”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล - บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.1วัยเด็กที่น่าจดลืม โดย Jigsaws X VIIII @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด,บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า

รายละเอียด

”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

ผู้แต่ง

Jigsaws X VIIII

เรื่องย่อ

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.2559 และ (พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ทุกฉบับที่มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์อันเป็นของเจ้าของผลงานทุกประการ)

ไม่อนุญาตให้คัดลอก ปลอมแปลง ดัดแปลง สแกนหนังสือ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหา เพื่อสร้างฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือทางอื่นทางใดก็ตาม รวมถึงภาพปกนิยายและภาพประกอบนิยายในเล่มด้วยประการเดียวกันทั้งสิน



เรื่องย่อ : นิว เด็กหนุ่มที่กลายมาเป็นจำเลยในชั้นศาล เพราะคดีบางอย่างที่เขาได้ทำไว้ ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลได้อนุญาตให้เขาได้เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด จำเลยหนุ่มจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เขาได้เจอ ได้เห็น และได้กระทำลงไป จากคนที่เคยใสสะอาด กับต้องมาแปดเปื้อนเพราะเหตุการณ์บางอย่าง แต่อีกไม่ช้าความจริงของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น กำลังจะถูกเปิดเผยในชั้นศาล…!!!!!


เรื่องราวทั้งหมดของเขาจะถูกเล่าผ่านในชั้นศาลด้วยกันทั้งหมด 3 บท ได้แก่


CHAPTER 1 : MY MISERABLE LIFE > บทที่1 ชีวิตที่เหลวแหลก 6 ตอน


CHAPTER 2 : BIRTH OF NEW LIFE > บทที่2 เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง 10 ตอน


CHAPTER 3 : I KILL YOUR IDOL > บทที่3 เมื่อผมฆ่าไอดอลของคุณ 8 ตอน


Coming soon 2024


*หากมีการถยอยลงนิยายบทที่1จำนวน6ตอนแล้ว

ตอนที่1-3จะเปิดให้อ่านฟรี ส่วนตอนที่4-6จะขอติดเหรียญนะครับ เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายทำปกนิยายหรือค่าใช้จ่ายต่างๆในอนาคตครับ


***ประกาศ WEDDING UNVERSE TIMELINE***     ผมจะขยาย WEDDING UNVERSE TIMELINE ออกมาอีก 2 ภาค เพื่อเป็นการปิดจักรวาลนี้ให้จบเรื่องราวทั้งหมด และจะไม่แต่งเพิ่มต่ออีกเนื่องจากไม่มีไอเดียที่จะสารต่อ ถึงมีมันก็อาจจะวกวนอยู่หลูบเดิม ผมจึงมีแพลนแต่งอีกแค่2ภาคเพื่อขยายเนื้อหาบางส่วนให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อปิดจักรวาลนี้ ใครสนใจก็สามารถรอติดตามได้ในอนาคตนะครับ 



สารบัญ

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.1วัยเด็กที่น่าจดลืม,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1:ชีวิตที่เหลวแหลก 1.2วัยรุ่นที่แตกสลาย,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.3ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.4ความกลัวและความโดดเดี่ยวที่เจือจาง,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.5ความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.6ชีวิตที่วนลูป

เนื้อหา

บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.1วัยเด็กที่น่าจดลืม


 “จำเลยอยากจะพูดอะไรก่อนการพิจารณาคดีต่อไหม?” หญิงวัยกลางคนในคราบของคนมีสี ผู้เป็นเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ศาลเอ่ยถามเจ้าของสีหน้าเหม่อลอยท่ามกลางบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วน ภายในห้องพิจารณาคดี


“ผมมีเรื่องหลายเรื่องที่อยากจะพูดครับ” ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวผ่านช่วยวัยยี่สิบเพียงไม่กี่ปีกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา สายตานิ่งเรียบของเขาเพ่งมองไปยังหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้ถาม


หญิงผู้มีอาวุโสพยักหน้าด้วยตระหนักในการตัดสินใจของเขาก่อนที่จะหันไปแจ้งให้กับผู้พิพากษาผู้นั่งบัลลังก์ได้ทราบถึงความต้องการของเขา


