”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล - บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.4ความกลัวและความโดดเดี่ยวที่เจือจาง โดย Jigsaws X VIIII @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด,บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า

รายละเอียด

”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

ผู้แต่ง

Jigsaws X VIIII

เรื่องย่อ

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.2559 และ (พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ทุกฉบับที่มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์อันเป็นของเจ้าของผลงานทุกประการ)

ไม่อนุญาตให้คัดลอก ปลอมแปลง ดัดแปลง สแกนหนังสือ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหา เพื่อสร้างฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือทางอื่นทางใดก็ตาม รวมถึงภาพปกนิยายและภาพประกอบนิยายในเล่มด้วยประการเดียวกันทั้งสิน



เรื่องย่อ : นิว เด็กหนุ่มที่กลายมาเป็นจำเลยในชั้นศาล เพราะคดีบางอย่างที่เขาได้ทำไว้ ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลได้อนุญาตให้เขาได้เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด จำเลยหนุ่มจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เขาได้เจอ ได้เห็น และได้กระทำลงไป จากคนที่เคยใสสะอาด กับต้องมาแปดเปื้อนเพราะเหตุการณ์บางอย่าง แต่อีกไม่ช้าความจริงของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น กำลังจะถูกเปิดเผยในชั้นศาล…!!!!!


เรื่องราวทั้งหมดของเขาจะถูกเล่าผ่านในชั้นศาลด้วยกันทั้งหมด 3 บท ได้แก่


CHAPTER 1 : MY MISERABLE LIFE > บทที่1 ชีวิตที่เหลวแหลก 6 ตอน


CHAPTER 2 : BIRTH OF NEW LIFE > บทที่2 เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง 10 ตอน


CHAPTER 3 : I KILL YOUR IDOL > บทที่3 เมื่อผมฆ่าไอดอลของคุณ 8 ตอน


Coming soon 2024


*หากมีการถยอยลงนิยายบทที่1จำนวน6ตอนแล้ว

ตอนที่1-3จะเปิดให้อ่านฟรี ส่วนตอนที่4-6จะขอติดเหรียญนะครับ เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายทำปกนิยายหรือค่าใช้จ่ายต่างๆในอนาคตครับ


***ประกาศ WEDDING UNVERSE TIMELINE***     ผมจะขยาย WEDDING UNVERSE TIMELINE ออกมาอีก 2 ภาค เพื่อเป็นการปิดจักรวาลนี้ให้จบเรื่องราวทั้งหมด และจะไม่แต่งเพิ่มต่ออีกเนื่องจากไม่มีไอเดียที่จะสารต่อ ถึงมีมันก็อาจจะวกวนอยู่หลูบเดิม ผมจึงมีแพลนแต่งอีกแค่2ภาคเพื่อขยายเนื้อหาบางส่วนให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อปิดจักรวาลนี้ ใครสนใจก็สามารถรอติดตามได้ในอนาคตนะครับ 



สารบัญ

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.1วัยเด็กที่น่าจดลืม,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1:ชีวิตที่เหลวแหลก 1.2วัยรุ่นที่แตกสลาย,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.3ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.4ความกลัวและความโดดเดี่ยวที่เจือจาง,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.5ความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.6ชีวิตที่วนลูป

เนื้อหา

บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.4ความกลัวและความโดดเดี่ยวที่เจือจาง

ช่วงเวลาที่โหดร้ายยังคงเฝ้าหลอกหลอนผมทุกครั้งที่หลับตาลงไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ผมสะดุ้งตื่นขึ้นทุกครั้งที่เห็นตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับการกระทำที่ต่ำช้ากว่าสัตว์นรกพร้อมกับคราบน้ำตาบนขอบตา อาจเป็นเพราะผมยังอยู่ในสภาพแววล้อมแบบเดิม ความทรงจำและความรู้สึกที่เลวร้ายจึงย้อนกลับมาทำร้ายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมจึงเริ่มมีความคิดที่จะย้ายออกจากห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ผมเรียกมันว่าบ้าน ถึงแม้ว่าผมจะผูกพันกับมันไม่น้อยแต่สภาพจิตใจของผมไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่ร่วมกับความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงทุกวัน

ผมตัดสินใจที่จะไปหาที่อยู่ใหม่ให้ไกลออกจากที่เก่าเพราะไม่ต้องการจะเจอหน้าของพ่อ เมียใหม่ของพ่อและลูกเลี้ยงของเขาอีก มันเป็นอพาร์ทเม้นท์แถวมหาวิทยาลัยที่ผมตั้งใจจะเข้าเป็นนักศึกษา ถึงแม้ว่าในตอนนี้ความฝันนั้นมันจะถูกทำลายลงไปแล้วก็ตาม ในระหว่างที่ผมทยอยเก็บข้าวของทุกอย่างเพื่อย้ายออก ผมก็ไม่ลืมทำบอกเรื่องสำคัญนี้กับผู้จัดการร้านเพราะจู่ ๆ ผมจะหายจากเขาไปอย่างไร้ความรับผิดชอบไม่ได้ แม้ว่าเรื่องราวส่วนตัวของผมจะหนักหน่วงสักแค่ไหน เรื่องงานก็เป็นเรื่องสำคัญกับผมอย่างมาก เพราะมันยังชีพผมได้ และเป็นเพราะผู้จัดการร้านทำให้ชีวิตของผมไม่ขาดแคลนรายได้ หลังจากที่เขาได้รับรู้ความจำเป็นของผม เขาจึงทำเรื่องให้ผมไปทำงานอยู่ที่ร้านใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ทำให้ผมรู้ว่าอย่างน้อย เพื่อนมนุษย์ก็ไม่ได้โหดร้ายกับผมทุกคน ยังมีบางคนใจดีกับผมอยู่บ้าง

จากนั้นผมก็ย้ายที่อยู่พร้อมกับได้เข้าทำงานที่ร้านสะดวกซื้อกับบริษัทเดิม เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมควงทั้งกะเช้ากะดึก มีนักศึกษาเดินเข้าออกร้านใช้บริการทั้งวัน ทำให้ความเหงาถอยห่างจากผมไปได้มาก ผมมองนักศึกษาเหล่านั้น คิดว่าสักวันผมอาจจะพร้อมที่จะเป็นนักศึกษาที่นี่ ผมยังอยากเรียนหนังสือ แต่เป้าหมายไม่ใช่เพื่ออนาคต แต่เป็นเพียงแค่เติมเต็มฝันให้ตัวเองเท่านั้น

ในหนึ่งวันของการทำงาน ผมได้พักสองครั้งคือระหว่างกะแรก และระหว่างต่อกะ วันนี้ผมต่อกะช่วงเย็น ผมเลยใช้เวลานั้นนั่งกินอาหารเย็นไปด้วย ผมกินไป มองนักศึกษาที่เดินคุยกันอย่างคึกครื้นเป็นคณะกันไป ผมยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว ผมฉกฉวยความสุขที่ไม่ต้องซื้อหาจากพวกเขา บางคนเห็นผมยิ้มก็หันมายิ้มให้กับผม นานมากแล้วที่ไม่เคยมีใครยิ้มให้ผม แม้ว่านัยแววตาของพวกเขาจะว่างเปล่าก็ตาม รอยยิ้มของพวกเขาในวันนั้นทำให้ผมเป็นสุขจนเริ่มผ่อนคลาย ผมกินข้าวเสร็จนั่งเท้าคางกับโต๊ะม้าหินได้สักพักก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาในความคิด

“คุณครับ คุณ!!”

“ค คะ ครับ!” ผมสะดุ้ง ก่อนหน้านี้รู้สึกเพลียมาก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน

“คุณสบายดีไหมครับ...ผมเห็นคุณฟุบหน้าลงกับโต๊ะตั้งแต่ผมขึ้นตึกไปเรียนแล้ว”

ผมเบิกตาโตรีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงที่ผมทำอย่างที่เขาว่า

“ขอบคุณที่ปลุกนะครับ ไม่งั้นผมคงเข้างานกะต่อไปไม่ทันแน่”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอของเขาทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ใบหน้าที่ถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากอนามัยมีเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ส่งมาให้ผม


“สวัสดีครับ เชิญครับ” ผมเริ่มกล่าวประโยคทักทายครั้งแรกหลังหกโมงเย็นของทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน ผมพูดทักทายทุกคนที่ผ่านประตูเข้ามาในร้านด้วยถ้อยคำเดิม แต่วันนี้ผมกลับต้องประหลาดใจเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้แล้วส่งยิ้มให้ผมขณะที่ผมกำลังเติมของเข้าในชั้น

“สวัสดีครับ...”

