”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล - บทที่1:ชีวิตที่เหลวแหลก 1.2วัยรุ่นที่แตกสลาย โดย Jigsaws X VIIII @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด,บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า

รายละเอียด

”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

ผู้แต่ง

Jigsaws X VIIII

เรื่องย่อ

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.2559 และ (พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ทุกฉบับที่มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์อันเป็นของเจ้าของผลงานทุกประการ)

ไม่อนุญาตให้คัดลอก ปลอมแปลง ดัดแปลง สแกนหนังสือ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหา เพื่อสร้างฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือทางอื่นทางใดก็ตาม รวมถึงภาพปกนิยายและภาพประกอบนิยายในเล่มด้วยประการเดียวกันทั้งสิน



เรื่องย่อ : นิว เด็กหนุ่มที่กลายมาเป็นจำเลยในชั้นศาล เพราะคดีบางอย่างที่เขาได้ทำไว้ ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลได้อนุญาตให้เขาได้เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด จำเลยหนุ่มจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เขาได้เจอ ได้เห็น และได้กระทำลงไป จากคนที่เคยใสสะอาด กับต้องมาแปดเปื้อนเพราะเหตุการณ์บางอย่าง แต่อีกไม่ช้าความจริงของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น กำลังจะถูกเปิดเผยในชั้นศาล…!!!!!


เรื่องราวทั้งหมดของเขาจะถูกเล่าผ่านในชั้นศาลด้วยกันทั้งหมด 3 บท ได้แก่


CHAPTER 1 : MY MISERABLE LIFE > บทที่1 ชีวิตที่เหลวแหลก 6 ตอน


CHAPTER 2 : BIRTH OF NEW LIFE > บทที่2 เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง 10 ตอน


CHAPTER 3 : I KILL YOUR IDOL > บทที่3 เมื่อผมฆ่าไอดอลของคุณ 8 ตอน


Coming soon 2024


*หากมีการถยอยลงนิยายบทที่1จำนวน6ตอนแล้ว

ตอนที่1-3จะเปิดให้อ่านฟรี ส่วนตอนที่4-6จะขอติดเหรียญนะครับ เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายทำปกนิยายหรือค่าใช้จ่ายต่างๆในอนาคตครับ


***ประกาศ WEDDING UNVERSE TIMELINE***     ผมจะขยาย WEDDING UNVERSE TIMELINE ออกมาอีก 2 ภาค เพื่อเป็นการปิดจักรวาลนี้ให้จบเรื่องราวทั้งหมด และจะไม่แต่งเพิ่มต่ออีกเนื่องจากไม่มีไอเดียที่จะสารต่อ ถึงมีมันก็อาจจะวกวนอยู่หลูบเดิม ผมจึงมีแพลนแต่งอีกแค่2ภาคเพื่อขยายเนื้อหาบางส่วนให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อปิดจักรวาลนี้ ใครสนใจก็สามารถรอติดตามได้ในอนาคตนะครับ 



สารบัญ

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.1วัยเด็กที่น่าจดลืม,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1:ชีวิตที่เหลวแหลก 1.2วัยรุ่นที่แตกสลาย,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.3ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.4ความกลัวและความโดดเดี่ยวที่เจือจาง,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.5ความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.6ชีวิตที่วนลูป

เนื้อหา

บทที่1:ชีวิตที่เหลวแหลก 1.2วัยรุ่นที่แตกสลาย

“นิว...หยิบของขึ้นมาให้แม่หน่อย!”

หลายครั้งที่เธอใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเรียกผมว่าลูกมันฟังลื่นหูจนทำให้ผมขนทั้งตัวลุกเกรียวผมรู้สึกรังเกียจจนขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก การเรียกผมว่าลูกไม่ได้ทำให้ผมคล้อยตามอยากจะเรียกเจ้าของเสียงเลยแม้แต่น้อยเพราะผมมีแม่เพียงคนเดียวแม่อรของผม

“อะ” ผมวางของที่เธอไหว้วานให้ผมหยิบลงตรงสายตาของเธอผมไม่อยากเสวนาอะไรกับเธอให้มากความผมไม่อยากสนิทผมไม่ได้เป็นลูกของเธอ

“เรียกแม่สิจ๊ะ...แม่มาเป็นแม่ของนิวแล้วไง” เธอพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มด้วยจริตที่ดูอบอุ่นราวกับแม่พระแต่มันดูแปลกในสายตาของผมมันชวนให้ผมรู้คลื่นเหียนกับรอยยิ้มที่ถูกฉาบไว้บนใบหน้าของเธอผมเกลียดการกระทำแบบนี้เป็นที่สุด

“แม่ผมตายไปแล้ว...ถ้าคุณเป็นแม่ผมคุณต้องอยู่ในโกฐ ไม่ใช่ยืนพูดอยู่ตรงนี้!”

ผมแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจนเพราะไม่อยากทนเก็บซ่อนอารมณ์ขยะแขยงเอาไว้ภายใต้ความรู้สึก แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปผมก็รู้สึกว่ามีมือมาสัมผัสเข้าที่บ่าของผม

“นี่คุณ...” ผมเหลือบตามองฝ่ามือหยาบกร้านที่ทำให้ผมต้องหยุดชะงัก

“เธอนี่...ยิ่งโตก็ยิ่งหล่อนะ” เสียงหัวเราะในลำคอของเธอทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าที่ดูมีริ้วรอยเกินกว่าหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ

แต่มากกว่าใบหน้าที่ชวนให้ผมขนลุกในคือความคิดของเธอที่หลุดออกมาจากปากของเธอมันยิ่งทวีความน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงให้ผมยิ่งขึ้น

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!” ผมมองตาเธอระหว่างที่สะบัดมือของเธอให้หลุดออกผมสะบัดมืออย่างแรงอยู่สองสามครั้งจนหลุดออกมาได้จึงได้ก้าวเท้าไว ๆ ไปยังประตูห้องและได้พบว่ามันเปิดไม่ออก!

“ทำไมประตูเปิดไม่ออก...นี่คุณทำบ้าอะไร!?” ผมเริ่มหงุดหงิดส่งเสียงดังขึ้น เธอไม่ตอบแววตาของเธอแสดงถึงความพอใจดูเหมือนว่าแผนในใจของเธอกำลังดำเนินไปด้วยดี

“ช่วยผมด้วยผมติดอยู่ในนี้?” ผมส่งเสียงตะโกนพลางก็ใช้สันหมัดทุบประตูดังปัง ผมทำอย่างบ้าคลั่งอยู่อย่างนั้นแต่ก็ไร้สัญญาณการช่วยเหลือ

“ลูกจะรีบไปไหนล่ะจ๊ะ...อยู่กับแม่ก่อนสิ” น้ำเสียงประดิษฐ์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นจากจริตของหญิงมากแผนการสร้างความสะอิดสะเอียนให้ผมเป็นอย่างมาก

แต่มันไม่มากเท่ากับร่างอันเปลือยเปล่าอันปราศจากเครื่องนุ่งห่มบนร่างกายของเธอผมเบือนหน้าไม่มองดูสภาพอันแสนน่าสังเวชใจตรงหน้าหญิงที่ใช้สรรพนามเรียกตนเองว่าแม่กับผมกำลังทำสิ่งที่น่าบัดสีอย่างที่ผมรับไม่ได้ไม่เพียงแต่เผยร่างกายที่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาเธอยังส่งสายตายั่วยวนมาให้ผมผมกลั้นใจฝืนทนที่จะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัดค่อย ๆ ถอยเท้าไปทางข้างหลังจนแผ่นหลังชนเข้ากับประตูเผื่อว่ามีใครมีใครได้ยินเสียงร้องของผมเมื่อครู่และกำลังงัดประตูเข้ามาช่วยผมผมจะได้รีบวิ่งหนีออกไปจากห้องอย่างไม่รีรอ

“คุณรู้ไหมว่ามันไม่ได้ดูดีเลยนะ...พอเถอะผมอยากจะอ้วก” ผมสบถความรู้สึกที่จุกอยู่ในคอหอยแต่คำพูดนั้นไม่ได้ช่วยให้เธอสลดกับการกระทำของตนเองแม้แต่น้อย เธอเดินไปนั่งลงตรงปลายเตียงอย่างเชื่องช้าใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างขยำขยี้เรือนอกของตนเองอย่างเร่าร้อน เธอคงคิดว่าผมกินไม่เลือกเหมือนกับพ่อจึงได้คิดทำเรื่องที่ผมที่เป็นผู้ชายคิดแล้วยังรู้สึกละอายแทนผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงยืนจมกับความอุบาทว์อยู่ตรงนั้นหัวสมองของผมครุ่นคิดจนความคิดตีกันจนยุ่ง