เขาไม่ปฏิเสธที่จะรับโอกาสที่ถูกหยิบยื่นให้ถึงแม้ตอนนี้จิตใจของเขาไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่แต่เขาก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาไม่ควรจะปล่อยให้มันหลุดลอยไป


“อนุญาตเชิญจำเลยพูดได้” ผู้นั่งบัลลังก์หงายมือแสดงสัญลักษณ์ทำการอนุญาต เขาจึงสูดลมหายใจอัดเข้าจนเต็มปอดเพื่อกลั่นกรองเรื่องราวเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูด


“ศาลที่เคารพครับ แบบนี้มันจะทำให้เสียเวลาการพิจารณาคดีนะครับ” อัยการส่งเสียงค้านขึ้นทันที


“เคารพศาลด้วยค่ะคุณอัยการ” ผู้พิพากษาหญิงผู้มีอาวุโสเอ่ยปรามชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนไม่อยากจะให้เกิดความยืดเยื้อ


ชายวัยกลางคนได้แต่กัดกรามแน่นก้มหัวลงคำนับบัลลังก์ทว่าสีหน้าของเขาไม่อาจซุกซ่อนความไม่พอใจที่แสดงผ่านใบหน้าให้รอดพ้นจากสายตาของหญิงผู้มีอาวุโสผู้เป็นตัวแทนกฎหมายได้ จากการกระทำของคนค้านทำให้ผู้นั่งบัลลังก์รู้ว่าเขาไม่พอใจกับสิ่งที่เธอทำ แต่ระหว่างพิจารณาคดีไม่ใช่เวลาที่ถกเถียงแสดงความคิดเห็นส่วนตัวแต่เป็นเวลาที่ต้องใช้กระบวนการความคิดที่ถูกต้องเป็นส่วนพิจารณาเธอจึงไม่เลือกที่จะโต้ตอบตามใจปาก


“เชิญจำเลย” เสียงผู้นั่งบัลลังก์ขานอีกครั้งชายหนุ่มจึงเหลือบตามองขึ้นสบใบหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึกพลางก็กลืนน้ำลายลงคอสูดหายใจเตรียมพร้อมพูดอีกครั้ง


“ไม่มีอะไรจะพูดใช่ไหมล่ะ!” น้ำเสียงเยาะหยันจากชายวัยกลางคนคนเดิมทะลุกลางปล้องความคิดของชายหนุ่มจนทำให้ชายหนุ่มผู้มีสถานะเป็นจำเลยต้องเหลือบตาไปมอง


และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้เป็นจำเลยถูกขัดขวางไม่ให้พูดและก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ฟังถูกขัดหูไม่ให้ฟังเช่นกันดังนั้นสายชายเจ้าของเสียงจึงต้องเผชิญกับสายตาหลายคู่ที่พุ่งตรงมามองเขา


“คุณอัยการสิงห์คุณก็ทราบดีนะว่าศาลได้รับหลักฐานทุกอย่างครบถ้วนจนเดินทางมาถึงขั้นตอนการพิจารณาแล้วคุณยังต้องห่วงอะไรอีกไม่ว่าอย่างไรจำเลยก็จะได้รับโทษตามที่เขาได้กระทำไว้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ศาลทำอยู่ก็คือการให้โอกาสเขาพูดตามหลักมนุษยธรรมและธรรมาภิบาลของศาลกรุณาปรับทัศนคติของคุณด้วย” น้ำเสียงเรียบที่แฝงเนื้อหาจี้ใจดำอันน่ากริ่งเกรงเอาไว้พาให้ชายวัยกลางคนในฐานะอัยการนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง


“ครับ” เขาก้มหัวลงคำนับขณะที่ยืนอยู่เต็มความสูงด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมลงกว่านาทีก่อนจากนั้นก็ชักเท้าก้าวกลับไปนั่งลงบนที่นั่งของตนเอง


“ผมเริ่มได้แล้ว...ใช่ไหมครับ?” เขาเอ่ยถามให้แน่ใจอีกครั้งมองเห็นหญิงอาวุโสบนบัลลังก์พยักหน้าเบา ๆ


