”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก
มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……
อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด,บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ช่วงเวลาที่โหดร้ายยังคงเฝ้าหลอกหลอนผมทุกครั้งที่หลับตาลงไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ผมสะดุ้งตื่นขึ้นทุกครั้งที่เห็นตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับการกระทำที่ต่ำช้ากว่าสัตว์นรกพร้อมกับคราบน้ำตาบนขอบตา อาจเป็นเพราะผมยังอยู่ในสภาพแววล้อมแบบเดิม ความทรงจำและความรู้สึกที่เลวร้ายจึงย้อนกลับมาทำร้ายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมจึงเริ่มมีความคิดที่จะย้ายออกจากห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ผมเรียกมันว่าบ้าน ถึงแม้ว่าผมจะผูกพันกับมันไม่น้อยแต่สภาพจิตใจของผมไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่ร่วมกับความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงทุกวัน
ผมตัดสินใจที่จะไปหาที่อยู่ใหม่ให้ไกลออกจากที่เก่าเพราะไม่ต้องการจะเจอหน้าของพ่อ เมียใหม่ของพ่อและลูกเลี้ยงของเขาอีก มันเป็นอพาร์ทเม้นท์แถวมหาวิทยาลัยที่ผมตั้งใจจะเข้าเป็นนักศึกษา ถึงแม้ว่าในตอนนี้ความฝันนั้นมันจะถูกทำลายลงไปแล้วก็ตาม ในระหว่างที่ผมทยอยเก็บข้าวของทุกอย่างเพื่อย้ายออก ผมก็ไม่ลืมทำบอกเรื่องสำคัญนี้กับผู้จัดการร้านเพราะจู่ ๆ ผมจะหายจากเขาไปอย่างไร้ความรับผิดชอบไม่ได้ แม้ว่าเรื่องราวส่วนตัวของผมจะหนักหน่วงสักแค่ไหน เรื่องงานก็เป็นเรื่องสำคัญกับผมอย่างมาก เพราะมันยังชีพผมได้ และเป็นเพราะผู้จัดการร้านทำให้ชีวิตของผมไม่ขาดแคลนรายได้ หลังจากที่เขาได้รับรู้ความจำเป็นของผม เขาจึงทำเรื่องให้ผมไปทำงานอยู่ที่ร้านใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ทำให้ผมรู้ว่าอย่างน้อย เพื่อนมนุษย์ก็ไม่ได้โหดร้ายกับผมทุกคน ยังมีบางคนใจดีกับผมอยู่บ้าง
จากนั้นผมก็ย้ายที่อยู่พร้อมกับได้เข้าทำงานที่ร้านสะดวกซื้อกับบริษัทเดิม เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมควงทั้งกะเช้ากะดึก มีนักศึกษาเดินเข้าออกร้านใช้บริการทั้งวัน ทำให้ความเหงาถอยห่างจากผมไปได้มาก ผมมองนักศึกษาเหล่านั้น คิดว่าสักวันผมอาจจะพร้อมที่จะเป็นนักศึกษาที่นี่ ผมยังอยากเรียนหนังสือ แต่เป้าหมายไม่ใช่เพื่ออนาคต แต่เป็นเพียงแค่เติมเต็มฝันให้ตัวเองเท่านั้น
ในหนึ่งวันของการทำงาน ผมได้พักสองครั้งคือระหว่างกะแรก และระหว่างต่อกะ วันนี้ผมต่อกะช่วงเย็น ผมเลยใช้เวลานั้นนั่งกินอาหารเย็นไปด้วย ผมกินไป มองนักศึกษาที่เดินคุยกันอย่างคึกครื้นเป็นคณะกันไป ผมยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว ผมฉกฉวยความสุขที่ไม่ต้องซื้อหาจากพวกเขา บางคนเห็นผมยิ้มก็หันมายิ้มให้กับผม นานมากแล้วที่ไม่เคยมีใครยิ้มให้ผม แม้ว่านัยแววตาของพวกเขาจะว่างเปล่าก็ตาม รอยยิ้มของพวกเขาในวันนั้นทำให้ผมเป็นสุขจนเริ่มผ่อนคลาย ผมกินข้าวเสร็จนั่งเท้าคางกับโต๊ะม้าหินได้สักพักก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาในความคิด
“คุณครับ คุณ!!”