“คงจะอายสินะ...มาเถอะ” ถ้อยคำอันเชิญชวนด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวานไม่เหมาะกับสภาพที่ผมกำลังเห็นในสายตา เธอเห็นว่าผมมัวแต่ยืนนิ่งเธอจึงลุกจากเตียงเดินตรงเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ ผมเบือนหน้าหนีก่อนที่จะเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง

“จะจะจะทำอะไรน่ะ!” ผมกวาดตามองพื้นที่ภายในห้องที่ไม่ได้กว้างขวางเท่าไรนักเพื่อประเมินทางหนีทีไล่แต่ความเร็วของผมไม่เท่ากับความเชี่ยวชาญในการจับทางของเธอ เธอสาวเท้าไว ๆ เข้ามาถึงตัวของผมใช้มือลูบไล้อวัยวะอันอ่อนไหวตรงหว่างขาของผม

“จะหลบทำไมล่ะลูกไม่ชอบหรือไงลองจับนมแม่ดูไหมมันนุ่มนิ่มสู้มือดีนะ”

หญิงไร้ยางอายเชิญชวนด้วยคำพูดอันน่ารังเกียจไร้ซึ่งยางอาย ผมรู้สึกแขยงและอยากจะออกไปจากตรงนั้นให้ได้จนผมต้องซื้อเวลาด้วยการอะไรบางสิ่งออกมาเพื่อเตือนสติของเธอ

“คุณไม่กลัวพ่อจะเสียใจเลยเหรอ?”

“ลูกไม่พูดแม่ไม่พูดแล้วใครจะรู้ล่ะเรื่องแบบนี้เรารู้กัน...”

หญิงมากราคะตอบหน้าตาเฉยราวกับว่าความผิดชอบชั่วดีไม่ได้บัญญัติอยู่ในจิตสำนึกของเธอ คำพูดของผมจึงไม่ได้ช่วยเตือนสติของเธอได้เลยซ้ำยังทำให้เธอรู้สึกท้าทายเดินตรงเข้ามาล่วงล้ำร่างกายของผมจนผมทนความอุบาทว์ของเธอไม่ไหว

“กรี๊ดดดดด” เสียงกรีดร้องลั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงโครมหลังจากที่ผมตัดสินใจใช้กำปั้นป้องกันตัวจนเธอล้มลงไปกองกับพื้น

“ลูก...ไอ้นิวมันทำร้ายแม่ช่วยแม่ด้วย” เธอตะโกนลั่น

ผมยืนนิ่งมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพชและผมไม่คิดว่าจะมีใครได้ยินเสียงตะโกนของเธอพอกับไม่มีใครได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของผมที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อประตูถูกเปิดออกอย่างง่ายดายจนผมรู้สึกประหลาดใจ ด้วยมือของคนที่ไม่ใช่ลูกของเธอแต่เป็นพ่อของผม!! เขามองหน้าผมอย่างตกตะลึงระหว่างถลาตัวเข้าประคองผู้หญิงของเขา

“ไอ้นิว...ไอ้เด็กเหี้ยนี่เมียกูนะ!”

สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ผมไม่เคยนึกเลยว่าจะได้ยินคำพูดที่ให้ร้ายลูกแท้ ๆ จากปากของพ่อบังเกิดเกล้า เขาไม่ได้ห่วงความรู้สึกของผมหรือถามถึงแก่นของสาเหตุเลย เขากลับมองผมด้วยสายตาเคียดแค้นพร้อมกับก่นด่าด้วยน้ำคำที่หยาบคายอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ผม...ไม่ได้ทำนะพ่อไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นเลยด้วย” ผมยืนกระต่ายขาเดียวปฏิเสธเสียงแข็งเพราะรู้ว่าพ่อกำลังคิดว่าผมได้ทำสิ่งหยาบช้าลงไป

“แกนี่มันหน้าด้านเห็นกันอยู่ทนโธ่จะให้ฉันถามอะไร!?” ใบหน้าของเขาแหยเกราวกับยักษ์ที่กำลังแยกเขี้ยวพร้อมที่จะฉีกเนื้อผม

“เนี่ยนะพ่อ...สภาพแบบนี้เนี่ยนะพ่อคิดได้ไงเมียพ่อมันร่านเด็กคราวลูกก็จะจับทำผัวไม่ได้ดูสภาพตัวเองเลยมันดีแ-...” ผมพ่นทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ความรู้สึกออกมาอย่างหมดเปลือกและผลที่ผมได้รับก็คือฝ่ามือที่ฟาดลงบนแก้มของผมอย่างแรง

“เพียะ!!” ผมหน้าชาไปทั้งหน้ามากกว่านั้นคือรู้สึกเสียใจเป็นที่สุด ตอนที่เรายังเป็นครอบครัวผู้ชายที่เพิ่งตบเมื่อครู่ไม่เคยทำร้ายผมเลยแม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาลงไม้ลงมือกับผม

“แกมีหน้าจะมาโทษคนอื่นอีกทั้ง ๆ ที่แกมันเลวไอ้เด็กเวร!!!”