“ครับ สวัสดีครับ...ผมเกะกะหรือเปล่า” ผมถอยห่างออกมานิดพร้อมกับเลือนลังใส่ของออกจากหน้าตู้แช่

“ไม่ต้องเลื่อนหรอกครับ ผมแค่ทักทายไม่ได้อยากได้อะไรในตู้” ผมรู้สึกคุ้นเสียงแต่ไม่คุ้นหน้าจึงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง

“จำกันไม่ได้จริง ๆ หรือครับเนี่ย!”

ผมกระอักกระอ่วนที่ไม่รู้จะตั้งรับกับคำทักทายแบบนั้นอย่างไรไม่ให้เสียมารยาท

“ขอโทษจริง ๆ นะครับ ผมเจอลูกค้าเยอะน่ะครับเลยจำใครไม่ค่อยได้ ขอโทษด้วยครับ” ผมผงกหัวลงนิดหนึ่ง ยอมเสียมารยาทที่จะจำลูกค้าไม่ได้

“เราเจอกันเมื่อวานไงครับที่โต๊ะมาหิน” เขาชี้มือไปนอกร้าน ผมจึงจำได้ขึ้นมาทันที

“อ้อ...ครับ ต้องขอบคุณเรื่องเมื่อวานนะครับ” ผมขอบคุณซ้ำ

“ผมไม่ได้อยากได้คำขอบคุณอีกครั้งหรอกครับ ผมแค่มาทักทายพี่ก็เท่านั้นเอง” สีหน้าเขาดูยิ้ม ๆ เขาคงนึกถึงหน้าผมที่ดูยุ่งเหยิงตอนงัวเงียก็เป็นได้ ถึงผมจะรู้สึกอายกับสภาพที่เขาได้เห็นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากพยักหน้าส่งยิ้มให้กับเขา

“ทำงานหนักเกินไปละนะครับ...หาเวลาพักบ้างก็ดีนะ”

หลังจากที่พูดจบ เขาเดินไปหยิบของที่อยากซื้อทำการจ่ายเงินแล้วเดินออกไปจากร้าน เขาคงเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของผมและแค่เพียงหวังดีกับเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น แต่อย่างน้อยความห่วงใยของเขาทำให้ผมรู้ว่าอย่างน้อยผมก็มีตัวตนบนโลก

วันนั้นผมอยู่โยงจนถึงอีกกะในตอนเช้า เพราะวันนั้นกว่าคนเปลี่ยนกะจะมาถึงก็กินเวลาที่ผมจะออกไปไปเกือบชั่วโมง แต่นั่นก็คงเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้ผมได้เจอกับเขาอีกครั้ง

“ขยันจังนะครับ มาทำงานแต่เช้าเลย” ผมหันมองไปตามทางเสียง จึงได้เห็นชายหนุ่มคนเดิมยืนยิ้มให้ผม

“ผิดแล้วล่ะครับ...ผมน่ะยังไม่ได้กลับไปพักเลยต่างหาก” เขาทำตาโต ดูตกใจกับสิ่งที่ผมพูด

“ไม่ได้พักผ่อน ร่างกายจะแย่เอาได้ง่าย ๆ นะครับ” ผมได้แต่ยิ้มตอบ

ผมไม่กล้าสานไมตรีกับใคร ไม่อยากเป็นเพื่อนใครและไม่อยากให้ใครมาเป็นเพื่อนผม ชีวิตของผมแม่งโคตรแย่ ผมไม่อยากให้พวกเขารู้หลายเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตผม เพราะวันหนึ่งพวกเขาอาจเกลียดผมขึ้นมาเหมือนกับพ่อผมก็เป็นได้

“อันนี้ครับ...ผมเลี้ยง” ผมมองขวดเครื่องดื่มบำรุงสมองประเภทเปปไทน์สายสั้นที่เขายื่นให้