“ค คะ ครับ!” ผมสะดุ้ง ก่อนหน้านี้รู้สึกเพลียมาก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน
“คุณสบายดีไหมครับ...ผมเห็นคุณฟุบหน้าลงกับโต๊ะตั้งแต่ผมขึ้นตึกไปเรียนแล้ว”
ผมเบิกตาโตรีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงที่ผมทำอย่างที่เขาว่า
“ขอบคุณที่ปลุกนะครับ ไม่งั้นผมคงเข้างานกะต่อไปไม่ทันแน่”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอของเขาทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ใบหน้าที่ถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากอนามัยมีเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ส่งมาให้ผม
︸
“สวัสดีครับ เชิญครับ” ผมเริ่มกล่าวประโยคทักทายครั้งแรกหลังหกโมงเย็นของทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน ผมพูดทักทายทุกคนที่ผ่านประตูเข้ามาในร้านด้วยถ้อยคำเดิม แต่วันนี้ผมกลับต้องประหลาดใจเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้แล้วส่งยิ้มให้ผมขณะที่ผมกำลังเติมของเข้าในชั้น
“สวัสดีครับ...”
“ครับ สวัสดีครับ...ผมเกะกะหรือเปล่า” ผมถอยห่างออกมานิดพร้อมกับเลือนลังใส่ของออกจากหน้าตู้แช่
“ไม่ต้องเลื่อนหรอกครับ ผมแค่ทักทายไม่ได้อยากได้อะไรในตู้” ผมรู้สึกคุ้นเสียงแต่ไม่คุ้นหน้าจึงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง
“จำกันไม่ได้จริง ๆ หรือครับเนี่ย!”
ผมกระอักกระอ่วนที่ไม่รู้จะตั้งรับกับคำทักทายแบบนั้นอย่างไรไม่ให้เสียมารยาท
“ขอโทษจริง ๆ นะครับ ผมเจอลูกค้าเยอะน่ะครับเลยจำใครไม่ค่อยได้ ขอโทษด้วยครับ” ผมผงกหัวลงนิดหนึ่ง ยอมเสียมารยาทที่จะจำลูกค้าไม่ได้
“เราเจอกันเมื่อวานไงครับที่โต๊ะมาหิน” เขาชี้มือไปนอกร้าน ผมจึงจำได้ขึ้นมาทันที
“อ้อ...ครับ ต้องขอบคุณเรื่องเมื่อวานนะครับ” ผมขอบคุณซ้ำ
“ผมไม่ได้อยากได้คำขอบคุณอีกครั้งหรอกครับ ผมแค่มาทักทายพี่ก็เท่านั้นเอง” สีหน้าเขาดูยิ้ม ๆ เขาคงนึกถึงหน้าผมที่ดูยุ่งเหยิงตอนงัวเงียก็เป็นได้ ถึงผมจะรู้สึกอายกับสภาพที่เขาได้เห็นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากพยักหน้าส่งยิ้มให้กับเขา
“ทำงานหนักเกินไปละนะครับ...หาเวลาพักบ้างก็ดีนะ”
หลังจากที่พูดจบ เขาเดินไปหยิบของที่อยากซื้อทำการจ่ายเงินแล้วเดินออกไปจากร้าน เขาคงเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของผมและแค่เพียงหวังดีกับเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น แต่อย่างน้อยความห่วงใยของเขาทำให้ผมรู้ว่าอย่างน้อยผมก็มีตัวตนบนโลก
วันนั้นผมอยู่โยงจนถึงอีกกะในตอนเช้า เพราะวันนั้นกว่าคนเปลี่ยนกะจะมาถึงก็กินเวลาที่ผมจะออกไปไปเกือบชั่วโมง แต่นั่นก็คงเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้ผมได้เจอกับเขาอีกครั้ง
“ขยันจังนะครับ มาทำงานแต่เช้าเลย” ผมหันมองไปตามทางเสียง จึงได้เห็นชายหนุ่มคนเดิมยืนยิ้มให้ผม
“ผิดแล้วล่ะครับ...ผมน่ะยังไม่ได้กลับไปพักเลยต่างหาก” เขาทำตาโต ดูตกใจกับสิ่งที่ผมพูด
“ไม่ได้พักผ่อน ร่างกายจะแย่เอาได้ง่าย ๆ นะครับ” ผมได้แต่ยิ้มตอบ
ผมไม่กล้าสานไมตรีกับใคร ไม่อยากเป็นเพื่อนใครและไม่อยากให้ใครมาเป็นเพื่อนผม ชีวิตของผมแม่งโคตรแย่ ผมไม่อยากให้พวกเขารู้หลายเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตผม เพราะวันหนึ่งพวกเขาอาจเกลียดผมขึ้นมาเหมือนกับพ่อผมก็เป็นได้
“อันนี้ครับ...ผมเลี้ยง” ผมมองขวดเครื่องดื่มบำรุงสมองประเภทเปปไทน์สายสั้นที่เขายื่นให้