“ถ้าพ่อเชื่อมันก็อยู่กับมันไปผมจะไม่อยู่ให้มันจับผมทำผัวหรอก!!”

“เออ...มึงจะไปอยู่ไหนก็ไปไปเลยไอ้เด็กเปรตไม่ว่าแม่มึงอยู่หรือไม่อยู่มึงก็ไม่มีดีอะไรสักอย่างจะไปตายที่ไหนก็ไป!”

คำพูดของเขาบ่งบอกว่าเขาไม่ได้อยากให้ผมลืมตาดูโลกตั้งแต่แรกผมไม่มีทางเลือกเมื่อโชคชะตากำหนดให้เกิดเป็นลูกของเขาและสิ่งที่ผมสามารถทำได้ในตอนนี้คือเลือกทำในสิ่งที่ผมสบายใจ

“ได้...ถ้าพ่อต้องการแบบนี้ผมก็ไม่อยู่ให้พ่อรำคาญใจหรอก!!”

อีกไม่กี่วันก็จะครบสามปีที่ผมตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตลำพัง หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้กลับไปบ้านอีกเลย ช่วงแรกผมใช้เงินเก็บที่ได้จากการทำงานเช่าห้องพักที่เหมาะกับเงินที่มี ซึ่งอยู่ในแหล่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนและร้านสะดวกซื้อที่ผมทำงานอยู่ ผมทำล่วงเวลามากชั่วโมงขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเติมจากพาร์ทไทม์ที่ทำอยู่ ผมจึงได้มีเงินเก็บมากขึ้นจากวงจรยังชีพที่ผมเลือกเอง

ผมมีเงินเก็บสำหรับส่งตัวเองเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในระยะเริ่มต้น ในระหว่างที่ผมใช้ชีวิตในคราบนักศึกษา ผมคงใช้ชีวิตอยู่ในวงจรเดิมสักพักเพื่อหารายได้ยังชีพสักพัก ก่อนที่ผมจะเรียนจบ มีงานที่มีรายได้มากกว่าเดิมทำ ซึ่งผมก็ยังไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะอยากจะเป็นอะไรหลังจากนี้ คนอย่างผม ฝันอะไรมากไม่ได้ ตัวเลือกไม่ได้มีตัวเลือกให้สำหรับคนทุกชีวิต ผมไม่ขอระบุเจาะจง มันอาจเป็นงานอะไรก็ได้ แต่แค่อยากหารายได้ให้มากกว่าเดิมและไม่ต้องเหนื่อยเหมือนที่แล้วมาก็พอ

ในที่สุดเวลาช่วงเวลาที่ผมสมควรข้ามผ่านมัธยมปลายก็มาถึง ผมมองเพื่อน ๆ ในงานวันรับใบประกาศนียบัตร พวกเขามีทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้องมาร่วมแสดงความยินดี รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของผู้ปกครองทุกคนดูมีความสุข ผมก้มหน้ามองปลายรองเท้าของตนเอง พระอาทิตย์ส่องผ่านตัวผม ผมมองไม่เห็นเงาบนพื้นของตัวเอง ตอนนั้นผมรับรู้ได้ทันทีว่าตนเองเดียวดาย ผมคิดถึงครอบครัวที่เคยมี ผมอยากมีคนร่วมยินดี ถึงแม้ว่ามันเป็นเพียงความสำเร็จเล็กน้อย หากแม่ยังอยู่แม่คงภูมิใจและดีใจที่ผมเรียนจบการศึกษาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง แต่ตอนนี้มีผมเพียงคนเดียวที่เป็นครอบครัวตัวเอง น้ำตาของผมค่อย ๆ เอ่อปริ่มใจ ผมรู้สึกอยากหายไปจากตรงนั้นในทันที