เขาจึงปรายตาลงต่ำเหลือบมองคนรักที่นั่งรวมอยู่ในแถวฟังการพิจารณาคดีปะปนอยู่กับผู้อื่น เขาสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ชายคนรักส่งผ่านแววตามาถึงเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เปราะบางและอ่อนไหวซึ่งไม่ได้ต่างจากความรู้สึกที่มีภายในของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาอัดลมหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้งก่อนที่จะเพ่งสายตามองมุ่งไปยังบัลลังก์แห่งความยุติธรรมจากนั้นเรื่องราวที่ถูกกลั่นกลองก็เรียบเรียงออกมาเป็นคำพูด



“ผมเป็นสาเหตุให้แม่ต้องเสียชีวิตครับ!” ชายหนุ่มสารภาพด้วยสีหน้านิ่งเรียบดวงตาของเขาเอ่อรื้นด้วยน้ำตา


คำสารภาพของเขาพาให้ผู้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังแท่นจำเลยต่างก็เพ่งมองมายังเขาแต่เพียงผู้เดียว เขารับรู้ได้ถึงมวลคำถามก้อนใหญ่ที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เขาจึงทอดสายตามองตรงไปเบื้องหน้าจึงได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของผู้นั่งบัลลังก์หญิงผู้มีอาวุโสได้แต่ปลอบประโลมเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจชั่ววินาทีหนึ่งก่อนที่จะกลับไปนิ่งเรียบเหมือนเดิม


“เท่านี้เหรอ?” เธอเอ่ยถามอย่างไม่สบตากับผู้ครอบครองแท่นจำเลย


“ที่ผมกล้าพูดออกมาอย่างนั้นก็เพราะผมคือหายนะในชีวิตของเธอเป็นรอยร้าวของสามีและภรรยาที่รักกันมากคู่หนึ่ง มันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมลืมตาดูโลกก่อนหน้านั้นพวกเขามีหน้าที่การงานอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่ามั่นคงทั้งคู่มีธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ ร่วมกันแม้ว่ามันจะไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอะไรแต่มันก็ทำให้พวกเขาลอยตัวอยู่เหนือความขัดสน จนกระทั่งผมเข้ามาในชีวิตของพวกเขา ชีวิตเล็ก ๆ ของผมมาพร้อมกับความล่มสลายความสำเร็จที่พวกเขาเคยมีค่อยเลือนหายไปเหมือนกับมวลเมฆจากนั้นท้องฟ้าที่สดใสก็เข้ามาพร้อมความอบอุ่นของไอแดดแผดเผารายได้ที่พวกเขาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงข้าวของราคาสูงขึ้น ค่าการเลี้ยงดูทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงประถมวัยทำให้พวกเขาเกิดวิกฤตในชีวิตอย่างหนัก พวกเขาล้มละลายเพราะผมและเพราะผมอีกนั่นแหละที่ต้องทำให้พวกเขาต้องออกไปหางานทำ พ่อไปทำงานประจำส่วนแม่ก็รับเป็นแม่บ้านทำความสะอาดแบบพาร์ทไทม์เพราะเธอยังต้องดูแลผมและต้องดูแลความเรียบร้อยในบ้าน ผมเห็นหน้าพ่อน้อยลงพวกเราพ่อแม่ลูกไม่ค่อยได้อยู่กันพร้อมหน้าเพราะพ่อมักจะบ่นว่างานที่ออฟฟิศยุ่งอยู่เสมอ ผมจึงมีเวลาอยู่กับแม่มากกว่าได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่อยู่บ่อยครั้งที่เธอนั่งชโลมยานวดลงบนบ่าของเธอเอง กลิ่นหอมซ่ายังคงติดอยู่ที่จมูกของผม ผมนึกสงสัยจึงถามแม่อยู่หลายครั้งและในทุกครั้งแม่จะตอบผมด้วยรอยยิ้มว่าแม่แก่แล้วปวดเมื่อยเป็นธรรมดาผมไม่รู้หรอกว่านั่นหมายความว่าอะไรผมรู้ก็แต่ว่าทุกครั้งที่ผมถามแม่ แม่จะลูบหัวผมพร้อมกับพูดว่า ‘มันจะไปเหนื่อยได้ยังไงลูกในเมื่อแม่ทำให้ลูกเกิดมาแม่ก็ต้องดูแลเอาใจใส่ลูกสิ นี่แหละคือหน้าที่ของคนเป็นพ่อแม่ล่ะ’ แล้วเธอก็ส่งยิ้มให้ผมซึ่งมันทำให้ผมสุขใจเป็นที่สุด...