“รับไปเถอะครับพี่” ผมกล่าวคำขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา รู้สึกว่าสิ่งที่ได้รับมาไม่ใช่เพียงขวดเครื่องดื่ม แต่มันแฝงบางสิ่งเอาไว้ในเจตนาของเขา
“หนึ่งร้อยยี่สิบห้าบาทครับ” ผมทวนจำนวนเงินที่เขาต้องชำระ ก่อนที่จะยื่นใบเสร็จให้
“ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ”
“เช่นกันนะครับ” ผมตอบ
ผมเองก็อยากมีวันดี ๆ อย่างที่เขาพูดเหมือนกัน อยากเห็นหน้าตาว่ามันจะเป็นวันแบบไหน เพราะเท่าที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่เป็นวันดี ๆ เลยสักวันหลังจากที่แม่จากไป แม้แต่คำพูดดี ๆ ผมก็แทบจะไม่เคยได้ยิน วันดี ๆ ของผมขอเป็นสักวันที่ผมสบายใจก็พอ หลังจากที่ผมออกกะ ผมดื่มเครื่องดื่มที่นักศึกษาหนุ่มนั่นให้ไว้กับผม ผมแอบอธิฐานในใจอยากให้วันนี้เป็นวันที่ดี
จากนั้นผมก็เริ่มเจอกับที่ร้านเขาบ่อยขึ้น ความคิดของผมเตลิดไปนิดหนึ่งเพราะคิดว่าเขามาหาผมทั้ง ๆ ที่สถานที่ที่ผมทำงานอยู่เป็นร้านสะดวกซื้อที่ใคร ๆ ต่างก็มาที่นี่กันได้วันละหลาย ๆ ครั้ง ไม่มีใครมาเพื่อคิดถึงพนักงานในร้านผมฝังความคิดเข้าหัวตัวเอง จนกระทั่งผมรู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหลัง
“มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวล่ะครับพี่ ผมเดินหาทั้งร้านไม่เจอ” ผมหันมองตามเสียง พอเห็นว่าเป็นคนที่ผมรอ หัวใจก็รู้สึกเป็นสุขขึ้นมา
“ก็นั่งตรงนี้ทุกวัน” ผมตอบไปยิ้มไป
“ผิดที่ผมเองสินะ...ที่ไม่รู้น่ะ” เขาทำเสียงอ่อยราวกับเด็กน้อยที่ผิดหวัง
“ผมเลี้ยงฮะ!” ผมมองแก้วน้ำที่ยื่นมาตรงหน้า แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา
“เครื่องดื่มอะไร...ชื่อประหลาด” ผมพึมพำ พาให้คนตรงหน้าหัวเราะออกมา
“ไม่ใช่หรอกฮะ...นั่นชื่อผมเอง...เคโอ”
นี่คงเป็นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการของเจ้าหนุ่มนี้สินะ ดูท่าทางเขาจะอยากผูกมิตรกับผมอย่างจริงจัง ผมเองก็อยากมีเพื่อนสนิท และผมจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะอยากสนิทกับผม อย่างที่ผมอยากสนิทกับเขา
“วันนี้ไม่มีเรียนหรือไง วิ่งเข้าวิ่งออกซื้อแต่ของเลี้ยงคนอื่นเขา บ้านรวยหรือไงเราอะ” ผมแกล้งกระเซ้า
ตั้งแต่เคโอเข้ามาสร้างสีสันในชีวิตผม ผมรู้สึกว่าเข้าถึงความสุขได้ง่ายขึ้น จนเพื่อนร่วมงานทักว่าผมอารมณ์ดีขึ้นและสดใสกว่าที่เคยเป็น นั่นอาจเป็นเพราะผมไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนที่แล้วมา
แต่ความรู้สึกของผมมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจผมอยากให้เป็น ทั้ง ๆ ผมกำลังจะมีสังคมใหม่ แต่ผมก็กลัวที่จะออกมาจากพื้นที่ปลอดภัย ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งคือส่วนหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวผมไว้ไม่ให้เปิดใจออกมา รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตผมทำให้ผมไม่กล้าที่จะไว้ใจใครอีกเลย
“เราไปเที่ยวด้วยกันเถอะนะพี่ ผมอยากให้เราไปด้วยกัน”
คำว่าเราในความหมายของผมมันมีความหมายมาก เหมือนว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของเขา และเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของผม และเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
“ไปกันเถอะ ผมอยากพักมากกว่า” แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้
ไม่ว่าผมจะปฏิเสธเสียงแข็งอย่างไร ดูเหมือนเคโอจะไม่เคยสิ้นสุดความพยายามที่จะทำให้ผมออกไปแตะขอบฟ้าเคียงข้างเขา
“ทำงานร้านสะดวกซื้อเขาหยุดกันวันไหนเหรอพี่?”