หลังจากจบงาน ผมบอกลาเพื่อน ๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะแยกย้ายไปใช้ชีวิตของแต่ละคน เย็นวันนั้นผมกลับถึงห้องพักผมก็ทิ้งตัวลงนอนไปที่เตียงอย่างร่างไร้วิญญาณ เรื่องราวทุกอย่างอัดอั้นอยู่ภายในหัวใจ พาให้น้ำตาไหลออกมาเองอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ความรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจเกิดขึ้นเป็นระลอกราวกับคลื่นในทะเลที่ชัดเข้าหาชายฝั่งเป็นระยะ คำถามล้านแปดที่ผมไม่เคยตอบได้วนเวียนอยู่ในหัวของผม บางครั้งผมก็เห็นความน่าสมเพชของตนเองผ่านความสุขของคนอื่น อย่างน้อยผมก็ควรได้สัมผัสกับความรู้สึกดี ๆ อย่างพวกเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ผมพยายามสังเคราะห์มันอยู่หลายคราว แต่มันคงไม่เสมือนพอที่จะทำให้ผมสัมผัสมันได้จริง ค่ำวันนั้นผมครุ่นคิดจมอยู่กับมันจนสมองของผมคงจะเหนื่อยล้า จนทำให้ผมเผลอหลับไปในที่สุด และรู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็ตอนที่โทรศัพท์มือถือดังเตือนให้ผมเข้าทำงานกะดึก

หลายวันถัดมา ถึงวันที่ทางโรงเรียนกำหนดให้นักเรียนที่เรียนจบไปรับใบวุฒิการศึกษา เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานในการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมไปตามนัด รีบรนรานตื่นเพราะผมเพิ่งได้ออกกะดึกมาตอนตีสี่ ได้นอนเพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น มาถึงโรงเรียนก็รีบเข้าไปรับสิ่งที่ต้องใช้มาในทันที ไม่มีเวลาทักใคร

ผมเดินดุ่ม ๆ ไปเรียกวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่จอดอยู่หน้าโรงเรียน ปกติผมจะประหยัดใช้รถสองแถวหรือรถประจำทางในการเดินทาง แต่วันนี้ผมรู้สึกเพลีย อาจเป็นเพราะพักผ่อนน้อยจึงไม่อยากจะอยู่ท่ามกลางแสงกลัวว่าจะหน้ามืดเอาง่าย ๆ ในระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงคนตะโกนแว่ว ๆ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งหางตาของผมเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาอย่างเร็ว ๆ

“ไม่เจอกันนานเลยนะ...พี่ชาย”

‘กูเป็นลูกคนเดียว’ น้ำเสียงแบบนั้น ทำให้ความคิดในหัวของผมแล่นไปสวนไปอย่างสุดโต่ง ก็ผมเป็นลูกคนเดียว และผมไม่มีน้องหน้าตาเหมือนมัน

เพราะมันคือลูกติดของผู้หญิงที่ผมเกลียดจนเข้ากระดูกดำ ผมเคยเจอมันผ่าน ๆ ที่บ้านของผมเมื่อหลายปีก่อน พอผมเห็นมันเดินมาทางผม ผมก็รู้สึกเอือมระอาจนอยากจะเดินหนีไปเสียห่าง ๆ แต่เดชะบุญที่ถึงคิวผมเสียก่อนผมจึงไม่ต้องเสียแรงเดินหนีมัน ไม่กี่นาทีวินมอเตอร์ไซค์ก็พาผมกลับมาถึงห้องเล็ก ๆ ที่ผมอยู่ ผมเรียกห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี่ว่าบ้านมานานหลายปี และผมไม่อายที่จะรีบถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกาย เพราะมันเป็นพื้นที่ปลอดภัยของผม จากนั้นผมก็เข้าไปอาบน้ำเพราะรู้สึกเหนียวตัวเหนอะหนะจากความร้อนระอุที่ผมไม่ค่อยได้สัมผัสมันสักเท่าไร

น้ำจากฝักบัวชำระค่อย ๆ อาบรดลงบนศีรษะของผม ความอุ่นของน้ำจากแท็งก์ของที่พักทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายความอ่อนเพลียลงได้บ้าง ในขณะที่ผมกำลังรู้สึกสบายตัว หูก็เหมือนว่าจะได้ยินเสียงเคาะที่ประตู ผมไม่ได้คิดอะไรมากเพราะผมไม่มีเพื่อน การไปมาหาสู่จึงไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยสักเท่าไหร่ ผมจึงปล่อยให้เสียงเคาะดำเนินต่อไปอีกหลายครั้ง จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น...