“รับไปเถอะครับพี่” ผมกล่าวคำขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา รู้สึกว่าสิ่งที่ได้รับมาไม่ใช่เพียงขวดเครื่องดื่ม แต่มันแฝงบางสิ่งเอาไว้ในเจตนาของเขา

“หนึ่งร้อยยี่สิบห้าบาทครับ” ผมทวนจำนวนเงินที่เขาต้องชำระ ก่อนที่จะยื่นใบเสร็จให้

“ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ”

“เช่นกันนะครับ” ผมตอบ

ผมเองก็อยากมีวันดี ๆ อย่างที่เขาพูดเหมือนกัน อยากเห็นหน้าตาว่ามันจะเป็นวันแบบไหน เพราะเท่าที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่เป็นวันดี ๆ เลยสักวันหลังจากที่แม่จากไป แม้แต่คำพูดดี ๆ ผมก็แทบจะไม่เคยได้ยิน วันดี ๆ ของผมขอเป็นสักวันที่ผมสบายใจก็พอ หลังจากที่ผมออกกะ ผมดื่มเครื่องดื่มที่นักศึกษาหนุ่มนั่นให้ไว้กับผม ผมแอบอธิฐานในใจอยากให้วันนี้เป็นวันที่ดี

จากนั้นผมก็เริ่มเจอกับที่ร้านเขาบ่อยขึ้น ความคิดของผมเตลิดไปนิดหนึ่งเพราะคิดว่าเขามาหาผมทั้ง ๆ ที่สถานที่ที่ผมทำงานอยู่เป็นร้านสะดวกซื้อที่ใคร ๆ ต่างก็มาที่นี่กันได้วันละหลาย ๆ ครั้ง ไม่มีใครมาเพื่อคิดถึงพนักงานในร้านผมฝังความคิดเข้าหัวตัวเอง จนกระทั่งผมรู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหลัง

“มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวล่ะครับพี่ ผมเดินหาทั้งร้านไม่เจอ” ผมหันมองตามเสียง พอเห็นว่าเป็นคนที่ผมรอ หัวใจก็รู้สึกเป็นสุขขึ้นมา

“ก็นั่งตรงนี้ทุกวัน” ผมตอบไปยิ้มไป

“ผิดที่ผมเองสินะ...ที่ไม่รู้น่ะ” เขาทำเสียงอ่อยราวกับเด็กน้อยที่ผิดหวัง

“ผมเลี้ยงฮะ!” ผมมองแก้วน้ำที่ยื่นมาตรงหน้า แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา

“เครื่องดื่มอะไร...ชื่อประหลาด” ผมพึมพำ พาให้คนตรงหน้าหัวเราะออกมา

“ไม่ใช่หรอกฮะ...นั่นชื่อผมเอง...เคโอ”

นี่คงเป็นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการของเจ้าหนุ่มนี้สินะ ดูท่าทางเขาจะอยากผูกมิตรกับผมอย่างจริงจัง ผมเองก็อยากมีเพื่อนสนิท และผมจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะอยากสนิทกับผม อย่างที่ผมอยากสนิทกับเขา

“วันนี้ไม่มีเรียนหรือไง วิ่งเข้าวิ่งออกซื้อแต่ของเลี้ยงคนอื่นเขา บ้านรวยหรือไงเราอะ” ผมแกล้งกระเซ้า

ตั้งแต่เคโอเข้ามาสร้างสีสันในชีวิตผม ผมรู้สึกว่าเข้าถึงความสุขได้ง่ายขึ้น จนเพื่อนร่วมงานทักว่าผมอารมณ์ดีขึ้นและสดใสกว่าที่เคยเป็น นั่นอาจเป็นเพราะผมไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนที่แล้วมา

แต่ความรู้สึกของผมมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจผมอยากให้เป็น ทั้ง ๆ ผมกำลังจะมีสังคมใหม่ แต่ผมก็กลัวที่จะออกมาจากพื้นที่ปลอดภัย ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งคือส่วนหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวผมไว้ไม่ให้เปิดใจออกมา รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตผมทำให้ผมไม่กล้าที่จะไว้ใจใครอีกเลย

“เราไปเที่ยวด้วยกันเถอะนะพี่ ผมอยากให้เราไปด้วยกัน”

คำว่าเราในความหมายของผมมันมีความหมายมาก เหมือนว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของเขา และเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของผม และเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

“ไปกันเถอะ ผมอยากพักมากกว่า” แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้

ไม่ว่าผมจะปฏิเสธเสียงแข็งอย่างไร ดูเหมือนเคโอจะไม่เคยสิ้นสุดความพยายามที่จะทำให้ผมออกไปแตะขอบฟ้าเคียงข้างเขา

“ทำงานร้านสะดวกซื้อเขาหยุดกันวันไหนเหรอพี่?”