ครั้งหนึ่งหลังจากที่ผมอายุเข้าได้ราวสิบปี ผมเริ่มรับรู้ถึงความแตกต่างของฐานะในสังคม แม่ผมต้องทำงานเหนื่อยกว่าแม่ของเพื่อน ๆ ที่ในกลุ่มเด็ก ๆ มักคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวครอบครัวของตัวเอง ผมมองเห็นสภาพความเป็นอยู่ของเพื่อน ๆ ในจินตนาการก็เกิดตระหนักขึ้นมาถึงความแตกต่าง ผมเริ่มเข้าใจถึงคำว่าสบายและลำบากผมจึงเลือกที่จะไม่โอ้อวดหรือไม่ใช้จินตนาการโกหกเพื่อน ๆ ทุกครั้งที่พวกเขาถามถึงครอบครัวซึ่งประกอบด้วยคำว่าพ่อและแม่ผมเลือกที่จะบอกว่าพ่อกับแม่ทำงานบริษัทและเก็บความสงสัยของตนเองกลับมาถามแม่ในวันที่ผมกล้า...


“แล้วถ้าแม่ไม่มีผมพ่อกับแม่จะสบายกว่านี้ไหม?”


ผมจำแววตาของแม่ที่จ้องมองผมหลังจากได้ยินคำถามได้ดี มันว่างเปล่าอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะถูกกลบเกลื่อนด้วยเปลือกตาที่บางจนเห็นเส้นเลือดฝอยจากนั้นเธอก็ส่งยิ้มให้ผมบอกกับผมว่า ‘ก็เพราะพวกเรารักลูกไงจ๊ะ’ คำถามของผมน่าจะสร้างความลำบากใจให้แม่อยู่ไม่น้อยแต่แม่กลับยิ้มให้กับคำถามของผมแล้วเลือกที่จะตอบมันออกมาอย่างใจเย็นเบื้องลึกภายในใจของแม่แล้วเองก็คงจะเหนื่อยที่ต้องมาเลี้ยงดูผมแค่เขาเลือกที่จะไม่พูดออกมาก็เท่านั้น


พวกเราสามคนพ่อแม่และผมใช้ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ จนกระทั่งผมกระเสือกกระสนสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลในระดับมัธยมได้ ผมรู้ว่ามันสามารถช่วยประหยัดค่ารายเทอมของผมได้อย่างมากช่วยให้พ่อและแม่ไม่เหนื่อยมาก อย่างตอนประถมที่พวกเขาไม่ยอมให้ผมเรียนรัฐบาลจึงต้องใช้เงินมากมายในแต่ละปีการศึกษาแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นโดยเฉพาะอาการของแม่ แม่ของผมไอเรื้อรังมานานมากจนผมไม่สะดุ้งเวลาได้ยินเสียงไอของแม่ตอนกลางคืน จนกระทั่งแม่เกิดอาการสำลักอาหารจนมีเลือดสดทะลักออกมาทางปากผมตกใจมากหัวใจหายวาบพ่อเองก็ได้แต่ยืนนิ่งกว่าจะได้สติพวกเราก็พาแม่ไปส่งโรงพยาบาลแม่นอนอยู่โรงพยาบาลหลายวันจนหมออนุญาตให้กลับบ้านพร้อมกับชี้แจงตัวโรคให้ผมและพ่อได้รับรู้


‘มะเร็งปอดระยะที่สี่ ’นั่นคือสิ่งที่ผมได้ยิน ผมยังเด็กไม่รู้หรอกว่าระยะที่สี่ของตัวโรคหมายความว่าอย่างไรจากนั้นหมอจึงบอกว่าแม่จะมีชีวิตได้อีกไม่ถึงสามเดือนจากนี้คำพูดง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำทำให้โลกของผมแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ ผมไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะกินข้าวหลับไปพร้อมกับน้ำตาเกือบทุกคืนพร้อมกับประโยคคุ้นเคยที่ได้ยินจากปากของแม่ ‘ฝันดีนะครับลูกชาย’ น้ำเสียงใส ๆ ในวันนั้นวันนี้แหบพร่าลงไปมากแต่ผมยังดีใจที่ได้ยินมัน จนกระทั่งเช้าของวันหนึ่งแม่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวประจำเพราะเดินไปเดินมาไม่ไหวผมจึงมีหน้าที่ยกข้าวให้แม่ แม่นั่งหลับตาเหมือนทุกวันแต่วันนี้ต่างไปจากทุกวันตรงที่ร่างของแม่ไร้ลมหายใจ...


