแล้ว

พานิลจำได้ว่าหลังจากบุกวังศรีไพรก็โดนคุณปู่ของกิลลรีเรียกกลับไปด่าเสียยกใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้ชายชราเปลี่ยนท่าที นั่นก็เพราะชายหนุ่มดันไปสงสัยว่าวังศรีไพรมีคนอยู่ ทั้งถุงขนมยี่ห้อสมัยใหม่ที่ทินกรชี้ให้ดู และความมือบอนของมันที่ทำให้รู้ว่าระบบประปายังคงใช้ได้ ทั้งที่ไม่มีคนอาศัยอยู่จนขึ้นชื่อได้ว่าเป็นวังผีสิง

“แกไม่คิดว่าเรื่องพวกนี้มันเพ้อเจ้อใช่ใหม่ เจ้าพัด”

“เรื่องคืนชีพน่ะเหรอ ไม่เลยครับ ถ้ามันทำให้กิลลี่ฟื้นขึ้นมาได้ผมพร้อมจะเชื่อ”

เพียงเท่านั้นชายชราก็หยิบกุญแจพวกใหญ่ให้ และบอกว่ามันสามารถไขห้องในวังศรีไพรได้ทั้งหมด สิ่งที่ชายหนุ่มอยากรู้อยู่ที่นั่น ก่อนจะทิ้งท้ายว่า...

“มันคงถึงเวลาที่สุรยศรต้องคืนให้มาลากาฬ”

ทำให้ทั้งสามต้องวกกลับมาวังศรีไพรอีกครั้ง และครั้งนี้พวกเขาใช้เส้นทางปกติได้อย่างไม่ต้องหลบซ่อน

เนื่องจากได้รับอนุญาตมาแล้ว และพานิลมุ่งเป้าหมายตรงไปยังห้องหนังสือทันที ที่ซึ่งคาดว่าจะเก็บบันทึกเหล่านั้นเอาไว้ ก่อนจะพบว่ามันไม่มีอะไรเลยนอกจากตำราและนวนิยายต่างประเทศ

แต่ชายหนุ่มก็ลืมไปว่าที่นี่คือบ้านเก่าของหม่อมเจ้านิลพันธุ์ และต้องมีห้องนอนของเขาอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งมันก็ไม่ได้หายากเย็นอะไรนัก เพราะพานิลไล่ไขมันทุกห้องโดยไม่ต้องวิเคราะห์หรือสืบเสาะให้มากความ

และสิ่งที่บ่งบอกว่านี้คือห้องของท่านชายสติเฟื่อง ก็คือรูปของเขาจำนวนมากและข้าวของเครื่องใช้ที่บ่งบอกถึงการคลั่งไคล้วิทยาศาสตร์ และไม่น่าเชื่อว่าบันทึกปริศนาจะอยู่ในนี้จริง ๆ

มันมีอยู่เป็นกองจนท้อใจเมื่อรู้ว่าต้องคุ้ยเขี่ยเบาะแสจากมัน เพราะหม่อมท่านคงชอบเขียนไดอารี่จนเป็นนิสัย ทำให้ต้องนั่งอ่านกันทีละเล่มอยู่แบบนี้

“เอ่อ กูเจอแล้วนะวิธีทำซอมบี้หุ่นยนต์ของมึงอะไอ้พัด” ธารัฐเอ่ยขณะที่หยิบน้ำเปล่าขึ้นดูดพร้อมกับอ่านรายละเอียดในไดอารี่ที่เรียวมือถืออยู่

“จริงดิ!”

ทั้งพานิลและทินกรรีบรุดไปแนบข้างนายแพทย์หนุ่มเพื่อเพ่งดูข้อมูล แต่ก็ต้องเกากระพุ้งแก้มด้วยความงุนงงกันทั้งคู่ เมื่อไม่อาจเข้าใจลำดับวิธีการของรูปวาดมนุษย์ที่แจกแจงชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกมาอย่างละเอียด ชายหนุ่มรู้เพียงว่ามันถูกอธิบายได้ใกล้เคียงกับบันทึกของจิราเมธที่เขาเคยอ่านในฝัน บางทีคนถ่ายทอดให้หม่อมเจ้านิลพันธุ์รู้อาจจะเป็นกินรีก็ได้

“โอเค...สั้น ๆ เลยก็คือ มึงต้องย้ายเครื่องในของกิลลี่มาไว้ในหุ่นยนต์ ยิ่งมันสมบูรณ์มากเท่าไหร่ประสิทธิภาพก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะสมอง ถ้ามีน้อยหรือเสียหายเยอะเหมือนกลายเป็นคนใหม่เลย”

“โห ด่านหินจังวะ ก็กิลลี่....” ทินกรยั้งปากไว้เพียงเท่านั้น เขาไม่อยากอธิบายสภาพศพของกิลลรีไปมากกว่านี้ เพราะอาจจะไปสะกิดต่อมบาดแผลของพานิลเอาได้

“....”

ซึ่งไม่ต่างอะไรกับธารัฐที่ก็เงียบสงัดและมีท่าทีจะขอสัญญาณจากพานิลว่าจะให้พูดต่อหรือพอแค่นี้ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือเจ้าตัวดันพูดออกมาเองโดยไม่มีทีท่าจะเศร้าสลดอะไรเลย

“ปัญหาก็กิลลี่มีชิ้นส่วนไม่ครบ ช่วงลำตัวของเธอหายไป” เมื่อกล่าวถึงอุปสรรค ความทรงจำในห้วงฝันก็เข้ามาไขข้อข้องใจในทันที

‘คุณสมบัติของมันยืดหยุ่นและเชื่อมต่อกับร่างกายของมนุษย์ได้ดี หากนำไปต่อกับคนพิการ’

“สามารถเรียกร่างแฟนฉันว่าพิการได้มั้ย” พานิลหันไปถามธารัฐต่อ

“ก็ได้นะ ทำไมวะ”

“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร” พานิลยังคงอมพะนำ เพราะข้อมูลเรื่องนี้มันเยอะมากเกินไป กลัวร่ายออกไปทั้งหมดเพื่อนสองคนจะไม่เข้าใจ

“วิเคราะห์กันเป็นฉาก ๆ ขนาดนี้ คิดกันแล้วเหรอจะไปหาหุ่นยนต์มาจากไหน” ทินกรกล่าวเสริม

“เอ่อวะ....” ธารัฐห่อไหลตกเมื่ออุปกรณ์สำคัญไม่มีให้ทดสอบ เช่นนั้นแล้วการคืนฟื้นคืนชีพที่ว่าคงเป็นเพียงทฤษฎี

แต่ทันใดนั้นเองที่โชคชะตาก็หยุดกลั่นแกล้งพานิล เมื่อเสียงฝีเท้าปริศนาเดินเข้ามาหยุดที่หน้าห้อง และใช้
กำปั้นเคาะที่ขอบประตูเป็นการเรียกความสนใจ ทำให้เจ้าเด็กทั้งสามคนหันมองมาเป็นตาเดียว ยกเว้นพานิลที่นัยน์ตาเบิกโพลงยิ่งกว่าคนอื่น ก่อนจะอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ

“คุณปู่เล็กอัศวิน!”