“ก็วนกัน พนักงานในร้านทุกคนจะมีวันหยุด หยุดได้ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำไมเหรอ?” ผมตอบออกไปอย่างบริสุทธิ์ใจ

“ถ้าอย่างนั้น...พี่ไปดูหนังกับผมนะ...ผมเลี้ยง” คำตอบของผม ติดกับดักคำถามของคนหน้าซื่ออย่างเคโออย่างง่ายดาย ผมจึงเหลือบตามองคนเจ้าเล่ห์เพราะติดเติมวางของในชั้นอยู่

“นะ นะ แถวนี้เองใกล้ ๆ”

“ไม่รับปากอะ” ผมเอ่ยปฏิเสธเป็นนัย

“ผมไปกับเพื่อนจนเบื่อแล้วน่ะ อยากไปกันแค่สองคนบ้าง” คำเชิญชวนของเขาดูทะแม่ง ดูเหมือนมีเลศนัยชวนให้สงสัย

“มีอะไรปะเนี่ย แปลก ๆ นะเรา” ผมปรายตามองคนเซ้าซี้ ผมไม่คิดหรอกว่าเคโอจะทำอย่างที่ลูกเลี้ยงของพ่อทำ ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงมั่นใจอย่างนั้นแต่ผมก็มั่นใจอย่างนั้นจนน่าแปลกใจ

“ตื้อตั้งนานละเนี่ย ตกลงไปไหม?”

“โอเค ๆ ไปก็ได้”

ผมทนความตื่นเต้นในใจของตัวเองไม่ไหว เลยรีบตอบตกลงไป เขาจะได้หยุดทำเสียงราวกับลูกแมวน้อยอ้อนผมเสียที

“พี่อยากดูเรื่องอะไร เลือกเลย ผมดูตามพี่ได้หมดทุกเรื่อง”

“เดี๋ยวนะ...พี่อยากดูเรื่องอะไรเหรอ คนอยากดูคือเธอต่างหากไม่ใช่พี่”

“นั่นซินะ...งั้นเราไปยืนเลือกพร้อมกันที่หน้าโรงเลยละกันเนอะ”

คำตอบของผม ทำให้เคโอสงบอาการตื้อของเขาลงได้ ผิดกับผมที่รู้สึกเป็นกังวลเพราะไม่ชอบที่จะไปในสถานที่ใหม่ แต่ทุกอย่างต้องมีครั้งแรก ขนาดความเฮงซวยที่ไม่ได้เลือกยังยัดเยียดประสบการณ์อันเลวร้ายให้ผม แล้วหากนี่คือยาขนานเอกที่ช่วยให้ผมได้มีชีวิตท่ามกลางความสุขได้ ผมก็ควรจะกล้าคว้ามันไว้ด้วยความยินดี

ผมไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าเดทแรกได้หรือเปล่า เพราะผมไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไร เคโอขับรถคันหรูมารับผมที่อพาร์ทเม้นท์ มันหรูหราเกินจินตนาการจนผมไม่กล้าจะขึ้นไปนั่งเพราะกลัวจะไปทำอะไรเสียหาย เหมือนว่าเคโอจะรับความรู้สึกของผมได้ เขาจึงชวนผมคุยไปตลอดทาง ผมไม่ใช่เด็กแล้วการชวนคุยไม่ช่วยทำให้ผมรอบคอบหรือทำให้ความประหม่าลดลงไปได้เลย แต่ความเข้าใจในสิ่งนั้นจะทำให้ผมอยู่ร่วมกับมันได้เป็นอย่างดี ผมจึงเปลี่ยนการคุยสัพเพเหระเป็นการเรียนรู้กลไกง่าย ๆ ของห้องผู้โดยสารในรถ เพราะตอนกลับผมจะได้ไม่ต้องนั่งแข็งจนเกร็งอย่างตอนขามาอีก