น้ำตาของผมเริ่มไหลลงอาบแก้มเหมือนผมตอบแทนแม่ไม่ได้ดีเท่าที่แม่ทำให้กับผมเลยแม้แต่น้อยพลันภาพความทรงจำของเช้าวันหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นในสมองของผม เช้าวันนั้นผมลงมาจากห้องเตรียมตัวไปโรงเรียนในห้องครัวยังคงเปิดไฟอยู่ทั้ง ๆ โดยปกติแม่จะเป็นคนปิดมันเพราะไม่ให้สิ้นเปลืองผมจึงเดินเข้าไปดูแม่นั่งฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะอาหารข้าวในจานทั้งสองจานโดนลมโกรกจนแห้งกรังผมเดินเข้าไปเรียกแม่ แม่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งยิ้มให้ผมราวกับไม่มีอะไรอยู่ในใจเพราะในเย็นวันนั้นผมถามแม่เรื่องที่พ่อกลับบ้านดึกทุกคืนแม่จึงตำหนิผม ผมไม่พอใจเพราะแม่ไม่เคยที่จะดุผมผมรู้สึกน้อยใจจนเดินขึ้นห้องไปตกเย็นแม่เรียกผมมากินข้าวตามปกติแต่ผมไม่ลงเพราะรู้สึกว่ายังไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ ผมไม่อยากหงุดหงิดใส่แม่อีกและผมก็ไม่อยากเห็นแม่ยืนข้างพ่อผมจึงไม่ลงไปเพราะไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับภาพที่แสนปวดใจอย่างที่เห็น


ตอนนี้แม่จากไปแล้ว...ไม่มีใครรอผมที่โต๊ะกินข้าวอีกต่อไป ผมไม่สามารถยอมรับความความจริงที่ว่าแม่ไม่อยู่กับผมอีกต่อไปแล้วไม่มีอีกแล้วคนที่รักและพร้อมจะอภัยให้ผมทุกอย่าง...ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เรื่องหรือไร้เหตุผลก็ตาม...” ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งเงียบเขายกมือทั้งสองข้างที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกันขึ้นปาดน้ำตา


เรื่องราวเพียงเสี้ยวหนึ่งของผู้เป็นจำเลยที่พรั่งพรูออกมาพาให้หลายคนในที่นั้นตันอยู่ในอกบางคนก้มหน้าปาดน้ำตาบางคนสะเอื้อนออกมาอย่างไม่รู้ตัวแม้แต่หญิงอาวุโสบนบัลลังก์ก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่ออยู่ล้นขอบตา


“จากที่เธอเล่ามานั่นมันไม่ใช่ความผิดของเธอมันเป็นธรรมดาของชีวิตเกิดและตายไม่มีใครรู้ว่าใครเหลือเวลาหายใจเท่าไหร่บางทีอาจไม่ยุติธรรมและไม่สมเหตุสมผลแต่นั่นคือกฎกฎที่ไม่มีใครละเมิดได้มันคือสิ่งมีชีวิตทุกตัวตนต้องตระหนักพบและลาจากแต่ไม่ว่าอย่างไรการโทษตัวเองก็ไม่ได้หมายความว่าเธอกตัญญูขอให้เธอยอมรับความธรรมดาของวัฎจักรชีวิตให้ได้และให้อภัยตัวเอง” หญิงอาวุโสได้พูดปลอบประโลมจำเลยวัยหนุ่มที่น้ำตากำลังเอ่อล้นออกมาทั้ง 2 ข้างและบอกให้เขาพูดต่อหลังจากนั้นพักหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจิตใจของเขาได้พร้อมที่จะพูด


“เชิญต่อเลยนะหากคุณยังมีอะไรอยากพูด...” จำเลยหนุ่มพยักหน้าคำนับหัวให้กับบัลลังก์ครั้งหนึ่ง