“อยู่หรือเปล่า?”

ผมได้ยินไม่ค่อยชัด จึงคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันเข้ากับตัวแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำเพื่อทำให้แน่ใจว่ามีใครกำลังมาเรียกผมอยู่ที่หน้าห้องหรือจะเป็นเสียงเคาะของจากข้างห้องที่ผมมักได้ยินอยู่เสมอ

‘เห้ย!’

ผมปลดโซ่คล้องประตูก่อนที่จะใช้มือเปิดลูกบิด ยังไม่ทันได้ตั้งสติ คนที่ยืนอยู่หลังประตูก็ผลักประตูเข้ามา เอื้อมมือมาไหล่จนผมเซไป ผมได้แต่ตกใจก่อนที่จะเพ่งมองดูให้ชัดอีกที จึงเห็นรู้ว่าเจ้าของเสียงเคาะคือลูกชายของเมียใหม่พ่อ

“เมื่อกี้ทำไมไม่ทัก อุตส่าห์รีบเดินเข้าไปหา...หยิ่งเหรอ?”

“เรื่องของกู...”

“ก็แค่อยากรู้ว่าพี่เป็นยังไงบ้าง หายหน้าหายตาไปนาน คนเคยเป็นพี่เป็นน้องกัน จะทักทายกันบ้างไม่ได้หรือไง!” ผมได้แต่ยืนนิ่ง นึกขยะแขยงกับสิ่งมันกำลังพูด ใครจะไปนับญาติกับมัน...ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ไม่เคยมีน้อง

“ห้องรูหนูของพี่ก็ไม่ได้แย่นะ...” แขกไม่รับเชิญ กวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องก่อนที่จะหันมาพูดกับผม มันเห็นผมนิ่งเฉยก็เลยพูดต่อไปเรื่อย ๆ

“แค่...มันเล็กกว่าห้องที่บ้านที่พี่เคยอยู่มากเลยนะเนี่ย ห้องนั้นน่ะ กว้างก็กว้าง เตียงก็นุ่ม ผมยังนึกพี่ทุกวันที่นอนลงทับบนที่ของพี่..” ผมกำหมัดแน่นเพราะรู้สึกเจ็บใจที่มันยังลอยหน้าอยู่ที่บ้านที่แม่ผมสร้างมา

“...แต่เอาเป็นว่าจะบอกพ่อว่าพี่สบายดีละกัน...พ่อจะได้หมดห่วง” มันยังคงลอยหน้าลอยตาพูด

ผมก็รู้สึกตลกกับความคิดของมันที่คิดว่าพ่อเป็นห่วงผม พ่อไม่มีทางเป็นห่วงผมอย่างแน่นอน ผมแน่ใจได้ เพราะพ่อไม่เคยไปหาผมที่โรงเรียนเลย ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าผมเรียนอยู่ที่เดิมตลอดสามปี

“ไม่ต้องเสือก...เรื่องของกูกับเขา ไม่ใช่เรื่องของมึง” ผมตอบโต้ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูออกกว้าง

“ออกไป...!” ผมออกปากไล่คนที่สีหน้าไร้ซึ่งความสลด แต่กลับเป็นผมเองที่ต้องสลด เมื่อคนถูกไล่เดินมาผลักประตูปิดดังปัง

“มึงคิดจะทำอะไร!?” ผมยังจำวันที่แม่มันพยายามทำบัดสีกับผมได้ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะคิดจะทำแบบเดียวกับแม่ของมัน

“ขาวเหมือนกันนะพี่ชาย...ผิวงี้เนียนเชียว” ผมมองจ้องกริยาที่ไม่ปกติของมัน ก่อนที่จะหันไปคว้าโทรศัพท์ คิดว่าจะโทรหานิติบุคคล แต่เหมือนว่ามันจะรู้ทาง คว้าเอาข้อมือของผมไว้แน่นแล้วเหวี่ยงผมลงไปที่เตียง ลำตัวของผมกระแทกเข้ากับเตียง เจ็บไม่มากแต่ก็รู้สึกจุก ปวดหน่วงที่หน้าท้องจนลุกขึ้นลำบาก แต่พอผมพยุงตัวลุกขึ้นมาได้มันก็เดินเข้ามาอัดหมัดเข้ากับท้องของผมสองสามครั้ง จนผมลงไปกองบนเตียงอีกครั้ง