“ก็วนกัน พนักงานในร้านทุกคนจะมีวันหยุด หยุดได้ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำไมเหรอ?” ผมตอบออกไปอย่างบริสุทธิ์ใจ
“ถ้าอย่างนั้น...พี่ไปดูหนังกับผมนะ...ผมเลี้ยง” คำตอบของผม ติดกับดักคำถามของคนหน้าซื่ออย่างเคโออย่างง่ายดาย ผมจึงเหลือบตามองคนเจ้าเล่ห์เพราะติดเติมวางของในชั้นอยู่
“นะ นะ แถวนี้เองใกล้ ๆ”
“ไม่รับปากอะ” ผมเอ่ยปฏิเสธเป็นนัย
“ผมไปกับเพื่อนจนเบื่อแล้วน่ะ อยากไปกันแค่สองคนบ้าง” คำเชิญชวนของเขาดูทะแม่ง ดูเหมือนมีเลศนัยชวนให้สงสัย
“มีอะไรปะเนี่ย แปลก ๆ นะเรา” ผมปรายตามองคนเซ้าซี้ ผมไม่คิดหรอกว่าเคโอจะทำอย่างที่ลูกเลี้ยงของพ่อทำ ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงมั่นใจอย่างนั้นแต่ผมก็มั่นใจอย่างนั้นจนน่าแปลกใจ
“ตื้อตั้งนานละเนี่ย ตกลงไปไหม?”
“โอเค ๆ ไปก็ได้”
ผมทนความตื่นเต้นในใจของตัวเองไม่ไหว เลยรีบตอบตกลงไป เขาจะได้หยุดทำเสียงราวกับลูกแมวน้อยอ้อนผมเสียที
“พี่อยากดูเรื่องอะไร เลือกเลย ผมดูตามพี่ได้หมดทุกเรื่อง”
“เดี๋ยวนะ...พี่อยากดูเรื่องอะไรเหรอ คนอยากดูคือเธอต่างหากไม่ใช่พี่”
“นั่นซินะ...งั้นเราไปยืนเลือกพร้อมกันที่หน้าโรงเลยละกันเนอะ”
คำตอบของผม ทำให้เคโอสงบอาการตื้อของเขาลงได้ ผิดกับผมที่รู้สึกเป็นกังวลเพราะไม่ชอบที่จะไปในสถานที่ใหม่ แต่ทุกอย่างต้องมีครั้งแรก ขนาดความเฮงซวยที่ไม่ได้เลือกยังยัดเยียดประสบการณ์อันเลวร้ายให้ผม แล้วหากนี่คือยาขนานเอกที่ช่วยให้ผมได้มีชีวิตท่ามกลางความสุขได้ ผมก็ควรจะกล้าคว้ามันไว้ด้วยความยินดี
ผมไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าเดทแรกได้หรือเปล่า เพราะผมไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไร เคโอขับรถคันหรูมารับผมที่อพาร์ทเม้นท์ มันหรูหราเกินจินตนาการจนผมไม่กล้าจะขึ้นไปนั่งเพราะกลัวจะไปทำอะไรเสียหาย เหมือนว่าเคโอจะรับความรู้สึกของผมได้ เขาจึงชวนผมคุยไปตลอดทาง ผมไม่ใช่เด็กแล้วการชวนคุยไม่ช่วยทำให้ผมรอบคอบหรือทำให้ความประหม่าลดลงไปได้เลย แต่ความเข้าใจในสิ่งนั้นจะทำให้ผมอยู่ร่วมกับมันได้เป็นอย่างดี ผมจึงเปลี่ยนการคุยสัพเพเหระเป็นการเรียนรู้กลไกง่าย ๆ ของห้องผู้โดยสารในรถ เพราะตอนกลับผมจะได้ไม่ต้องนั่งแข็งจนเกร็งอย่างตอนขามาอีก
รถวนขึ้นไปจอดชั้นบนสุด ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ผมไม่เคยมาที่โรงภาพยนตร์ เพราะครอบครัวของผมยากจนเรื้อรัง พวกเราไม่มีเงินใช้อย่างฟุ่มเฟือยเหมือนหลาย ๆ ครอบครัว การออกมาซื้อข้าวของตามห้างสรรพสินค้าจึงแทบไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตผม เท่าที่จำได้ผมเคยกินไก่ทอดแบรนด์ดังก็แค่ครั้งเดียวเป็นวันเกิดครบรอบสิบปีของผม
“ถังแบบนั้น...!”
ผมเผลอหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นเมื่อ เห็นถังที่ใส่ข้าวโพดป๊อปคอร์นที่ผมใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของตั้งแต่เด็ก
“พี่อยากได้เหรอครับ?” คำถามของเคโอทำให้ผมรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาบนหน้าในทันที ความอยากของผมช่างน่าละอาย ความอยากที่อยู่ในใจตลอดมา
“ไม่...” ผมตอบสั้น ๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่า ไม่ คือ ใช่ ในแววตาของผม
เคโอเดินตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์ขายข้าวโพดคั่ว เขาซื้อข้าวโพดถังใหญ่ที่สุดพร้อมกับน้ำอัดลมเดินตรงมาทางผม
“ผมกลัวอ้วนอะครับพี่ พี่ต้องช่วยผมกินนะ” คำเชิญชวนแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
เดทครั้งแรกของผมกำลังจะสิ้นสุดลงหลังจากหนังเริ่มฉายชั่วโมงกับอีกสามสิบนาที ผมดูหนังไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไรเพราะมัวเพลิดเพลินกับความสุขที่ได้ยัดข้าวโพดคั่วใส่ปากอยู่ข้าง ๆ เคโอ
“ผมชอบแบบนี้จัง...”
ผมไม่รู้หรอกว่า แบบนี้ ในนิยามของเคโอหมายถึงอะไร ผมได้แต่ยิ้ม และเขาคงพูดถึงหนังที่เพิ่งจบไป
“ชอบเหมือนกัน ตอนจบมันแฮปปี้” ผมพูดไปตามความรู้สึกและความน่าจะเป็นของสถานการณ์
“เอาไว้เรามาด้วยกันอีกนะ...พี่บอกผมได้เลย ผมเลี้ยง เลี้ยงทุกเรื่องเลย เลี้ยงพี่ด้วยก็ได้...” ผมแอบยิ้มในใจเพราะรู้สึกลึกซึ้งและเป็นสุขกับคำพูดง่าย ๆ ของเคโอ
“ผมไม่ใช่แมวนะคุณ” เคโอยิ้มกว้างให้กับคำที่ผมพูดล้อเล่นกับเขา ผมเลิกพูดล้อเล่นหรือร่าเริงไปนานแล้ว ตั้งแต่ชีวิตเล่นตลกกับผม
“เอาน่า...จะซื้อแมวเลียให้ยกลังเลย” เป็นครั้งแรกที่ผมมองหน้าคนอื่นใกล้ ๆ แล้วยิ้มกว้าง ๆ ออกมา ผมกำลังก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง
ผมไม่อยากเชื่อว่าเพียงแค่รอยยิ้มของใครคนหนึ่งจะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่ผมคิดว่าจะไม่ได้พบเจอมันสิ่งที่เรียกว่าความสุขอีกแล้วตลอดชีวิต ผมจึงปิดตายมัน เลือกที่จะใช้ชีวิตเชิงเดี่ยวงดปฏิสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น ไม่อยู่แววล้อมใครและไม่อยากมีใครเข้ามาอยู่ในวงโคจร
แต่สำหรับเจ้าของแววตาอบอุ่นที่ผมต้องยอมให้อย่างเคโอ โชคชะตาคงจะส่งเขามาเปลี่ยนแปลงชีวิตผมและนำพาผมให้เปิดใจกับโลกอันกว้างใหญ่นี้อีกครั้ง