ขณะที่ศาลให้โอกาสจำเลยหนุ่มเป็นผู้ได้พูดอีกครั้งอัยการสิงห์ก็เกิดปฏิกิริยากับคำอนุญาตของศาลในทันทีอีกครั้งเช่นกัน สายตาของเขาส่อแววคัดค้านแต่เมื่อเหลือบตาขึ้นไปเขาก็ได้พบกับสายตาที่คอยจับพฤติกรรมของเขาก็ทำให้ท่าทีกระวนกระวายสงบลงโดยปริยายปล่อยให้จำเลยหนุ่มได้เล่าเรื่องราวของเขาต่อไป


“...หลังจากที่แม่จากไปได้ไม่นานนักพ่อของผมก็เริ่มดื่มหนักขึ้นจากที่ก่อนหน้านี้ดื่มบ้างเป็นครั้งคราวเขาจมอยู่กับมันทั้งคืนจนไปทำงานสายทุกวัน วันหนึ่งผมกลับมาจากโรงเรียนและพบว่าพ่ออยู่บ้านในชุดลำลองเขาบอกกับผมว่าพวกเราคงต้องประหยัดเพราะตอนนี้พ่อไม่มีงานทำผมก็ทำอย่างที่พ่อบอกเพราะเราเหลือกันอยู่แค่สองคนแต่ทั้งที่ผมประหยัดอย่างที่พ่อบอกแต่เงินทุกบาทที่เก็บรอมริบเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินพ่อก็นำมันไปซื้อเหล้าพ่อดื่มหนักขึ้นพวกเราประสบปัญหาขัดสนเรื้อรังดีที่คนรู้จักของพ่อยื่นมือเข้าช่วยให้เขาเป็นลูกจ้างช่วยทำงานในบริษัทมันอาจไม่ได้ทำให้พ่อเลิกดื่มได้ในทันทีแต่มันก็ทำให้เวลาที่เขาจะจมอยู่กับตัวเองน้อยลง


ผมเริ่มฝึกทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แม่เคยทำกวาดบ้านซักผ้าและล้างจานผมไม่ค่อยได้ล้างจานเพราะแม่ไม่ให้ทำผมเลยจับมันไม่ค่อยจะถนัดมือสักเท่าไหร่วันหนึ่งผมกำลังล้างจานหนึ่งในนั้นมีแก้วที่เขามักใช้ดื่มเสมอผมทำมันหลุดมือเพราะความลื่นเสียงตกแตกพาให้พ่อมาถึงตัวของผมอย่างรวดเร็วไม่รู้ตัว


“ไอ้เหี้ยนี่...ทำไมซุ่มซ่ามจังวะ!!” มันเป็นคำพูดที่ทำให้ผมยีนนิ่งไปพักใหญ่ผมรีบก้มลงเก็บเศษแก้วที่แตกเหลือบตามองเขาขณะที่เขาเดินงุ่นง่านไปมาปากก็บ่นด่าผมต่าง ๆ นานา


“ถ้าแม่มึงอยู่ข้าวของคงไม่ต้องฉิบหายอย่างนี้เป็นเพราะมึงไอ้เด็กเวรถ้าไม่มีมึงป่านนี้กูกับเมียคงไม่ต้องจากกัน” 


ผมไม่แน่ใจว่ามันหลุดออกมาจากปากของผู้เป็นพ่อของผม ผมเสียใจจู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาผมอ่อนไหวและพ่ายแพ้ให้กับความโดดเดี่ยวเพราะเขาคือคนคนเดียวที่ผมพอจะยึดเหนี่ยวทางความรู้สึกได้ในตอนนี้ ผมเพิ่งขาดแม่และผมยังทำใจไม่ได้ที่จะขาดพ่ออีกคนผมไม่เข้มแข็งพอที่จะเดินจากเขาไป เพื่อรักษาความรู้สึกของตนเองดูเหมือนว่าเขาเองก็เจ็บปวดไม่น้อยพอกับผมพ่อกับแม่รักกันก่อนจะมีผมหลายปีผมมาทีหลังแม้จะเป็นลูกแต่เขาอยู่กับแม่มานานกว่าความรักความห่วงใยที่เขามีต่อแม่ไม่น้อยไปกว่าผมอย่างแน่นอนและหากเขาจะไม่รักผมมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเขาอาจจะมองว่าผมเป็นผู้ชายอีกคนที่เข้ามาแย่งความรักไปจากแม่ก็ได้...