มันล้วงเอากล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ออกมาจากในกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะรีบร้อนถอดกางเกงของตัวเองออก ใช้ปากฉีกกล่องกระดาษที่อยู่ในมืออย่างหยาบ ผมจึงได้รู้ว่าสิ่งนั้นคือถุงยางอนามัย

“ย ยะ อย...” คำขอร้องที่ติดอยู่ในลำคอของผม ไม่อาจเข้าถึงจิตสำนึกของมันได้ สิ่งที่มันเตรียมมาคือความตั้งใจพร้อมกับความมักมากที่อยู่เต็มด้ามของลับของมัน

มันเดินตรงเข้ามาใช้มือข้างหนึ่งกดหัวผมติดไว้กับเตียง สะบัดผ้าขนหนูที่ผมพันเอาไว้บนตัวออกไปกองไว้บนพื้น ส่วนอีกมือบีบเจลหล่อลื่นออกจากหลอด ชโลมลงทั่วลำแก่นของมันก่อนที่จะจัดท่าทางให้กับสะโพกของผม ผมรู้สึกเย็นวาบตรงบริเวณทวารหนักหลังจากที่ถูกเจลหล่อลื่นโปะลงอย่างลวก ๆ จากนั้นมันก็เริ่มล่วงล้ำและหาประโยชน์กับร่างกายของผม ผมรู้สึกถึงความจุกหน่วงอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกับโดนหมัดต่อยรัวบนหน้าท้องทั้ง ๆ ที่ตำแหน่งที่กำลังถูกกระทำไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้นเลย

“มึง ง มึ ง ย ยะ หยุ...ด...อะ ไอ้ เหี...” เสียงก่นด่าและขอร้องของผมสลับกันไป ดังบ้างเบาบ้างแล้วแต่จังหวะการกระทำของมัน

“อ้า...อ๊ะ....เสียวจังพี่ชาย” อวัยวะของมันแทรกเข้าผ่านจุดปลายทวารหนักของผม มันทั้งหนักทั้งหน่วง ทั้งปวดพร่าและจุกจนร้องออกมาไม่มีเสียง จะมีก็เพียงเสียงเนื้อสะโพกของผม ผสานกับเสียงต้นขาของมันระคนกับเสียงครวญครางที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ผมเจ็บใจมากขึ้นเป็นทวีคูณแต่ผมไม่สามารถขัดขืนอะไรมันได้เลย ทำได้เพียงแค่ทนรับการกระทำของมัน ทนให้สัตว์นรกข่มแหงรังแก ผมเห็นตัวเองผ่านกระจกเงาได้แต่เก็บความคลั่งแค้นไว้ภายในหัวใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี

ผมทนเป็นเบี้ยล่างให้มันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งมันสุขสมไปหลายครั้ง ในที่สุดมันก็ถอยห่างออกจากผมดึงถุงยางออกจากแก่นกายของมัน ผมนึกโล่งอกที่ทุกอย่างสิ้นสุดลง แต่เมื่อมันช้อนตัวผมหงายขึ้น แล้วลากผมเข้าไปชิดที่หัวเตียงผมก็รู้ว่าการกระทำเลวทรามของมันยังไม่สิ้นสุด

ไอ้เดรัจฉานมันใช้ขาทั้งสองข้างกดทับแขน สอดหมอนรองต้นคอผมไว้ ก่อนที่มันจะยัดเยียดท่อนเอ็นของมันเข้ามาที่ปากของผม ผมไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืนจึงปล่อยให้ทำรักกับปากของผม จนมันเสร็จความใคร่ไปหลายคราว

“แม่กูไม่ได้มึง...แต่กูได้ฟาดมึงทั้งตูดทั้งปาก แม่งเอามันจริง ๆ” มันกระซิบลงข้างหูของผม ผมได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บแค้น กัดฟันอดทนจนสันกรามบนใบหน้าขึ้นนูน ผมไม่อยากฟังคำอันน่าขยะแขยงของมันแต่ก็ทำได้แต่เพียงหลับตา

พักหนึ่งมันก็ผละจากผมไปเข้าห้องน้ำ ผมใช้ช่วงเวลานั้นคลานลงจากเตียงอย่างทุลักทุเล ไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่โชคดันไม่เข้าข้างผม มันเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพอดี

“มึงจะทำอะไร!?” มันตรงเข้ามาคว้าโทรศัพท์ในมือของผมคว้างไปที่เตียง ผมได้แต่หันมองตามไป ภายในใจอธิฐานอย่าให้โทรศัพท์ตกลงบนพื้น ผมไม่อยากเสียตัวแล้วต้องเสียของอีก

“มึงจะแจ้งความเหรอ...” มันตรงเข้ามาจิกศีรษะของผม พร้อมกับตะโกนใส่หน้า ผมได้แต่หลับตานิ่ง กลัวว่ามันจะทำร้ายผมมากกว่านี้

“แค่คิดก็โง่แล้วไอ้ควาย...ตำรวจเขตนี้น่ะ สนิทกับแม่กูทั้งเขตนั่นแหละ!!” มันตะโกนใส่หน้าผมอีกครั้งแววตาของมันเย้ยหยันสภาพที่ผมกำลังเป็นอยู่

ผมไม่ได้นึกกลัวที่เมียใหม่ของพ่อจะสนิทชิดเชื้อกับคนมีสีทรงอิทธิพลในเขต แต่ผมกลัวว่ามันจะทำร้ายผม ซึ่งผมอาจไม่รอด เพราะความถ่อยและไม่ละอายต่อบาปของมันทำให้ผมคิดดีกับมันไม่ได้เลยสักเรื่องเดียว

มันกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ผมก็รีบคลานไปหยิบโทรศัพท์มือถือ พบว่ามันยังอยู่ดี ผมก็โล่งอก พอได้ยินเสียงลูกบิดประตูห้องน้ำผมก็แสร้งรีบทำเป็นนอนท่าเดิมอยู่บนพื้น

มันเหลียวมองผมที่นอนอยู่บนพื้นนิดหนึ่งก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของผม มันเริ่มรื้อค้นข้าวของที่ลิ้นชักโต๊ะ ตรงนั้นมีเงินที่ผมเก็บเอาไว้สมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมรู้สึกใจไม่ดีกลัวว่ามันจะเจอกับเงินที่ผมเก็บเอาไว้

“มึงจะทำอะไร...ทำเหี้ยเสร็จแล้วก็กลับไปได้แล้ว!!” ผมออกปากไล่ส่ง

“อย่าเสือก!!” มันหันมาถลึงตาใส่ผมให้หยุดยุ่งกับการกระทำของมัน

“มึงหยุดเดี๋ยวนี้นะ แค่มึงทำกับกูมันยังไม่พอใจมึงอีกเหรอ มึงจะค้นอะไรในห้องกูอีก!!” ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง แต่มันก็ไม่ฟังยังคงรื้อค้นข้าวของของผมอย่างไร้ความเกรงใจ

“โห...นี่มันขุมทรัพย์ย่อย ๆ เลยนะเนี่ย!!” ผมเห็นซองเงินของผมในมือของมัน ใจผมหายวาบขึ้นมาทันที

“ยะ อย่า เอาเงินนั่นไปเลยนะ...กูขอล่ะ มึงเอากูแล้ว กูไม่เอาเรื่องมึงก็ได้ แต่กูขอเงินนี่ไว้เถอะนะ กูเก็บไว้จ่ายค่าเทอม”

“ค่าเทอมเหรอ...แม่รักเรียนจังนะ คุณพี่ชาย” น้ำเสียงเยาะหยันของมันทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่ามันจะไม่ทำตามคำขอร้องของผมเป็นแน่

“เงินเมีย ก็เงินผัวเหมือนกัน กูเอาไปใช้ก่อนละกัน!”



ผมรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แค้นมากที่มันมาทำระยำกับผมไม่พอ ยังชิงเอาอนาคตที่ดีของผมไป เงินที่ผมเพียรตั้งใจเก็บจากน้ำพักน้ำแรง ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีพยุงร่างอันเปลือยเปล่าของตนเอง เข้าไปยื้อซองเงินมือของมัน

“ทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย...” ผมถูกผลักอย่างแรงจนล้มกับพื้น พร้อมกับสิ่งที่อยู่ในมือ

ผมก้มหน้ามองสิ่งที่ผมกำไว้ในมือแน่น มันไม่ใช่ซองเงิน แต่เป็นชายแขนเสื้อของมัน ผมเห็นหลังมันเดินผ่านประตูออกไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับมา ผมก้มหน้าร้องไห้ กำเศษผ้าที่มันทิ้งไว้ให้ผมดูต่างหน้า จนสายตาของผมก็มืดดับไปในที่สุด.......