รถวนขึ้นไปจอดชั้นบนสุด ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ผมไม่เคยมาที่โรงภาพยนตร์ เพราะครอบครัวของผมยากจนเรื้อรัง พวกเราไม่มีเงินใช้อย่างฟุ่มเฟือยเหมือนหลาย ๆ ครอบครัว การออกมาซื้อข้าวของตามห้างสรรพสินค้าจึงแทบไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตผม เท่าที่จำได้ผมเคยกินไก่ทอดแบรนด์ดังก็แค่ครั้งเดียวเป็นวันเกิดครบรอบสิบปีของผม

“ถังแบบนั้น...!”

ผมเผลอหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นเมื่อ เห็นถังที่ใส่ข้าวโพดป๊อปคอร์นที่ผมใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของตั้งแต่เด็ก

“พี่อยากได้เหรอครับ?” คำถามของเคโอทำให้ผมรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาบนหน้าในทันที ความอยากของผมช่างน่าละอาย ความอยากที่อยู่ในใจตลอดมา

“ไม่...” ผมตอบสั้น ๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่า ไม่ คือ ใช่ ในแววตาของผม

เคโอเดินตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์ขายข้าวโพดคั่ว เขาซื้อข้าวโพดถังใหญ่ที่สุดพร้อมกับน้ำอัดลมเดินตรงมาทางผม

“ผมกลัวอ้วนอะครับพี่ พี่ต้องช่วยผมกินนะ” คำเชิญชวนแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว

เดทครั้งแรกของผมกำลังจะสิ้นสุดลงหลังจากหนังเริ่มฉายชั่วโมงกับอีกสามสิบนาที ผมดูหนังไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไรเพราะมัวเพลิดเพลินกับความสุขที่ได้ยัดข้าวโพดคั่วใส่ปากอยู่ข้าง ๆ เคโอ

“ผมชอบแบบนี้จัง...”

ผมไม่รู้หรอกว่า แบบนี้ ในนิยามของเคโอหมายถึงอะไร ผมได้แต่ยิ้ม และเขาคงพูดถึงหนังที่เพิ่งจบไป

“ชอบเหมือนกัน ตอนจบมันแฮปปี้” ผมพูดไปตามความรู้สึกและความน่าจะเป็นของสถานการณ์

“เอาไว้เรามาด้วยกันอีกนะ...พี่บอกผมได้เลย ผมเลี้ยง เลี้ยงทุกเรื่องเลย เลี้ยงพี่ด้วยก็ได้...” ผมแอบยิ้มในใจเพราะรู้สึกลึกซึ้งและเป็นสุขกับคำพูดง่าย ๆ ของเคโอ

“ผมไม่ใช่แมวนะคุณ” เคโอยิ้มกว้างให้กับคำที่ผมพูดล้อเล่นกับเขา ผมเลิกพูดล้อเล่นหรือร่าเริงไปนานแล้ว ตั้งแต่ชีวิตเล่นตลกกับผม

“เอาน่า...จะซื้อแมวเลียให้ยกลังเลย” เป็นครั้งแรกที่ผมมองหน้าคนอื่นใกล้ ๆ แล้วยิ้มกว้าง ๆ ออกมา ผมกำลังก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง

ผมไม่อยากเชื่อว่าเพียงแค่รอยยิ้มของใครคนหนึ่งจะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่ผมคิดว่าจะไม่ได้พบเจอมันสิ่งที่เรียกว่าความสุขอีกแล้วตลอดชีวิต ผมจึงปิดตายมัน เลือกที่จะใช้ชีวิตเชิงเดี่ยวงดปฏิสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น ไม่อยู่แววล้อมใครและไม่อยากมีใครเข้ามาอยู่ในวงโคจร

แต่สำหรับเจ้าของแววตาอบอุ่นที่ผมต้องยอมให้อย่างเคโอ โชคชะตาคงจะส่งเขามาเปลี่ยนแปลงชีวิตผมและนำพาผมให้เปิดใจกับโลกอันกว้างใหญ่นี้อีกครั้ง