นับจากวันที่เราสองพ่อลูกมีปากเสียงกัน พ่องดให้ค่าขนมผมคราวแรกผมคิดว่าเป็นการทำโทษในแบบของเขาแต่เมื่อกินระยะเวลาเกินกว่าที่ผมจะสำนึกผมจึงตระหนักได้ว่าพ่อตัดขาดการเลี้ยงดูจากผมผมจึงไปสมัครเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อเก็บหอมรอบริบเป็นค่าการศึกษารายเทอมอาศัยทำนอกเวลาเป็นค่ากิจกรรมบ้างทั้งได้อาศัยโครงการอาหารของพนักงานได้อิ่มท้องไปทั้งสามมื้อและเงินที่เหลือนิดหน่อยผมก็เก็บเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินหรือวันไหนที่ผมเข้มแข็งพอที่จะเผชิญโลกผมจะใช้เงินก้อนนี้เป็นทุนตั้งต้นในชีวิต


แต่ตอนนี้จำนวนของมันยังมีไม่มากพอผมจึงยังต้องพักอาศัยอยู่ชายคาเดียวกับพ่อซึ่งนั่นเป็นบ้านของแม่ครึ่งหนึ่งผมจึงยังพักอยู่ที่นั่นได้ตามสิทธิ์ของผม


จนกระทั่งวันหนึ่งผมรู้สึกเหมือนจะไม่สบายจึงขอทางผู้จัดการงดงานล่วงเวลาผู้จัดการร้านอนุญาตผมจึงกลับเข้าบ้านเร็วกว่าทุกวันเย็นวันนั้นผมได้พบกับผู้หญิงแปลกหน้าเธอกำลังสนทนาอ่อนหวานอยู่กับพ่อของผม สีหน้าของพ่อดูมีความสุขจนไม่สนใจว่ามีใครเดินผ่านมาผ่านไปด้วยซ้ำมันดูเหมือนว่าจะมากกว่าที่พวกเราเคยอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกด้วยซ้ำแต่หากนั่นคือความสุขของพ่อผมก็ไม่อยากขัดขวาง


ผมพบเจอผู้หญิงของพ่อที่บ้านหลายครั้งเธอคงจะไปไปมามาได้อย่างนี้หลายคราวแล้วแต่คงไม่เคยเจอผม แต่เธอน่าจะรู้ว่ามีผมเป็นก้างหนึ่งเดียวในบ้านผมเองก็ไม่ได้ให้ค่าเธอเพราะกลับมาจากทำงานผมก็หมดแรงจนแทบล้มทั้งยืนแล้วจะให้ผมไปจุกจิกผมคงไม่ทำมันเป็นอยู่อย่างนั้นอยู่อีกหลายเดือนจนกระทั่งผมได้เจอเด็กหญิงและเด็กชายที่บ้านเด็กพวกนั้นเรียกแฟนสาวของพ่อผมว่าแม่ ผมตระหนักในทันทีว่าสามแม่ลูกคงจะเกาะติดบ้านที่แม่ผมทำงานหามาเลือดตาแทบกระเด็นเป็นแน่


สมมติฐานของผมเป็นจริง ครอบครัวกาฝากหอบเสื้อผ้าและข้าวของเข้ามาอยู่ที่บ้านผมผู้หญิงคนนั้นกลายมาเป็นแม่ของผมโดยพฤตินัยของพ่อส่วนเด็กสองคนซึ่งอายุน้อยกว่าผม2ปีก็กลายมาเป็นน้องของผมโดยปริยาย


นอกจากสถานะแล้วผมไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาแม้แต่น้อย แม้แต่หน้าก็ไม่เคยอยากมองจนกระทั่งผมเห็นข้าวของของแม่กองอยู่หน้าบ้านมันจึงทำให้ผมเกิดหงุดหงิดขึ้นมา ผมไม่ชอบอย่างนี้ถึงแม้ว่าไม่เคยคุยกับพ่อเป็นเรื่องเป็นราวแต่พ่อก็ควรจะรู้ดีว่าไม่ควรอนุญาตให้คนนอกเข้ามารื้อค้นข้าวของอย่างตามใจโดยเฉพาะของของแม่ผมเพราะมันเริ่มที่จะเกินขอบเขตอย่างที่ควรจะเป็นมากไปเสียแล้ว......